วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2551

เซวีน่า มหานครแห่งมนตรา


เซวีน่า มหานครแห่งมนตรา
กัลฐิดา
พิมพ์ครั้งที่ ๒
๔๕๗ หน้า
๒๕๙ บาท


เมื่อกงล้อแห่งชะตากรรมเริ่มหมุน ชะตากรรมของผู้คนที่ถูกผูกพันไว้ด้วยวลีแห่งอัญมณีศักดิ์สิทธิ์จึงเริ่มขึ้น...ณ มหานครแห่งนี้ เฟมีลล่า ไดแอนแพนไทร์ สาวน้อยนักดนตรีอัจฉริยะผู้โดดเดี่ยวได้พบกับจุดพลิกผันของชีวิต เมื่อเธอได้รับหนังสือเล่มหนึ่งเป็นของขวัญวันเกิดของเธอ หนังสือที่มีชื่อว่า SEVENA ได้พาเธอมายังมหานครเซวีน่าอาณาจักรปริศนาที่ทับซ้อนกับมหานครเซเวน เมืองที่เธอใช้ชีวิตอยู่มาตั้งแต่จำความได้

เฟมีลล่าหรือเฟมีลนั้นต้องไขปริศนาบางอย่างจึงจะสามารถเดินทางไปยังเซเวนได้ เมืองในอีกมิติหนึ่งที่เธอไปถึงนั้นเรียกว่า เซวีน่าโซน ซึ่งเป็นเขตการปกครองพิเศษของอาณาจักรเซวีน่าซึ่งเป็นส่วนเชื่อมต่อของรัฐทั้ง ๗ รัฐ ประกอบด้วย ดินอร์ต้า วารีเน่ วินด์โคลโล บาซิลล่า ฟอริโซ่ ดาโรก้า และโพลาโต้ เฟมีลได้พบว่าแท้จริงแล้วที่นี่ต่างหากคือบ้านเกิดของเธอ และล่วงรู้ความรับที่ว่า พ่อกับแม่ของเธอยังมีชีวิตอยู่แต่มีเหตุผลบางประการที่ท่านต้องทิ้งให้เธออยู่ตามลำพัง

เฟมีลสอบผ่านได้เข้าเรียนในโรงเรียนเวทแห่งเซวีน่า การทดสอบทำให้เธอค้นพบตัวเองว่าตนเองมีพลังเวทแห่งแสงสูงกว่าใคร และทำให้บุคคลชั้นสูงทั้ง ๗ รัฐของเซวีน่ารับรู้การกลับมาของเธอ

มีเรื่องมากมายที่เฟมีลต้องเสาะหาความจริง หนึ่งในสิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่งคือ เรื่องอัญมณีศักดิ์สิทธิ์ของแต่ละรัฐ ...รอยยิ้มศิลา น้ำตาวารี ภาคีวาโย เตโชปักษา ดวงตาพฤกษก กระจกตะวัน กังหันรัตติกาล...วลีที่เล่าขานกันมานานนับพันปี ซึ่งเธอจะต้องพิสูจน์ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีปริศนาอีกหลายอย่างที่เธอต้องไขให้กระจ่าง มีเวทมนตร์มากมายที่เธอต้องเรียนรู้ รวมทั้งการค้นหาบิดามารดาที่สูญหาย

เซวีน่า เป็นหนังสือที่ถ่ายทอดเนื้อหาหรือการดำเนินเรื่องออกมาจากตัวละคร ซึ่งตัวละครเอกในเรื่องนี้ก็คือ เฟมีล ซึ่งเราจะได้เรียนรู้ถึงบุคลิก ความคิดและความรู้สึกของตัวละครตัวนี้ ตัวละครในแต่ละตัวนั้นจะมีบุคลิกและหน้าที่ที่แตกต่างกันไปเพื่อให้บรรลุไปตามจุดมุ่งหมายในเรื่อง เสน่ห์ของหนังสือเรื่องนี้นอกจากจะใช้ภาษาที่สละสลวย ใช้สำนวนภาษาที่อ่านแล้วกินใจผู้อ่าน เสน่ห์อีกอย่างหนึ่ง คือ เนื้อเรื่องและข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้ ซึ่งเรื่องนี้จะแสดงให้เห็นถึงความสมบูรณ์แบบของเมือง เซวีน่าที่มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ล้วนแสวงหากันทั้งนั้น แต่การได้มาซึ่งความสมบูรณ์แบบนั้นก็ต้องแลกมาด้วยความเสียสละของใครอีกหลายคน ซึ่งในเรื่องนี้จะทำให้เราเห็นถึงการเสียสละที่มีทั้งความเต็มใจและไม่เต็มใจจนเกิดเป็นปัญหาที่ทำให้ตัวละครเอกผู้เป็นบุคคลแห่งชะตากรรมจะต้องคอยมาแก้ไขปัญหาเหล่านั้นเพื่อทำให้เซวีน่ากลายเป็นเมืองที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริงด้วยการให้ตัวละครรับรู้ความรู้สึกของผู้ที่ถูกพลัดพรากจากคนรักโดยที่ตนเองนั้นไม่ได้เต็มใจ ซึ่งการที่ผู้เขียนเขียนเช่นนี้ก็เพราะว่าการที่คนเราจะเข้าใจความรู้สึก ความเสียใจ ความเจ็บปวดของผู้อื่นได้ดีนั้นตัวเองก็ต้องประสบเหตุการณ์เฉกเช่นเดียวกับคนผู้นั้นจึงจะสามารถเข้าใจได้

เซวีน่า มหานครแห่งมนตรา มีทั้งสิ้น ๔ ภาค คือ ภาค ๑ การกลับมาของบุคคลแห่งชะตากรรม ภาค ๒ บทพิสูจน์ความสามารถ ภาค ๓ นคราเซวีน่าคือหนึ่งเดียว และภาค ๔ พันธสัญญาแห่งอาณาจักร หนังสือเล่มนี้เป็นของนักเขียนหน้าใหม่ที่ยังไม่มีใครรู้จักเธอมากนัก กัลฐิดา สาวน้อยที่อายุเพียง ๒๒ ปี กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ ๔ คณะทันตแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก ได้ถ่ายทอดความสามารถทางด้านวรรณกรรมออกมาโดยผ่านหนังสือเล่มนี้ที่ทำให้ผู้อ่านซาบซึ้งไปกับตัวละครและเนื้อเรื่องที่ตรงกับสถานการณ์ในสังคมปัจจุบัน ดังนั้นหากใครคิดที่กำลังมองหาหนังสือเล่มหนึ่งอ่านเพื่อคลายเครียด ดิฉันขอแนะนำหนังสือเล่มนี้ เซวีน่า มหานครแห่งมนตรา แล้วคุณจะพบกับความมหัศจรรย์ของหนังสือเล่มนี้จนยากที่คุณจะวางลงได้

มานิดา

กฤตยา


กฤตยา
ทมยันตี
พิมพ์ครั้งที่ ๖
๓๙๒ หน้า ๒๒๐ บาท
สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม


“กฤตยา” นวนิยายแนวจิตวิญญาณที่มีกลิ่นไอของอียิปต์โบราณผสมผสานแนว
วิทยาศาสตร์สมัยใหม่อย่างลงตัว งานเขียนของจริงคือคุณหญิงวิมล ศิริไพบูลย์หรือทมยันตีนามปากกาที่ชินหูนักอ่านมานานหลายทศวรรษได้รับการตอบรับจนนำไปโลดแล่นอยู่บนหน้าจอโทรทัศน์มากมาย นอกจากทมยันตีแล้วเรายังรู้จักในอีกหลากหลายนามปากกาไม่ว่าจะเป็นโรสรา-เลน ลักษณวดี กนกเรขา ก็ล้วนแล้วแต่เป็นผลงานของคุณหญิงทั้งสิ้น คุณหญิงใช้สำนวนภาษาตามแบบหลวงวิจิตรวาทาการและร.จันทพิมพะนักเขียนสตรีรุ่นเก่าหน้าปกเป็นรูปราชินีอียิปต์โบราณและภาพเขียนฝาผนังภายในพีระมิด สีตัวอักษรชื่อเรื่องเด่นชัดเห็นได้จากที่ไกล สีปกกลมกลืนกันสวยงานน่าหยิบขึ้นมาอ่าน

กฤตยาเป็นนวนิยายแนวจิตวิญญาณที่อิงประวัติศาสตร์อียิปต์โบราณผสมผสานไปกับความรู้ทางเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ได้อย่างลงตัวจึงชวนติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ

กฤตยาเป็นชื่อของหญิงสาวที่มีความลึกลับและมีอดีตที่ซับซ้อน ในวัยเยาว์หลังจากสูญเสียทั้งบิดาและมารดาจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เธอก็ประสบอุบัติเหตุที่ต้องทำให้นอนพักรักษาอยู่ในห้องไอ.ซี.ยู. ท่ามกลางความหวั่นใจของลุงกับป้าว่าความตายจะมาพรากเธอไป เธอตื่นขึ้นมาพร้อมกับประกาศว่าเธอชื่อ ตี ที่เธอต่อในใจว่า ตี ตาเตน พร้อมกลับพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป เธอผู้ติดตามลุงที่จะย้ายไปเป็นทูตประจำกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ด้วยความดีใจและบอกใครต่อใครว่า เธอจะได้กลับบ้าน

ไอลวิล ศัลยแพทย์มือหนึ่งของเมืองไทยประจำโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ชื่อของเขาหมายถึงท้าวกุเวน ผู้อยู่เหนือความตายและวิญญาณทั้งปวง เขาผู้เลื่องลือว่าเป็น “หมอปากพระร่วง”ที่มีการตัดสินใจที่แม่นยำ “รายนี้ ถ้าเอ่ยปากว่าไม่ตายเป็นไม่ตาย แต่ถึงอาการที่เราแน่ใจว่าปลอดภัย ถ้ารายนี้ว่าตาย ก็แหง”

นอกจากหน้าที่ศัลยแพทย์แล้ว เขายังมีอีกหน้าที่หนึ่งงานวิจัยที่สำคัญยิ่ง การปลุกเซลล์ที่ตายแล้วขึ้นมาใหม่ และที่สำคัญเซลล์นั้นมีอายุกว่าสามพันปีเซลล์ที่เป็นของฟาโรห์
สเมนกาเรเชษฐาแห่งตุตันคาเมน ฟาโรห์แห่งราชวงศ์ที่สิบแปด ครองราชย์เมื่อสามพันสามร้อยสี่สิบปีที่ผ่านมา

อดีตเชื่อมโยงกับปัจจุบันแม้ว่าจะผ่านมานานกว่าสามพันปีแล้วแล้วที่พระนางเมอริตาเตนพระชายาแห่งสเมนกาเรนรอคอยวันที่ดวงพระวิญญาณของพระสวามีถูกปลดปล่อยจากคำสาป ที่อัย ฟาโรห์องค์ที่ ๑๙ แห่งราชวงศ์อียิปต์ สาปไว้เพราะแค้นเคืองที่พระนางเมอริตาเตนไม่อภิเษกด้วยหลังจากที่สเมนกาเรนสิ้นพระชนม์จึงโกรธแค้นไม่รับพระศพสเมนกาเรนเพื่อทำมัมมี่นั้นหมายถึงการไม่มีโลกหน้าให้สเมนกาเรน หากแต่พระนางเมอริตาเตนมิยอมเช่นนั้น นางพยายามทำทุกวิธีเพื่อทำมัมมี่ให้พระสวามี แต่ความรับไม่มีในโลก อัยทรงล่วงรู้นางจึงถูกฝังทั้งเป็นเคียงข้างพระสวามีอันเป็นที่รัก

ปัจจุบันกฤตยาได้นำเซลล์เนื้อเยื่อมัมมี่อายุกว่าสามพันปีมา ให้ไอลวิลปลุกชีวิตขึ้นมาใหม่ กรรมที่ทำร่วมกันมาถือเป็นกรรมร่วม เมื่อไอลวิลละทิ้งซึ่งโทสะและความพยาบาททั้งมวลเขาจึงสามารถทำหน้าที่แห่งตนได้อย่างสมบูรณ์

เทพีเซลเค็ตเทพที่รักษาปกป้องพระศพฟาโรห์ ผู้ใดที่แตะต้องพระศพของฟาโรห์จะต้องได้รับโทษอย่างหนักแต่กฤตยาถูกละเว้นด้วยผลจากความเสียสละและความเที่ยงธรรม

“วัฏจักรแห่งโลกมีจริง การเกิดและการตายเป็นเพียงข้ามจากภพหนึ่งไปสู่ภพหนึ่ง ใครจะรู้บ้างว่าตนเองผ่านมากี่ภพ กี่ชาติ ใครจะรู้บ้างว่าตนจะเดินทางจากแห่งนี้ไปสู่แห่งใด เพราะกรรมเป็นเครื่องกำเนิด กรรมน้อมนำไปและกรรมมิมีที่สิ้นสุด”

กรรม คือการกระทำ การกระทำไม่มีวันสิ้นสุดตราบเท่าที่เรายังเวียนว่ายตายเกิดอยู่
ในสังสารวัฎ ทางที่พ้นจากทุกข์ตามพระพุทธศาสนาคือนิพพาน ไม่ว่าจะต้องเกิดอีกกี่ชาติภพหากสิ่งที่ติดตัวเราไปคือกรรมซึ่งชาติใดภาษาใดไม่ต้องมีพจนานุกรมในการแปลความหมายก็สามารถส่งผลถึงกันได้เพราะมนุษย์ย่อมเป็นไปตามกรรม

ภัทรกุล

อัจฉริยะ เรียนสนุก


อัจฉริยะ เรียนสนุก
วนิษา เรซ
พิมพ์ครั้งที่ ๒
บริษัท อัจฉริยะเรียนสนุก จำกัด
๒๒๑ หน้า ภาพประกอบ
๑๙๖ บาท

โลกปัจจุบันเป็นยุคของการแข่งขันไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันในด้านการเรียน การทำงาน หรือแม้กระทั่งการมีชีวิตรอดอยู่ในสังคม และการที่เราจะสามารถเอาตัวรอดได้นั้นพื้นฐานที่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นก็คือ การศึกษา ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าการศึกษาในปัจจุบันนี้มีอัตราการแข่งขันสูงมากจนน่าตกใจ เด็กบางคนเรียนหนังสืออาทิตย์ละ7วัน ซึ่งทำให้เด็กไทยหลายๆคนเป็นโรคเครียดบางคนถึงขั้นคิดสั้นเพียงเพราะการเรียนไม่เป็นไปอย่างที่ตนคาดการณ์ไว้


เมื่อประมาณหนึ่งสองเดือนก่อนคุณแม่ฉันได้นำหนังสือเล่มหนึ่งมาให้เป็นหนังสือที่มีเคล็ดลับเกี่ยวกับวิธีการเรียนซึ่งจะไม่ทำให้เราเป็นโรคเครียด เรียนสนุกและยังสามารถคว้าเกรดเอมาได้โดยง่าย ซึ่งในตอนแรกดิฉันเป็นคนไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือสักเท่าไรและก็ค่อนข้างจะเชื่อว่าตัวเองไม่ว่าจะเรียนอย่างไรก็คงไม่สามรถทำให้เกรดเฉลี่ยดีขึ้นมากกว่านี้ได้แต่เมื่อพอลองได้อ่านดูสักครั้งความคิดของฉันก็เปลี่ยนไปและเหมือนมีพลังบางอย่างที่ทำให้ฉันกลับมาคิดทบทวนการเรียนที่ผ่านมาของฉันอย่างจริงจัง

หนังสือเล่มนี้เขียนโดย “วนิษา เรซ” หรือ หนูดีที่หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อของผู้หญิงคนนี้กันมาบ้างแล้ว หนูดีเป็นผู้แต่งหนังสือ “อัจฉริยะสร้างได้” และผู้ที่ชนะล้านที่15รายการอัจฉริยะข้ามคืน เธอจบปริญญาโทด้สนสมองและการเรียนรู้การมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้เธอได้เรียนรู้เกี่ยวกับการจัดการของสมองของคนเราเป็นอย่างดี

ในหนังสือเรื่อง “อัจฉริยะ สร้างได้” ได้รวบรวมประสบการณ์การเรียนหนังสือของหนูดีที่ได้ประสบมาเมื่อตอนที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแมริแลนด์ และมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด หนูดีเป็นคนที่สามารถคิดหาวิธีการวางรูปแบบการเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รู้จักการวางแผนให้กับตารางชีวิตของตัวเอง และยังมีวิธีที่จะทำให้ชั่วโมงเรียนทุกครั้งกลายเป็นเรื่องที่น่าสนุกแม้ว่าวิชานั้นจะเป็นวิชาที่ไม่ถนัดและแสนน่าเบื่อ แต่หนูดีก็มีวิธีที่จะเปลี่ยนวิชานั้นให้กลายเป็นเรื่องที่สนุกพร้อมทั้งคว้าเกรดเอมาได้โดยง่าย ซึ่งวิธีแบบนี้หนูดีก็ได้บอกว่าทำให้เธอมีความสุขกับการเรียนแบบง่ายๆและได้ใช้ชีวิตครบแบบที่เรียนว่า “กลมรอบ” อีกทั้งยังได้ทำประโยชน์กับสังคมอีกด้วย

เริ่มด้วยเรื่องเล่าจากหนูดีที่เป็นเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆพร้อมทั้งวิธีการพัฒนาทักษะด้านต่างๆของสมองของเราก่อนที่จะเตรียมพร้อมเป็นนักเรียนมืออาชีพ รวมถึงวิธีการจัดระบบการเรียนที่หนูดีเคยใช้มาแล้วทั้งสิ้น44วิธีด้วยกัน ซึ่งแต่ละวิธีเป็นวิธีที่สามารถทำได้โดยง่ายเพียงแค่เราต้องทำความเข้าใจในระบบการศึกษาของสถาบันที่เรากำลังศึกษาอยู่ เมื่ออ่านแล้วเราก็นำวิธีต่างๆมาปรับเข้ากับวิถีชีวิตของตนเอง

ขั้นตอนแรกจะเป็นการเตรียมพร้อมแบบนักเรียนมืออาชีพ คือการให้ตั้งเป้าหมายในการเรียนของเทอมนั้นๆวางแผนจักการกับวิธีการเรียนตลอดเทอมเพื่อที่เราจะได้รู้ว่าช่วงไหนที่เราต้องเรียนหนักหรือช่วงไหนที่เราเรียนน้อยซึ่งทำให้เราสามารถวางแผนกิจกรรมต่างๆที่เราจะทำตลอดทั้งเทอม อีกทั้งเราควรที่จะทำความเข้าใจในรายวิชาที่เราจะต้องเรียนว่าวิชานั้นๆเกี่ยวกับอะไรครอบคลุมเนื้อหาส่วนไหนบ้าง รวมถึงวิธีการที่จะช่วยให้เราเรียนได้อย่างทีประสิทธิภาพมากขึ้น

ต่อมาจะเป็นการจัดการกับวิธีการเรียนในห้องเรียน เป็นการแนะนำวิธีการเรียนที่หนูดีใช้เมื่อสมัยตอนที่ยังเรียนอยู่ เช่น การจดเลคเชอร์อย่างไรให้น่าอ่านและช่วยให้เราเข้าใจมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลดีเป็นอย่างมาก เพราะช่วยในเรื่องความจำอีกทั้งรวมวิธีจะทำให้การเรียนของเราเป็นเรื่องที่น่าสนุก
จากที่เราจัดการกับแบบการเรียนที่เราวางแผนมาตลอดทั้งเทอมก็ถึงเวลาที่เราจะต้องเตรียมตัวสอบ เมื่อถึงเวลาสอบนั้นหลายคนก็จะเครียดกับการสอบของตัวเองเอาแต่อ่านหนังสือแบบไม่ลืมหูลืมตา ท่องไปเรื่อยเหมือนเครื่องจักร แต่วิธีการเหล่านั้นนอกจากจะไม่ได้ผลแล้วยังเป็นการทำร้ายตัวเองทางอ้อมอีกด้วย หนูดีจึงมีวิธีการเตรียมตัวสอบที่น่าใจที่นอกจากจะเป็นวิธีที่สนุกสนานและยังทำให้เราจำข้อมูลต่างๆได้แม่นยำขึ้น ซึ่งการจำข้อมูลของหนูดีอาจจะแตกต่างจากการท่องจำของเราแต่เชื่อว่าถ้าใครได้ลองปฏิบัติตามก็จะเป็นผลดีไม่น้อย

สุดท้ายหลังจากที่เราเรียนและเตรียมตัวสอบมานานก็ถึงเวลาที่เราจะต้องเดินเข้าห้องสอบ ซึ่งหลายคนมักจะเครียดก่อนที่จะเข้าห้องสอบจนทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเตรียมมาตลอดทั้งเทอมหลายไปในพริบตา แต่วิธีของหนูดีเป็นวิธีแบบสบายๆ นั่นคือการเตรียมตัวอย่างไรก่อนที่เราจะเดินเข้าห้องสอบ เราต้องรู้จักเตรียมตัว วางแผน และที่สำคัญที่สุดคือการทำสมาธิเพื่อให้จิตใจผ่อนคลาย เพราะการที่เรามีสมาธิทุกอย่างก็จะตามมา

หนังสือเล่มนี้ได้กลายเป็นหนังสือที่สร้างแรงบันดาลใจให้ฉันเป็นอย่างมาก เพราะฉันเองก็เป็นคนหนึ่งที่เรียนหนังสือไม่เก่งซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะฉันไม่เคยจัดการกับระบบการเรียนของฉันเอง ไม่เคยที่จะลองพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้เกรดเอและเคยเครียดกับการสอบในทุกๆครั้งๆ แต่เมื่อพอได้มาอ่านหนังสือเล่มนี้จึงทำให้ฉันได้เห็นข้อบกพร่องในระบบการเรียนของตัวเองว่าเราได้มองข้ามจุดสำคัญไปหลายอย่างซึ่งถ้าหากเราลองคิดที่จะจัดการระบบการเรียนของตัวเองดูสักครั้งบางทีเราอาจจะกลายเป็นอัจฉริยะที่ควบคู่ไปกับการมีสุขภาพจิตดีอย่างที่หนูดีเป็นก็ได้

ถ้าใครลองได้อ่านหนังสือ “อัจฉริยะ เรียนสนุก” ของ วนิษา เรซ หรือหนูดี อาจจะทำให้คุณได้เห็นมุมมองใหม่ๆในการเรียน และรู้จักจัดการเกี่ยวกับระบบการเรียนของตัวเองให้มีประสิทธิภาพ และสนุกกับชีวิตการเรียนมากขึ้น


แพน

เสียดาย…คนตายไม่ได้อ่าน


เสียดาย…คนตายไม่ได้อ่าน
ดังตฤณ
พิมพ์ครั้งที่ ๔๕ /๒๕๕๐
สำนักพิมพ์ดีเอ็มจี
๓๖๐ หน้า
๒๓๕ บาท


เสียดาย…คนตายไม่ได้อ่าน ชื่อหนังสือที่กระทบหัวใจคนเป็น ให้สะดุดตั้งแต่ความหมายของชื่อที่พิมพ์ด้วยตัวอักษรสีขาวบนปกสีม่วงบรรยากาศวัดเข้าถึงอารมณ์ของความนิ่งสงบ จุดประกายความใคร่รู้ของผู้พบเห็นเลือกหยิบขึ้นมาอ่านได้ไม่ยาก รับประกันคุณภาพด้วยยอดขาย เพียงช่วงเวลาไม่นานหนังสือเล่มนี้ก็กลายเป็นหนังสือติดอันดับขายดีต้องตีพิมพ์ซ้ำถึงสี่สิบห้าครั้ง นอกจากรูปลักษณ์ที่มองผ่านภายนอกแล้ว ด้วยคุณภาพเขียนของคุณดังตฤณ นักเขียนคุณภาพ ผู้เปลี่ยนเรื่องธรรมะแสนยาก กลายเป็นธรรมะแสนง่ายด้วยการนำเสนอธรรมะแนวใหม่ ผสมลีลาการเขียนเฉพาะตัว เข้าใจง่าย บางครั้งผ่านตัวละคร บางครั้งผ่านการอธิบายเปรียบเทียบ วิธีการเขียนที่ไม่เหมือนใครทำให้ทุกเพศ ทุกวัยสามารถเข้าถึงธรรมะได้อย่างไม่ยากเย็น

ผลงานเล่มนี้ไม่ใช่หนังสือธรรมะที่แต่งออกมาเพื่อตอบสนองความรู้เฉพาะคนสูงวัยหรือผู้สนใจศึกษาธรรมะเท่านั้น แต่หนังสือเล่มนี้ตอบสนองความไม่รู้ของคนทั่วไปให้ได้คำตอบกระจ่างใจ ใครหลายคนเกิดคำถามในชีวิตว่า เหตุใดจึงมีฉัน เหตุใดฉันจึงมีทุกข์ ปัญหาที่ค้างคาใจ รวมถึงความเชื่อทางศาสนา เหตุของการเกิด โลกหลังความตาย เรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ ที่ใครต่างใคร่รู้ว่ามีจริงหรือไม่

คำถามบางเรื่องอาจตอบได้จากการพิสูจน์ในปัจจุบันกาล แต่บางเรื่องอย่างโลกหลังความตาย ใครเป็นผู้ให้คำตอบได้ชัดเจนที่สุด นอกจากคนที่ตายเสียก่อน แต่คนที่ตายแล้วจะตื่นมาพิสูจน์ให้คนเป็นรู้ได้อย่างไร ท่านเชื่อหรือไม่ว่าปัญหาเหล่านี้มีผู้ให้คำตอบอย่างลึกซึ้งแล้วนั่นก็คือ พระพุทธเจ้า หนังสือเล่มนี้ถ่ายทอดคำอธิบายเรื่องกรรมวิบาก และภพภูมิต่างๆในพระไตรปิฎก แต่กระนั้นจะมีคนทั่วไปสักกี่คนบนโลกนี้ที่อ่านพระไตรปิฎกได้อย่างลึกซึ้งถึงแก่น คุณดังตฤณจึงนำคำตอบเหล่านั้นมาอธิบายในแบบฉบับที่คนประเภทอยากจะอ่านคร่าวๆ ยังต้องเปลี่ยนใจพลิกหน้าแรกอ่านอย่างละเอียด พลิกหน้าแล้วหน้าเล่าต่อไป เรื่อยๆจนหน้าสุดท้าย หากเพียงแค่ท่านมีโอกาสอ่านบทหนึ่งบทใดในเสียดาย…คนตายไม่ได้อ่าน ท่านอาจรู้สึกเสียดาย…หากคนเป็นอย่างฉันไม่ได้อ่านต่อไปจนจบ

เสียดาย…คนตายไม่ได้อ่าน ผู้เขียนตั้งใจเรียบเรียงเรื่องวิบากกรรมตามลำดับความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ นั่นคืออะไรเป็นสาเหตุให้เราเป็นอย่างนี้ในปัจจุบัน ด้วยผลกรรมอันใดส่งผลอย่างไร จากนั้นแสดงให้เห็นว่า ธรรมชาติมีภพภูมิอันใดรองรับการกระทำแต่ละรูปแบบของแต่ละคน แล้วสุดท้าย… อะไรที่เราน่าจะทำในขณะมีชีวิตอยู่

รูปแบบการวางโครงเรื่องดังกล่าว กลายเป็นแบบโครงสร้างของหนังสือ แบ่งเป็น ๓ บรรพ บรรพแรกคือการตอบคำถามว่าพวกเรา เกิดมาเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร?


เริ่มจากบทแรกคือ เหตุใดจึงเกิดมาเป็นมนุษย์ ในบทนี้มีบทสำรวจตัวเองว่ามีการกระทำชั่วผิดบาปในระดับไหน บทนี้จะทำให้คุณมีคำตอบให้แก่ตัวเองว่า โชคดีแค่ไหนที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ บทสองคือ เหตุใดจึงเป็นหญิงเป็นชาย ถ้าคุณเคยสงสัยว่าทำไมเพศหญิงลำบากต้องตั้งครรภ์ ต้องมีประจำเดือน แล้วทำไมถึงไม่เกิดเป็นเพศชาย เพศชายสงสัยทำไมไม่เกิดเป็นหญิง บทนี้ให้คำตอบคุณได้ บทที่สาม เหตุใดจึงมีรูปงาม คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมคนเราเกิดมาสวยบ้างไม่สวยบ้าง บางคนเตี้ยบางคนสูง บางคนจมูกโด่ง บางคนคิ้วสวย อะไรเป็นต้นเหตุบทนี้ให้รายละเอียดอย่างลึกซึ้งที่ทำให้คุณเลิกสงสัยว่าทำไมฉันถึงรูปร่างหน้าตาแบบนี้ บทที่สี่ เรื่องเหตุใดจึงมีฐานะร่ำรวย คุณเคยอยากรวยหรือเปล่า อยากรวยเหมือนคนนั้น ทำไมฉันไม่รวยสักที ทำอย่างไรถึงจะรวย บทนี้ตอบปัญหาคนอยากรวยด้วยกรรมที่ส่งผลด้านเงินทอง ทำให้คุณเข้าใจปัจจุบัน และออกแบบอนาคตได้ บทที่ห้า เหตุใดจึงมีสติปัญญามาก เป็นบทที่จะทำให้คุณเข้าใจความแตกต่างระหว่างความฉลาดกับปัญญา กรรมที่ทำให้มีปัญญามาก กรรมที่ทำให้เป็นอัจฉริยะ และบทสุดท้ายในบรรพนี้คือ ใครเป็นผู้รู้แจ้งเรื่องกรรม หากการอ่านมาตลอดบรรพแรกคุณมีความแคลงใจว่า กรรมเหล่านั้นส่งผลจริงหรือ บทนี้จะทำให้คุณเข้าใจว่าจริงหรือไม่แล้วใครเป็นผู้มีสิทธิ์หยั่งรู้

บรรพแรกตอบปัญหาเกี่ยวกับชีวิตที่เป็นอยู่ให้กระจ่างขึ้น ต่อมาถึงบรรพที่สอง คือการตอบคำถามว่าพวกเราตายแล้วไปไหนได้บ้าง สัจจะความตายเป็นอย่างไร ตายแล้วไปไหน วิธีชี้ทางสวรรค์แก่ผู้ป่วยใกล้ตายคืออะไร ภพภูมิต่างๆมีลักษณะอย่างไร หากคุณเคยคิดว่าความตายอยู่อีกไกล หรือคิดว่าความตายเป็นสิ่งน่ากลัว บรรพนี้จะทำให้คุณเข้าใจและรับมือกับความตายในอนาคตอย่างสงบ เมื่อรู้อดีต อนาคตแล้ว บรรพที่สาม จะให้คำตอบว่าเรายังอยู่แล้วควรทำอะไร บทนี้ทำให้เรารู้ว่าอะไรคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด หากคุณยังไม่แน่ใจว่าคุณมีความละอายต่อบาปมากน้อยแค่ไหน เข้าใจความจริงของชีวิต สภาวะกายและสภาวะจิต ระดับใด บทนี้จะช่วยค้นความเป็นตัวคุณอย่างลึกซึ้ง

ครบสามบรรพเป็นอันว่าครอบครอบคลุมกรรมวิบากและภพภูมิทั้งสามกาล คือ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต หนังสือเล่มนี้จึงคุ้มค่ามากกว่าการได้คำตอบของปัญหาคาใจ แต่ยังให้วิธีคิดและแนวทางออกแบบรูปแบบชีวิต เสียดาย…คนตายไม่ได้อ่าน จึงเป็นหนังสือที่น่าเสียดาย…ถ้าคนมีชีวิตอย่างคุณไม่หยิบมาอ่าน


เพียงใจ

คิดใหญ่ ไม่คิดเล็ก


คิดใหญ่ ไม่คิดเล็ก
ผู้แต่ง : ดร. เดวิด เจ. ชวอร์ต
ผู้แปล : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากรพิมพ์ครั้งที่ ๔๔ / ๒๕๕๑
สำนักพิมพ์ ซีเอ็ดยูเคชั่น
๓๑๒ หน้า
๑๕๐ บาท


“คิดใหญ่ ไม่คิดเล็ก” อาหารบำรุงสมองชั้นดี ที่มี ดร.เดวิด เจ. ชวอร์ต หนึ่งในสุดยอดผู้นำด้านแรงจูงใจ เป็นผู้คิดค้น คัดสรรวิธีการคิดต้นแบบ และปรุงแต่งอย่างพิถีพิถัน เพื่อความสมบูรณ์ครบถ้วนของเนื้อหา คำว่า “หนังสือขายดีระดับโลก” เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงคุณภาพ และการยอมรับในระดับสากล เพียงคุณหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน คุณจะค้นพบวิธีที่จะทำให้ความคิดสร้างความมหัศจรรย์ให้กับชีวิตของคุณ

“คิดใหญ่ ไม่คิดเล็ก” หนังสือดีที่แนะนำวิธีการคิดพัฒนาตนเองยอดเยี่ยม ผู้อ่านสามารถนำไปประยุกต์ใช้แล้วได้ผลจริง อธิบายลักษณะวิธีการคิดผ่านตัวอย่างสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับผู้คนในสังคมและประสบการณ์จริงของผู้เขียน เนื้อหาเริ่มต้นด้วยวิธีการคิดที่ให้ผู้อ่านทำความเข้าใจต่อทัศนะที่ว่า “ถ้าคุณคิดว่าคุณทำได้ คุณก็จะทำได้” ผู้อ่านได้รู้จักวิธีเยียวยาตนเองจากโรคชอบแก้ตัว อันเป็นที่มาแห่งความล้มเหลว เรียนรู้วิธีคิดอย่างสร้างสรรค์และมีทัศนคติในแง่บวก สามารถเปลี่ยนความพ่ายแพ้ให้เป็นชัยชนะ วิธีการคิดวางแผนและตั้งเป้าหมายชีวิต พร้อมลงมือปฏิบัติเพื่อให้เราเป็นผู้ประสบความความสำเร็จในชีวิตทุกๆด้าน และดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข

“คิดใหญ่ ไม่คิดเล็ก” มีกลวิธีการเขียนที่ผู้เขียนจะสอดแทรกวิธีคิดที่น่าสนใน และแตกต่างจากผู้อื่น มีการจัดเรียงลำดับเนื้อหาเหตุการณ์ รวมถึงการลำดับขั้นตอนของการจัดระบบความคิด พร้อมวิธีการเสริมสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง และทุกส่วนล้วนแฝงด้วยข้อคิดที่สำคัญ สามารถนำไปปฏิบัติจริงได้ทันที ขอขอบคุณ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้ทุ่มเทแรงกายแรงใจแปลผลงานคุณภาพให้คนไทยได้อ่าน ด้วยรูปแบบภาษาที่กระชับ ชัดเจน เฉียบคม ถ้อยคำในเล่มอ่านได้เพลิดเพลิน และสะกดคำยอดเยี่ยม ผู้อ่านสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อพัฒนาตนเอง โดยเฉพาะเพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคม และที่สำคัญ ขณะที่ดิฉันอ่านหนังสือเล่มนี้ไปเรื่อยๆนั้น ดิฉันรู้สึกว่า ตนเองได้รับพลังแฝงบางอย่างเข้ามาในตัว หัวใจของฉันครุกรุ่นไปด้วยพลังงานและพลังใจ สิ่งหนึ่งที่ดิฉันได้รับทันที คือ กำลังใจและความเชื่อมั่นในตนเอง

“คิดใหญ่ ไม่คิดเล็ก” วาจาภาษาของผู้สร้างแรงบันดาลใจที่ถูกกลั่นกรองผ่านปลายปากกา และถ่ายทอดสู่สายตานับล้านคู่ผ่านบทความที่น่าอ่าน ชวนให้น่าติดตาม และน่าจดจำ เสมือนกระจกสะท้อนให้เห็นความจริงในเรื่องลักษณะนิสัยของผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมมนุษย์ ชีวิตอาจจะต้องพบเจออุปสรรค เพราะหนทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ มีความรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง ปราศจากแรงบันดาลใจหรือเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ไม่เห็นคุณค่าของตนเอง สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่จะทำให้ชีวิตของเราล้มเหลวได้ในที่สุด เราไม่สามารถมองเห็นความสำเร็จที่ยืนอยู่ตรงหน้าเรา สำหรับดิฉันหนังสือเล่มนี้ จึงเป็นเข็มทิศนำทางแห่งความสำเร็จที่เราสามารถหยิบมาใช้ได้ทุกเมื่อ ดังประโยคที่ผู้เขียนชี้ให้เราเห็นถึงพลังความคิดของคนเรายิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด “ความสำเร็จนั้นไม่ได้ถูกกำหนดโดยขนาดของสมอง แต่ถูกกำหนดโดยขนาดของความคิดของคนคนนั้น” “คิดอย่างไม่มั่นใจย่อมล้มเหลว คิดแบบผู้ชนะย่อมประสบความสำเร็จ” เห็นได้ชัดเจนว่าความเชื่อในตนเองจะนำสิ่งดีๆมาให้ มีคำเปรียบที่ว่า “จิตใจของเราคือโรงงานความคิดที่ผลิตความคิดไม่หยุดหย่อนทุกๆชั่วโมง ความคิดถูกผลิตออกมานับไม่ถ้วน” เพียงคุณมีความคิดแรก ความคิดดีๆก็จะเกิดตามมาเรื่อยๆ เราต้องหมั่นแสวงหาความรู้ และสุดท้ายต้องลงมือทำแล้วคุณจะประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างแน่นอน

“คิดใหญ่ ไม่คิดเล็ก” เหมาะสมสำหรับนักอ่านทุกเพศ ทุกวัย ผู้ที่ต้องการพัฒนาตนเอง และไม่ต้องการจะเดินไปอยู่ในกลุ่มของผู้ตามหลัง แต่กล้าที่จะโดดเด่นและเป็นผู้นำ จากคำแนะนำที่ให้ใช้ตารางวางแผนชีวิต โดยแบ่งเป็นช่องหน้าที่การงาน ชีวิตคู่ ชีวิตครอบครัว และกิจกรรมต่างๆ ในสังคม ดิฉันจึงค้นพบว่า เราไม่จำเป็นต้องฉลาดล้ำเลิศอยู่แล้วถึงจะเป็นผู้นำได้ แต่เคล็ดลับก็คือ เราต้องคิดและสร้างพฤติกรรมอย่างผู้ประสบความสำเร็จ “จงมั่นใจว่า คุณสามารถประสบความสำเร็จได้ แล้วคุณจะเป็นเช่นทีคิด” เคล็ดลับสู่ความสำเร็จนั้นรวบรวมอยู่หนังสือเล่มนี้ทั้งหมดแล้ว

“คิดใหญ่ ไม่คิดเล็ก” จึงเป็นเครื่องมือที่จะทลายกำแพงสูงที่ขวางกั้นความสำเร็จ เป็นเส้นทางที่จะนำพาไปสู่จุดหมาย ความสำเร็จอยู่ไม่ใกล้แค่เอื้อม หากเพียงเรา คิด ที่จะทำ กำจัดกรอบที่จำกัดความคิด สิ่งที่ได้คือการชนะใจตนเอง เราสามารถก้าวสู่อนาคตที่ยิ่งใหญ่ ตั้งเป้าหมายชีวิต ใช้ความคิดสร้างสรรค์ที่เรามีผสานกับทัศนคติในแง่บวกเป็นตัวนำทาง และเพิ่มพลังแห่งความมุ่งมั่น เพื่อชัยชนะที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เราจะคาดถึง “คิดใหญ่ ไม่คิดเล็ก” จึงเป็นโลกของความคิดที่จะผลักดันให้เราประสบความสำเร็จเกินกว่าที่คาดไว้

เพ็ญศิริ

เด็กหญิงสองหัวใจ


เด็กหญิงสองหัวใจ
ผู้เขียน : รุ่งธรรม บุญสุระ
ปีพิมพ์ : 1 / 2549
สำนักพิมพ์ : สถาพรบุ๊คส์
จำนวนหน้า : ปกอ่อน / 216 หน้า
ราคาปกติ 130.00 บาท


เด็กหญิงสองหัวใจ เป็นเรื่องของเด็กผู้หญิงชาวลานนาคนหนึ่ง วัยสิบสองปี มีชื่อว่าฟองฝ้ายเป็นลูกของพ่อเมืองแก้วและแม่ไหมคำ มีลักษณะนิสัยที่แปลกประหลาดคือ มีสองหัวใจในร่างเดียว ในช่วงเช้าจะมีจิตใจเป็นเด็กผู้หญิง ร่างกายบอบบาง อ่อนโยน รักความสงบ และชอบเย็บปักถักร้อย แต่ในช่วงบ่ายกลับมีจิตใจเป็นเด็กผู้ชาย ร่างกายแข็งแรง กล้าหาญ ชอบเล่นผาดโผน ซึ่งตัวฟองฝ้ายเองก็สับสนในลักษณะเช่นนี้ของตนเองเช่นกัน


ภายในเนื้อหาของเรื่องนั้นจะเป็นการเล่าถึงการเดินทางผจญภัยของฟองฝ้ายกับเพื่อนต่างเผ่าพันธุ์คือ หึ่ง ๆ ผึ้งน้อยกับหย่งโย่ เจ้าตั๊กแตนตัวโต โดยการนำทางของขนนกกระยางที่ตกอยู่ตามทางเดินจนเข้าไปในดินแดนแห่งหนึ่งที่ชื่อว่าเมืองดอกไม้ โดยมีภารกิจสำคัญรออยู่นั่นก็คือการช่วยเหลือเจ้าหญิงพรรณมาลีและชาวเมืองดอกไม้ให้หลุดพ้นจากคำสาปของผู้เฒ่าฟ้าง้างผู้อ้างว่าเด็กหญิงสองหัวใจเป็นลูกของตน โดยระหว่างทางก็จะมีอุปสรรคต่าง ๆ มาทดสอบความสามารถของเด็กหญิงสองหัวใจผู้นี้ ฟองฝ้ายจึงต้องนำเอาลักษณะพิเศษเฉพาะตัวของตนมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ประกอบกับความช่วยเหลือของเพื่อนต่างเผ่าพันธุ์ทั้งสองที่คอยให้กำลังใจฟองฝ้าย เมื่อยามเดือดร้อนก็ไม่ทิ้งกัน ทำให้เกิดมิตรภาพที่สวยงามขึ้น นอกจากอุปสรรคที่เกิดขึ้นระหว่างทางแล้ว


ฟองฝ้ายยังต้องต่อสู้กับอุปสรรคทางด้านจิตใจด้วย เมื่อฟองฝ้ายต้องตัดสินใจเลือกระหว่างความผูกพันกับผู้เฒ่าฟ้าง้างผู้ซึ่งดูแลฟองฝ้ายเหมือนลูกและความถูกต้องที่จะต้องช่วยเจ้าหญิงพรรณมาลีและชาวเมืองที่ถูกสาป ท้ายที่สุดฟองฝ้ายก็ได้เลือกความถูกต้องและได้ช่วยปลดปล่อยคำสาปให้กับเจ้าหญิงพรรณมาลีและชาวเมืองดอกไม้ได้สำเร็จ แต่เรื่องไม่ได้จบเพียงเท่านั้น เมื่อฟองฝ้ายกลับมาที่บ้าน ฟองฝ้ายยังต้องเจอกับอุปสรรคทางด้านจิตใจครั้งใหญ่ เมื่อฟองฝ้ายต้องเลือกว่าจะมีจิตใจที่เป็นผู้หญิงหรือเป็นผู้ชายกันแน่ แต่ไม่ว่าฟองฝ้ายจะเลือกทางไหน ฟองฝ้ายก็จะเป็นฟองฝ้ายที่มีความเป็นตัวของตัวเอง ตัวตนที่ดีที่สุดต่อฟองฝ้ายและครอบครัวของฟองฝ้ายเอง

เด็กหญิงสองหัวใจเป็นผลงานการเขียนของ คุณรุ่งธรรม บุญสุระ ผู้หลงใหลในการเขียนบทความมาตั้งแต่เด็ก ๆ เป็นนักเขียนที่ได้รับรางวัลดวงดาวถึงสองครั้งด้วยกัน ซึ่งหนังสือเล่มนี้ก็เป็นหนังสือที่ได้รับรางวัลดวงดาวในปี 2548 ซึ่งสิ่งนี้ก็เป็นเครื่องยืนยันได้ดีถึงคุณภาพของหนังสือเล่มนี้
ปกของหนังสือเล่มนี้ใช้สีชมพูอ่อนเป็นพื้นหลังและมีรูปของเด็กหญิงฟองฝ้ายและเพื่อนๆคือหึ่งๆ และหย่งโย่ มีการจัดองค์ประกอบของภาพดี ดูแล้วสบายตา น่าหยิบขึ้นมาอ่าน อีกทั้งภาพที่ใช้ก็สื่อได้ถึงมิตรภาพอันดีงามระหว่างเพื่อนต่างเผ่าพันธุ์ได้เป็นอย่างดี

เด็กหญิงสองหัวใจเป็นวรรณกรรมเยาวชนที่มีขนาดเนื้อเรื่องยาวพอสมควร ใช้ภาษาง่าย ๆ แต่มีความไพเราะเพราะมีการใช้คำสัมผัสคล้องจองในการแต่งทำให้จำง่าย อ่านแล้วสนุก ไม่น่าเบื่อ เป็นการใช้คำที่เหมาะสมกับวรรณกรรมเยาวชน ฉากในเรื่องมีการเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ทำให้เรื่องน่าติดตาม มีการใช้จินตนาการในการสร้างสรรค์ตัวละครที่แปลก น่าสนใจ การนำเสนอบุคลิกและอุปนิสัยของตัวละครก็สามารถทำได้ดี เพราะผู้เขียนไม่ได้บอกนิสัยของตัวละครโดยตรงแต่แต่งให้ตัวละครเอกซึ่งก็คือฟองฝ้ายค่อยๆเรียนรู้นิสัยของเพื่อนๆในระหว่างการเดินทางที่ต้องเจอกับอุปสรรคนานัปการทำให้รู้นิสัยที่แท้จริงของกันและกัน เป็นการนำเสนอที่ทำให้ผู้อ่านค่อยๆรู้จักนิสัยของตัวละครไปพร้อม ๆ กับฟองฝ้ายด้วย ทำให้ผู้อ่านมีอารมณ์คล้อยตามไปกับเรื่องที่อ่าน การปิดเรื่องก็ปิดได้น่าสนใจเพราะเป็นการปิดเรื่องโดยให้ผู้อ่านกลับไปคิดเองว่าตัวละครจะทำอย่างไร หลังจากที่ผู้อ่านได้ทำความรู้จักกับตัวละครแล้ว ซึ่งการจบด้วยวิธีนี้จะทำให้ผู้อ่านประทับใจและจดจำวรรณกรรมเรื่องนี้ได้

หนังสือเล่มนี้ ยังสอดแทรกประเพณีและวัฒนธรรมของชาวลานนาที่น้อยคนนักจะรู้ ผู้เขียนได้เสนอวิธีการละเล่นของเด็ก ๆ ชาวลานนาได้น่าสนใจทั้งนำมาเกี่ยวโยงกับเนื้อเรื่องด้วย ซึ่งเป็นการนำเสนอได้น่าสนใจมาก ทำให้ผู้อ่านสามารถจดจำการละเล่นนี้ได้ นอกจากนี้ยังได้แทรกข้อคิดไว้ตลอดเรื่องตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบเรื่อง ซึ่งนอกจากจะเป็นการทำให้ผู้อ่านได้รับทั้งความสนุกและข้อคิดที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย

วรรณกรรมเรื่องนี้เหมาะสำหรับเยาวชนทุกคนที่รักการอ่าน เพราะนอกจากจะมีเนื้อหาและกลวิธีที่น่าสนใจแล้ว ยังมีข้อคิดซึ่งในเรื่องนี้จะเน้นหนักในเรื่องของการคิดดี ทำดี ความกตัญญูต่อพ่อแม่ และความผูกพันกันระหว่างเพื่อน ที่ถึงแม้จะต่างเผ่าพันธุ์กัน ก็มีความรักที่จริงใจต่อกันได้ หนังสือเล่มนี้จะทำให้ผู้อ่านทุกคนต้องประทับใจและรู้สึกได้ถึงมิตรภาพที่งดงามระหว่างเพื่อน ซึ่งหาได้ยากในโลกแห่งความเป็นจริงนี้


พิมพ์รัก

สมุดปกดำกับใบไม้สีแดง


สมุดปกดำกับใบไม้สีแดง
วินทร์ เลียววาริณ
บริษัทอมรินทร์บุ๊คเซ็นเตอร์ จำกัด
๑๓๓ หน้า
๑๒๕ บาท


หากใครที่ชื่นชอบการอ่านเรื่องสั้นเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสั้นประเภทหักมุมแล้ว ต้องบอกไว้ก่อนว่าไม่ควรพลาดหนังสือรวมเรื่องสั้นสมุดปกดำกับใบไม้สีแดงเป็นอันขาดหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นชนิดหักมุมที่ได้รับรางวัลชมเชยจากคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติในปีพ.ศ.๒๕๓๘ ซึ่งเขียนโดยนักเขียนที่ได้รับรางวัลซีไรต์ ถึงสองปีด้วยกันคือปีพ.ศ.๒๕๔๐ และ พ.ศ.๒๕๔๒ นักเขียนคนนั้นจะเป็นใครไม่ได้นอกจากคุณวินทร์ เลียววาริณ


คุณวินทร์เป็นนักเขียนที่ได้ชื่อว่ามีการตกผลึกทางความคิดและนำมาแสดงออกผ่านตัวอักษรได้เป็นอย่างดี ผลงานที่ผ่านมาได้รับความนิยมเป็นที่แพร่หลายและสะท้อนภาพของสังคมในปัจจุบันได้ชนิดที่ผู้อ่านคาดไม่ถึง

ผลงานรวมเรื่องสั้น ๑๓ เรื่องในสมุดปกดำกับใบไม้สีแดงนั้นก็เป็นอีกผลงานหนึ่งที่ดิฉันยอมรับว่าเป็นเรื่องสั้นแนวหักมุมอย่างรุนแรง ที่สร้างความประหลาดใจและประทับใจให้กับดิฉันไม่น้อย แม้กระทั่งว่าอ่านจบไปแล้วยังต้องกลับไปอ่านซ้ำอีกรอบ เพื่อตอบคำถามที่เกิดภายในใจของดิฉันเองว่า “ตกลงดิฉันพลาดตกหลุมพรางของคุณวินทร์เมื่อไหร่กัน”

ถ้าท่านผู้อ่านไม่เข้าใจว่าหลุมพรางที่คุณวินทร์สร้างขึ้นนั้นมันเกิดขึ้นได้อย่างไรดิฉันก็จะขอยกตัวอย่างเรื่องสั้นสักเรื่องหนึ่งภายในเล่มให้ท่านผู้อ่านลองตัดสินใจหนี เป็นเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่หนีออกจากคุกที่ได้ชื่อว่าไม่เคยมีใครหนีรอดออกมาได้ ในขณะที่หนีออกมานั้นก็มีชาย ๓ คนไล่ล่าตามเขามาติดๆ นอกจากนี้ยังต้องเผชิญกับอันตรายรอบด้านทั้งสิงสาราสัตว์รวมไปถึงความเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเขา ความมั่นใจในตอนแรกที่คิดว่าจะหนีพ้นเริ่มลดลงไปตามระยะเวลาแห่งการหนี จนสุดท้ายเขาก็ไม่สามารถหนีชายที่ไล่ล่าเขามาทั้งวันทั้งคืนพ้น

หากผู้อ่านอ่านอย่างไม่ระมัดระวังก็อาจจะติดกับของผู้เขียนโดยไม่รู้ตัวและเข้าใจไปว่าชายที่หนีนั้นคือนักโทษฉกรรจ์ที่ต้องการแหกคุกหนีโทษทัณฑ์ที่จะได้รับ หารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วเขาคือ พัสดี ที่ท้าพนันกับเพื่อนพัสดีคนอื่นๆ เพื่อพิสูจน์ข้อโต้เถียงถึงระบบรักษาความปลอดภัยของทัณฑสถานแห่งนั้นนั่นเอง

เรื่องสั้นเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าคุณวินทร์เข้าใจธรรมชาติและอคติของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี นำการตัดสินอะไรจากสิ่งที่เห็น หรือถูกสร้างให้เห็น มาสร้างเป็นกับดักให้ผู้อ่านตกหลุมพรางที่ผู้อ่านเองเป็นคนสร้างขึ้นจากพื้นฐานความเชื่อส่วนบุคคลนั่นเอง

ไม่เพียงแต่เรื่อง หนี เรื่องเดียวเท่านั้นที่จะสร้างความบันเทิงและความประหลาดใจให้กับผู้อ่าน หากได้อ่านตั้งแต่เรื่องแรกจนถึงเรื่องสุดท้ายแล้ว ท่านก็จะพบว่าเรื่องสั้นแต่ละเรื่องจะสะท้อนมุมมองชีวิตที่เกิดขึ้นและรอให้ผู้อ่านเข้ามาค้นหาคำตอบด้วยตัวของท่านเอง หากอ่านแบบไม่ระวัง หรือที่คุณวินทร์เรียกว่า “การไม่อ่านระหว่างบรรทัด” ท่านก็จะตกหลุมพรางของผู้เขียนได้อย่างง่ายดาย

การเลือกใช้มุมมองในการเล่าเรื่องของคุณวินทร์ก็มีส่วนสำคัญอย่างมากที่ทำให้เรื่องสั้นหักมุมของคุณวินทร์ในแต่ละเรื่องมีความสมบูรณ์ การบอกใบ้และการสื่อความหมายโดยนัยมายังผู้อ่านก็สามารถทำได้อย่างแนบเนียนชนิดที่ว่าถ้าไม่สังเกตก็จะไม่รู้สึกถึงคำใบ้เหล่านั้น ทางเดียวที่จะรับรู้ได้คือการกลับมาอ่านซ้ำอีกครั้งนั่นเอง

เรื่องสั้นทั้ง ๑๓ เรื่องเป็นเรื่องราวที่นำเสนอความขัดแย้งอย่างหลากหลาย และหักมุมอย่างคาดไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไฟ วีรบุรุษ ดวง เงื่อนตาย คนละมุม เรือคนบาป คาว มนุษยธรรม สมุดปกดำกับใบไม้สีแดง เหลี่ยม ความมืด-มือปืน-คำสั่งฆ่า และความรัก-ดอกไม้-คำสั่งฆ่า เรื่องราวทั้งหมดนั้นเกี่ยวข้องกับ ตำรวจ โจร มือปืน ทหาร คนค้ายาเสพติด หญิงโสเภณี แมงดา ไต้ก๋งเรือ อาชญากร หรือเจ้าพ่อ ที่ล้วนสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นภายในสังคมไทย


ทั้งนี้ผู้เขียนต้องการที่จะสะกิดให้ผู้อ่านรู้จักลงมือที่จะแก้ปัญหาไม่ใช่แต่เพียงเฝ้ารอหรือคร่ำครวญต่อโชคชะตาฟ้าดิน หากได้ลองอ่านแล้วก็จะรู้สึกได้ว่าความคิดของผู้เขียนเป็นความคิดที่สมเหตุสมผล ไม่ได้ห่างไกลเกินที่จะจินตนาการเลย

แม้ว่าสมุดปกดำกับใบไม้สีแดงจะเป็นเรื่องสั้นแนวทดลอง แต่ฝีมือและชั้นเชิงการเขียนที่หักมุมชนิดตลับแล้วตลบอีกก็ได้แสดงให้เห็นว่าผู้เขียนไม่ได้อยู่ในระดับทดลองแต่อย่างใด ดิฉันแน่ใจว่าอาการที่เกิดขึ้นเมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้จะต้องเป็นอาการเดียวกัน นั่นคืออาการที่เหมือนถูกตีแสกหน้าด้วยไม้หน้าสามกับความคิดของผู้เขียน ที่นำเอาการเข้าถึงจิตใจและธรรมชาติของมนุษย์มาใช้ในงานเขียนได้อย่างลึกซึ้ง โดยใช้ภาษาที่เรียบง่ายแต่เสียดสีและหักมุมให้ผู้อ่านต้องเจ็บแปลบไปถึงหัวใจ หนังสือสมุดปกดำกับใบไม้สีแดงเล่มนี้ จึงกลายเป็นหนังสือดีอีกเล่มหนึ่งที่คอหนังสือทั้งหลายพลาดไม่ได้เลยทีเดียว


พิมพ์พิศ
พระจันทร์คงรู้สินะ (Nobody Knows But the Moon)
คิมฮยางฮี เขียน
อุไรวรรณ จิตเป็นธม คิม แปล
มิถุนายน ๒๕๔๘
สำนักพิมพ์ ส.ส.ท. เยาวชน สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น)
๒๓๒ หน้า ภาพประกอบ
๑๔๕ บาท

“คำอธิษฐานของเด็กหญิงตัวน้อยที่มีต่อพระจันทร์ดวงกลม กับการรอคอยที่ยาวนานถึงสิบสองปี เพื่อพบผู้เป็นพ่อ แม้เพียงสักครั้งในชีวิต...” คำโปรยด้านหลังปกหนังสือวางอยู่ด้านล่างภาพเด็กหญิงผมสั้นผู้กำลังแนบแก้มของตัวเองกับแก้มของหญิงชรา สองแขนของเธอโอบรอบคอผู้เป็นย่าเอาไว้ สีน้ำอ่อนๆของภาพวาด รอยยิ้มอบอุ่นของตัวละครและคำโปรยสั้นๆแต่ชวนให้อยากรู้ เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันตัดสินใจหยิบหนังสือเล่มนี้ออกจากชั้นวาง

เมื่อพลิกไปอ่านประวัติของผู้เขียนที่อยู่ในส่วนท้ายของหนังสือ ฉันก็พบว่าหนังสือเล่มนี้เคยได้รับรางวัลวรรณกรรมซัมซุงในปี ค.ศ. ๑๙๙๔ และรางวัลวรรณกรรมเยาวชนเซจง ในปี ค.ศ. ๒oo๑ ด้วย นอกจากนั้นฉันยังพบความข้อความที่น่าประทับใจอีกตอนหนึ่ง นั่นคือ “วรรณกรรมเป็นสิ่งที่ทำให้รู้ซึ้งในวัฒนธรรม ไม่ว่าอยากจะรู้เรื่องวัฒนธรรมของชนชาติใด เราควรอ่านวรรณกรรมของชาตินั้นๆเสียก่อนแล้วจะรู้เอง” ข้อความข้างต้นเป็นคำพูดที่โนวัสลิส นักเขียนที่คิมฮยางฮีชื่นชอบเคยกล่าวเอาไว้

คำกล่าวของโนวัลลิส รวมกับภาพศิลปินแห่งชาติของประเทศเกาหลีที่กำลังตีกลองเข้าจังหวะในพิธีส่งสวดวิญญาณของผู้ตายให้ไปสู่สุขคติในจอโทรทัศน์ เป็นแรงผลักดันและจุดเริ่มต้นสำคัญที่ทำให้เกิดวรรณกรรมเยาวชนเรื่องพระจันทร์คงรู้สินะขึ้น หญิงชราที่ประกอบอาชีพคนทรงเจ้าเป็นตัวละครแรกที่ผู้เขียนวางให้เป็นตัวละครสำคัญของเรื่อง โดยอาศัยลักษณะนิสัยของป้าแท้ๆของเธอเป็นแบบอย่าง
วิถีชีวิต ความคิด ความเชื่อและวัฒนธรรมของคนเกาหลีในชนบทช่วง ค.ศ. ๑๙๙๑ ถูกถ่ายทอดผ่านตัวละครเอกของเรื่องคือซงฮวาและย่าของเธอผู้ประกอบอาชีพคนทรงเจ้า แม่ของเด็กหญิงเสียชีวิตในวันที่เธอคลอด ส่วนพ่อแท้ๆของเธอหลังจากเอาเธอมาฝากไว้กับย่าเมื่อยังเป็นทารก เขาก็ไม่เคยกลับมาที่บ้านเกิดอีกเลย

เรื่องราวในพระจันทร์คงรู้สินะเริ่มต้นขึ้นในวันธรรมดาวันหนึ่ง ซงฮวาคือตัวละครตัวแรกที่ผู้เขียนแนะนำให้ผู้อ่านได้รู้จัก ความโดดเดี่ยวของเด็กหญิงจางหายไปเมื่อตัวละครอื่นๆปรากฏตัวขึ้น ตัวละครแทบทุกตัวในเรื่องมาพร้อมกับมิตรภาพและความโอบอ้อมอารี ไม่เว้นแม้แต่เจ้าดำ สุนัขจรจัดที่ซงฮวาบังเอิญพบเข้า แม้ย่าจะโทษว่าเจ้าดำเป็นตัวกาลกิณีและไล่มันออกจากบ้าน แต่ซงฮวาก็ยังออกตามหาเจ้าดำจนพบ ยองบุนเพื่อนร่วมชั้นเรียนของซงฮวายอมให้เจ้าดำไปอยู่ที่บ้านด้วย เพื่อแลกกับการรักษาความลับเรื่องที่เธอถูกพ่อขี้เหล้าทุบตี บ้านของยองบุนเป็นสถานที่ที่ซงฮวาได้พบกับยองกิ พี่ชายในละแวกบ้านเดียวกันอีกคนหนึ่ง เมื่อคราวที่ซงฮวาตกต้นไม้ขาหัก เจ้าดำ ยองบุนและยองกิก็ได้ช่วยเธอเอาไว้

ในขณะที่มิตรภาพอันงดงามกำลังก่อตัวขึ้นเงียบๆ บรรยากาศของความหม่นเศร้า ความพลัดพรากและความตาย ก็เข้าครอบคลุมเนื้อเรื่องช่วงกลางแทน เมื่อพ่อของยองบุนเสียชีวิตลงเพราะเมาเหล้าจนขาดสติหลังจากที่แม่ของยองบุนกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดและหนีไปอีกครั้ง จนถึงตอนนี้พระจันทร์ก็ยังไม่เคยให้คำตอบแก่ซงฮวาได้ว่าพ่อแท้ๆของเธออยู่ที่ใด มีเพียงประสบการณ์และเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเท่านั้นที่สอนให้ซงฮวารู้และเข้าใจว่าในโลกนี้ไม่ได้มีเพียงเธอเท่านั้นที่เป็นทุกข์ ยองบุนต้องสูญเสียพ่อ แม่ของบูดูลก็เคยสูญเสียลูกชายไปอย่างไม่มีวันกลับ หรือแม้กระทั่งย่าแท้ๆของเธอเองก็ต้องพลัดพรากจากปู่ก่อนเกิดสงครามแบ่งแยกเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ รวมทั้งไม่ได้พบหน้าลูกชายแท้ๆมานานเท่ากับอายุของซงฮวาด้วย
อารมณ์หม่นเศร้าจางหายไป เมื่อเรื่องดำเนินมาถึงตอนท้าย หลังจากที่ยองบุนย้ายไปอยู่โซลกับแม่ได้ระยะหนึ่ง พ่อของซงฮวาก็กลับมาที่บ้านเกิดและรับย่ากับซงฮวาไปอยู่ด้วยกันที่เมืองอินชอน

การรอคอยของซงฮวาสิ้นสุดลงเมื่อครอบครัวกลับมาอยู่พร้อมหน้า แต่การรอคอยอันยาวนานของคนเกาหลีที่หวังจะรวมประเทศเป็นหนึ่งเดียวนั้นยังคงอยู่ ผู้เขียนถ่ายทอดความหวังอันแรงกล้านี้ผ่านฉากจบในการร่ายรำของย่าในพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษริมแม่น้ำอินจิม (แม่น้ำแบ่งแยกเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้) ได้อย่างน่าประทับใจจริงๆ

พระจันทร์คงรู้สินะไม่ใช่วรรณกรรมเยาวชนที่เต็มไปด้วยเรื่องราวชวนฝัน แต่เป็นเรื่องเสมือนจริงที่ใกล้กับชีวิตของคนเราแค่เอื้อม ตัวอักษรจากปลายปากกาของคิมฮยางฮีร้อยเรียงออกมาเป็นเรื่องราวเรียบเรื่อยไม่หวือหวา แต่เมื่อถึงฉากเศร้าก็กลับบาดอารมณ์ได้อย่างเหลือเชื่อ ทำให้ฉันอยากจะนั่งเงียบๆเพื่อทบทวนเรื่องราวที่ได้อ่านอีกครั้ง อีกครั้งและอีกครั้ง ความเรียบเรื่อยแต่ลึกซึ้งนี้เองเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ฉันชื่นชอบวรรณกรรมเยาวชนเรื่องนี้

“เพื่อนผู้เปรียบเสมือนพระจันทร์ในตอนกลางวัน” เป็นบทที่ฉันประทับใจมากที่สุด คำพูดของซงฮวาที่ว่า “ถึงเราจะมองพระจันทร์ไม่ค่อยเห็นในตอนกลางวัน แต่มันก็อยู่บนฟ้าใช่ไหมล่ะ...ก็เหมือนที่เธออยู่กรุงโซล ฉันมองไม่เห็นเธอ แต่เธอก็จะอยู่ในใจฉันตลอดไปไงล่ะ” ครั้งแรกที่ได้อ่านฉันไม่ได้นึกถึงใครที่เป็นพระจันทร์ในตอนกลางวันของฉัน แต่ฉันนึกถึงประเทศบ้านเกิดของผู้เขียนที่ถูกแบ่งแยกออกเป็นสองและคิดถึงเรื่องราวของคนรอบข้าง ระยะทางที่ห่างไกลไม่อาจห้ามความผูกพันและความคิดถึงได้เลยจริงๆ

นอกจากพระจันทร์คงรู้สินะจะช่วยเตือนใจวัยรุ่นเกาหลีให้ระลึกถึงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเก่าแก่ของชาติตามที่ผู้เขียนตั้งใจแล้ว ความรู้เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับประเทศเกาหลีที่สอดแทรกอยู่ตลอดเรื่อง รวมทั้งประวัติศาสตร์ช่วงแบ่งแยกประเทศที่บอกเล่าผ่านตัวละครย่าของซงฮวา ยังทำให้คนต่างชาติอย่างฉันเข้าใจและเห็นใจคนเกาหลีมากขึ้น ความแตกแยกของคนชาติเดียวกันเป็นเรื่องน่าเศร้า หากไม่เคยประสบด้วยตัวเองคงไม่เข้าใจ

ความละเอียดอ่อนของเรื่องราวและสำนวนเรียบง่ายของผู้เขียน ทำให้พระจันทร์คงรู้สินะกลายเป็น “หนังสือน่าอ่านจากเกาหลี” อย่างที่เขียนเอาไว้บนปกหนังสือจริงๆ พระจันทร์คงรู้สินะเป็นงานเขียนอีกชิ้นหนึ่งที่ยืนยันได้ว่า หนังสือที่ดีไม่จำเป็นต้องมีเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นหรือสำนวนสวยหรูตลอดทั้งเรื่อง ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจเลย หากวรรณกรรมเยาวชนที่โดดเด่นอย่างมากในด้านคุณค่าของเนื้อหาอย่างพระจันทร์คงรู้สินะ จะกลายเป็นหนังสือเล่มโปรดของใครหลายคน

ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะหันมาใส่ใจวัฒนธรรมของชาติอย่างจริงจังบ้าง ถึงเวลาแล้วหรือยังที่คนไทยจะสมานฉันท์ปรองดองกัน ก่อนที่ประเทศของเราจะแบ่งแยกออกเป็นสองเหมือนประเทศเกาหลี ถึงเวลาแล้วหรือยังที่นักเขียนไทยจะผลิตผลงานที่ได้ชื่อว่าเป็นหนังสือน่าอ่านจากประเทศไทยบ้าง คำตอบของคำถามเหล่านี้พระจันทร์คงรู้สินะ

พิชญา

ก้าวรักในรอยจำ (A Walk to Remember)


ก้าวรักในรอยจำ (A Walk to Remember)
นิโคลัส สปาร์คส เขียน
จิระนันท์ พิตรปรีชา แปล

พิมพ์ครั้งที่ 5

สำนักพิมพ์มติชน 200 หน้า ราคา 150 บาท

คุณเคยรักใครสักคนสุดหัวใจหรือเปล่า ???


คุณเชื่อว่าความรักทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ราวกับปาฏิหาริย์ไหม ???

หากคุณเป็นอีกคนที่เชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของรักแท้ ... ก้าวรักในรอยจำคือคำตอบที่หัวใจคุณต้องการ
ก้าวรักในรอยจำแปลจาก A Walk to Remember นวนิยายขายดีติดอันดับของนิโคลัส สปาร์คส นักเขียนชาวอเมริกาผู้มีพรสวรรค์ในการเขียนนวนิยายรักโรแมนติกจนได้รับสมญาว่า “พ่อมดโรมานซ์” และแปลเป็นภาษาไทยโดยจีระนันท์ พิตรปรีชา นักเขียนผู้มีผลงานโดดเด่นทั้งงานเขียนและงานแปลบทภาพยนตร์
หนังสือเล่มนี้เล่าถึง “ความงดงามของความรักที่กาลเวลาไม่อาจลบเลือน” ที่เกิดขึ้นในช่วงเมษายน
ปี 1958


เมื่อสายลมอุ่นอวลด้วยไอทะเลเคล้ากลิ่นดอกไลแล็กนำพาความรู้สึกดีๆให้เกิดขึ้นระหว่าง แลนดอน คา

ร์เตอร์ ผู้ไม่เคยรู้จักคำว่ารัก กับเจมี่ ซัลลิแวน ลูกสาวของท่านสาธุคุณผู้เคร่งครัดในศาสนา ทั้งสองได้ใกล้ชิดกันเมื่อได้รับเลือกให้เล่นละครประจำปีของโรงเรียน แลนดอนได้สัมผัสความมีน้ำใจ ความอ่อนโยน และการมองโลกในแง่ดีของเจมี่จนกลายเป็นความรู้สึกพิเศษบางอย่างที่เขาเพิ่งรู้จักเป็นครั้งแรกในชีวิต หลังจากที่เขาสารภาพรักกับเธอครั้งแรก เจมี่กลับปฏิเสธเขาด้วยเหตุผลที่ว่า เธอกำลังจะตายด้วยโรคมะเร็ง หลังจากที่แลนดอนรู้เรื่องการป่วยของเจมี่ เขาพยายามใช้เวลากับเจมี่ให้มากที่สุด เขาคอยดูแลเธอทุกวัน ในที่สุดแลนดอนตัดสินใจแต่งงานกับเจมี่ นั่นเป็นวันที่เจมี่มีร่างกายทรุดโทรมที่สุด แต่หัวใจของเธอกลับแข็งแรงที่สุด

การดำเนินเรื่องด้วยื่องด้วยากับเจมี่จะดำเนินต่อไปเช่นไร์ยิ่งขึ้นี้ผู้เขียนยังให้ความสำคัญกับเวลาและสถานที่ในเรื่องความรักที่ถ่ายทอดผ่านมุมมองชายวัยกลางคนมองย้อนกลับไปในสมัยที่ตัวเองเป็นเด็กหนุ่มนั้นช่วยเสริมความมั่นคงต่อความรักของแลนดอนที่มีให้เจมี่ให้มีน้ำหนักมากขึ้น ผู้อ่านจะค่อยๆซึมซับความน่ารักและความหอมหวานของความรักผ่านพฤติกรรมของแลนดอน ผู้เขียนถ่ายทอดความรักในทัศนะว่า คือความงามที่บริสุทธิ์ แม้ตัวละครจะเพิ่งสัมผัสกับความรู้สึกนี้เป็นครั้งแรก หากความรักที่เกิดขึ้นนั้นเต็มไปด้วยพลังที่พร้อมจะก้าวเผชิญปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยความเชื่อมันในกันและกัน และให้คำนิยามความรักว่าเปรียบเสมือนสายลมที่บางครั้งทำให้เราเย็นสบาย และบางครั้งที่ทำให้เราหนาวสะท้านทรมานเจียนจะขาดใจ


ท้ายที่สุดเนื้อเรื่องจบลงอย่างเป็นปริศนาก่อให้เกิดคำถามแก่ผู้อ่านว่า ในที่สุดแล้ว “ปาฏิหาริย์มีจริง” ของแลนดอนนั้นหมายถึงอะไร ความรักระหว่างเขากับเจมี่จะดำเนินต่อไปเช่นไร จึงไม่น่าแปลกใจเลยเมื่ออ่านมาถึงหน้าสุดท้ายคุณจะรู้สึกอบอุ่นทั้งๆที่น้ำตายังไม่ทันเหือดหาย

เรื่องนี้ใช้กลวิธีในการเล่าเรื่องไม่ยุ่งยากซับซ้อน ลื่นไหลไปตามอารมณ์ของตัวละคร เนื้อเรื่องกระชับและมีความยาวพอเหมาะกับการอ่านรวดเดียวจบ เราสามารถเข้าใจความรู้สึกของตัวละครได้ทั้งหมด นอกจากนี้ผู้เขียนยังให้ความสำคัญพิถีพิถันกับเวลาและสถานที่ในเรื่องที่ช่วยเพิ่มความงามให้หนังสือเล่มนี้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ความงามของภาษาและความต่อเนื่องของเนื้อเรื่องทำให้เรื่องนี้อ่านง่ายและน่าติดตาม

ก้าวรักในรอยจำไม่เพียงทำให้คุณเห็นถึงคุณค่าของความรักต่อคนรัก หากยังให้ความสำคัญกับเรื่องการให้ความสำคัญกับคนในครอบครัว ความรักความห่วงใยของพ่อที่มีต่อลูกสาว ความผูกพันระหว่างพ่อกับลูกชาย คุณจะได้ข้อคิดเกี่ยวกับเรื่องความรักหลายอย่าง เช่น

“ความรัก อดทนและเมตตาเสมอ
ความรัก ไม่ริษยา ไม่อวดอ้าง ...
ความรัก ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาบ ...
ไม่คิดเห็นแก่ตัวฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดช่างจำคนผิด ...
ความรักไม่ยินดีต่อการประพฤติผิด แต่จะชื่นชมต่อสัจจะ...
ความรักพร้อมเสมอที่จะเข้าใจ เชื่อในส่วนดี มีความหวัง ทั้งทนทานต่อทุกอย่างที่อาจเกิดขึ้น ...”

ไม่จำเป็นต้องอธิบายว่าความรักในสายตาคุณเป็นเช่นไร เพียงคุณมีความรัก นั่นก็เพียงพอแล้ว เช่นเดียวกับสายลมที่พัดพาความปวดร้าวอันงดงามมาสู่หัวใจของแลนดอนและเจมี่


หากคุณกำลังตามหาความหมายของความรู้สึกดีๆที่เรียกว่ารัก ฉันขอแนะนำหนังสือเล่มนี้ที่ถ่ายทอดความอบอุ่นของความรักผ่านความงดงามทางภาษาที่สอดแทรกข้อคิดได้อย่างแนบเนียน แม้หน้าปกจะไม่ทำให้คุณรู้สึกซาบซึ้งถึงความรักมากนัก แต่เมื่อคุณหยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่านก็จะตะลึงกับคุณค่าที่ซ่อนอยู่ภายใน ยิ่งอ่านยิ่งลึกซึ้งถึงอารมณ์แห่งห้วงรัก เป็นหนังสืออีกเล่มที่คุณอ่านแล้วจะลืมไม่ลง


พิชญกานต์

คู่มือมนุษย์


คู่มือมนุษย์
พุทธทาสภิกขุ
พิมพ์ครั้งที่ 1
ธรรมสภา
142 หน้า
30 บาท


ในบรรดาหนังสือธรรมะราว 50 เล่ม ขององค์การฟื้นฟูพุทธศาสนา หนังสือคู่มือมนุษย์ ถือได้ว่า เป็นหนังสือที่ได้รับความนิยมสูงสุด ท่านพุทธทาสภิกขุ บรรยายธรรมะสำคัญสูงสุดไว้เป็นลำดับขั้นตอนเกี่ยวกับแก่นแท้แห่งพุทธศาสนา และสิ่งสำคัญถูกต้องที่มนุษย์ทุกคนควรรู้ และยึดถือเป็นหลักปฏิบัติ ดังที่ท่านเขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้ว่า “เพื่อจะได้ไม่เสียชาติที่เกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา”

หนังสือ “คู่มือมนุษย์” เล่มนี้เป็นธรรมะบรรยาย ของท่านพุทธทาสภิกขุ แต่คุณ ปุ่น จงประเสริฐ ผู้ก่อตั้งองค์การฟื้นฟูพุทธศาสนา เป็นผู้เรียบเรียงขึ้นใหม่ จากภาษาวัด เป็นภาษาบ้าน ให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจของบุคคลทั่วไปที่สนใจใฝ่รู้ทางธรรม แต่หาเวลาว่างได้ยาก “หากไม่มีเวลาพอที่จะใฝ่ใจกับหนังสือธรรมะเล่มอื่นๆ ที่มีอยู่มากมาย ก็ขอให้ลองอ่านคู่มือมนุษย์นี้ สักครั้ง เริ่มอ่านเร็วเท่าใด ก็จะเป็นประโยชน์แก่ชีวิตของทุกท่านเร็วมากขึ้นเท่านั้น”

ในหนังสือคู่มือมนุษย์ จะบรรยายการปฏิบัติเป็นขั้นตอนโดยละเอียด ประกอบด้วยหลักสาระสำคัญ ที่มุ่งให้ผู้อ่านทำความเข้าใจอย่างถูกต้องชัดเจน เข้าถึงความหมาย และแก่นแท้แห่งพระพุทธศาสนา และหลักปฏิบัติในแต่ละหลักธรรมก็มีที่มาที่ไป และชี้ให้เห็นจริงถึงวิถีทางที่ถูกต้องสูงสุด ที่จะบรรลุสิ่งมุ่งหมายของพระพุทธศาสนา

ท่านพุทธทาส ได้ชี้ให้เห็นความต่างแห่งที่มา ของแต่ละศาสนา บ่อเกิดที่สูงขึ้นไปในทางปัญญาของพระพุทธศาสนา และเหลี่ยมมุมมองที่มองพุทธศาสนาในรูปแบบต่างๆ พุทธศาสนา เป็นศาสนาแห่งศีลธรรม สูงขึ้นก็เป็นสัจธรรม กลายเป็นรูปแห่งศาสนา มองแยกออกเป็นจิตวิทยา เป็นปรัชญา เป็นตรรกวิทยา และเป็นวิทยาศาสตร์ด้วยหลักเหตุผลที่พิสูจน์ได้ชัดแจ้ง แต่สำหรับมนุษย์ทั่วไป ควรถือพุทธศาสนาในรูปแบบแห่งศิลปะ คือ ศิลปะแห่งการครองชีวิต กระทำอย่างแยบคายให้น่าดูชมบูชา จนคนอื่นพอใจเห็นด้วยตามเรา เหล่านี้คือส่วนขั้นต้นที่หนังสือเล่มนี้บอกเรา ให้รู้จักมองพุทธศาสนาในมุมมองที่ถูกต้องชัดเจนและง่ายต่อการเข้าถึง หากแต่ในปัจจุบัน พุทธศาสนาที่เรายึดถือปฏิบัติกันอยู่ เช่น พิธีกรรม ความเชื่อผิดๆ หรือสิ่งเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาเพียงเล็กน้อยก็มองเป็นพุทธศาสนาไปเสียหมด เหล่านั้นแท้จริงเปรียบดังเนื้องอก ที่งอกมาปกคลุมบดบังเนื้อแท้แห่งพุทธศาสนาจนแทบมองไม่เห็นความเป็นจริงเสียแล้ว

อ่านแล้วทำให้สะดุดคิด ว่าจริงๆแล้ว แก่นแท้แห่งพุทธศาสนานั้นหาใช่สิ่งปรุงแต่งใดๆไม่ เพราะ “พุทธศาสนา คือ วิชา และระเบียบปฏิบัติที่ทำให้เราได้รู้ว่า อะไรเป็นอะไรก็เท่านั้นเอง” หลักธรรมอย่างง่าย ที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ยาก หนังสือเล่มนี้ก็อธิบาย และเปลี่ยนความเข้าใจของชาวพุทธเราๆ ท่านๆ เสียใหม่ ให้เข้าใจให้ถูกต้อง หลักธรรมในหนังสือเล่นนี้นั้น ดุจการก้าวขึ้นบันไดสู่เส้นชัยแห่งความสำเร็จ ตามขั้นตอน เกิดเหตุแก้ที่เหตุ เห็นผล ก็ทำให้เกิดผล ธรรมะพื้นฐาน แต่สำคัญอย่างยิ่งที่กล่าวไว้นั้น หากเรายึดและปฏิบัติดังนั้นแล้ว ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า เราจะพบความสุขในแบบที่พุทธศาสนามุ่งหมายให้เกิด

“ไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” ใครกี่คนที่มองเห็นในสิ่งเหล่านี้ “ไม่มีอะไรที่น่าเอา น่าเป็น คือสุญตา ความว่าง จากความมีตัวตน” แก่นแท้ที่เราๆ ท่านๆ อาจไม่เคยนึกที่จะทำความเข้าใจ “ตลอดชีวิตเราอยู่ด้วยอุปาทาน คือความยึดติด” ที่อธิบายให้เข้าใจได้ลึกซึ้งและทำให้เรานึกรู้ว่าเป็นจริงตามนั้น “ เหตุ และวิธีบรรลุผล สู่ขั้นของการปฏิบัติ ศีล(ความประพฤติดี) สมาธิ(จิตใจที่ทำประโยชน์มากที่สุด) ปัญญา (ความเข้าใจอันถูกต้องสมบูรณ์เป็นที่สุด)”

ทั้งหมดข้างต้นที่กล่าวมา รู้หรือไม่ว่า ที่เรายังหลุดพ้นไม่ได้ ก็ด้วยเหตุแห่งขันธ์ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือบ่วง รัดรั้งเราไว้ “คู่มือมนุษย์” จะแนะนำให้ผู้อ่านได้ทำความรู้จักกับทุกข์เบื้องต้นนี้อย่างสนิทชิดเชื้อ เมื่อรู้ก็พร้อมที่จะเข้าสู่หลักปฏิบัติเพื่อรู้แจ้ง ซึ่งมีให้เลือก 2 ทาง แบ่งเป็นตามวิถีธรรมชาติ และตามหลักวิชา ซึ่งทำให้เราได้ทราบว่า จริงๆแล้วในสมัยพุทธกาลนั้น การบรรลุธรรมและหลุดบ่วงแห่งทุกข์ได้ ล้วนเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่มีรูปแบบการปฏิบัติตายตัวเช่นปัจจุบัน

การเบื่อหน่ายของเราๆ ท่านๆ นั้นไม่เหมือนกับการเบื่อหน่ายทางธรรม เพราะเมื่อเราพิจารณา และเข้าใจสิ่งทั้งปวง จนถึงกับเบื่อหน่ายไม่ยึดติดอะไร ให้คืนวันเต็มไปด้วยความปีติปราโมทย์ อันเกิดจากการกระทำที่ดีงามเป็นประจำ แล้วระงับความฟุ้งซ่าน เกิดสมาธิ เกิดปัญญา หลุดพ้นสู่นิพพาน นี่คือขั้นสุดท้ายที่พุทธศาสนา มุ่งหมายให้ผู้ปฏิบัติประสบผลสูงสุด

ตัวบทธรรม สอดแทรกด้วยการแสดงธรรมผ่านบทกวีสอนใจปิดท้ายบทธรรมนั้นๆ ให้เราจดจำและเข้าใจมากยิ่งขึ้น

“คู่มือมนุษย์” หนังสือธรรมะบรรยายเล่มเล็กๆ เล่มนี้ รวบรวมแก่น และหลักปฏิบัติสู่จุดมุ่งหมายที่แสนยิ่งใหญ่แห่งพุทธศาสนา นั่นคือนิพพาน ถ่ายทอดด้วยภาษาอย่างง่าย ที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์แห่งธรรม เหมาะสำหรับพุทธศาสนิกชนและบุคคลทั่วไป ผู้ใฝ่หาอิสระ และความสุข ทางใจในชีวิต หากไม่มีเวลาอ่านหนังสือธรรมะเล่มอื่นๆ ก็ลองอ่านคู่มือมนุษย์เล่มนี้สักครั้ง อ่านเร็วเท่าใด ก็หวังใจว่าจะเป็นประโยชน์แก่ชีวิต เร็วมากขึ้นเท่านั้น

พัฒนวัชร

เจ้าชายไม่วิเศษ


เจ้าชายไม่วิเศษ
ปรีดา อัครจันทโชติ
ปีพิมพ์ ๒๕๔๖
สำนักพิมพ์บริษัทอมรินทร์พรินติ้ง แอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด ( มหาชน )
๒๔๐หน้า ภาพประกอบ
๑๖๐ บาท


“เจ้าชายไม่วิเศษ” เป็นวรรณกรรมเรื่องสั้นสำหรับเยาวชนของ ปรีดา อัครจันทโชติ ซึ่งได้รับรางวัลวรรณกรรมเยาวชนยอดเยี่ยมของนายอินทร์อะวอร์ด ประจำปี พุทธศักราช ๒๕๔๖


ผู้เขียนวรรณกรรมเยาวชนเรื่อง “เจ้าชายไม่วิเศษ” นำป่าหิมพานต์ ซึ่งเป็นป่ามหัศจรรย์ที่กล่าวไว้ในวรรณคดีไทยโบราณ และนำนิทานไทย เช่น เรื่องสังข์ทอง หลวิชัย-คาวี สิงหไกรภพ และนิทานไทยอีกหลายเรื่อง ซึ่งนิทานไทยส่วนใหญ่มักมีโครงเรื่องประกอบด้วยพระราชาครองราชอาณาจักร เมื่อมีพระราชโอรสก็ส่งไปเรียนศิลปวิทยาการกับฤๅษีในป่า ซึ่งจะทำให้มีวิทยายุทธ์และได้อาวุธวิเศษมาเป็นเครื่องมือในการปกครองบ้านเมือง จากนั้นเจ้าชายก็ต้องต่อสู้กับยักษ์ เลือกเจ้าหญิงเป็นคู่ครอง แล้วปกครองบ้านเมืองเป็นสุขสืบไป ผู้เขียนนำโครงเรื่องเช่นนี้มาเล่าใหม่ โดยพลิกแพลงให้ต่างไปจากเดิมอย่างน่าสนใจ

“เจ้าชายไม่วิเศษ” เป็นเรื่องราวของเจ้าชายคนหนึ่งมีนามว่า “ เจ้าชาย เฉยๆ ” เป็นลูกคนที่สิบเอ็ดของพระราชาแห่งดินแดนแสนวิเศษ ผู้คนทุกคนในดินแดนแสนวิเศษนั้นตอนเกิดมาทุกคนต่างก็มีของวิเศษติดตัวมา แต่เจ้าชายเฉยๆนั้น เมื่อเกิดไม่ได้มีของวิเศษติดตัวเหมือนคนอื่นๆในดินแดนแสนวิเศษ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่สร้างความแปลกใจให้กับทุกๆคนในดินแดนแสนวิเศษเป็นอย่างมาก พระราชาจึงได้เนรเทศเจ้าชายเฉยๆออกจากดินแดนแสนวิเศษ เป็นเวลาทั้งสิ้นเจ็ดปี เพื่อให้เจ้าชายเฉยๆ เดินทางไปศึกษาหาความรู้จากสำนักฤๅษี ในป่าหิมพานต์ พร้อมกับต้องค้นหาของวิเศษคู่กาย ปราบยักษ์ และค้นหาเจ้าหญิงที่คู่ควร เพื่อสร้างวีรกรรมและความยิ่งใหญ่ให้แก่ตนเอง หากเจ้าชายเฉยๆทำไม่สำเร็จก็ไม่ให้กลับมายังดินแดนแสนวิเศษนี้อีก ด้วยเหตุนี้เจ้าชายเฉยๆจึงเริ่มเดินทางผจญภัย และมีผู้ร่วมเดินทางคือ “ขอทานน้อย” การเดินทางผจญภัยของเจ้าชายนั้นทำให้เจ้าชายได้เรียนรู้ถึงคุณค่าในชีวิตว่า “ สิ่งสำคัญนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีหรือไม่มีของวิเศษ แต่อยู่ที่ว่าได้ทำประโยชน์ให้ผู้อื่นหรือไม่และได้เบียดเบียนผู้อื่นหรือไม่ต่างหาก ”

ปกของหนังสือเล่มนี้ใช้สีเขียวอมเหลือง มีการวาดรูปตัวละครซึ่งแสดงให้เห็นถึงสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในป่าหิมพานต์ ทั้งยักษ์ ฤๅษีตาไฟ ราชสีห์ นารีผล เป็นต้น และยังวาดรูปมงกุฎซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนถึงเจ้าชายอีกด้วย การจัดวางรูปภาพนั้นทำได้อย่างลงตัว ปกที่มีสีสีสันฉูดฉาดสร้างความสวยงามและโดเด่นให้ จึงทำให้หนังสือเล่มนี้น่าหยิบขึ้นมาอ่าน และเมื่อหยิบขึ้นมาอ่านแล้วก็แทบจะวางไม่ลงเลยทีเดียว
วรรณกรรมเรื่อง “เจ้าชายไม่วิเศษ” ภายในเล่มมีภาพประกอบแทรกตามหน้าต่างๆของหนังสือ ทำให้เมื่ออ่านแล้วเห็นภาพที่ชัดเจนของเนื้อเรื่องมากยิ่งขึ้น เป็นผลให้เกิดอรรถรสในการอ่านเพิ่มมากขึ้น

ท่วงทำนองการเขียนนั้น ผู้เขียนแต่งเรื่องได้อย่างสนุกสนาน ชวนอ่าน แฝงการเสียดสีสังคมสมัยใหม่ไว้ไม่น้อยพอให้เกิดอารมณ์ขัน ภาษาที่ใช้เป็นภาษาที่เข้าใจง่ายไม่ซับซ้อน มีการพรรณนาเรื่องราวได้อย่างชัดเจน เห็นภาพ สามารถรับรู้ได้ถึงอารมณ์ของฉากนั้นๆ จึงทำให้เด็กอ่านได้ ผู้ใหญ่อ่านสนุก

วรรณกรรมเยาวชนเรื่องนี้ นอกจากให้ความสนุกสนานแปลกใหม่แล้ว ยังให้ข้อคิดอีกว่า “ของวิเศษ”นั้นไม่ใช่สิ่งที่มีคุณค่าต่อชีวิต การครอบครองของวิเศษไม่ได้ทำให้ชีวิตมีคุณค่าเพิ่มมากขึ้น หากผู้ครอบครองของวิเศษนั้นไร้ซึ่งคุณธรรม เห็นแก่ตัว ปรารถนาอำนาจและความยิ่งใหญ่ส่วนตน ของวิเศษของผู้นั้นก็จะเป็นเพียงแค่เครื่องมือที่ใช้เบียดเบียนรังแกผู้อื่น แทนที่จะเป็นของวิเศษที่ใช้เพื่อทำประโยชน์แก่บุคคลอื่น ซึ่งของวิเศษนั้นหมายถึงเงินทอง ตำแหน่ง หรืออำนาจซึ่งคนส่วนใหญ่ในปัจจุบันนิยมแสวงหาเพื่อเสริมสร้างบารมีให้ตนเอง แทนที่จะเป็นเครื่องมือในการช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นในสังคม

หากใครที่กำลังมองหาหนังสือดีดีสักเล่ม ก็ขอแนะนำให้ลองหยิบวรรณกรรมเยาวชนเรื่อง “เจ้าชายไม่วิเศษ” วรรณกรรมที่จะทำให้ผู้อ่านซาบซึ้งกินใจไปกับการดำเนินเรื่องด้วยการนำนิทานไทยมาสอดแทรกล้อเลียนอย่างสนุกสนานน่าสนใจ อีกทั้งยังมีข้อคิดและคติสอนใจที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้ชีวิตและใช้ชีวิตไปในทางที่ถูกต้องและเหมาะสม
หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือที่น่าอ่านไม่น้อยเลย

พัชยา

อยากให้ลมหนาวหวนมาอีกครั้ง


อยากให้ลมหนาวหวนมาอีกครั้ง
อภิชาติ เพชรลีลา
พิมพ์ครั้งที่ ๓
สำนักพิมพ์นกดวงจันทร์
๒๘๒ หน้า ภาพประกอบ
๒๒๐ บาท


“อยากให้ลมหนาวหวนมาอีกครั้ง” เป็นนวนิยายที่เขียนขึ้นจากประสบการณ์ชีวิตในวัยเรียนของ “สุรฉัตร เพชรลีลา” หรือ “อภิชาติ เพชรลีลา” คงจะเป็นชื่อที่พวกเราคุ้นหูกันดี เพราะสารคดีนิยายเรื่อง “กล่องไปรษณีย์สีแดง” ของเขาได้รับการดัดแปลงให้เหมาะสมแก่การสร้างเป็นภาพยนตร์ “เพื่อนสนิท”

“อยากให้ลมหนาวหวนมาอีกครั้ง” เป็นเรื่องราวการย้อนรำลึกถึงอดีตของชายหนุ่มนามธันวา ตั้งแต่เขาได้เป็นนักศึกษาน้องใหม่ที่เพิ่งจะสอบผ่านเข้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในคณะสังคมศาสตร์ เอกภูมิศาสตร์ เขามีความทรงจำอันอ่อนหวานของลมหนาว เขาได้เรียงร้อยตัวอักษรให้เราได้เห็นภาพอันตรึงตราของ “ชีวิตเรียบง่ายท่ามกลางต้นไม้ใบเขียวแก่วันฝนตก ใบไม้สดใสวันแดดจัด กลิ่นลมหนาวยังอยู่ในลมหายใจ เพื่อนรักจากกันไปไกลแสนไกล หญิงสาวผู้งดงามเหมือนดวงดาว ความรักติดตรึงใจช่างโง่เขลา ก้อนหินกับยอดหญ้าอ่อนโยน แม่น้ำวัยเยาว์ ภูเขาขี้เกียจ บ้านเชิงเขา หนังสือเล่มโปรดกับกาแฟหนึ่งถ้วย บทเพลงบรรเลงในร้านเหล้า ภาพวาดกับรูปถ่ายเก่าๆ และดอกกุหลาบสีเหลืองช่อนั้น”

ข้อดีของหนังสือเล่มนี้คือ รูปภาพบนปกหนังสือดึงดูดใจให้หยิบจับขึ้นมาดู เมื่อหยิบขึ้นมาแล้วอ่านชื่อเรื่องก็ยิ่งเชิญชวนให้ติดตาม ว่า “...กลิ่นลมหนาวเป็นเช่นไรนะ...” ในส่วนของเนื้อเรื่องนั้น ผู้เขียนใช้กลวิธีการเล่าเรื่องให้เราเห็นภาพราวกับเราได้ร่วมย้อนไปในอดีตสมัยนั้นจริงๆ อีกทั้งยังเล่าถึงวิถีชีวิต วัฒนธรรมประเพณีต่างๆในท้องถิ่น ที่ผู้เขียนได้มีประสบการณ์จริงๆ สามารถสื่อถึงบรรยากาศในช่วงเวลานั้นๆได้ดี

ข้อดีต่อมาคือ ช่วงกลางของเรื่องเริ่มมีตัวละครหลากหลายกับเหตุการณ์ที่น่าสนใจมากขึ้น มีจังหวะน่าประทับใจของวัยรุ่นที่ต้องตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิต และเสน่ห์ของเรื่องนี้อยู่ที่ภาษาของผู้เขียนที่ชวนให้อ่านได้อย่างสบายใจ ให้อารมณ์ความรู้สึกละเอียดอ่อนตลอดเล่ม ลมหนาวของเขาสวย และเราสัมผัสความรักลึกซึ้งในสายลมนั้นของธันวาได้จริง

หนังสือเล่มนี้มีบทจบทิ้งท้ายที่น่าประทับใจมาก แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าผู้เขียนมิได้กล่าวถึงเพื่อนๆของธันวาที่มีชีวิตกระจัดกระจายแยกย้ายกันไป ทำให้อดสงสัยนึกไปว่าหลังจากนั้นพวกเขามีชีวิตเป็นอย่างไรกันบ้าง ยังอยู่ดีกันหรืออย่างไร

คุณอภิชาติได้กล่าวไว้ในบทนำของหนังสือว่า "ความทรงจำอันงดงามของผม ล่องลอยอยู่รอบๆตัว ยามได้หวนคำนึงไปหา ความตั้งใจในการเขียน 'อยากให้ลมหนาวหวนมาอีกครั้ง' ก็คือ ผมอยากเก็บเรื่องราว ที่คล้ายลอยเหมือนยองใยกลางอากาศ มารวมไว้ในที่ซึ่งผมมั่นใจว่า ความทรงจำนั้น จะแจ่มแจ้งอยู่เสมอ ไม่ผุกร่อนไปตามกาลเวลา และโรยไปตามหัวใจที่กร้านขึ้น เมื่อเราเติบโตขึ้น" และ สำหรับลูกช้าง(มช.) ทุกๆท่าน “เพียงแค่พลิกไปอ่านก็กลับคืนสู่บ้านเดิม” ดังนั้นหากใครที่กำลังมองหาหนังสือสักเล่มที่เป็นเรื่องราวการรำลึกถึงอดีตอันงดงาม ชวนให้หวนนึกถึงวันวาน ขอแนะนำให้ลองหยิบ “อยากให้ลมหนาวหวนมาอีกครั้ง” แล้วคุณจะไม่ผิดหวังกับ “อยากให้ลมหนาวหวนมาอีกครั้ง” เลย

“ก่อนลมหนาวมา ไม่ทันรู้ตัว เมื่อตื่นขึ้นในเช้าวันหนึ่ง กลิ่นหอมอ่อนๆของลมหนาวก็โชยทัก กลิ่นของลมหนาวเป็นเช่นไรนะ แต่ละคนคงสัมผัสได้ไม่เหมือนกัน สำหรับฉันแล้ว... กลิ่นลมหนาวหวนให้รำลึกถึงคืนวันเก่าๆ ทั้งหอมชื่นใจทั้งอบอุ่น รู้สึกปลอดโปร่งและสดชื่น สัมผัสคุ้นเคยเหมือนเพื่อนเก่า เพื่อนเล่นที่แฝงอยู่ในความทรงจำครั้งเยาว์วัย สัมผัสแรกนั้นรู้สึกวูบวาบ ผ่านมาทักทายแล้วจากไป คว้าเอาไว้ไม่เคยทัน เว้นแต่เธอจะหวนมาเอง” (ปกหลัง)


พลอยพชร

เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็ก


เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็ก
ทิพย์วาณี สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
โรงพิมพ์อักษรสัมพันธ์
๒๑๖ หน้า ภาพประกอบ
๔๐ บาท

เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็ก เป็นชุดเรื่องสั้นที่เคยตีพิมพ์ลงในนิตยสารสตรีสาร ภาคพิเศษ ซึ่งเป็นผลงานของ ทิพย์วาณี สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้เคยได้รับรางวัลของคณะกรรมการประกวดแต่งหนังสือสำหรับเด็กในปีหนังสือระหว่างชาติครั้งแรก พ.ศ. ๒๕๑๕ (International Book Year ค.ศ. ๑๙๗๒) ที่คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการจัดขึ้น เพื่อสอดคล้องกับโครงการระหว่างชาติว่าด้วยการพัฒนาหนังสือ ตามมติขององค์การยูเนสโก สหประชาชาติ

เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็กนั้น เป็นเรื่องสั้นที่มีเรื่องสมัยเก่าก่อนหลายเรื่องมารวมไว้เป็นรูปเล่ม เนื้อหาไม่ได้เสนอต่อกันเป็นตอนๆ และส่วนใหญ่เป็นการนำเกร็ดความรู้ในครัวเรือนของคนไทยในสมัยรัชกาลที่ ๖ ถึงรัชกาลที่ ๗ มาถ่ายทอดผ่าน “คุณยาย” ซึ่งเล่าโดยตัวผู้เขียนเอง

สำหรับเรื่องสั้นในเล่มนี้ มีการเขียนแบบเล่าสู่กันฟัง ใช้คำและสำนวนที่เข้าใจง่าย ซึ่งผู้อ่านสามารถจินตนาการภาพตามได้ ทำให้รู้สึก และมองเห็นลักษณะเหตุการณ์ที่สื่อออกมาในสมัยนั้นได้อย่างชัดเจนทีเดียว เนื้อเรื่องบางตอนได้นำเสนอถึงความเป็นกุลสตรีของหญิงไทยในสมัยก่อน เช่น ตอน “แม่บ้านที่ดี” ที่ได้เขียนเล่าถึงความเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อม ละเอียดลออ และประหยัดมัธยัสถ์ ดูได้จากเนื้อความตอนหนึ่ง ที่เล่าถึงการเก็บตุนเนื้อมะขามไว้ใช้ตลอดปี หรือการเก็บเปลือกแตงโมที่ไร้ค่าไปใช้ประโยชน์คือการดองเก็บไว้ทำแกงเลียง เป็นต้น ได้แสดงให้เห็นทั้งลักษณะการดำรงชีวิต และความรู้สึกนึกคิดของตัวละคร ที่ปราศจากอคติต่อกัน น่าเอาเป็นแบบอย่างในการดำรงชีวิต รวมทั้งตอน “กลางคืนเดือนหงาย” ที่ถ่ายทอดบรรยากาศของคืนหน้าร้อน ที่เล่าถึงการทำกิจกรรมต่างๆยามว่าง ไม่ว่าจะเป็น การฟังยี่เกหรือละครผ่านวิทยุ ทำงานฝีมือ เล่าเรื่องผี เล่าเรื่องตลก เล่นต่อคำในเด็ก หรือการนั่งสนทนาไปตามเรื่องของผู้เฒ่าผู้แก่ เป็นต้น ทำให้เกิดความรู้สึกร่วมไปกับบรรยากาศนั้นๆได้เป็นอย่างดี

ส่วนตอน “เที่ยวงาน” ของเรื่องชุดเรื่องนี้ เป็นการเล่าถึงบรรยากาศของงานวัดที่มีทั้งซุ้มขายสินค้าเครื่องใช้ต่างๆ ซุ้มขนมและของกินคาวหวานมากมาย ที่สามารถบ่งบอกถึงสภาพความเจริญของสังคมในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี ซึ่งในปัจจุบันนี้ หาชมหาทานกันได้ยากเต็มทีแล้ว นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงการแสดงที่เป็นของคู่กันกับงานวัด เช่น ละครลิง ตู้เพลงตุ๊กตา เป็นต้น หากใครอยากสัมผัสกับบรรยากาศงานวัดที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปเหมือนสมัยนี้ ก็น่าจะลองหามาอ่านกันดู

เรื่องชุดเมื่อคุณตาคุณยายยังเด็กนั้น ตอนนี้มีตีพิมพ์ออกมาถึง ๔ เล่มแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องสั้นรวมเล่มทั้งหมด โดยมีเรื่องที่น่าสนใจหลายเรื่องด้วยกัน และที่ได้หยิบยกตัวอย่างมานั้น เป็นตอนที่มีในเรื่องชุดเล่มแรก ซึ่งหากใครยังจำได้ เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็ก ยังเคยเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาเมื่อตอนเรียนมัธยมศึกษาของใครหลายๆคนอีกด้วย ดังนั้น ใครที่เคยได้สัมผัสกับความสดใสไร้เดียงสาในเล่มนี้แล้ว ก็น่าจะลองมองหาเล่มต่อไปมาอ่านดูบ้าง

เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็ก ถือเป็นหนังสือที่ผู้แต่งสร้างสรรค์ออกมาได้อย่างน่ารัก น่าเอ็นดู ผ่านมุมมองของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งคอยซักคอยถามคุณยายของเธอมิได้ขาด และเก็บเล็กผสมน้อยออกมาเป็นงานเขียนที่มีคุณภาพ รวมทั้งยังถือเป็นอีกหลักฐานหนึ่ง ที่สามารถแสดงถึงลักษณะความเป็นไปของสังคมไทยในอดีต ซึ่งเขียนเป็นรูปแบบเด็กๆ ไม่เครียด เรียกว่าอ่านแล้วผ่อนคลายอยู่ไม่น้อย

หนังสือเล่มนี้ถือเป็นประตูบานเล็กๆสู่โลกแห่งอดีต ที่ได้มอบให้ทั้งสาระ และความรู้เกี่ยวการดำเนินชีวิตแบบไทยๆ ผู้อ่านที่ต้องการจะซึมซับวัฒนธรรมดั้งเดิมที่หาได้ยากในสังคมไทยสมัยปัจจุบันนี้จึงไม่ควรพลาด หากคุณกำลังมองหาหนังสือที่สอดแทรกความน่ารัก บริสุทธิ์เอาไว้อย่างเต็มเปี่ยม เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็กนับเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่จะไม่ทำให้คุณผิดหวังเลยทีเดียว


พรรณิดา

เก็บความรักฉันไว้ในใจเธอ


เก็บความรักฉันไว้ในใจเธอ
ประภัสสร เสวิกุล
พิมพ์ครั้งที่ ๓
สำนักพิมพ์อรุณ
๒๑๓ หน้า
๑๒๐ บาท




หากกล่าวถึงชื่อ “ประภัสสร เสวิกุล” เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นเคยกับชื่อนี้ เพราะท่านเป็น
ผู้แต่งหนังสือมากมายหลากหลายเรื่อง มีทั้งที่สร้างเป็นภาพยนตร์ และละคร อาทิเช่น สำเภาทอง

ขอหมอนใบนั้นที่เธอฝันยามหนุน ลอดลายมังกร เวลาในขวดแก้ว ฯลฯ ท่านเป็นนักเขียนระดับแนวหน้าของเมืองไทย อีกทั้งท่านเคยดำรงตำแหน่งนายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย พ.ศ.๒๕๔๔ – ๒๕๔๘ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งอัครราชทูตที่ปรึกษา สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงซันติอาโก ประเทศชิลี

ในฐานะนักเขียน ท่านมีความสามารถในการเนรมิต ในผู้อ่านเข้าไปอยู่ในโลกจินตนาการที่ท่านได้สร้างไว้ เหมือนกับท่านสามารถบังคับจิตใจคนอ่านได้ว่า ต้องเศร้า เสียใจ หรือมีความสุข
ผลงานที่ผ่านมาของท่าน มีหลายต่อหลายเรื่องที่เมื่อได้เริ่มแล้วก็มักจะวางไม่ลง และสำหรับ
เก็บความรักฉันไว้ในใจเธอ นั้นก็ยังคงมีความลึกซึ้งทุกรายละเอียด อันเป็นลีลาเฉพาะของ “ประภัสสร เสวิกุล” ซึ่งมีอยู่ในนวนิยายเล่มนี้

หนังสือเล่มนี้ชื่อเพราะ ปกสวย หน้าปกของนวนิยายเล่มนี้ ใช้ภาพใบไม้สีน้ำตาลและสีเหลือง ให้ความรู้สึกแห้งแล้งและร่วงโรยแต่เต็มไปด้วยความหมายอันลึกซึ้ง รวมทั้งภาพประกอบที่เป็นรูปไวโอลินและโน้ตเพลง แต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือ การใช้ภาษาและจังหวะประทับใจ เรียบง่ายในชั่วเวลาหนึ่ง ที่จะทำให้หัวใจสุขสวยงามไปอีกนาน

เรื่องราวของ วินด์ชายหนุ่มนักดนตรี กับเด็กสาวแปลกหน้าที่เขาพบในคืนฝนตกนาม นาฬิกา และหญิงสาวอีกคนที่มาพร้อมกับรอยเหงาในแววตา เซบเทมเบอร์ สื่อกลางในการสานสัมพันธ์ของทั้งสาม นั้นก็คือบทเพลงแห่งความเศร้า "The Last Waltz" “ชีวิตก็เป็นเช่นนี้ ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่การผ่านพ้นอุปสรรคที่ไม่คาดคิดเหล่านั้นย่อมทำให้เรากล้าแกร่ง และเข้าใจความจริงของชีวิตมากขึ้น” เก็บความรักฉันไว้ในใจเธอ เรื่องราวเกี่ยวกับความรักและมิตรภาพในหมู่คนรักดนตรี ที่มิอาจละทิ้งความฝันและความรักในเสียงดนตรีได้ แม้ว่าจะต้องพบเจอกับอุปสรรคนานัปการก็ตาม

ส่วนตัวเนื้อเรื่องนั้นไม่ซับซ้อน แต่ท่วงทำนองการเขียน ถ่ายทอดออกมาได้อย่างนุ่มนวลและอ่อนโยน ความพิเศษอีกอย่างหนึ่ง คือเนื้อเรื่องสามารถซึมซาบผ่านดวงตาเข้าไปสู่หัวใจโดยไม่รู้ตัว ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกดื่มด่ำไปกับเรื่องราว เหมือนกับว่าได้ถูกดึงเข้าไปในอีกโลกหนึ่งที่ผู้เขียนได้สร้างขึ้น

ส่วนการเล่าเรื่องนั้นมีการบรรยาย จนสามารถเข้าใจถึงจิตใจของตัวละคร ว่ามีความรู้สึกอย่างไร…..ขียนอุปสรรคนานับประการวงโรย าเฉพาะของ ประภสสร เสวิกุลางไม่ลง และสำหรับ

การเขียนเรื่องโดยอิงฉากกับชีวิตจริงทำให้อ่านแล้ว จินตนาการตามได้อย่างง่ายดาย
สามารถเข้าถึงอารมณ์และความรู้สึกของผู้อ่าน ท่านเขียนเรื่องรักเรื่องนี้ได้อย่างลงตัว งดงามพอดิบพอดี เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่พิสูจน์ว่านวนิยายที่ดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสั้นยาวของเนื้อเรื่อง แต่สิ่งที่สำคัญนั้นก็คือ การที่สามารถเขียนข้อความสั้นๆ แล้วติดตรึงใจผู้อ่านได้นานแสนนานต่างหาก

หากใครจะมองหาหนังสือสักเล่มที่ทำให้หวนนึกถึงความรัก ด้วยความรู้สึกที่ทำหัวใจล่องลอย...โดยที่คุณไม่รู้ตัว เก็บความรักฉันไว้ในใจเธอ เล่มนี้ก็ไม่น่าทำให้คุณผิดหวัง


พรรณรอง

ชุดประดาน้ำเเละผีเสื้อ

ฌ็อง-โดมินิก โบบี้ เขียน
วัลยา วิวัฒน์ศร แปล
พิมพ์ครั้งที่สอง พ.ศ.๒๕๔๑
สำนักพิมพ์ผีเสื้อ

๒๑๕ หน้า
๑๓๙ บาท



“เคยอ่านชุดประดาน้ำเเละผีเสื้อกันบ้างหรือเปล่า” คำถามของอาจารย์สกุล บุณยทัตที่เอ่ยขึ้นมาในคาบเรียนวิชาวิเคราะห์บทละครของนักศึกษาเอกนาฏศาสตร์ พร้อมกับเเนะนำว่าเป็นหนังสือที่ควรหามาอ่านอย่างยิ่งเพียงเท่านี้ก็สร้างเเรงผลักดันได้มากพอที่ฉันจะขวนขวายหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านให้จงได้

เฝ้าเพียรหาหนังสือเล่มนี้ในห้องสมุดอยู่นานในที่สุดก็พบ “ ชุดประดาน้ำเเละผีเสื้อ ” แฝงตัวอยู่บนชั้นหนังสือที่เรียงรายกัน ปกสีเขียวตัดด้วยพื้นสีเหลืองไม่ค่อยดึงดูดสายตานักอาจเป็นเพราะช่วงเวลาที่พิมพ์หนังสือเล่มนี้ผ่านมานานจนลักษณะการออกเเบบปกจึงไม่ดึงดูดใจเท่ารูปแบบของหนังสือในสมัยนี้เเต่ใครจะไปรู้ว่าเเท้จริงเเล้วหนังสือเล่มนี้มีสิ่งดีๆซ่อนเร้นอยู่ภายใต้ความหนาสองร้องสิบห้าเพียงรอให้ใครสักคนมาเปิดอ่านเท่านั้น

ชุดประดาน้ำเเละผีเสื้อ เป็นเรื่องราวของชาวฝรั่งเศสที่ชื่อว่า ฌ็อง โดมินิก โบบี้ บรรณาธิการบริหารนิตยสารELLE นิตยสารเเฟชั่นที่คนทั่วโลกต่างคุ้นหูคุ้นตา ชื่อเสียงของโบบี้เป็นที่รู้จักกันดีเเละหน้าที่การงานของเขาก็กำลังก้าวหน้าในวัยเพียง ๔๔ ปีเท่านั้น เเต่อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอในชีวิตของมนุษย์อย่างที่โบบี้ไม่เคยจะนึกว่ามรสุมลูกใหญ่จะพัดเข้ามาอย่างรวดเร็ว เเละไม่มีการเตือนล่วงหน้าเเต่อย่างใดนั่นก็คือ เส้นเลือดในสมองเเตก ขณะที่เขานั่งรถไปรับลูกชายเพื่อไปดูละคร ผลก็คือโบบี้กลายเป็นอัมพาตทั้งตัวเหลืออวัยวะตาซ้ายข้างเดียวที่ยังเคลื่อนไหวได้ เเม้สมองจะทำงานเป็นปกติเเต่โบบี้ระลึกอยู่เสมอว่านี่คือฝันร้ายที่สุดของเขา เป็นฝันร้ายที่กัดกินร่างกายจนไม่อาจขยับเขยื้อนได้เหลือเพียงจินตนาการที่ยังคงโบยบินไปทุกหนทุกแห่งเท่านั้น

ตลอดระยะเวลา ๑๕ เดือนที่โบบี้เป็นอัมพาต เขาไม่ได้ทิ้งเวลาให้สูญเปล่าอย่างคนที่ท้อเเท้หมดหวังกลับมีความพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะถ่ายทอดความรู้สึกของเขาออกมาเป็นหนังสือ ความน่าสนใจอยู่ตรงที่โบบี้ขยับตัวเเละพูดไม่ได้ดังนั้นวิธีใดกันเล่าที่จะสื่อสารความคิดของเขาออกมา เเละฉันก็ได้พบกับวิธีอันชายฉลาดนั้นในที่สุด เป็นวิธีไล่ตัวอักษรที่เรียงตามลำดับความถี่ที่ใช้กันมากในภาษาฝรั่งเศสเเทนที่จะเรียงจาก A-Z เรียกว่าอักษรชุด ESA ดังนั้นในระยะเวลาไม่นานคำหนึ่งคำก็จะครบสมบูรณ์โดยการเลิกเปลือกตาข้างซ้ายของโบบี้ ผู้ช่วยของเขาเป็นส่วนสำคัญทีเดียวที่ทำให้โบบี้สร้างหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาได้สำเร็จ

“ ชุดประดาน้ำรัดรึงน้อยลงเเละเเล้วความคิดก็ร่อนเร่พเนจรไปเหมือนผีเสื้อ ” โบบี้อธิบายความรู้สึกของเขาเอาไว้เช่นนั้น เขาคิดเสมอว่าร่างกายอันเป็นอัมพาตของเขานั้นเปรียบเสมือนสวมชุดประดาน้ำที่รัดเเน่นจนอึดดอัดเเละเจ็บร้าว เเต่ทว่าในชุดประดาน้ำนั้นเขาก็เเหวกว่ายได้อย่างอิสระภายใต้จิตสำนึกที่ล่องลอยเป็นผีเสื้อที่ไปได้ทุกเเห่งหน สัมผัสใบหน้าคนที่เขารัก เเวะชมอดีตอันน่าจดจำ ผ่านเข้าไปในความฝันที่แปลกประหลาด เยี่ยมชมสถานที่ที่เขาใฝ่ฝันได้ทุกเมื่อ

ในหนังสือที่เสมือนเป็นการบันทึกชีวิตในชุดประดาน้ำของโบบี้นี้ เขาได้ค้นพบบางสิ่งซึ่งเขาเพิ่ง
ตระหนักได้เมื่อตอนที่ความทุกข์มาเยือนว่า ในโลกของความเป็นจริงคนที่รักเราอย่างจริงใจกลับเป็นคนที่เรามองข้ามเเละละเลย มัวเเต่หลงอยู่กับความสุขจอมปลอมจากคนที่ฉาบฉวยเเละเอาหน้า โบบี้จึงสุขใจเสมอเมื่อในวันที่เขาเป็นอัมพาตเเละต้องพักอยู่ที่โรงพยาบาลนั้นเขาจะเฝ้ามองการมาถึงของลูกสาวเเละลูกชาย ภรรยาเก่าที่เขาเคยทอดทิ้ง เสียงจากชายชราผู้เป็นพ่อที่ดังมาตามสายโทรศัพท์ ผู้ช่วยของเขาที่หาวิธีสื่อสารโดยชุดอักษร ESA มาให้ นักกายภาพบำบัดที่ไม่ยอมให้เขายอมเเพ้เเละลุกขึ้นมาต่อสู้กับโชคชะตาที่โหดร้ายของตัวเอง บุคคลเหล่านี้เป็นตัวเเปรสำคัญที่ทำให้โบบี้อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป

สิ่งสำคัญที่ทำให้หนังสือเล่มนี้ติดตรึงอยู่ในความทรงจำของฉันคงเป็นความสวยงามของภาษาที่โบบี้ใช้คำได้กระทัดรัดเนื่องจากเขาต้องการให้เนื้อหาไม่ยืดเยื้อเเละตรงประเด็นมากที่สุด เเต่ก็สละสลวยอยู่ในทีเพราะตัวเขาเองเข้าวงการหนังสือมาตั้งเเต่อายุยี่สิบสอง ประสบการณ์ด้านการใช้ภาษาของเขาจึงมีอยู่มากพอควร ในทุกๆบทโบบี้จะเล่าความรู้สึกในช่วงเวลานั้นของเขาแทรกไปด้วยอารมณ์ขันเเละทิ้งท้ายด้วยคำพูดที่ถ้าเราอ่านเเวบเเรกคงจะรู้สึกขำขันเเต่เมื่อมาพิจารณาอีกทีกลับชวนให้เศร้าใจอย่างบอกไม่ถูกราวกับว่าโบบี้กำลังเสียดเเทงจิตใจของตัวเองอยู่ ด้วยถ้อยคำที่สวยงามอย่างเช่น ตอนที่เขาเล่าว่าเขานั่งรถพยาบาลผ่านตึกที่เขาเคยทำงาน “ต้นไม้บุกรุกบดบังหน้าอาคารทั้งหลาย ปุยนุ่นสองสามปุยลอยล่องอยู่ในนภาสีฟ้ากระจ่าง ไม่มีอะไรขาดหายไป นอกจากตัวผม ผมอยู่ที่อื่น..” เเละอีกหลายประโยคที่ทำให้ฉันเองถึงกับพูดไม่ออกรู้สึกทรมานพอๆกับที่โบบี้รู้สึกเเละเห็นความสวยงามพอๆกับที่โบบี้เห็นเช่นกัน

โบบี้จากโลกนี้ไปใน เดือนมีนาคม ค.ศ.๑๙๙๗ หลังหนังสือ “ชุดประดาน้ำกับผีเสื่อ” วางจำหน่ายได้สามวัน น่าเสียดายที่เขาจากไปเร็วเกินกว่าจะได้รับรู้ว่าหนังสือของเขาเป็นที่ชื่นชมเเละถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง เเต่อย่างไรก็ตาม ฌ็อง โดมินิก โบบี้ ก็ได้ทิ้งสิ่งซึ่งล้ำค่าไว้เเก่คนเบื้องหลังอย่างสมบูรณ์เเล้ว

“ความหวัง สำคัญสำหรับทุกคนเสมอ ” การเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกอย่างงดงามเป็นสิ่งที่โบบี้ต้องการสื่อกับผู้อ่านมากที่สุด ดังนั้นหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่หนังสือของผู้ที่ป่วยหรือพิการทางกายหากเเต่เหมาะสมกับใครก็ตามที่กำลังพิการทางใจ พ่ายเเพ้ให้กับโลกอันโหดร้ายใบนี้เเละหมดหวังกับทุกๆสิ่งบนพื้นเเผ่นดินเพื่อจะได้เรียนรู้ว่าความเจ็บปวดนั้นไม่มีน้ำหนักพอที่จะมาบดบังความสวยงามของชีวิตไปได้ ...

ในช่วงชีวิตของใครสักคนคงไม่เคยนึกล่วงหน้าเอาไว้ว่าตัวเองจะกลายเป็นอัมพาตทั้งตัว เป็นอนาคตที่คงไม่มีมนุษย์คนใดปรารถนาจะให้เกิดเเต่อย่าลืมว่าโชคชะตามักเล่นตลกร้ายกับมนุษย์เสมออย่างที่เกิดกับโบบี้เเต่เขาก็ได้เเสดงให้เห็นเเล้วว่าการมีชีวิตอยู่นั้นมีค่ามากเพียงใด เเม้ใต้ชุดประดาน้ำอันทรมานเเต่หากเราหมั่นล่อเลี้ยงจิตตวิญญาณที่ถูกกังขังนั้นด้วยจินตนาการเเล้วไซร้ ปีกผีเสื้อก็จะมากระพืออยู่ข้างหูเเละพาใจของเราให้หลุดลอยออกจากความบอบช้ำ


ไปรยาพร

รหัสชีวิต


รหัสชีวิต

ผู้แต่ง : นงค์นาถ ห่านวิไล
มนสิกุล โอวาทเภสัชช์
ปีพิมพ์ : 3/2550
จำนวนหน้า : ปกอ่อน / 211หน้า
ราคา : 195 บาท


หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เคยคิดว่า การปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องยุ่งยาก ทั้งยังต้องลำบากเดินทางไปหาที่สงบอันห่างไกล ไร้ผู้คน และเป็นกิจกรรมที่เหมาะกับคนวัยเกษียณเท่านั้น ความคิดของคุณจะเปลี่ยนไปเมื่อได้พบกับคู่มือที่จะแนะนำการหลอมรวมการปฏิบัติธรรมให้เป็นหนึ่งเดียวกับการใช้ชีวิต จากประสบการณ์ชีวิตของผู้มีชื่อเสียง และประสบความสำเร็จในแวดวงต่างๆ ทั้งนักเขียน นักวิชาการ และนักธุรกิจ ถึง 10 ท่าน

เรื่องราวของชีวิตแต่ละท่านล้วนมีที่มาที่ไปที่แตกต่างกัน จุดเริ่มต้นในการเข้าถึงรสพระธรรมก็ต่างกัน ทั้งยังมีหลักธรรมที่เป็นหลักยึดเหนี่ยวในการดำเนินชีวิตแตกต่างกันอีกด้วย การศึกษาธรรมจากหลายๆบุคคลจะเป็นหนทางให้คุณหันกลับมามองและค้นหาตัวตนที่แท้จริงของตนเอง จะพบว่าคุณเองก็สามารถเข้าถึงแก่นแท้ของธรรมได้ ด้วยวิธีไม่ยากเลย

“รหัสชีวิต” บอกเล่าเรื่องราวของบุคคลผู้มีชื่อเสียง 10 ท่าน ที่ใช้ธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจและสามารถผ่านพ้นปัญหาต่างๆได้ด้วย สติ อันเกิดจากการสั่งสมสมาธิด้วยตัวเองตามแนวทางแห่งพุทธ ได้แก่


ศรัณย์ ไมตรีเวช นักเขียนอิสระ เจ้าของนามปากกา “ดังตฤณ” เป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงหนังสือมีผลงานเป็นที่รู้จักทั่วโลก ส่วนใหญ่เป็นงานเขียนบนแนวทางของพระพุทธศาสนา “ ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ทุกอย่างต้องไหลมาแต่เหตุเสมอ ผลต้องไหลมาแต่เหตุไม่ใช่อยู่ๆเกิดขึ้นลอยๆไม่มีเหตุไม่มีที่ไปทุกอย่างไหลมาแล้วไปสู่จุดจบเพื่อแปรเปลี่ยนไปเป็นสภาพอื่นเสมอ ”

วิกรม กรมดิษฐ์ เจ้าของนิคมอุตสาหกรรมและสนามกอล์ฟ อมตะ ผู้ที่ขลุกอยู่กับการสร้างอาณาจักรธุรกิจทางโลกมากว่าครึ่งชีวิต ส่วนครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่นั้นเขาของแสวงหาความสุขทางใจด้วยธรรม“ ทุกวันนี้เราทุรนทุราย เพราะเราฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม อยากได้อะไรโดยไม่ดูกำลังตัวเอง ”

ฐิตินาถ ณ พัทลุง ผู้หันหลังให้กลับธุรกิจ ทั้งเวิร์คกิ้ง ไดมอนด์ และโรงเรียนแฮปปี้คิดส์ ที่ตนเองสร้างมากับมือ เพราะเธอยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง เปลี่ยนวิถีมาเป็นคนเดินช้า เป็นแม่ของลูก และเป็นผู้บรรยายธรรมให้แก่เพื่อนมนุษย์ “ ความอยากได้อยากมีทำให้แก้วโตขึ้นเรื่อยๆไม่เคยพอ แต่ถ้ามีน้ำครึ่งแก้วแล้วลดขนาดของแก้วจนเหลือเพียงหนึ่งในสี่ น้ำก็จะล้นเกินอีกเท่าตัว ”

พีระศักดิ์ กลิ่นสุนทร เจ้าของบ้านเนื้อที่เกือบ 2 ไร่ ย่านลาดพร้าว ที่ปัจจุบันอยู่ในคราบนักธุรกิจพันล้าน ในฐานะทายาทกลุ่มบริษัทปราณีภัณฑ์ และกรรมการผู้จัดการบริษัทประกอบการอสังหาริมทรัพย์ แต่แก่นแท้ของตัวเขากลับกลายเป็นทายาทนักบุญ “ บางทีเหตุผลก็ไม่สามารถอธิบายได้หมด คนที่อธิบายได้คือตนเอง อยากรู้ต้องศึกษา ต้องปฏิบัติ ต้องอ่าน ต้องเรียน และต้องเข้าถึงด้วยตนเอง ”

เพชรยุพา บูรณ์สิริจรุงรัฐ ประธานกรรมการบริษัท เฌ. เดียมอง จำกัด เจ้าของ ณ เพชรสำนักพิมพ์ และเป็นคอลัมนิสต์ให้กับหนังสือหลายฉบับ ตัดสินใจบวช 7 วัน และปฏิบัติธรรมสืบเนื่องมาโดยตลอด หลังจากตกเป็นทาสของอารมณ์มาทั้งชีวิต “ ทุกวันนี้ใครทำอะไรเราก็คิดว่าเดี๋ยวก็ตายจากกันแล้ว หยุดแค่นั้นเอง บางทีก็คิดว่าเพราะเขาเป็นทุกเขาจึงทำร้ายเรา ”

ภัทริน ซอโสตถิกุล ทายาทเศรษฐี ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รับเหมาก่อสร้าง บริษัทในเครือซีคอน เจ้าของศูนย์การค้าซีคอนสแควร์ และธุรกิจอื่นๆอีกมากมาย เธอยังเป็นทายาททางธรรมที่เจริญรอยตามพ่อแม่ ด้วยอายุไม่ถึง 30 “ ได้คำตอบจากพระพุทธเจ้าที่สอนในเรื่องสันโดษ ซึ่งไม่ใช่ไม่เอาทางโลกเลย แต่จะใช้หลักการนี้คู่กับอิทธิบาท 4 คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ”

ผศ.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาตะวันออก สาขาวิชาบาลี สันสกฤต คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ถอดรหัสธรรมนูญชีวิต ที่ย่อยคัมภีร์อันเป็นหัวใจในพระไตรปิฎกทั้ง 45 เล่ม “ สติคือรากฐานของคุณธรรมทั้งปวง ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมที่ดีที่สุด ที่แท้จริง คือการเจริญสติมีสติอยู่กับตัว ”

อนุรุธ ว่องวานิช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อังกฤษตรางู จำกัด และนายกสมาคมยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ผู้สืบสายเลือดยุวพุทธฯ โดยตรงมาจากพ่อตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งธรรมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต“ ปกติเราเข้าไปอยู่ในอารมณ์เรา แต่วันนี้เราเป็นผู้เห็นอารมณ์ตัวเอง เข้าใจความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้นว่ามันเกิดขึ้นแล้วหายไป ”

ดร.ลักขณา ลีละยุทธโยธิน CEO บริษัท เซเรบอส(ประเทศไทย) จำกัด เจ้าของผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
แบรนด์ ที่นอกจากจะเป็นหญิงเก่งในวงการธุรกิจแล้ว ยังมีหัวใจแกร่งจากธรรมและวิปัสสนาที่เธอปฏิบัติ“ การนั่งวิปัสสนาเหมือนนั่งมองสายน้ำที่ไหลอยู่ ถ้าน้ำขุ่นต่อให้มีปลามากเท่าไหร่ก็มองไม่เห็น แต่ถ้าน้ำใสแล้วมีปลาเพียงสองสามตัวก็มองเห็นได้ชัดเจน ”

พิพัฒน์ ยอดพฤติการ กรรมการผู้จัดการบริษัท ชื่อไทยดอทคอม นอกจากความสนใจในเทคโนโลยีทางด้านไอทีแล้ว ซีอีโอหนุ่มยังสนใจการปฏิบัติธรรมและการศึกษาธรรมอย่างเอาจริงเอาจังด้วย “ อย่าไว้ใจความคิดตัวเอง เพราะความคิดของเรามักเจือปนไปด้วยกิเลสเสมอ ”
ท้ายหนังสือยังแนะนำถึง สถานที่ปฏิบัติธรรม ค่ายพักใจท่องเที่ยวข้างในไม่ไปไม่รู้ ข้อมูลสถานที่สำหรับผู้ที่ต้องการฝึกฝน เจริญวิปัสสนากรรมฐาน และศึกษาพระธรรมในวาระต่างๆ โดยรวบรวมไว้ถึง 26 แห่ง

หากใจคุณยังไหวติง จิตยังเคลื่อนคล้อยตามสิ่งเร้ารอบด้านแล้วละก็ คุณก็เป็นคนหนึ่งที่น่าจะอ่านหนังสือเล่มนี้ หนังสือธรรมแนวใหม่ที่ใช้ภาษาง่ายต่อการทำความเข้าใจ บอกเล่าจากประสบการณ์ชีวิตจริงของผู้ที่เดินเข้าสู่แนวทางแห่งธรรม จากความวุ่นวายทางโลกถอดรหัสสู่ความสงบทางธรรม มุ่งเน้นที่จะสื่อสารให้เห็นว่าการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องที่สามารถปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวันควบคู่ไปกับการทำงาน ไม่จำกัดวัย เพศ และสาขาอาชีพ

ความวุ่นวายแห่งจิตอาจเป็นสิ่งรบเร้าให้ใจเราห่างจากความสงบ ความสุขที่แท้จริงอาจไม่ได้มาจากความสุขด้านวัตถุที่มนุษย์ปฏิเสธความอยากได้อยากมีในชีวิตไม่เคยได้ แต่จะมีสักกี่คนที่เคยพบกับความสุขทางใจ อันเป็นความสุขที่แท้จริงอันควรแสวงหา ที่ดูจะอยู่ไกลออกไปทุกทีๆ จากชีวิตของเรา เมื่อไม่เคยหาแล้วเหตุใดจึงจะพบ ลองเดินตามแนวทางของบุคคลเหล่านี้ ที่คุณเองก็สามารถพบทางสว่างแห่งจิตได้ไม่ไกลเกินเอื้อม


ปิยะนุช

อเมริกากี่นั้ง


อเมริกากี่นั้ง
ชาญ รุ่งเรืองเดชวัฒนา
ปีที่พิมพ์ ๒๕๕๐
สำนักพิมพ์ Dizplay
๓๐๔ หน้า ภาพประกอบ
๒๑๐ บาท


อเมริกากี่นั้ง ของชาญ รุ่งเรืองเดชวัฒนา หลายท่านคงรู้จักและคุ้นเคยกับนักเขียนหนุ่มไฟแรงผู้นี้เป็นอย่างดีในหน้าจอโทรทัศน์ เพราะเขาคือผู้เข้าร่วมแข่งขันในรายการอัจฉริยะข้ามคืน และอีกหลายท่านยังไม่ทราบความสามารถที่เขาบรรจงสร้างสรรค์ผลงานเบื้องหลังวงการบันเทิง และสื่อโฆษณาไทย อาทิเช่น เขียนเพลงโฆษณา เบียร์ไฮนาเก้น รับหน้าที่เป็น ครีเอทีฟ ไดเรคเตอร์ ให้กับบริษัทโฆษณาอีกหลายแห่ง ด้วยความที่เขาเป็นคนที่ชอบขีดๆเขียนๆ เขาจึงเริ่มต้นการเป็นนักเขียนโดยการเขียนคอลัมน์ท่องเที่ยว ในนิตยสาร Creative Living ก่อนที่จะบรรจงสร้างสรรค์ผลงานที่น่าสนใจประเภทสารคดีท่องเที่ยวไว้ใน อเมริกากี่นั้ง

ดิฉันไม่เคยได้ยินชื่อของ ชาญ รุ่งเรืองเดชวัฒนา มาก่อนหน้านี้เลย จนกระทั่งวันหนึ่งดิฉันเดินผ่านแผงหนังสือ ก็สะดุดตากับคำว่า “อเมริกากี่นั้ง” อยู่บนหนังสือสีสันสวยงาม ในใจดิฉันคิดว่า ชื่อหนังสือเล่มนี้ช่างแปลก เหมือนเป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างฝั่งตะวันตก และฝั่งตะวันออก ดิฉันจึงตัดสินใจหยิบหนังสือเล่มนี้ติดไม้ติดมือ กลับไปอ่านที่บ้านในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน

อเมริกากี่นั้ง เป็นหนังสือที่ผู้เขียนรวบรวมขึ้นจากประสบการณ์จริงในการเดินทางไปท่องเที่ยวประเทศอเมริกาเพียงลำพังคนเดียวชนิดที่ เรียกว่าแบกเป้สะพายกล้อง เป็นระยะเวลา ๑ เดือนเต็ม เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้มากไปด้วยอรรถรส ทำให้ผู้อ่านอย่างดิฉันมีอารมณ์คล้อยตามผู้เขียน และอยากที่จะไปเหยียบผืนแผ่นดินประเทศอเมริกาสักครั้งหนึ่งในชีวิต

เนื้อหาสาระในสารคดีท่องเทียวเล่มนี้ เรียกได้ว่า มีความสมบูรณ์มากทีเดียว เพราะผู้เขียนเล่าเรื่องราวการเดินทางท่องเที่ยวผ่านออกมาเป็นตัวหนังสือ ตั้งแต่ขั้นตอน เคล็ดลับเล็กๆน้อยๆ สำหรับการผ่าด่านเจ้าหน้าที่ในการของหนังสือเดินทาง การวางแผนการเดินทาง อีกทั้งยังมีเนื้อหาสาระครอบคลุมตั้งแต่ด้านประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของแต่ละรัฐ ประวัติบุคคลสำคัญ อาทิเช่น โธมัส เจฟเฟอร์สัน ประธานาธิบดีลำดับที่ ๓ ของประเทศอเมริกา เป็นผู้ก่อนำในการร่างประกาศอิสรภาพ โดยทุกๆที่ ที่ชาญ รุ่งเรืองเดชวัฒนา เดินทางไปได้มีการบันทึกภาพไปด้วยทุกครั้ง และมีการสอดแทรกภาพให้เห็นในเล่ม ทำให้ผู้อ่านอย่างดิฉันรู้สึกตื่นเต้น เพลิดเพลินราวกับได้ร่วมเดินทางไปกับ ชาญ รุ่งเรืองเดชวัฒนา ที่สำคัญยังมีการแสดงข้อมูลการท่องเที่ยวที่ผู้เขียนเห็นว่าเป็นสิ่งสำคัญในการท่องเที่ยว เช่น เบอร์โทรศัพท์ของสถานที่สำคัญ สถานที่พัก และอัตราค่าโดยสาร ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ต้องการใช้หนังสือเล่มนี้เป็นข้อมูลในการท่องเที่ยวประเทศอเมริกา

สำหรับลีลาการเขียน ผู้เขียนได้เขียนให้ผู้อ่านรู้สึกตื่นเต้น และลุ้นระทึกว่าจะมีเหตุการณ์ที่น่าประทับใจอะไรเกิดขึ้นในแต่ละที่ ที่ผู้เขียนเดินทางไป ทำให้รับรู้อารมณ์ของผู้เขียนในการเดินทางท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี การดำเนินเรื่องอาศัยประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงตามสิ่งแวดล้อมที่ผู้เขียนได้พบเจอ มีการบรรยายบรรยากาศ และสถานที่ต่างๆ ได้อย่างละเอียด โดยใช้ภาษาสั้นๆง่ายๆ แต่สามารถทำให้เกิดอารมณ์ มีการจินตนาการไปตามบรรยากาศที่เกิดขึ้นได้ดีทีเดียว

ถ้าจะพูดถึงชื่อหนังสือ อเมริกากี่นั้ง ผู้เขียนก็สามารถหาถ้อยคำมาใช้เป็นชื่อหนังสือได้อย่างเหมาะสม กับเนื้อหาของเรื่อง เพราะ คำว่า “กากี่นั้ง” ในภาษาจีนแต้จิ๋ว หมายถึง คนกันเอง การเดินทางท่องเที่ยวในครั้งนี้ของ ชาญ รุ่งเรืองเดชวัฒนา ก็พบเจอแต่มิตรภาพที่ดี และเป็นกันเองแสดดงออกมาให้เห็นในการแลกกล้องถ่ายรูปให้กันและกัน แม้ว่าจะข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากคนละซีกโลก แต่ก็มีความเป็นกันเองกับผู้เขียนทั้งสิ้น

การจัดรูปเล่ม และภาพประกอบภายในหนังสือ นับว่าทำได้อย่างลงตัว และมีความสวยงามคือ ภาพหน้าปกมีการใช้รูปเทพีสันติภาพ ซึ่งเสมือนตัวแทนประเทศอเมริกา เป็นจุดเด่น และมีกลุ่มนักท่องเที่ยวอยู่ใต้เทพีเสรีภาพ ซึ่งภาพหน้าปกก็สามารถบ่างบอกประเภทหนังสือว่ามีเนื้อหาเกี่ยวกับประเทศอเมริกาอย่างแน่นอน โดยไม่ต้องพลิกเข้าไปอ่านเนื้อหาเลย ภาพประกอบภายในเล่มมีการจัดวางอย่างลงตัว อเมริกากี่นั้ง นับว่าเป็นหนังสือที่น่าอ่าน และเก็บรักษาเป็นคู่มือการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก

หากใครที่ชื่นชอบสารคดีการท่องเที่ยว ก็ขอแนะนำให้ลองหาหนังสือ อเมริกากี่นั้ง มาลองอ่าน จะทำให้ผู้อ่านประทับใจกับเนื้อหาที่เข้มข้นด้วยเนื้อหาสาระ ความบันเทิง จนอยากไปท่องเที่ยวประเทศอเมริกา ดังที่ผู้เขียนกล่าวไว้ว่า “ใครมีงบท่องเที่ยวอเมริกาควรอ่าน ใครไม่มีงบท่องเที่ยวอเมริกายิ่งต้องอ่าน”


ปิยะฉัตร

ปีกหัก(THE BROKEN WING)


ปีกหัก(THE BROKEN WING)
แปลโดย ระวี ภาวิไล
พิมพ์ครั้งที่ ๙
สำนักพิมพ์ผีเสื้อ
๑๔๐ หน้า ราคา ๑๓๒ บาท



หนังสือที่มีสำนวนเขียนเช่นเดียวกับบทกวี แม้ไม่ใช่ร้อยกรองก็สามารถสร้างอารมณ์และบรรยากาศพลิ้วไหวดั่งสายน้ำ “ปีกหัก” เป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งของคาลิล ยิบราน


“นักปราชญ์ ไม่มีใครปฏิเสธความเป็นปราชญ์ของคาลิล ยิบราน”
“กวีเรืองนามทั้งหลาย ยกย่องให้เขาเป็นมหากวี”
“นักวรรณคดียอมรับว่า เขาเป็นนักเขียนนวนิยายที่ใช้ถ้อยคำไพเราะอย่างหาผู้ใดทัดเทียมได้ยาก”

กอปรกับผู้แปล ศาสตราจารย์ ดร.ระวี ภาวิไล ผู้เป็นทั้งราชบัณฑิต นายกสมาคมดาราศาสตร์แห่งประเทศไทย ศาสตราจารย์กิตติคุณ ผู้อำนวยการธรรมสถานในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอื่นๆอีกมาก ทำให้”ปีกหัก”กลายเป็นหนังสือที่ไม่ธรรมดาไปโดยปริยาย

คาลิล ยิบราน พรรณนาความรักและความทุกข์ในวัยหนุ่มของเขา โดยผ่านตัวอักษรลงบนหนังสือเล่มนี้ไว้ได้อย่างอ่อนหวานและอ่อนไหวในแบบของกวีผู้ช้ำรัก แม้ที่สุดแล้วคือความเจ็บปวด
หากเขาก็ยังได้ลิ้มรสความรักอันลึกซึ้งในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต

นวนิยายรักที่คาลิลเป็นตัวละครซึ่งโลดแล่นอยู่ภายใน เรื่องนี้ เสมือนดังหีบทองคำเก็บความทรงจำในวัยหนุ่มของเขา บรรจุความรัก ความฝันและจิตวิญญาณเอาไว้เต็มล้น แต่เดิม เขาใช้ชีวิตลำพังอย่างทรมาน(หัวใจ) ไร้นางใดมาเคียงคู่ ความคิดและจินตนาการเตลิดไปไกลกระจัดกระจายเหลือเกิน จวบกระทั่งได้พบกับเซลมา คารามี “หญิงคนแรกผู้ได้ปลุกวิญญาณของข้าพเจ้าให้ตื่นขึ้นด้วยความงามของเธอและนำข้าพเจ้าเข้าสู่อุทยานแห่งความรักอันสูงส่ง ณ ที่ซึ่งทิวากาลผ่านไปดังความฝัน และรัตติกาลผ่านไปดังการอภิเษกสมรส”

ทุกสิ่งเกิดขึ้นและจบลงรวดเร็วราวกับฝันไป หลังจากการพบกันเพียงไม่นาน ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอก็ไม่อาจเปิดเผยได้อีกต่อไป เมื่อสังฆราชบูโลส กาลิบ ผู้นำศาสนาแห่งเลบานอน “โจรผู้ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในเสื้อคลุมแห่งราตรี” ประสงค์ให้เซลมาแต่งงานกับหลานชายของเขา กาลิบ มานซัวร์ เบย์ “อันธพาลซึ่งเดินอย่างองอาจผึ่งผายในแสงแดด” เพื่อหน้าตาทางสังคม “โดยฉะนี้ ชะตากรรมได้จับกุมเซลมา และฉุดกระชากลากเธอเข้าสู่ทิวแถวของหญิงตะวันออกผู้น่าสมเพชดังเช่นทาส” ความรักของคนทั้งคู่จึงได้แต่เปล่งประกายอยู่ภายในใจเท่านั้น

หลังจากที่เซลมาแต่งงานแล้ว ทั้งเขาและเธอก็มิอาจมีความสุขได้แม้เสี้ยววินาที โดยเฉพาะเวลาที่นึกถึงอีกฝ่าย เซลมาใช้ชีวิตหลังแต่งงานอย่างทุกข์ตรม จนเมื่อเธอคลอดบุตรชายเธอก็จากไปชั่วนิรันดร์ “คล้ายกับว่าเด็กชายมาช่วยปลดปล่อยแม่ของเขาจากสามีที่ไร้เมตตา” ราวพายุร้ายโหมกระหน่ำหัวใจของคาลิล เพียงเท่านี้เค้ายังเจ็บปวดไม่พออีกหรือ ใยพระเจ้าจึงทรงพรากเธอไปจากเขาตลอดกาล “ท่านได้ฝังดวงใจของผมไว้ในหลุมนี้ด้วยแล้ว”

คาลิลไม่เพียงแต่พร่ำเพ้อถึงความรัก และตัดพ้อโชคชะตาด้วยสำนวนกวีอันวิจิตรลึกซึ้ง ยังสอดแทรกปรัชญาชีวิตและความรักไว้ได้อย่างกลมกลืน ผู้อ่านสามารถซึมรับความซาบซึ้งของเรื่องราวได้โดยไม่สะดุด แม้ในฉากแห่งความระทมทุกข์ไปจนถึงความสุขใจ ก็สามารถเล่าเรื่องได้ต่อเนื่องสนิทเนียน กลมกลืนกัน โดยผู้อ่านมิได้รู้สึกว่าขัดแย้งกันแต่อย่างใด

ภาษาและถ้อยคำที่ใช้สวยงาม สละสลวย จนไม่อยากเปิดผ่านไปแม้จะอ่านจบแล้ว ดึงดูดผู้อ่านให้ซาบซึ้ง คล้อยตามไปด้วย สังฆราชบูโลสกับหลานชายจึงถูกประนามทั้งที่ยังไม่เคยพบเจอด้วยซ้ำ “พรุ่งนี้ความจริงจะปรากฏขึ้นดังภูตผี และการตื่นขึ้นจะเป็นดังความฝัน คนรักกันนั้นพึงพอใจที่จะโอบกอดภูตผี และคนกระหายน้ำพอใจที่จะดื่มกินจากธารน้ำพุในความฝันละหรือ”

ด้วยชื่อเสียงของผู้แต่งบวกกับคุณวุฒิของผู้แปล เป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มมูลค่าทางการตลาดให้กับ“ปีกหัก” สำหรับคุณค่าทางจิตวิญญาณนั้น เป็นหน้าที่อันชอบธรรมของผู้อ่านในการตัดสินด้วยตนเอง และคุณค่าในเชิงอักษรศาสตร์ก็อาจกล่าวได้ว่าสูงล้ำเหนือคำบรรยายยิ่งนัก จิตวิญญาณแห่งความเป็นปราชญ์และมหากวีของคาลิล ได้ถ่ายทอดออกมาอย่างลึกซึ้ง ซาบซึ้ง จนไม่อาจเข้าถึงบุคคลทั่วไปได้ หากไม่ใช่เรื่องยากที่จะเรียนรู้ถ้าพร้อมที่จะเปิดรับคุณค่าทางจิตวิญญาณ เพราะไม่เพียงแค่อรรถรส ความหวานซึ้งเท่านั้น ที่พึงได้รับจากนวนิยายเรื่องนี้ สำนวนภาษาที่คมคายบาดหัวใจ กลวิธีการเล่าเรื่องที่เสมือนกับผู้อ่านได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ ยิ่งเพิ่มความสะเทือนใจทวีคูณ และปรัชญาชีวิตและความรักที่ทำให้เข้าใจโลกมากขึ้น

“ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าได้โปรดทรงพระกรุณาและรักษาปีกหักของข้าน้อยด้วยเถิด”
“หลังจากคืนนั้นเป็นต้นมา มีหลายครั้งที่ข้าพเจ้าคิดถึงกฏทางวิญญาณ ซึ่งทำให้เซลมาเลือกความตายแทนชีวิต และมีหลายครั้งที่ข้าพเจ้าเปรียบเทียบระหว่างเกียรติของการเสียสละ
และความสุขของการประท้วงเพื่อหาดูว่าอะไรมีเกียรติและงดงามกว่า
แต่กระทั่งบัดนี้
ข้าพเจ้าก็กลั่นได้สัจจะเพียงประการเดียวจากเรื่องทั้งหมด
และสัจจะนี้คือความจริงใจ
อันทำให้การกระทำทุกอย่างงดงามและมีเกียรติ
และ เซลมา คารามี
เป็นผู้มีความจริงใจอันนี้”


ปองกานต์

C.I.G.A.R Family ครอบครัวสุดป่วน


C.I.G.A.R Family ครอบครัวสุดป่วน
โรโรฯ
สำนักพิมพ์1168
๒๘๐ หน้า
๑๘๙ บาท


โรโรฯ เป็นนักเขียนหน้าใหม่ เป็นคนที่เริ่มจากแค่พิมพ์นิยายลงบนบล็อกในเว็บไซต์เด็กดี แต่เพราะมีคนสนใจ และเข้ามาอ่านมากมาย นิยายจึงได้ถูกตีพิมพ์ลงบนแฝงหนังสือทั่วประเทศ ทำให้คนทั่วประเทศได้รู้จักความหมายคำว่า “ครอบครัว” ดีขึ้น

“ครอบครัว” คืออะไร ? ใช่การที่พ่อแม่ลูกมาอยู่ด้วยกันเท่านั้น หรือเป็นการรวมกลุ่มของคนหลาย ๆ คนที่ใช้นามสกุลเดียวกันเท่านั้นหรือ
ในพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน บัญญัติความหมายของคำว่า “ครอบครัว” ไว้ว่าผู้ร่วมครัวเรือน คือสามี ภรรยา และบุตร เป็นต้น

ครอบครัวเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดในสังคม เป็นกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ร่วมกัน โดยที่ไม่จำเป็นเลยที่ครอบครัวจะต้องมีสายเลือดเดียวกัน เพราะองค์ประกอบของครอบครัวนั้นไม่สามารถอธิบายได้ทั้งหมด เมื่อมาอาศัยชายคาบ้านเดียวกันแล้วมีความรัก ความผูกพันกัน มีรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ บรรยากาศที่อบอุ่น ไม่ว่าจะเป็นความซุ่มซ่ามของแม่ การทะเลาะกันของพี่น้อง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจากการใช้ชีวิตร่วมกันนั่นแหละที่ทำให้ครอบครัว เป็นครอบครัว

C.I.G.A.R Family ครอบครัวสุดป่วน เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวหนึ่งที่มีชายหนุ่ม ๖ คนอาศัยอยู่ร่วมกัน ซึ่งประกอบไปด้วย พ่อ และลูกชายอีก ๕ คน ซึ่งทั้ง ๕ คนนี้ถูกตั้งชื่อตามสิ่งที่พ่อชอบนั่นก็คือ ซิการ์ ทำให้ทั้ง ๕ คนมีชื่อว่า ซี ไอ จี เอ อาร์ ( Cigar ) ตามลำดับ โดยที่แต่ละคนล้วนแล้วแต่เป็นคนที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ พ่อเป็นนักเขียนนวนิยายแนวรักโรแมนติกแสนหวาน ซี ลูกชายคนโตเป็นนายแบบที่กำลังดังสุดขีด ไอกับจี ฝาแฝดที่เป็นอัจฉริยะทางด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ เอ ลูกชายคนที่สี่ เป็นนักกีฬาบาสอนาคตไกล แต่ยกเว้นอาร์ ลูกชายคนสุดท้องเพียงคนเดียวที่ดูแสนจะธรรมดา และด้วยความที่เป็นคนธรรมดาของอาร์นี่แหละทำให้เกิดเรื่องราวต่างๆมากมาย ทั้งนี้เรื่องราวทั้งหมดนั้นมาจากความรักที่ทุกคนมีต่ออาร์ แต่แสดงออกมาในรูปแบบที่เรียกได้ว่า “ตรงกันข้าม” ประกอบกับ การที่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น และเป็นคนใจอ่อนของอาร์ ทำให้บางครั้งเกิดเรื่องเดือดร้อนขึ้น อย่างเช่นก่อเรื่อง จนทำให้พี่ซีแขนหัก เป็นต้น

นิยายเรื่องนี้มีโครงเรื่องรองที่แตกต่างกันไปตามแต่ละตอน ทำให้แต่ละตอนจบในตัว แต่ว่าก็ยังแฝงโครงเรื่องหลักไว้ และคำตอบของโครงเรื่องหลักทั้งหมดจะอยู่ที่ท้ายเล่ม นอกจากนี้นิยายเรื่องนี้ยังมีการเล่าเรื่องเป็นแบบให้ตัวละคร ซึ่งก็คือให้อาร์เป็นคนเล่าเรื่องทั้งหมด จึงทำให้รู้สึกเหมือนกับว่ากำลังอ่านไดอารี่ของอาร์อยู่มากกว่าอ่านนิยายเล่มหนึ่ง

แน่นอนว่า เรื่อง C.I.G.A.R Family ครอบครัวสุดป่วน เป็นนิยายแนวขำขัน ตลก คลายเครียด เบาสมอง ไม่ต้องคิดอะไรมากนัก อย่างเช่นว่าไม่ต้องมานั่งคิดวิเคราะห์ว่าตัวละครมีนิสัยอย่างไร มีลักษณะอย่างไร เพราะผู้เขียนได้อธิบายลักษณะตัวละครไว้ตั้งแต่ต้นเรื่องแล้ว แต่ก็มีบางตอนเหมือนกันที่พออ่านแล้วน้ำตาก็ไหลออกมาเลย และนั่นไม่ใช่เป็นเพียงความรู้สึกครั้งแรกที่ได้อ่านเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะอ่านสักกี่ครั้งความรู้สึกโศกเศร้าเสียใจนั้นก็ยังถูกถ่ายทอดออกมาผ่านตัวหนังสือ จึงทำให้อยากหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านซ้ำไปซ้ำมา

นอกจากจะมีเรื่องตลก ขำขัน หรือเรื่องเศร้า เสียใจแล้ว ยังมีเรื่องราวอีกมากมายหลายอรรถรสให้เราได้สัมผัส ไม่ว่าจะเป็นความน่ากลัว อย่างเช่นตอนที่มีผีออกมาหลอก หรือว่าจะเป็นตอนที่หักมุมอย่างไม่น่าเป็นไปได้ หรือแม้แต่เรื่องของเพศที่สามก็ยังเอามาผสมผสานได้อย่างลงตัว

ผู้เขียนมีกลวิธีการเขียนที่ทำให้รู้สึกว่ามีคนๆนั้นจริงๆ มีเรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้นจริงๆ เพราะเรื่องราวที่เขียนล้วนแล้วแต่เป็นธรรมชาติ ทำให้เวลาที่อ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกว่ารักครอบครัวนี้ และอยากเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวที่แสนวุ่นวายนี้บ้าง

คุณค่าของหนังสือเล่มนี้อยู่ตรงที่ความสำคัญของครอบครัว สุดท้ายครอบครัวก็คือ ครอบครัว เป็นที่แบ่งปันทุกข์ และสุขร่วมกัน สายใยที่เรียกว่าครอบครัวนั้น ไม่มีวันที่จะตัดขาดได้ ไม่ว่าจะทะเลาะกันสักกี่ครั้งก็ตาม สุดท้ายครอบครัวก็ต้องกลับมาอยู่ด้วยกัน เพราะไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ไม่มีความสุขเท่าอยู่กับครอบครัวของเรา

หากใครกำลังมองหาหนังสือดีๆสักเล่ม ก็ขอแนะนำให้ลองหยิบหนังสือเรื่อง C.I.G.A.R Family ครอบครัวสุดป่วนขึ้นมาอ่านสักครั้ง จะทำให้ผ่อนคลายไปกับเรื่องสบายๆ ในภาษาวัยรุ่นที่ง่ายๆ และเป็นกันเอง และการดำเนินเรื่องที่ชวนติดตาม นอกจากนั้นยังซาบซึ้งไปกับความรัก ความเอาใจใส่ และความผูกพันของคนในครอบครัวที่มีให้แก่กัน ทำให้ต้องหันกลับมามองย้อนถึงความสำคัญของครอบครัวที่ใครบางคนอาจจะลืมไปแล้วก็เป็นได้ว่าสิ่งนี้นั้นมันสำคัญมากเพียงใด

นันทพร

อยากจะบอกว่ารักสักเท่าฟ้า

อยากจะบอกว่ารักสักเท่าฟ้า
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
โอษฐ วารีรักษ์
พิมพ์ครั้งที่๒
สำนักพิมพ์ ณ ณางค์
๑๑o หน้าภาพประกอบ
๑๓o บาท



หากเมื่อเอ่ยชื่อ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ คงมีน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักบุคคลผู้นี้ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เป็นกวีรัตนโกสินทร์ เจ้าของรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์แห่งอาเซียน(ซีไรท์) จากรวมกวีนิพนธ์ชุด เพียงความเคลื่อนไหว เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๓ และได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติให้เป็นศิลปินแห่งชาติ ปี พ.ศ. ๒๕๓๖ เป็นกวีคนสำคัญของบ้านของเมืองอีกคนหนึ่ง ที่มีผลงานต่อเนื่องและเป็นที่รู้จักของบุคคลทั่วไป ในแวดวงกวีและแวดวงของนักเขียนนั้น ถ้าหากเป็นรุ่นพี่ก็จะเรียกกวีคนนี้ด้วยความรักความเมตตาว่า เนาว์ และถ้าเป็นรุ่นน้องๆก็จะเรียกเขาด้วยน้ำเสียงสนิทสนมว่า พี่เนาว์ จนกลายเป็นธรรมเนียมต่อมาจนถึงปัจจุบัน

ความที่เป็นครอบครัวของนักอ่าน และครอบครัวที่มีความรักความผูกพันอยู่กับเรื่องราวทางวรรณคดีไทย ดนตรีไทย ทำให้สิ่งเหล่านี้ได้หล่อหลอมจิตใจของทุกคนในบ้านให้มีความรักความผูกพันอยู่กับสิ่งเหล่านี้มากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเนาวรัตน์ได้ดูดซับประสบการณ์ดังกล่าวเข้าไว้ในสายเลือด และเรียนรู้จากของจริงไปโดยปริยายเนาวรัตน์ เป็นคนช่างฝัน อารมณ์อ่อนไหวมากเป็นพิเศษ เขามีความละเมียดละไมมาแต่เล็กแต่น้อย ในเรื่องเกี่ยวกับการแต่งกลอนนั้น เนาวรัตน์เคยกล่าวไว้ว่า"เริ่มแต่งกลอนมาตั้งแต่เรียนโรงเรียนมัธยมที่โรงเรียนวิสุทธิรังษี มาเขียนจริงจังเอาเมื่อเรียนมหาวิทยาลัย"
อยากจะบอกว่ารักสักเท่าฟ้าเป็นการร่วมมือกันของเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ในการร้อยกรอง
และโอษฐ วารีรักษ์ ในการร้อยแก้ว เนื้อหาของหนังสือจะพูดเกี่ยวเรื่องของความรัก โดยการบรรยายนั้นจะไม่ใช้การบรรยายเพียงอย่างเดียว แต่จะเป็นในรูปของบทกลอน และมีการแทรกแนวคิดให้สามารถที่จะนำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวัน มีการนำบทกลอนของผู้อื่นนำมาแทรกและมีการอธิบายเพิ่มเติม ทำให้ผู้อ่านสามารถที่จะคิดตามได้ การนำคำสอนของบุคคลที่มีชื่อเสียงทำให้บทความนั้นมีความน่าเชื่อถือ เช่น ขงจื๊อ มหาปราชญ์ ผู้ยิ่งใหญ่ ของโลกกล่าวสอนไว้ว่า
“เกิดเป็นคนนั้น สะสมความรักใคร่ย่อมเกิดสุข สะสมความเคียดแค้นย่อมเกิดภัย” มันเกิดแก่ตัวเราเพราะเมื่อไหร่ที่เราแค้น ความแค้นเกิดขึ้นในใจเราความแค้นเป็นความทุกข์ แค้นคนสิบคนก็ทุกข์สิบครั้ง แค้นคนร้อยคน ก็ทุกข์ร้อยครั้ง คนที่สะสมความเคียดแค้นจึงเท่ากับเป็นการจุดไฟเผาตัวเอง จะมีชีวิตอยู่ท่ามกลางผู้คนด้วยความทุกข์ทนหม่นหมอง ถ้าเปรียบชีวิตเหมือนการเดินทางเส้นทางในชีวิตที่เรามีอยู่นั้นไม่แตกต่างในความเป็นคนก็คือ ตลอดเส้นทางที่เราเดินไปในโลกนั้น ใครสามารถหยิบฉวยเอาความทุกข์หรือความสุขจากโลก มาใส่ชีวิตของเราได้มากกว่ากันเท่านั้นเอง นี่คือบทพิสูจน์ฝีมือของความเป็นคน
แต่ที่เป็นจุดเด่นของหนังสือเล่มนี้ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นสำนวนภาษาที่ใช้และบทกลอนต่างๆที่กวีได้แทรกเข้ามาเพื่อให้ผุ้อ่านได้คิดตามและสามารถนำไปปรับใช้ได้ในชีวิต เหมือนเป็นหนังสือที่ต้องการจะสอนแนวคิดต่างๆให้ผู้อ่าน โดยที่รูปแบบการนำเสนอ ไม่น่าเบื่อ และภาษาที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย
ความรักไม่ต้องการแค่วันเดียว
ความรักไม่ต้องเกี่ยวกับวันไหน
ความรักไม่ต้องมีเวลาใด
ความรักไม่ต้องใช้ให้ใครชี้
ความรักไม่ต้องมีข้อวิจารณ์
ความรักไม่ต้องการการกดขี่
ความรักไม่ต้องให้ใครตราตี
ความรักไม่ต้องมีเส้นพรมแดน
ความรักไม่ต้องการการเป็นต่อ
ความรักไม่ต้องรอขอเหตุผล
ความรักไม่ต้องย้ำความมีจน
ความรักไม่ต้องทนที่จะรัก

นัฏพร

เทวดาที่โหล่


เทวดาที่โหล่
ผู้แต่ง : โอคะดะ จุน
ผู้แปล : พิมพ์ครั้งที่ 2 / 2547
สำนักพิมพ์ Bliss Publishing
151 หน้า ภาพประกอบ
140 บาท



“บางทีพ่ออาจจะคิดว่า สิ่งที่ทำไปคือความพยายาม แต่แม่จะบอกให้นะ ถ้าความพยายามคือการใช้ชีวิตเหมือนพ่อ หรือการพยายามหมายถึงการต้องเอาชนะคนอื่นแล้วละก็ ฮาจิเม แม่ไม่อยากให้ลูกต้องพยายามทำอะไรเลย”

นั่นคือเนื้อความในบทนำของวรรณกรรมเยาวชนเรื่อง เทวดาที่โหล่ อีกหนึ่งผลงานคุณภาพของนักเขียนชื่อดังชาวญี่ปุ่น “โอคะดะ จุน” ซึ่งนำเสนอเรื่องราวของ “ความพยายาม” ที่ไม่ใช่การแข่งขันเพื่อเอาชนะผู้อื่น แต่เป็น “ความพยายาม” ของเด็กๆ ที่ยังคงไว้ซึ่งหัวใจอันอ่อนโยน

เทวดาที่โหล่ เป็นเรื่องราวของคิโนชิตะ ฮาจิเม เด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ที่เพิ่งสูญเสียพ่อและต้องย้ายมาเรียนที่โรงเรียนแห่งใหม่ ซึ่งเต็มไปด้วยการแข่งขัน ตั้งแต่การเก็บคะแนนสอบท้ายชั่วโมง ไปจนถึงการแข่งขันเรื่องความเร็วในการรับประทานอาหารกลางวัน เด็กๆทุกคนในห้องต่างก็แข่งขันกันเพื่อให้ได้อยู่ในอันดันต้นๆ เพราะนั่นหมายถึงการได้ทั่งแถวหน้าในห้องเรียน และคนที่ได้คะแนนไม่ดีก็จะได้นั่งแถวหลัง ซึ่งไม่มีใครอยากคุยด้วย

ด้วยความที่พ่อของฮาจิเมล้มป่วยและเสียชีวิตเนื่องจากทำงานหนักเกินไป ทำให้ฮาจิเมและแม่ไม่ชอบความพยายามหรือการแข่งขันเพื่อให้ได้เป็นที่หนึ่ง แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้พบกับสิ่งประหลาดตัวโปร่งใสบินไปมาอยู่ในห้องเรียน เมื่อเขาจึงเฝ้าสังเกต จึงได้รู้ว่าเจ้าสิ่งมีปีกรูปร่างโปร่งใสนี้ มักจะไปวนเวียนอยู่ใกล้ๆคนที่ได้ที่โหล่เสมอ ดังนั้นเขาจึงพยายามทำให้ตัวเองได้ที่โหล่ของชั้นในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นคะแนนสอบ การวิ่งแข่ง การกินอาหารกลางวัน เพื่อที่จะได้มองเห็นและคุยกับ “เทวดาที่โหล่” ได้ แต่เมื่อความลับนี้กระจายออกไป เพื่อนๆในห้องจึงอยากที่จะเป็นที่โหล่เพื่อจะได้เห็นและคุยกับเทวดาที่โหล่บ้าง

เทวดาที่โหล่ เป็นหนังสือที่ถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้อย่างเรียบง่ายและลงตัว ด้วยการใช้ภาษาที่ง่าย และเนื้อเรื่องที่น่ารัก ชวนให้ติดตาม อีกทั้งการบรรยายฉากและตัวละครที่ทำได้อย่างดีเยี่ยม พร้อมทั้งภาพประกอบที่มีแทรกอยู่ตลอดทั้งเรื่อง ทำให้ผู้อ่านเห็นภาพได้อย่างชัดเจน และเข้าใจเนื้อหาได้โดยง่าย
แม้ว่าหนังสือเล่มนี้ จะเป็นเรื่องราวของเด็กประถม ที่มีความเปลี่ยนแปลงและเกิดการเรียนรู้ขึ้นอย่างง่ายๆ ไม่มีเงื่อนงำซับซ้อนอันใด แน่นอนว่าเป็นไปตามธรรมชาติของเด็ก ทว่าแง่คิดที่แฝงไว้ในเรื่องราว ผ่านความคิดและการกระทำของบรรดาตัวละครเด็กในเรื่องกลับลึกซึ้งและกระทบใจเหลือเกิน จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า หนังสือเล่มนี้จะกลายเป็นหนังสือที่ได้รับความนิยมในหมู่คนไทย เช่นเดียวกับที่ได้รับความนิยมมาแล้วจากคนญี่ปุ่น

หนังสือเล่มนี้ เปรียบเสมือนสิ่งที่ช่วยย้ำความเชื่อของดิฉันในเรื่องที่ว่า หนังสือที่ถูกกำหนดชื่อให้เป็นวรรณกรรมเยาวชน ไม่ได้เหมาะสำหรับบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็น “เยาวชน” เท่านั้น หากแต่เป็นหนังสือที่เหมาะสมอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น “ผู้ใหญ่” จะหยิบขึ้นมาอ่าน เพราะไม่ใช่แค่กลวิธีในการดำเนินเรื่องราวทั้งหลายในความสัมพันธ์อันบริสุทธิ์ของเด็กๆ ได้อย่างงดงาม หรือความน่ารักของเด็กๆที่สื่อออกมาผ่านการกระทำ คำพูด และความคิดที่แสนจะน่ารัก จนทำให้อดยิ้มไม่ได้ขณะที่อ่าน แต่ผู้เขียนยังได้แฝงแง่คิดในเรื่องของ “ความพยายาม” เอาไว้อย่างแยบยล จากความพยายามที่มุ่งเอาชนะเพื่อการเป็น “ที่หนึ่ง” แปรเปลี่ยนไปสู่ความพยายามเพื่อการเป็น “ที่โหล่” ซึ่งเดินควบคู่ไปพร้อมกับน้ำใจและการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่ใช่การแข่งขันเพื่อหวังชัยชนะ

ผู้เขียนพยายามชี้ให้ตระหนักว่า โลกและชีวิตทุกวันนี้เต็มไปด้วยการแก่งแย่ง แข่งขันเพื่อเอาชนะกันอยู่ตลอดเวลา และนั่นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครหลีกหนีพ้น แต่สิ่งสำคัญเหนืออื่นใดก็คือ การแข่งขัน ต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งการเป็นที่หนึ่งหรือเพื่อความสำเร็จนั้น มิได้นำมาซึ่งความสุขที่แท้จริง หากแต่อยู่ที่การกระทำทุกเรื่องราวในชีวิตอย่างเต็มที่ เต็มความสามารถ โดยไม่ละเลยหรือมองข้ามมิตรภาพ รวมถึงการช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น สิ่งนี้ต่างหาก ที่เป็นหัวใจสำคัญของความสุขในการดำรงชีวิต

ความหมายของความพยายามนั้น แต่ละคนคงตีความไปต่างๆกัน แต่เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้จบ คงจะทำให้หลายคน ต้องลองกลับมาคิดทบทวนดูใหม่ ถึงความหมายของ “ความพยายาม” ว่าที่ตนเข้าใจนั้น ถูกต้องแล้วหรือไม่

ความพยายามของ “ฮาจิเม” และบรรดาตัวละครเด็กในเรื่อง ที่สวนทางกับความพยายามในความหมายของคนทั่วไป ดิฉันเชื่อแน่ว่าวรรณกรรมเยาวชนเรื่องนี้ จะทำให้ผู้อ่านทุกเพศทุกวัย เข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่า ความพยายาม การแข่งขันและน้ำใจ สามารถเดินควบคู่กันไปได้ หากรู้จักจัดวางให้เหมาะสมกับชีวิต
หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องราวชวนอมยิ้มของเด็กน้อยวัยประถม หากแต่เป็นงานเขียนที่แฝงไว้ด้วยแง่คิดและแก่นเรื่องได้อย่างน่าชื่นชม ที่นักเขียนน้อยคนนักจะทำได้ ประกอบกับสำนวนภาษาที่ได้รับการกลั่นกรองด้วยความรักและตั้งใจของ “ปริวัณย์ เยี่ยมแสนสุข” อีกหนึ่งนักแปลคุณภาพหน้าใหม่ จึงทำให้งานเขียนชิ้นนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าน่ายกย่องอีกชิ้นหนึ่ง

นพวรรณ