วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Shine โชคดีที่สวรรค์ไม่ลำเอียง

ฐิตินันท์

ภาพยนตร์เรื่อง Shine โชคดีที่สวรรค์ไม่ลำเอียง กำกับโดย ชาวออสเตรเลีย ชื่อ SCOTT HICKS
ภาพยนตร์เรื่องนี้ สร้างในปี1996 นำแสดงโดย Geoffrey Rushรับบท เป็นเดวิด และArmin Mueller-Stahl รับบทเป็นปีเตอร์ พ่อของเดวิด กำกับภาพยนตร์โดย Scott Hicks และบริษัท Australian Film Finance Corporation เป็นแนวจิตวิทยา คราม่า ดนตรี โรแมนติก ซึ่งความหลากหลายนี้ได้สร้างความประทับใจให้ผู้ชมเป็นอย่างมาก ภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้รับรางวัลอเคเดมี อวอร์ดส์ ประจำปี 1997 สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม โดย เจฟรี รัช ผู้รับบทเดวิด ซึ่งเป็นพระเอกตอนแก่ ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้รับรางวัลสาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม ตัดต่อภาพยอดเยี่ยม นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม และภาพยนตร์ยอดเยี่ยม รวม 6รางวัลด้วยกัน

ภาพยนตร์ออสเตรเลียเรื่องนี้ สร้างขึ้นจากชีวิตจริงของนักเปียโน ที่มีชื่อว่า เดวิด เฮลก็อต ชาวออสเตรเลีย เชื่อสายยิว ในวัยเด็กของเขาถูกกดดันจากพ่อให้ฝึกฝนอย่างหนักกับการเล่นเปียโน ด้วยความที่เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์อย่างมาก ส่งผลให้เขาได้รับทุนไปศึกษาต่อที่ Royal Academy of Music และได้เกิดอุบัติเหตุทางจิตใจ จนทำให้เขาต้องกลายเป็นสติแตก จิตแพทย์จึงสั่งห้ามเขาเล่นเปียโนตลอดชีวิต จนกระทั่งเขาสามารถต่อสู้จนสามารถเอาชนะโรคร้ายได้ และกลับมาเป็นนักเปียโนที่มีชื่อเสียงในที่สุด


เรื่องราวทั้งหมดเป็นการเชื่อมโยงระหว่างตัวละครเอกสองตัวที่มีเป้าหมายที่แตกต่างกัน คือ เดวิดและปีเตอร์ ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์เป็นพ่อลูกกัน เด็กชายเดวิด เติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่มีการใช้อารมณ์ ซึ่งในเรื่องนี้ คือการที่พ่อเข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตของเดวิดมากเกินไป เช่น การตัดสินใจแทน โดยไม่รับฟัง การว่ากล่าวด้วยวาจาที่รุนแรง บางครั้งมีการใช้กำลัง สลับกับการแสดงออกถึงความอบอุ่นของตัวพ่อเอง ทั้งนี้เกิดขึ้นจาก ชีวิตในวัยเด็กของพ่อนั้นไม่ได้รับการตอบสนองความสนใจทางด้านดนตรีจากพ่อ (ปู่ของเดวิด) จึงทำให้เขาส่งเสริมเดวิดทางด้านดนตรีจนเกินไปเสมือนหนึ่งเพื่อทดแทนหรือเติมเต็มและตอบสนองความต้องการของพ่อเองในอดีต ส่งผลให้ตัวเดวิดเองเกิดความสับสน ไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูก หรือสิ่งที่ผิดเพราะพ่อจัดการให้แบบเบ็ดเสร็จ และทำให้ขาดความเชื่อมั่นในตัวเองไปด้วย
ลักษณะของตัวละคร ลักษณะของเดวิดจะเป็นเด็กที่เก็บกด และเครียด เราจะเห็นได้จาก หลายต่อหลายฉากที่เขาใช้น้ำและบุหรี่ในการผ่อนคลายความเครียดที่เขากำลังเผชิญอยู่ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่เขาเล่นเปียโนไปพร้อมๆกับการสูบบุหรี่ หรือฉากที่เขาลงไปเล่นน้ำในสระว่ายน้ำ พร้อมๆกับโน้ตเพลงลอยเต็มสระว่ายน้ำ นอกจากนี้เดวิดยังได้แสดงออกถึงการต้องการความรัก ความเข้าใจ จากใครสักคน เดวิดอาจขาดในส่วนนี้ไป ซึ่งครอบครัวของเขาอาจให้เขาไม่เพียงพอ เขาจึงต้องการที่พึ่งทางจิตใจ จากในเรื่องผู้ที่มาเติมเต็มส่วนที่ขาดให้เดวิด ก็คือ กิลเลี่ยน ส่วนลักษณะของพ่อ จะเป็นคนที่ยึดติดอยู่กับอดีต บ่อยครั้งที่มีการแสดงโดยออกใช้อารมณ์ กำลัง วาจารุนแรง กับลูกๆของเขา


การเปิดเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้ เรื่องราวเริ่มต้นขึ้น ในคืนวันฝนพรำ ชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง ซึ่งมีลักษณะท่าทางแปลกๆ พูดกับตัวเองคนเดียว เนื้อหาการพูดนั้นจับใจความไม่ได้ เปลี่ยนเรื่องไปมาอย่างรวดเร็ว กำลังวิ่งอยู่กลางถนน และได้ไปหยุดยืนอยู่ที่หน้าร้านอาหารชื่อ “โมบาย” สายตาของเขาหยุดและจับจ้องอยู่ที่เปียโน ที่ตั้งอยู่ตรงกลางร้านอาหารแห่งนั้น โดยฉากฝนตกได้สะท้อนให้เห็นถึงชีวิตที่ตึงเครียดของผู้ชายคนนี้ สายฝนเปรียบเสมือนสิ่งที่ทำให้จิตใจเป็นทุกข์ จากการเริ่มต้นเรื่องทำให้ผู้ชมชวนติดตามว่าเหตุการณ์ต่อไปจะเป็นอย่างไร


สำหรับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ จากเรื่องราวในเรื่อง เราจะเห็นได้ว่า สิ่งสำคัญของชีวิตปีเตอร์คือ ครอบครัว แต่สำหรับเดวิดแล้ว ดนตรีคือชีวิตของเขา ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างคนสองคน โดยเดวิดเลือกที่จะเดินทางไปเรียนดนตรีต่อที่ประเทศอังกฤษ ถึงแม้ว่าจะต้องตัดขาดจากครอบครัวก็ตาม


เรื่องดำเนินมายังจุดไคลแม็กซ์ คือ ฉากที่เดวิดบรรเลงบทเพลง ที่ได้ชื่อว่ายากที่สุด “เปียโน คอนเชอร์โต ราช หมายเลข 3 ของ โรมานินอฟ” ซึ่งก่อนหน้านี้เขาได้ฝึกซ้อมอย่างหนัก จนสามารถครองตำแหน่งชนะเลิศได้ในงานประกวดของวิทยาลัย แต่หลังจากที่เขาบรรเลงเพลงจบ เขาก็ล้มลงหมดสติอยู่บนเวที และต่อจากนั้นมาหมอก็สั่งห้ามเล่นเปียโนไปตลอดชีวิต จากตอนนี้ทำให้ชีวิตของเดวิดได้เปลี่ยนแปลงไป จากที่เคยประสบความสำเร็จในการเล่นเปียโน เดวิดกลายเป็นคนที่ป่วยทางจิด ซึ่งความทรงจำของเดวิดยังติดอยู่แต่กับอดีต


การปิดเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้ คือ ฉากหลุมฝังศพของปีเตอร์ ได้สะท้อนให้เห็นว่า หลังจากปีเตอร์ พ่อผู้เป็นคนที่กำหนดชีวิตของเดวิด ให้เป็นไปตามที่เขาต้องการ ซึ่งสร้างกดดันให้เดวิดเป็นอย่างมาก เมื่อปีเตอร์เสียชีวิตลง ทำให้ความกดดันที่มีอยู่ในตัวเดวิดก็ถือเป็นอันสิ้นสุดลงตามไปด้วย ด้วยความรักและความเข้าใจ จากกิลเลี่ยนและครอบครัว ทำให้เดวิดสามารถหวนกลับมาเล่นเปียโน และสามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้ฟัง ได้อีกครั้ง แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่พ่อไม่ได้เห็นความสำเร็จของเขา สิ่งมหัศจรรย์จากดนตรีและความรัก ทำให้เขาได้เห็นแสงสว่างในชีวิตอีกครั้ง

ภาพยนตร์เรื่องนี้ จะเน้นแก่นเรื่องเป็นหลัก เพราะเราจะเห็นได้จากชื่อเรื่อง Shine ที่แปลว่า แสงสว่าง โดยแก่นเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องการจะนำเสนอมุมมองการดำเนินชีวิตให้รู้จักมีความเพียรพยายาม ต่อสู้และไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคที่จะเข้ามา ถึงแม้ว่าสภาพแวดล้อมจะกดดันมากเพียงใดก็ตาม แล้วเราก็จะได้พบกับความสำเร็จ หลังจากที่อุปสรรคทุกอย่างผ่านพ้นไป ดังคำกล่าวที่ว่า ฟ้าหลังฝน ย่อมสดใสเสมอ

การดำเนินเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้ จะเริ่มเล่าเรื่องจากเหตุการณ์ตอนที่เดวิดป่วยทางจิตแล้ววิ่งตากฝนไปที่ร้านโมบายซึ่งฉากนี้ตัดมาจากส่วนกลางของเรื่องราวในชีวิตของเดวิด จากฉากนี้ทำให้ผู้ชมเกิดความสนใจ แล้วตั้งคำถามขึ้นว่าผู้ชายคนนี้เป็นอะไร แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเขา หลังจากเหตุการณ์นี้แล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้เล่าย้อนไปถึงอดีตแล้วค่อยๆตอบคำถามของผู้ชม เริ่มย้อนเมื่อสมัยเดวิดเป็นเด็กแล้วตัดกลับมาเหตุการณ์ตอนนี้อีกครั้ง แล้วจึงดำเนินเรื่องราวต่อไปจนจบเรื่อง

สำหรับองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นฉาก การตัดต่อ เอฟเฟกต์ ล้วนแล้วแต่มีการผสมผสานกันได้อย่างลงตัว สมจริง ทำให้ผู้ชมเกิดอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครในเรื่องและทำให้เราเข้าใจตัวละครมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นเหตุ และผลที่ทำให้ตัวละครมีพฤติกรรมที่แสดงออกไปเช่นนั้น นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอในด้านที่แฝงด้วยความเป็นนัย ใช้สัญลักษณ์แทนในบางส่วนของฉาก ไม่ว่าจะเป็นฉากในห้องน้ำ มีการถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละคร โดยต้องการสื่อว่า คนที่มีความกดดันมากๆ พอถึงขีดสุด ก็จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เห็นได้จากตอนที่เดวิดถ่ายอุจจาระลงในอ่างอาบน้ำ ซึ่งคนปรกติไม่ทำกัน เปรียบได้กับการหมุนปิดก็อกน้ำด้วยแรงที่ไม่มีความพอดี ไม่ตรงล็อก ก็จะทำให้น้ำยังคงหยดลงมาอีก และฉากที่พ่อคุยกับเดวิดหลังจากที่เดวิดกลับจากการเล่นเปียโนที่ร้านอาหารโมบาย จากฉากนี้เราจะเห็นถึงแว่นตาของพ่อที่มีรอยร้าวที่สะท้อนให้เห็นว่าถึงแม้แว่นตาจะแตกแล้ว แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังคงใช้ แว่นตานั้นต่อไป โดยไม่ยอมเปลี่ยนเลนส์แว่นใหม่ จากสัญลักษณ์แว่นตา ทำให้เราเห็นว่าพ่อเป็นคนที่มีความยึดติดกับความทรงจำในอดีต ที่ไม่สามารถลบรอยร้าวปมหลังที่เกิดขึ้นออกไปจากจิตใจได้

หลังจากที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดีอีกหนึ่งเรื่อง ในการให้แง่มุมในด้านต่างๆไม่ว่าจะเป็นการให้แง่มุม ทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับคนที่ป่วยทางจิด ว่าคนที่ป่วยไม่ได้เลวร้ายเป็นภัยสังคมอย่างที่ใครหลายๆคนคิด แต่บางครั้งคนที่ป่วยทางจิตอาจสร้างสรรค์สิ่งที่ดีๆให้กับสังคมได้ เห็นได้จาก เดวิดซึ่งเป็นนักเปียโนที่มีชื่อเสียง ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังให้แนวทางในการแก้ไขปัญหาอีกด้วยว่า คนที่ป่วยทางจิตควรได้รับการบำบัดรักษาอย่างถูกวิธีจากคนรอบข้าง คนในครอบครัวควรเป็นกำลังสำคัญในการให้ความรักและความอบอุ่น ไปพร้อมๆกับการให้ความเข้าใจแก่เขา ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังทำให้เราเล็งเห็นถึงความสำคัญของสถาบันครอบครัว ที่นับได้ว่าเป็นสถาบันพื้นฐาน ที่สำคัญในการปลูกฝัง ผลิตสมาชิกที่มีคุณภาพออกสู่สังคม หากครอบครัวที่มีความรัก ความอบอุ่นให้แก่กัน เด็กที่เติบโตในครอบครัวที่อบอุ่นก็จะกลาย เป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพและเป็นกำลังของชาติในอนาคตได้โดยไม่สร้างปัญหาให้กับสังคม

ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้สร้างกำลังใจ แรงบันดาลใจให้แก่ผู้ชม เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเสมือนแรงผลักดันให้คนเรายืนหยัดอย่างเข้มแข็ง อย่ายอมแพ้ พร้อมที่จะเผชิญกับปัญหาที่เข้ามาในชีวิต ไม่ว่าปัญหาที่เข้ามาจะหนักหนาเพียงใด หากเรายังไม่สิ้นลมหายใจ เราก็ต้องดิ้นรนต่อสู้กันต่อไป แล้วเราก็จะพบกับความสุขและความสำเร็จที่รอเราอยู่ ในทุกปัญหาย่อมมีทางออกให้กับเราเสมอ นอกจากนี้ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังให้แง่มุมในการใช้ชีวิตทางสายกลาง ไม่แข็งหรืออ่อนจนเกินไป ความพอดีก็จะทำให้เราสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข แต่ในทางตรงกันข้ามหากเรายังยึดติดบางสิ่งบางอย่างมากจนเกินไปอาจทำให้เราเกิดความเครียด ส่งผลให้เราเป็นทุกข์

Shine โชคดี...ที่สวรรค์ไม่ลำเอียง

ซีรีน

Shine หรือชื่อภาษาไทยว่า โชคดี...ที่สวรรค์ไม่ลำเอียง ภาพยนตร์ออสเตรเลียที่เป็นเรื่องราวของเดวิด ชายคนหนึ่งที่ถูกพ่อบังคับทุกอย่างมาตั้งแต่เด็กๆ รวมถึงการเล่นเปียโนของเขาด้วย เดวิดมีความสามารถในการเล่นเปียโนมากพอๆกับการได้รับความกดดันจากพ่อของเขา พ่อเป็นผู้ควบคุมทุกทิ่งทุกอย่างในชีวิตของเดวิด กระทั่งวันหนึ่งเขาสามารถเป็นผู้ชนะเลิศการแข่งขันเปียโนที่อายุน้อยที่สุด และได้รับทุนไปเรียนที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เดวิดอยากไปเรียนที่นั่นมาก แต่พ่อของเขาไม่อนุญาต ความต้องการของเขาจึงไม่มีความมายใดๆ ต่อมาเขาได้รับทุนให้ไปเรียนอีกครั้งที่ลอนดอน พ่อของเขาก็ไม่อนุญาตอีกเช่นเคย แต่คราวนี้เดวิดกล้าที่จะตัดสินใจ เขาก้าวออกจากบ้านไปถึงแม้ว่าพ่อยืนยันที่จะตัดเขาออกจากครอบครัว เมื่อเดวิดมาเรียนที่ลอนดอนเขาตัดสินใจเล่นเพลงที่ยากมากๆในการแข่งขัน เขามุ่งมานะฝึกซ้อมและกดดันตัวเองอย่างหนักเพื่อให้ชนะการแข่งขันในครั้งนี้ เมื่อวันแข่งมาถึงเดวิดใช้ความสามารถที่มีอยู่ทั้งหมดในตัวเพื่อเล่นเพลงนี้ แต่พอจบเพลงเขาก็หมดสติ ล้มลงไป จากนั้นมาเดวิดก็ไม่เหมือนคนเดิมอีกต่อไป เขาเข้าไปอยู่ในโลกของตัวเอง...โลกที่ยากนักที่ผู้คนภายนอกจะเข้าถึง หากแต่ต่อมาเขาก็มีโอกาสได้กลับมาเล่นเปียโนอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่เพื่อการแข่งขันเหมือนครั้งใดๆ เขากลับมาเป็นนักเปียโนที่มีชื่อเสียงได้อีกครั้งหนึ่ง และมีชีวิตการแต่งานที่มีความสุขในท้ายที่สุด

ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดเรื่องด้วยเหตุการณ์ โดยเริ่มจากการกระทำของตัวละคร เป็นภาพของชายคนหนึ่งหันด้านข้าง พูดอย่างรวดเร็ว ซ้ำๆ เหมือนคนบ่นพึมพำ และฉากต่อมาก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้รู้ว่าเขาชื่อเดวิด การเปิดเรื่องด้วยใบหน้าของชายคนนี้แสดงให้เห็นว่าตัวละครตัวนี้มีความสำคัญกับภาพยนตร์เรื่องนี้ อากัปกิริยา ท่าทางในการพูดของเขาที่มีลักษณะแตกต่างไปจากคนทั่วไปก็เป็นสิ่งกระตุ้นให้ผู้ชมรู้สึกสนใจว่าเขาเป็นใครและทำไมถึงมีลักษณะอยางนั้น ภาพยนตร์เรื่องนี้มีการเล่าเรื่องแบบย้อน คือเปิดเรื่องด้วยฉากท้ายๆของเรื่อง แล้วค่อยเล่าถึงสาเหตุของเรื่องทั้งหมด เริ่มตั้งแต่เดวิดยังเป็นเด็กจนถึงฉากเปิดเรื่องอีกครั้งไปจนจบ

การเปิดเรื่อง ป็นฉากที่เกิดขึ้นที่ร้านของซิลเวีย ซึ่งเป็นสถานที่ที่เรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของความสว่างในชีวิตของเดวิด โดยสอดคล้องกับการตั้งชื่อเรื่องว่า “Shine” อันหมายถึง แสงสว่าง การเริ่มเรื่อง Shine จึงเกิดขึ้น ณ สถานที่ที่ทำให้ชีวิตของเดวิดกลับมามีความสว่างอีกครั้งนั่นเอง

ความขัดแย้งในเรื่องเป็นความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ คือ ระหว่างเดวิดกับพ่อของเขา สาเหตุเพราะพ่อบังคับให้เดวิดทำทุกอย่างตามที่ตนต้องการตั้งแต่เด็กจนโต ในการแข่งขันเปียโนทุกครั้งพ่อมักจะเป็นคนเลือกเพลงให้เดวิด และบอกกับเดวิดเสมอว่าเขาต้องชนะเท่านั้น ทำให้เดวิดต้องฝึกซ้มบ่อยๆ ชีวิยวัยเด็กของเขาจึงอยู่แต่กับเปียโน ทั้งๆที่เดวิดก็เหมือนกับเด็กคนอื่นๆทั้วไปที่ต้องการเที่ยวเล่นตามวัย เห็นได้จากการกระโดดโลดเต้นอย่างที่เด็กคนหนึ่งพึงทำ ในระหว่างทางเดินกลับบ้านหลังจากการแข่งขันเปียโนครั้งแรกในชีวิตของเขา บางครั้งสิ่งที่พ่อต้องการก็ตรงข้ามกับความต้องการของเดวิด ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือตอนที่เขาได้ทุนไปเรียนที่ลอนดอนแต่พ่อไม่อนุญาตให้เขาไป ทว่าครั้งนี้พ่อไม่สามรถบังคับเดวิดได้อีก เขาตัดสินใจไปเรียนลอนดอนถึงแม้จะถูกพ่อของเขาตัดออกจากครอบครัว

จุดวิกฤติของเรื่องคือฉากที่เดวิดเล่นเพลงแรคมานีนอฟในขณะการแข่งขัน เขาต้องใช้สมาธิและความสามารถอย่างมากในการเล่นเพลงนี้ พร้อมทั้งมีความกดดันอย่างแรงกล้าว่าจะต้องทำให้สำเร็จ เขาแบกความคาดหวังเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยม ฉากนี้สามาถทำให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึงความกดดันที่กระจายออกมาจากตัวเขา และลุ้นว่าเขาจะสามารถเล่นเพลงนี้ได้หรือไม่

เรื่องได้ดำเนินมาถึงจุดสูงสุดเมื่อเดวิดหมดสติ ล้มลงหลังจากเล่นเพลงแรคเมนีนอฟจบ ส่งผลให้ชีวิตหลังจากนี้ของเขาปลี่ยนไป และมีเหตุการณ์อื่นๆตามมา ฉากนี้สอดคล้องกับการเปิดเรื่อง ถือเป็นการตอบโจทย์ที่ว่าผู้ชายที่เห็นในฉากแรกมีลักษณะอย่างนั้นได้อย่างไร

เรื่องเริ่มคลี่คลายเมื่อเดวิดมาที่ร้านของซิลเวียและได้เล่นเปียโนอีกครั้งหนึ่ง เขาสามารถกลับมาเป็นนักเปียโนที่มีชื่อเสียงได้หลังจากที่ได้มาเล่นเปียโนที่นี่ และซิลเวียก็ยังเป็นตัวเชื่อมที่ทำให้เขาได้พบเจอกับภรรยาและมีความสุขกับชีวิตการแต่งงานในท้ายที่สุด

การปิดเรื่องเป็นฉากที่เดวิดและภรรยาไปเยี่ยมหลุมศพของพ่อเขา ซึ่งถือเป็นการตอบคำถามที่ว่าพ่อของเดวิดหายไปไหน เพราะเมื่อตอนที่เขามีโอกาสแสดงความสามารถในการเล่นเปียโนให้ผู้คนมากมายได้ชมอีกครั้ง ทุกคนในครอบครัว ทั้งแม่ พี่สาว น้องสาว รวมทั้งครูของเขาต่างก็มาชมการแสดงและร่วมยินดีกับเขาทั้งสิ้น
ฉากที่เป็นการปิดเรื่องนี้ถือเป็นอีกฉากหนึ่งที่ให้แง่คิดแก่ผู้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี จากคำพูดของเดวิดที่ว่า “ชีวิตคนเราไม่ใช่เนื้อสันใน” เนื้อสันในหมายถึงเนื้อส่วนที่ดีที่สุด ดังนั้นการเปรียบเทียบชีวิตว่าไม่เหมือนกับเนื้อสันในนั้นหมายความว่าชีวิตของคนเราย่อมไม่สมบูรณ์แบบเสมอไป ต้องพบเจอกับปัญหาและอุปสรรคบ้าง แต่เราก็ต้องต่อสู้เพื่อความสุขในการดำรงชีวิตอยู่ต่อไป

ตัวละครที่สำคัญในเรื่องมีสองตัวคือเดวิดและปีเตอร์พ่อของเขา เดวิดเป็นตัวละครเอกของเรื่อง ซึ่งป็นตัวละครที่สะท้อนให้เห็นว่าการได้รับแรงกดดันจากผู้อื่นมากๆหรือการกดดันตัวเองมากเกินไปเพื่อที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้ได้นั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย เห็นได้จากตัวเดวิดที่มีทักษะดีเลิศทางการเล่นเปียโนจนได้เป็นแชมป์ แต่ในขณะเดียวกันตอนนั้นเขายังคงปัสสาวะรดที่นอนอยู่ แสดงให้เห็นว่าคนเราควรได้รับการพัฒนาในทุกๆด้าน ไม่ใช่แค่เพียงด้านใดด้านหนึ่ง และการรู้จักคิด มีความคิดเป็นของตัวเองก็ถือเป็นการพัฒนาทักษะชีวิตอย่างหนึ่งเช่นกัน ตัวเดวิดยังคงมีความเป็นเด็กอยู่เสมอถึงแม้ร่างกายจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม เขายังกระโดดโลดเต้นอยู่เหมือนวันที่เดินตามพ่อกลับบ้านเมื่อครั้งยังเยาว์ นอกจากนี้พฤติกรรมอีกอย่างหนึ่งของเดวิดที่เห็นได้ชัดเจนคือการพูดตามคนอื่น ไม่กล้าพูดในสิ่งที่ตนเองคิด อย่างเช่น “ผมเห็นด้วยเสมอเลย” หรือ “ผมไม่เคยแน่ใจอะไรเลย” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการไม่เป็นตัวของตัวเอง เพราะเขาถูกจำกัดให้อยู่ในกรอบมาตลอด ทำให้กลายเป็นคนที่ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น อีกฉากหนึ่งที่แสดงให้เห็นได้ดีว่าเดวิดถูกกดดันอย่างมากจนกระทั่งไม่สามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้ นั่นคือฉากที่เขาถ่ายในอ่างอาบน้ำ เปรียบเสมือนกับก๊อกน้ำที่บิดสนิทจนเกินไป จากการปิดน้ำกลับกลายเป็นไม่สามารถทำให้น้ำหยุดไหลได้

ตัวละครสำคัญอีกตัวหนึ่งคือ ปีเตอร์ พ่อของเดวิด เป็นคนที่ยึดความคิดของตัวเองเป็นหลัก และควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในครอบครัว เขายัดเยียดสิ่งที่ตัวเองต้องการทำแต่ไม่สามารถทำได้เพราะถูกพ่อของตัวเองบังคับให้กับลูก นั่นคือการเป็นนักดนตรีอ แต่สุดท้ายแล้วตัวเขาก็ไม่ต่างอะไรไปจากพ่อของเขา เพราะเขาเองก็บังคับลูกทุกอย่างเช่นกัน ตัวละครนี้มีลักษณะแบน แม้กระทั่งตอนท้ายเรื่องพ่อของเขาก็ยังคงมีความคิด มีทัศนคติที่เหมือนเดิม เห็นได้จากตอนที่เขาไปหาเดวิดที่ห้อง สังเกตได้ว่าเขายังคงใส่แว่นตาอันเดิมถึงแม้มันจะแตกไปแล้วเขาก็ยังไม่เปลี่ยนใหม่ แว่นตาเป็นสิ่งที่ทำให้คนเรามองเห็นสิ่งต่างๆได้ชัดเจน การไม่ยอมเปลี่ยนแว่นของพ่อก็เปรียบเหมือนกับการมองโลกด้วยทัศนคติเดิมๆไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ซึ่งก็เป็นจริงเมื่อพ่อพูดประโยคที่ว่า “ตอนพ่อยังเด็ก พ่อซื้อไวโอลีนคันหนึ่ง สวยมาก พ่ออดออมเงินซื้อมันมา ลูกรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับมัน?” ซึ่งเป็นประโยคทีสองพ่อลูกคุ้นเคยและรู้กันดี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พ่อถามประโยคนี้กับเดวิด แต่คราวนี้คำตอบของเดวิดไม่เหมือนเดิม การที่เขาตอบว่า “ไม่ทราบครับ เกิดอะไรขี้นกับมันหรือ?” ไม่ได้หมายความว่าเขาจำเรื่องราวเหล่านั้นไม่ได้ แต่เป็นการแสดงให้เห็นว่าเขาเลือกที่จะไม่ยอมรับการครอบงำ การบังคับจากพ่ออีก และเขาต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง ดังประโยคต่อมาที่เขาพูดว่า “เราต้องฟิตถึงจะเอาตัวรอดใช่มั้ยฮะ” ประโยคที่พ่อพูดกับเขามาตลอดตั้งแต่เป็นเด็ก ซึ่งย้ำให้เห็นว่าเขาไม่ได้ลืมเรื่องราวเหล่านั้นจริงๆ

ฉากนี้ถือเป็นฉากที่ข้าพเจ้าประทับใจที่สุด เพราะแสดงให้เห็นถึงสายใยผูกพันระหว่างพ่อกับลูกได้เป็นอย่างดี ถึงแม้เวลาจะผ่านไปแต่พ่อก็ยังคงเป็นพ่อที่พร้อมจะช่วยลูกเสมอ หากแต่ความคิด ทัศนคติของพ่อกลับกลายเป็นสิ่งที่มาทำร้ายลูกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และตัวลูกเองก็จำเป็นที่จะต้องมีชีวิตเป็นของตัวเอง...ทางเดินของพ่อกับลูกจึงต้องสวนทางกัน

ภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าชีวิตของคนเราไม่มีวันหยุดนิ่งอยู่กับที่ ถึงแม้จะต้องเจอกับอุปสรรคมากมายดั่งลมพายุฝนอันมืดมน แต่วันหนึ่งเมื่อพายุฝนสงบ ฟ้าหลังฝนย่อมสว่างสดใสเสมอ ซึ่งสอดคล้องกับการตั้งชื่เรื่อง Shine เป็นอย่างดี