วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2551

แสงสว่างเล็กๆ

ทรัพย์อนันต์

หากพูดถึงภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับผู้ป่วยโรคจิตแล้วหลายท่านคงนึกถึงผู้ป่วยที่เป็นโรคจิตในทางลบ เพราะมักมีภาพยนตร์หลายเรื่องที่นำเสนอด้านลบของผู้ป่วยโรคจิต จนทำให้ “ผู้ป่วยโรคจิต” กลาเป็นคนที่น่ากลัว และไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกับคนปกติได้ แต่ก็มีภาพยนตร์ไม่น้อยที่นำเสนอชีวิตด้านบวกของผู้ป่วยโรคจิต

“shine” สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1996 กำกับภาพยนตร์โดย Scott Hicks บทภาพยนตร์โดย Scott Hicks และ Jan Sardi

ภาพยนตร์เปิดเรื่องด้วยภาพของชายคนหนึ่งที่พูดคนเดียว และพูดเร็วจนจับใจความไม่ได้ จากนั้นภาพก็ตัดไปที่ภาพชายสูงวัยคนหนึ่งเดินสูบบุหรี่กลางสายฝน แล้วไปหยุดอยู่หน้าร้านอาหาร จ้องมองเข้าไปในนั้น “เปียโน” ที่อยู่ในร้านคือ สิ่งที่เขามองโดยไม่ละสายตา

หลังจากนั้นก็ได้เล่าย้อนกลับไปในชีวิตวัยเด็กของชายสูงวัย “เดวิด เฮลก๊อต” เด็กชายที่เล่นเปียโนเป็นชีวิตจิตใจ โดยมีปีเตอร์ บิดาของเขาที่เป็นทั้งพ่อ ทั้งครูสอนเปียโน และยิ่งกว่านั้นเขาเป็นผู้คุมจิตวิญญาณของเดวิด

ปีเตอร์พยายามยัดเยียดให้เดวิดเล่นเปียโนตั้งแต่เด็ก เคี่ยวเข็ญให้เดวิดฝึกซ้อมเปียโนอย่างหนัก เพื่อที่จะทดแทนความต้องการในชีวิตวัยเยาว์ของเขา จนเดวิดนั้นประสบความสำเร็จจากการประกวดมากมาย เวทีแล้วเวทีเล่าจนเดวิดได้รับทุนไปเรียนที่สถาบันสอนดนตรีชื่อดังที่สหรัฐอเมริกา แต่เดวิดก็ถูกพ่อขัดขวางความ จึงทำให้ความหวังที่จะได้เรียนต่อนั้นพังทลายลง หลังจากนั้นเขาก็เริ่มมีอาการทางจิตเล็กน้อย

หลังจากนั้นไม่นานนักเขาก็ได้พบกับนักเขียนชื่อดัง แคทเธอรีน พลิชาร์ต เดวิดได้ไปเล่นเปียนโนให้เธอฟังบ่อยๆ แคทเธอรีน กลายเป็นที่พึ่งทางใจของเดวิดในช่วงนั้น จนวันหนึ่งเดวิดได้รับทุนให้ไปเรียนที่อังกฤษ เช่นเคยเขาถูกพ่อคัดค้าน แต่ครั้งนี้เขาเลือกที่จะเดินตามเสียงหัวใจ โดยไม่สนใจว่าเขาจะได้กลับมาที่บ้านอีกหรือไม่

ระหว่างที่เดวิดอยู่ที่อังกฤษเขาได้ตั้งใจฝึกซ้อมดนตรีอย่างหนัก อีกทั้งยังมีความเครียดเรื่องที่พ่อไม่ตอบจดหมายของเขาแม้แต่ฉบับเดียว ในขณะเดียวกัน แคทเธอรีน ก็ได้เสียชีวิตลงซึ่งทำให้เขารูสึกเสียใจเป็นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ยังไม่ลดละความพยายามที่จะเล่นเพลง “เปียโนคอนเชอร์โต ราช หมายเลข 3 ของ โรมานินอฟ” เพลงที่ถือว่ามีความยากที่สุด เพื่อใช้ในการประกวดของวิทยาลัย ซึ่งเพลงนี้พ่อเขาเคยบังคับให้เล่นเมื่อสมัยเขาเด็กๆ

เดวิดเล่นเพลงนี้จนชนะการประกวด และหลังจากที่เขาบรรเลงเพลงจบลงเขาก็หมดสติล้มลงกลางเวที หลังจากนั้นเดวิดก็เข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลผู้ป่วยทางจิต หลังจากที่เขาฟื้นขึ้นมาเขาก็มีอาการพูดเร็ว คิดเรื่องราวไม่ประติดประต่อ จมปลักอยู่กับความหลังว่าเรื่องราวแย่ๆที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะการกระทำของเขาเอง ดังนั้นเดวิดจึงถูกสั่งห้ามให้เล่นเปียโน เพื่อลดความตึงเครียดภายในจิตใจ

หลังจากที่เขาออกจากโรงพยาบาลเขาก็ได้เข้ามาอาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนแห่งหนึ่ง เขาเล่นเปียโนจนเจ้าของห้องรำคาญจนเจ้าของห้องต้องล็อคเปียโนนั้นไว้ จนในที่สุดเดวิดตัดสินใจเดินออกไปท่ามกลางสายฝนและไปยืนจ้องอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งและได้ไปเล่นเปียโนที่ร้านอาหารนั่น จนทำให้เขากลายเป็นผู้ที่มีชื่อเสียง

วันหนึ่งเดวิดได้พบกับกับพ่อของเขาอีกครั้ง เพื่อที่จะมารับเดวิดกลับบ้าน แต่เขากลับพบว่าลูกชายของตนมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปจากที่เดิมที่เขาเคยขีดเส้นทางให้เดวิดเดิน เขาจึงตัดสินใจทิ้งเดวิดไว้แล้วเดินจากไปเพียงลำพัง

หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้พบกับกิลเลี่ยน นักดูดวงชาวซิดนีย์ เธอประทับใจในความร่าเริง ความน่ารัก ความสามารถทางดนตรีของเดวิด จนทำให้เธอตัดสินใจแต่งงานกับเดวิด เธอคอยดูแลเอาใจใส่เดวิดด้วยความรักและความห่วงใยจนทำให้เดวิดสามารถกลับมาเล่นเปียโนได้อีกครั้ง แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า วันที่เดวิดประสบความสำเร็นั้น พ่อของเขาไม่มีโอกาสได้อยู่ชื่นชมความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นั้น


“shine” หากเห็นคำนี้แล้วก็ชวนให้นึกถึงความสุข ความสว่างสดใส ชื่อเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้มีความเหมาะสมกับเนื้อหาของเรื่องเป็นอย่างมาก เพราะ เป็นการตั้งชื่อเรื่องที่ขัดแย้งกับเนื้อเรื่อง ทำให้ผู้ชมอาจพอจะเดาได้ว่าชีวิตของตัวละครเอกนั้นไม่ได้ “shine” เลยแม้แต่น้อย และในขณะเดียวกันก็พอจะเดาได้ว่าในตอนท้ายของเรื่องนั้นอาจจะมีเรื่องดีๆที่ทำให้ชีวิตของตัวละครเกิดแสงสว่างหรือความสุข

ภาพยนตร์เปิดเรื่องด้วยภาพของชายที่พูดเร็วจนจับใจความไม่ได้ เป็นการแนะผู้ชมอย่างคร่าวๆว่าตัวละครเอกของเรื่องนั้นมีบุคลิกภาพ ลักษณะอย่างไร ซึ่งเป็นการดึงความสงสัยของผู้ชมได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทำให้ผู้ชมต้องติดตามเรื่องราวไปตลอด

ตัวละครเอกของเรื่องนำแสดงโดยเจฟฟี่ รัช ซึ่งถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม จน ไม่ว่าจะอารมณ์เศร้า เหงา รัก ทำให้ผู้ชมตกอยู่ในมายาอันสมบูรณ์ เชื่อว่าเขาเป็นโรคจิตจริงๆโดยปราศจากข้อสงสัย

ความขัดแย้งของภาพยนตร์เรื่องนี้จัดเป็นความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ก็คือความขัดแย้งระหว่างเดวิดกับพ่อ ซึ่งทำให้เรื่องดำเนินไปได้โดยตลอด

ฉากในเรื่องนี้ใช้แสงค่อนข้างน้อย เน้นไปในช่วงเวลากลางคืนเป็นสำคัญ ซึ่งถือว่ามีความเหมาะสมกับเนื้อเรื่องเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังช่วยให้เกิดความสะเทือนอารมณ์ได้ง่ายอีกด้วย

ภาพยนตร์เรื่อง “shine” มีการทิ้งจุดสงสัย และนัยไว้หลายตอน เช่น ตอนที่ปีเตอร์พ่อของเดวิดออกมานั่งดูภาพของเดวิดตอนได้รับรางวัลที่โซฟา และก่อนที่เขาจะล้มตัวลงนอนที่โซฟาเขาได้เอาผ้าห่มปิดทับลงบนโวฟาที่ขาดวิ่น นั่นเป็นการแสดงให้เห็นว่าเขาพยายามจะปกปิดแผลเก่าที่มีในใจของเขาเองด้วยการพยายามเคี่ยวเข็ญของให้เล่นเปียโนแทนเขาในตอนเด็ก

ภาพที่เดวิดผิดหวังเรื่องไปเรียนต่อที่อเมริกาแล้วเครียดจนอุจจาระในอ่างน้ำ จนทำให้พ่อโกรธและทำร้ายร่างกายเขา จากนั้นภาพก็ตัดไปที่ก๊อกน้ำที่ปิดแต่ยังมีหยดน้ำไหลอยู่ นั่นก็แสดงให้เห็นว่าเดวิดนั้นไม่สามารถควบคุมตนเองได้แล้ว

ภาพที่พ่อชอบเดินเอามือประสานกันที่หน้าขา และภาพที่แว่นตาของพ่อแตกแต่ไม่ยอมเปลี่ยน นั่นก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าพ่อเป็นคนที่ไม่ยอมรับสิ่งใหม่ๆ มักปิดกั้นตนเองจากความคิดของคนอื่น อีกทั้งยังไม่ยอมเปลี่ยนทัศนคติอีกด้วย

ภาพที่เดวิดวางแว่นตาไว้บนเปียโนเมื่อตอนที่เขาประกวดเล่นเปียโนที่วิทยาลัย และเมื่อเขาเล่นจบเขาก็เอื้อมมือจะไปจับแว่นตา แต่ไม่สามารถทำได้เนื่องจากเขาหมดสติไปเสียก่อนและหลังจากนั้นเดวิดก็ป่วยเป็นโรคจิต ภาพยนตร์ตั้งใจจะทิ้งภาพนี้ไว้เพื่อให้สัมพันธ์กับตอนจบของเรื่องคือ ตอนที่เดวิดสามารถกลับมาเล่นเปียโนได้อีกครั้ง และเมื่อเล่นจบเขาก็สามารถจะหยิบแว่นตาที่วางไว้บนเปียโนให้กลับมาสวมได้ นั่นเป็นการแสดงให้เห็นว่า เดวิดสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนเดิมแล้ว ไม่ต้องทนอยู่กับความเจ็บปวดในอดีตอีกแล้ว

นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องการนำเสนอคือ “น้ำ” จะเห็นได้ว่าภาพยนตร์เปิดเรื่องขึ้นมาพร้อมกับสายฝน และเดวิดเองก็ชอบเล่นน้ำ เช่น ฉากที่ไปเล่นน้ำที่ทะเล นอกจากนี้ยังมีฉากที่เดวิดสูบบุหรี่กลางสายฝน ที่จุดอย่างไรก็ไม่มีทางติด

น้ำในที่นี้ก็หมายถึง “พ่อ” ของเดวิดที่ช่วยให้เขาได้เล่นเปียโน จนมีชื่อเสียง เปรียบได้กับตอนที่เดวิดเล่นน้ำทะเล หรือเล่นน้ำที่สระในบ้านแล้วมีความสะบายใจ แต่ในขณะเดียวกันนั้นพ่อเขาก็เป็นคนที่ทำลยชีวิตของเดวิดเช่นกัน เปรียบเสมือนได้กับตอนที่เดวิดสูบบุหรี่กลางสายฝน ซึ่งฝนได้ทำให้เปลวไฟของบุหรี่ดับลง

หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่กำลังต้องการกำลังใจ ภาพยนตร์เรื่อง “shine” จะเป็นหนึ่งกำลังใจเล็กๆแต่มีความหมายที่ยิ่งใหญ่ที่จะทำให้คุณมีแรงที่จะก้าวเดินต่อไปในวันข้างหน้า และศรัทธาในปาฏิหารย์แห่งความรัก แล้วสักวันแสงสว่างจะเป็นของคุณ

Shine โชคดีที่สวรรค์ไม่ลำเอียง

อรจิรา

ภาพยนตร์เรื่อง Shine หรือในชื่อภาษาไทยว่า โชคดีที่สวรรค์ไม่ลำเอียง เป็นภาพยนตร์จากประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่สร้างโดยอ้างอิงจากชีวิตจริงของ เดวิด เฮล์ฟก็อตต์ (David Helfgott) นักเปียโนอัจฉริยะชาวออสเตรเลีย ภาพยนตร์เรื่องนี้อำนวยการสร้างโดย เจน สก็อต (Jane Scott) กำกับภาพยนตร์โดย สก็อต ฮิกส์ (Scott Hicks) ผู้กำกับชาวออสเตรเลีย และนำแสดงโดย Geoffrey Rush ผู้ซึ่งสวมบทบาทเป็นเดวิดในวัยกลางคน และ Noah Taylor ผู้ซึ่งสวมบทบาทเป็นเดวิดในช่วงวัยรุ่น ซึ่งจากภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้ Geoffrey Rush ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Oscar และได้รับรางวัล Best Actor ภาพยนตร์เรื่อง Shine เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่ติดอันดับ Top 10 ในปี 1996 ของภาพยนตร์โลก และนอกจากนี้ยังได้รับรางวัลต่างๆอีกมากมายจาก AFI (Australian Film Institute)

ภาพยนตร์เรื่อง Shine เป็นเรื่องราวของ เดวิด เฮล์ฟก็อตต์ (David Helfgott) นักเปียโนอัจฉริยะชาวออสเตรเลีย เดวิดเด็กชายคนหนึ่ง ผู้ซึ่งเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ทางด้านดนตรี แต่ชีวิตในวัยเด็กของเขาไม่เหมือนกับเด็กทั่วไปที่ได้เล่นสนุกสนาน เขาต้องมีชีวิตอยู่กับการฝึกฝนเรียนเปียโนอย่างหนัก โดยมีพ่อของเขาเป็นผู้ผลักดันแบบบังคับ และให้เดวิดฝึกเล่นเพลงที่ยากเกินไป แต่เดวิดเล่นเปียโนได้ดีและเก่งมาก พอเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นเขาได้เข้าแข่งขันเปียโน เขาเล่นได้ดีจนได้รับรางวัลมากมาย และได้รับทุนไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา แต่พ่อของเขาไม่ให้ไปด้วยเหตุผลที่ว่าไม่ต้องการให้ครอบครัวแยกจากกัน ด้วยความที่เดวิดเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดและขาดความมั่นใจในตัวเองอยู่แล้ว เนื่องจากสภาพการเลี้ยงดูของพ่อและความกดดันที่ถูกสร้างขึ้นในวัยเด็ก ทำให้เขาทำตามที่พ่อบอก ต่อมาตอนเขาอายุได้ 19 ปี เขาสอบชิงทุนไปเรียนต่อเปียโนที่กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษได้ และครั้งนี่พ่อของเขาก็ไม่ให้เขาไปเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้เดวิดไม่ฟังคำของพ่อ เขาตัดสินใจไปกรุงลอนดอน โดยที่พ่อของเขาประกาศตัดพ่อตัดลูกกับเขา ขณะที่เดวิดอยู่ที่กรุงลอนดอน เขาคิดถึงพ่อของเขาเสมอและพยายามเขียนจดหมายหาพ่อของเขาหลายครั้ง แต่พ่อของเขาโกรธและไม่ยอมตอบจดหมายเขาเลย ทำให้เดวิดเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ จนเดวิดฝึกเล่นเปียโนคอนแชร์โตหมายเลข 3 ของ Rachmaninoff เขาเล่นได้ยอดเยี่ยม แต่เมื่อแสดงบนเวทีจบ เขาก็ช็อกบนเวที และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล เมื่อเรียนจบเขาก็กลับออสเตรเลีย เขามีอาการไม่ปกติมากขึ้น พูดจาไม่รู้เรื่องจนสื่อสารไม่ได้ เขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลและต้องพักรักษาตัว หมอสั่งห้ามเขาเล่นเปียโนเด็ดขาด เขารักษาตัวนานถึง 20 ปี จนอาการเขาเริ่มดีขึ้นแต่ก็ยังไม่เป็นปกติจึงได้ออกจากโรงพยาบาล เดวิดยังมีอาการไม่ปกติดี ยังพูดจาไม่รู้เรื่อง จนวันหนึ่งเขาได้เจอกับเจ้าของร้านอาหารคนหนึ่งชื่อซิลเวีย ที่ร้านอาหารแห่งนี้มีเปียโน เมื่อเดวิดเห็นจึงขอเล่น เขาเล่นได้ดีจนทำให้ทุกคนตะลึง เดวิดจึงได้งานเล่นเปียโนที่ร้านอาหารแห่งนี้ เขาเล่นเปียโนตามคำขอของลูกค้า ทำให้มีลูกค้าเข้าร้านของซิลเวียมากขึ้น ชีวิตการเล่นเปียโนของเขากลับมาอีกครั้งหนึ่ง ต่อมาซิลเวียแนะนำให้เดวิดรู้จักกับเพื่อนที่เป็นหมอดูชื่อกิลเลียน กิลเลียนพูดกับเดวิดรู้เรื่องได้เป็นอย่างดี ทำให้ทั้งสองเรียนรู้กันและได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน และสุดท้ายพ่อของเดวิดก็เสียชีวิตไป

ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดเรื่องด้วยภาพใบหน้าด้านข้างของชายคนหนึ่งที่กำลังพูดอยู่ท่ามกลางสายฝน แต่ไม่สามารถจับใจความได้ และภาพก็ขยายขึ้นเป็นภาพชายคนนั้นกำลังวิ่งอยู่ท่ามกลางสายฝนไปเคาะประตูร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งปิดให้บริการแล้ว ภายในร้านมีผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเธอเข้ามาพูดคุยกับชายคนนั้น เพราะคิดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ชายคนนั้นแนะนำตัวเองว่าชื่อ เดวิด ส่วนหญิงคนนั้นแนะนำตัวเองว่าชื่อ ซิลเวีย เดวิดพยายามพูดกับซิลเวีย แต่เขาพูดไม่รู้เรื่องจนไม่สามารถจับใจความได้ และหลังจากนั้นภาพก็ย้อนกลับไปเป็นภาพชีวิตในวัยเด็กของเดวิด

เหตุการณ์เริ่มพัฒนา ภาพชีวิตในวัยเด็กของเดวิดนั้นเต็มไปด้วยความกดดันและคร่ำเคร่ง ต่างจากเด็กทั่วๆไปที่ได้เล่นสนุกสนาน พ่อของเดวิดให้เดวิดฝึกเล่นเปียโนตั้งแต่ยังเด็ก และให้ฝึกเล่นเพลงยากๆ โชคดีที่พรสวรรค์ของเดวิดช่วยให้เดวิดเล่นเปียโนได้ดีและเก่งมาก จนพอเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นเขาได้เข้าแข่งขันเปียโนจนได้รับรางวัล และได้รับทุนไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา

จุดสงสัยของภาพยนตร์เรื่องนี้คือ การที่เดวิดได้รับทุนไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา แต่พ่อของเขากลับไม่ยอมให้เขาไปด้วยเหตุผลที่ว่าไม่ต้องการให้ครอบครัวต้องแยกจากกัน ครั้งนี้เดวิดเชื่อฟังพ่อของเขา จนกระทั่งเดวิดสามารถสอบชิงทุนไปเรียนต่อเปียโนที่กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษได้อีกครั้ง และครั้งนี่พ่อของเขาก็ไม่ให้เขาไปเหมือนเดิมด้วยเหตุผลเดิม แต่ครั้งนี้เดวิดไม่ฟังคำของพ่อ แม้ว่าพ่อของเขาประกาศจะตัดพ่อตัดลูก เรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ทำให้เราต้องคิดต่อไปว่าชีวิตของเดวิดจะดำเนินอย่างไรต่อไป เมื่อเขาต้องจากพ่อและครอบครัวของเขาไป เขาจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้หรือไม่ และเพราะอะไรพ่อของเขาจึงทำเช่นนั้น ซึ่งที่จริงพ่อของเดวิดน่าจะยินดีกับลูกชายมากกว่า

ความขัดแย้งในภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ เป็นความขัดแย้งระหว่างพ่อของเดวิดกับเดวิด คือพ่อของเดวิดต้องการให้เดวิดมีชีวิตที่เป็นไปตามที่เขากำหนดมากกว่าการที่เดวิดจะเลือกทางเดินชีวิตด้วยตัวเอง จะเห็นได้จากการที่พ่อของเดวิดบังคับให้เดวิดเล่นเปียโนตั้งแต่เด็ก และพยายามให้เดวิดคิดว่าโชคดีที่ได้เล่นดนตรี พ่อของเดวิดไม่ต้องการให้เดวิดจากไปไหน แม้จะได้รับทุนไปเรียนต่อ เขาต้องการให้เดวิดอยู่ในสายตาตลอดเวลา ความรักที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวกลายเป็นสิ่งที่กดดันเดวิดมากเกินไป

จุดวิกฤตของภาพยนตร์เรื่องนี้คือตอนที่เดวิดทำการแสดงบนเวที โดยเขาเล่นเปียโนคอนแชร์โตหมายเลข 3 ของ Rachmaninoff เขาเล่นได้ยอดเยี่ยม แต่เมื่อแสดงบนเวทีจบ เขาก็ช็อกบนเวที และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล หลังจากนั้นเดวิดก็อาการหนักขึ้นเรื่อยๆจนพูดไม่รู้เรื่อง สื่อสารไม่ได้ หมอสั่งห้ามเขาเล่นเปียโนเด็ดขาด เขาต้องพักรักษาตัวนานกว่า 20 ปี

จุดไคลแม็กซ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ คือเหตุการณ์ที่เดวิดได้เจอกับเจ้าของร้านอาหารคนหนึ่งชื่อซิลเวีย ซึ่งที่ร้านอาหารแห่งนี้มีเปียโน เมื่อเดวิดเห็นจึงขอเล่น เขาเล่นได้ดีจนทำให้ทุกคนตะลึง เดวิดจึงได้งานเล่นเปียโนที่ร้านอาหารแห่งนี้ จากเหตุการณ์นี้ทำให้ชีวิตการเล่นเปียโนของเดวิดกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ภาพยนตร์เรื่องนี้ปิดเรื่องด้วยฉากที่เดวิดอยู่ที่หลุมศพพ่อของเขา

เดวิดเป็นตัวละครเอกของเรื่อง เรื่องราวชีวิตต่างๆของเขานั้น แสดงให้เห็นถึงสาเหตุที่มาที่ไปว่าเพราะอะไรชีวิตของเขาจึงต้องดำเนินไปในลักษณะนั้น การเลี้ยงดูของพ่อแม่ สภาพชีวิตในวัยเด็ก ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตในระยะยาวของเขา เดวิดต้องอยู่ในสภาพที่เต็มไปด้วยความกดดัน โดดเดี่ยว อ้างว้าง กลายเป็นคนที่ขาดความมั่นใจ ทำอะไรเดิมๆอยู่เสมอ ทำตามกรอบที่พ่อเขาสร้างไว้ และเมื่อต้องออกมาอยู่ในสังคมอื่นทำให้เขากลายเป็นคนที่ประหลาดในสายตาคนรอบข้าง สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นนี้ มีสาเหตุที่มาที่ไปจากครอบครัวของเขาเอง

ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้ชื่อว่า Shine ซึ่งแปลว่าส่องสว่าง ซึ่งเมื่อดูจากตัวเนื้อเรื่องแล้วนั้นมีความตรงกันข้ามกัน แต่จะเห็นได้ว่าคำว่า Shine นั้นสื่อให้เห็นถึงความส่องสว่างของชีวิตเดวิดในตอนท้ายเรื่อง ซึ่งเขาประสบความสำเร็จในชีวิต แม้จะเคยขึ้นไปถึงจุดสูงสุดแล้วตกลงมาแล้วก็ตาม และชีวิตในวัยเด็กของเขาที่ไม่มีความสว่างสดใสเลย ก็เหมือนกับการที่ชีวิตของเดวิดนั้นได้กลับมาส่องสว่างอีกครั้ง และสำหรับในชื่อภาษาไทยว่า โชคดีที่สวรรค์ไม่ลำเอียงนั้น ก็หมายถึงชีวิตของเดวิดที่ยังโชคดีในตอนท้ายที่เขากลับมาประสบความสำเร็จได้อีกครั้ง สื่อให้เห็นถึงความพยายามความตั้งใจของเดวิดที่เขามีมาตลอดชีวิตนั้นไม่สูญเปล่า

ความคิดสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้คือ ความรักที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวจะกลายเป็นสิ่งที่สร้างความกดดันและทำลายล้างทุกสิ่ง การมอบความความรักให้แก่ผู้อื่นแบบผิดๆอย่างเช่นที่พ่อของเดวิดมีให้กับเดวิดนั้น เป็นความรักที่ขาดเหตุผล และเข้าข้างแต่ตัวเองฝ่ายเดียว เป็นความรักที่ไม่เปิดโอกาสให้ผู้อื่น ทำให้ผู้รับต้องทนรับ และกลายเป็นการได้รับความกดดันไว้แทน และอีกประการคือ การทำความฝันนั้นไม่มีคำว่าผิดหรือถูก ถ้าเรามุ่งมั่นตั้งใจ เราก็จะทำสิ่งนั้นได้สำเร็จ และสิ่งที่สำคัญคือเราต้องคิดอยู่เสมอว่าเราได้เลือกทำในสิ่งที่ดีที่สุด และทำมันให้ดีที่สุด คนเรานั้นแม้จะเคยล้มลงแล้วก็ตาม แต่ก็มีวันที่จะลุกขึ้นใหม่ได้ ถ้าเราเชื่อมั่นในตัวเอง

ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่อ้างอิงจากชีวิตจริงของเดวิด เฮล์ฟก็อตต์ (David Helfgott) นักเปียโนอัจฉริยะชาวออสเตรเลีย ซึ่งนับว่าเป็นภาพยนตร์ที่มีคุณค่าและคุณภาพอย่างยิ่ง เรื่องราวชีวิตของเดวิดให้แง่คิดต่างๆที่น่าสนใจมากมาย ทั้งเรื่องครอบครัว ความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก การทำตามความฝันของตัวเอง อีกทั้งในเรื่องของดนตรี หากใครที่ชื่นชอบในเสียงเปียโน ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือเป็นภาพยนตร์อีกเรื่องที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง