วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Shine โชคดีที่สวรรค์ไม่ลำเอียง

พิมพ์พิศ

SHINE โชคดีที่สวรรค์ไม่ลำเอียง ภาพยนตร์สัญชาติออสเตรเลียที่มีชื่อเสียงเรื่องหนึ่ง เนื่องจากได้รับรางวัล อเคเดมี อวอร์ดส์ ในปี 1997 สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมโดยเจฟฟรี่ รัช ผู้รับบทเป็นเดวิดตอนแก่ และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม ตัดต่อภาพยอดเยี่ยม นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม และภาพยนตร์ยอดเยี่ยม รวม 6 รางวัลด้วยกัน หนังเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สร้างขึ้นจากชีวิตจริงของนักเปียโนอัจฉริยะชื่อดัง เดวิด เฮล์ฟกอตต์ ซึ่งกำกับภาพยนตร์โดย สก็อต ฮิกส์

ภาพยนตร์นี้เริ่มต้นเรื่องราวในวันที่ฝนตก ชายคนหนึ่งพูดคุยอยู่กับตนเองด้วยถ้อยคำที่จับใจความไม่ได้ เขาวิ่งตากฝนไปตามถนนและไปหยุดอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ดวงตาจดจ้องอยู่ที่เปียโนตรงกลางร้านอาหารนั้น จากนั้นหนังจึงได้เล่าย้อนเหตุการณ์ในอดีตซึ่งเป็นเรื่องราวในวัยเด็กของชายผู้นั้น “เดวิด”
ในวัยเด็กเดวิดได้ฉายแววอัจฉริยะทางเปียโนมาตั้งแต่เด็ก เขาเป็นความภาคภูมิใจของปีเตอร์ซึ่งเป็นพ่อของเขาเอง ปีเตอร์ได้มาขอร้อง โรเซ่น ครูดนตรีที่เห็นแววของเดวิด ให้ช่วยสอนเพลงแรคมานินอฟซึ่งเป็นเพลงที่แม้แต่นักเปียโนเก่งๆก็ยังไม่กล้าลองดีให้กับเดวิด แต่โรเซ่นได้คัดค้านเพราะคิดว่ามันยังเร็วเกินไปที่จะสอนเพลงนี้ให้กับเดวิด แต่ถึงอย่างนั้นปีเตอร์ก็ยังยืนยันความคิดเดิม

เดวิดได้เข้าแข่งขันการประกวดเปียโนหลายแห่งจนเริ่มมีชื่อเสียงในฐานะนักเปียโนอัจฉริยะที่มีอายุน้อยที่สุด เดวิดได้รับเชิญไปศึกษาต่อยังโรงเรียนดนตรีที่มีชื่อเสียงในประเทศอเมริกา แต่ปีเตอร์กลับไม่ยอมให้เดวิดไปจากเขาโดยอ้างเหตุผลที่ว่าเขาจะไม่ยอมให้ใครมาทำลายครอบครัวของเขาได้
เดวิดเสียใจมากแต่เขาก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ จนกระทั่งเขาได้พบกับพริชาร์ด นักเขียนชาวรัสเซียซึ่งชื่นชมกับพรสวรรค์ทางเปียโนของเดวิดมาก จึงได้ขอให้เดวิดเล่นเปียโนให้ฟังอยู่บ่อยๆ ความอบอุ่นที่ได้รับจากพริชาร์ดทำให้เดวิดเข้มแข็งขึ้นและกล้าที่จะขัดคำสั่งของพ่อที่ห้ามเดวิดไม่ให้ไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษหลังจากที่เขาได้รับทุนอีกครั้ง

เมื่อเขาได้มาอยู่ที่อังกฤษ เขาก็ได้พบกับซีซิล ครูดนตรีอีกคนหนึ่งที่เห็นแววของเดวิดและเขายังสามารถเล่นเพลงแรคมานินอฟได้ เดวิดได้ขอร้องให้ซีซิลสอนเพลงแรคมานินอฟให้กับเขาและซีซิลเองก็ยินดีที่จะสอนให้ เพลงแรคมานินอฟนั้นได้ชื่อว่าเป็นเพลงสุดยอดแห่งความโหดหินทางดนตรี ดังที่ซีซิลพูดไว้ว่าหากใครพลาดก็จะต้องเจ็บตัว ทำให้เดวิดต้องฝึกซ้อมอย่างหนัก

ความกดดันดูเหมือนจะมาจากทั่วสารทิศ เมื่อเขาได้รับข่าวการจากไปของพริชาร์ด บุคคลที่เป็นที่พึ่งเดียวของเดวิด และปีเตอร์พ่อของเดวิดเองก็ไม่เคยตอบจดหมายของเดวิดเลยซักครั้ง อีกทั้งตัวเดวิดเองก็พยายามเป็นอย่างมากที่จะเล่นเพลงแรคมานินอฟให้ได้อย่างที่ซีซิล ตัวเขาเอง หรือปีเตอร์ที่คาดหวังไว้ อาการแปลกๆเริ่มเกิดขึ้นกับเดวิดอีกครั้งเมื่อเขาเริ่มไม่รู้ตัวและจมอยู่กับตัวเองมากขึ้น

เดวิดเล่นเพลงแรคมานินอฟได้สำเร็จ เมื่อเขาสามารถเข้าถึงอารมณ์ดนตรีและตีความหมายของเพลงได้แตกฉาน เขาเล่นเหมือนกับว่าจะไม่มีวันพรุ่งนี้ได้อย่างที่ซีซิลเคยบอกไว้ แต่ความสำเร็จของเขากลับต้องแลกมาด้วยจิตใจของเขาเอง

เขากลายเป็นผู้ป่วยทางจิตซึ่งแม้แต่พ่อของเขาก็ยังไม่หันมามองและไม่ยอมให้อภัย หลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลเขาก็ได้ไปพักอยู่กับเบริล แต่พฤติกรรมของเดวิดทำให้เบริลลำบากใจ เธอจึงส่งเดวิดไปอยู่ที่อพาร์ทเมนท์แห่งหนึ่ง ซึ่งที่นี่เดวิดก็ได้เล่นเปียโนอีกครั้ง แต่เขาเล่นบ่อยเกินไป เจ้าของอพาร์ทเมนท์จึงล็อกกุญแจเปียโนไว้ เขาจึงออกตามหาเปียโนจนกระทั่งไปเจอเปียโนในร้านอาหาร โมบาย และนั่นก็เป็นเหตุให้เขากลับมาเฉิดฉายบนทางสายดนตรีอีกครั้ง

เมื่อเขาเริ่มมีชื่อเสียงเดวิดก็ได้พบกับพ่ออีกครั้ง ปีเตอร์ได้นำเหรียญแห่งชัยชนะที่เดวิดได้รับก่อนที่เขาจะมีอาการทางจิตมามอบให้กับเดวิด ความเปลี่ยนแปลงไปของเดวิดทำให้ปีเตอร์รับไม่ได้ เดวิดไม่ได้เป็นเดวิดคนเดิมที่ปีเตอร์เคยรู้จักอีกต่อไป เดวิดพอใจกับการมีชีวิตอยู่ ณ ตอนนี้ของเขาแล้ว ปีเตอร์จึงต้องเป็นฝ่ายเดินจากไปเอง

ไม่นานนัก เขาได้พบกับกิลเลียนนักดูดวงจากซิดนีย์ ซึ่งได้เห็นความดี ความน่ารัก อารมณ์ขัน และความสามารถทางดนตรี จนเกิดความประทับใจและแปรเปลี่ยนกลายเป็นความรัก จนในที่สุดทั้งสองก็ได้แต่งงานกัน ด้วยความรักและความเข้าใจจากกิลเลี่ยนและครอบครัว ทำให้เดวิดสามารถหวนกลับมาเล่นเปียโน และสามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้ฟัง ได้อีกครั้ง เดวิดสามารถชนะใจแม่และน้องสาวของเขา จากคอนเสิร์ตในครั้งนั้นแต่น่าเสียดายที่พ่อของเขาจากไปเสียก่อน ที่จะได้เห็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของบุตรชาย

ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้แสดงให้เห็นว่าการที่ปีเตอร์เข้ามามีส่วนในชีวิตของเดวิดมากเกินไปทำให้เดวิดคิดและตัดสินใจอะไรเองไม่ได้ เมื่อเดวิดทำผิดพลาด ปีเตอร์ก็ได้กล่าวโทษด้วยวาจาที่รุนแรงและใช้กำลังกับเดวิด เป็นสาเหตุให้เดวิดกลายเป็นเด็กเก็บกด จนกระทั่งเกิดเป็นอาการทางจิตขึ้น มีเพียงความรักความเข้าใจเท่านั้นที่จะสามารถเยียวยาให้อาการของเดวิดดีขึ้นได้

การดำเนินเรื่องก็มีส่วนสำคัญอย่างมาก โดยการเปิดเรื่องจะใช้วิธีการนำเสนอผลย้อนกลับไปหาเหตุ โดยการนำฉากที่เดวิดพูดกับตัวเองด้วยถ้อยคำที่จับใจความไม่ได้ขึ้นมาเป็นฉากแรก ทำให้ผู้ชมอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเดวิดซึ่งเป็นเหตุให้เค้ามีอาการเช่นนี้ จากนั้นจึงได้ย้อนเรื่องราวไปให้ผู้ชมได้ทราบถึงสาเหตุนั้น โดยจุดที่มีการพัฒนาของเรื่องเริ่มต้นขึ้นเมื่อเดวิดเริ่มคิดตัดสินใจอะไรด้วยตนเองไม่ยอมทำตามคำสั่งของพ่อ ซึ่งนำไปสู่จุดวิกฤติของเรื่องคือการที่เขาตัดสินใจขอร้องให้ซีซิลสอนเพลงแรคมานินอฟจนตัวเขาเองเริ่มมีการกดดันและมีอาการทางจิต นำไปสู่จุดสูงสุดของเรื่องเมื่อเขาเล่นเพลงแรคมานินอฟจบและหมดสติลงไป และเหตุการณ์ก็เริ่มคลี่คลายเมื่อเดวิดกลับมาเล่นเปียโนได้อีกครั้ง โดยทุกเหตุการณ์จะมีจุดเชื่อมโยงอยู่ที่เพลง แรคมานินอฟ แต่ตอนจบของเรื่องปิดเรื่องอย่างรวบรัดไป โดยที่เรายังไม่ทราบถึงความเป็นไปของพ่อเดวิด จึงทำให้เกิดความคลางแคลงสงสัยในตอบจบของเรื่องอยู่ไม่น้อย

บรรยากาศของเรื่องก็มีส่วนช่วยสร้างอารมณ์ไปกับภาพยนตร์ได้เป็นอย่างดี โดยจะเห็นได้ว่าในช่วงชีวิตที่เต็มไปด้วยความกดดันของเดวิด บรรยากาศจะเต็มไปด้วยความหม่นหมอง สีทีใช้จะทึบทึมไม่มีความสดใส ต้นไม้ในฉากส่วนใหญ่จะเหี่ยวเฉาแสดงถึงความทุกข์ของเดวิด ทั้งยังมีฝนตกอยู่ตลอดเวลาต่างจากชื่อเรื่อง Shine ที่มีความหมายว่าความสว่างสดใสโดยสิ้นเชิง จนเมื่อเดวิดเริ่มกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้ง บรรยากาศของเรื่องก็เริ่มสุกสว่างเริ่มมีสีสันที่สดใส ต้นไม้ใบหญ้ากลับมาเขียวชอุ่ม จากที่เดวิดอุดอู้อยู่แต่ในห้อง เริ่มมีการออกมาสู่ที่โล่งแจ้ง สมกับชื่อเรื่อง Shine อีกครั้ง

อีกทั้งตัวละครแต่ละตัวก็ยังมีพฤติกรรมที่น่าสนใจมาก และดูเหมือนจะเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้ เนื่องจากการกระทำของตัวละครแต่ละตัวล้วนมีเหตุผลแตกต่างกันไป

ปีเตอร์ เป็นตัวละครที่มียึดมั่นในความคิดของตนเองและไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนแปลงความคิด เขาเป็นคนที่ยึดติดกับคำว่าครอบครัวและไม่ยอมให้ใครมาพรากครอบครัวไปจากเขา ซึ่งสาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะปีเตอร์เป็นยิวชาวโปแลนด์ที่อพยพหนีสงครามและการคุกคามจากนาซี เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้เขาสูญเสียครอบครัวของเขาไป ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เขาต้องการที่จะให้ครอบครัวอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา จนกระทั่งเขาทำอะไรเกินขอบเขต และพยายามให้ลูกๆอยู่ภายใต้อำนาจของเขาเพียงผู้เดียว แม้เขาจะรักครอบครัวมาก แต่ความรักของเขาเป็นความรักแบบเผด็จการ สร้างความกดดันให้กับคนในครอบครัว แทนที่จะเกิดผลดีก็กลายเป็นผลร้ายกับครอบครัว

เดวิด เป็นผลจากการยึดมั่นในความคิดของพ่อ เขาจึงมีความกดดันภายในตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าจะต้องทำให้ได้อย่างที่พ่อต้องการ เมื่อวัยเด็กเขาก็ไม่มีเพื่อนเล่น มีเพียงพี่น้องของเขาเท่านั้น เดวิดถูกเคี่ยวเข็ญให้เล่นดนตรีเนื่องจากปีเตอร์ต้องการทดแทนส่วนที่เขาขาดไปเมือสมัยเขายังเด็ก ปีเตอร์มักจะบอกกับเดวิดเสมอว่า เดวิดโชคดีที่มีครอบครัว มีพ่อ โชคดีที่ได้เล่นดนดรี แต่ไม่เคยบอกว่าทุกสิ่งนั้นเป็นเพราะความสามารถของเดวิดเอง ทำให้เดวิดรู้สึกสับสนและขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง นอกจากนี้ที่สังเกตเห็นได้คือเมื่อเดวิดเริ่มป่วยทางจิต มักจะชอบจับหน้าอกผู้หญิง แสดงถึงการขาดความอบอุ่นจากบุคคลผู้เป็นแม่ แต่จากภาพยนตร์จะไม่เห็นว่าเดวิดได้รับความอบอุ่นหรือการปกป้องจากผู้เป็นแม่เลย เมื่อพริชาร์ดเข้ามาในชีวิต เดวิดจึงรักเสมือนเป็นแม่ของตนเอง

กิลเลียนเปรียบเสมือนตัวเปรียบเทียบของบุคลผู้เป็นพ่อของเดวิด โดยกิลเลียนมีให้เดวิดทุกอย่างที่เดวิดไม่เคยได้รับจากพ่อ นั่นคือความรักความเข้าใจ กิลเลียนจึงเปรียบเสมือนตัวละครที่เน้นให้เห็นถึงการกระทำของปีเตอร์ได้เด่นชัดมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ในภาพยนตร์ก็ยังสอดแทรกสัญลักษณ์ไว้ให้ผู้ชมได้เห็นอีกหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นฉากที่เดวิดตอนแก่กระโดดแบบสมัยที่เขายังเป็นเด็ก แสดงให้เห็นถึงความเป็นเด็กที่เขาเคยเก็บกดเอาไว้มานานและไม่สามารถแสดงมันออกมาต่อหน้าพ่อของเขาได้ หรือภาพก๊อกน้ำที่แม้จะปิดสนิทแล้วก็ยังคงมีน้ำหยดออกมาที่แสดงถึง การที่ปีเตอร์กดดันและเคียวเข็นเดวิดมากจนเกินไปแม้จะทำไปด้วยความหวังดี ก็ยังก่อให้เกิดผลกรทบในทางที่ไม่ดีกับตัวของเดวิดเอง หรือแว่นตาของผู้เป็นพ่อที่ไม่เคยเปลี่ยนอันแสดงถึงมุมมองความคิดของตัวเองที่ไม่เคยเปลี่ยน แม้แต่ตัวเดวิดเองครั้งหนึ่งเขาก็ไม่เคยเปลี่ยนแว่นแม้มันจะหัก แต่เมื่อถึงคราวที่เขาเปลี่ยนแว่นแล้วมุมมองของเขาก็เปลี่ยนไป มีความเชื่อมั่นในความคิดของตัวเองมากขึ้น จนสุดท้ายแว่นตาของเขาก็ส่องประกาย หรือการที่เขาชอบเปิดฝักบัวทิ้งไว้ก็เปรียบเสมือนการที่พ่อของเขาไม่สามารถมีอิทธิพลบังคับเขาได้อีกแล้ว เขาจึงสามารถปลดปล่อยความเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่ เป็นต้น

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ แสดงถึงรายละเอียดของภาพยนตร์ที่ผู้สร้างให้ความใส่ใจกับมัน เมื่อชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วจะสัมผัสได้ถึงความกลมกลืนระหว่างชื่อเรื่องและตัวเนื้อเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้ แม้ว่าชีวิตของเขาจะพบกับความเศร้า ความเลวร้ายมาซักเพียงใด เพียงแต่มีความรักความเข้าใจและคนให้โอกาสเขา เขาก็ยังสามารถกลับมาส่องประกายได้อีกครั้งดังชื่อเรื่อง Shine โชคดีที่สวรรค์ลำเอียงนั่นเอง