วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2551

กระต่ายกับเต่า ภาค 2 เราไม่วิ่งแข่งกันแล้ว


กระต่ายกับเต่า ภาค 2 เราไม่วิ่งแข่งกันแล้ว
ฮ.นิกฮูกี้
สำนักพิมพ์ดอกหญ้า
264 หน้า ภาพประกอบ
165 บาท


คงไม่มีใครปฏิเสธว่าไม่รู้จักนิทานอมตะอย่างเรื่องกระต่ายกับเต่าอย่างแน่นอน เพราะนิทานเรื่องนี้มักเป็นนิทานเรื่องแรกๆที่บรรดาผู้ปกครองเลือกหยิบมาเล่าให้เด็กๆฟัง พร้อมกับสอนไปด้วย ตอนจบของนิทานเรื่องนี้จบลงที่กระต่ายเสียหน้าที่ต้องเสียชัยชนะให้กับเต่า เพราะความประมาทของตัวเอง นิทานเรื่องกระต่ายกับเต่าถูกนำมาเขียนใหม่อีกครั้งโดยผู้เขียนที่มีนาปากกาว่า ฮ. นิกฮูกี้ อดีตนักธรรมเอกแห่งวัดเทพศิรินทราวาส แต่การเขียนครั้งนี้ไม่เหมือนกับของเดิมที่มีการตัดสินที่มีผู้แพ้ผู้ชนะ แล้วเรื่องราวจะดำเนินไปเป็นแบบใด

กระต่ายกับเต่าในภาคสองนี้ เริ่มต้นขึ้นเมื่อบึงน้ำที่ครอบครัวของเต่าอาศัยอยู่เริ่มแห้งขอด และกำลังจะแห้งจนหมด ครอบครัวเต่าจึงพากันออกเดินทางเพื่อไปหาบึงน้ำแห่งใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมและมีน้ำเต็มตลอดทั้งปี เป็นระยะทางไกลประมาณสิบกิโลเมตร ระหว่างการเดินทางพวกเขาได้พบกับกระต่ายที่ตั้งใจมาท้าครอบครัวเต่าให้วิ่งแข่งกัน เพื่อต้องการล้างแค้นแทนบรรพบุรุษกระต่ายของเขา แต่พวกเต่าไม่ตกลงแข่งขันด้วย เพราะพ่อเต่าไม่เห็นประโยชน์อันใดที่ได้จากการแข่งขันครั้งนี้ นอกเสียจากความโง่ที่ยอมให้ความโกรธหรือการถือแพ้ชนะมาทำลายจิตใจของพวกเขา ไม่ว่าจะปฏิเสธสักเท่าไรกระต่ายก็ยังไม่เลิกล้มความตั้งใจ เขาพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อ กลั่นแกล้งครอบครัวเต่า ไม่ว่าจะเป็นการพูดจาดูถูกพวกเต่าต่างๆนานา หาว่าขี้ขลาดบ้าง ขี้แพ้บ้าง ทั้งหลบอยู่ข้างทางเพื่อที่จะแกล้งให้พวกเต่าตกใจ หรือที่ร้ายแรงกว่านั้นก็คือ ไปบอกหมาป่าให้มาดักกินครอบครัวเต่า แต่ไม่มีแม้สักครั้งที่กระต่ายทำสำเร็จเลย กลับส่งผลร้ายแก่ตนเองเสียอีก ฝ่ายของพวกเต่าต่างหากที่เป็นฝ่ายช่วยเหลือกระต่ายแทน ในท้ายที่สุดครอบครัวของเต่าก็ไปถึงบึงน้ำแห่งใหม่ได้โดยสวัสดิภาพ

หนังสือเรื่องนี้ใช้ภาษาที่อ่านง่ายและอุดมไปด้วยธรมะทางพระพุทธศาสนา ซึ่งเรื่องของธรรมะนี้ ผู้เขียนได้แทรกข้อคิดคติธรรมลงไปในเนื้อเรื่องด้วยกลวิธีที่อ่านง่าย เข้าใจชัดเจน ดังที่ปรากฏในตอนที่ลูกเต่าถามพ่อเต่าถึงเหตุใดจึงต้องช่วยกระต่ายทุกครั้ง ทั้งๆที่กระต่ายหวังร้ายต่อครอบครัวของเขามาโดยตลอด และไม่เคยสำนึกผิดเลยสักครั้ง พ่อเต่าได้ตอบลูกชายของเขาไปว่า “ เขาทำไม่ดีก็เรื่องของเขา แต่เราอย่าทำไม่ดีเหมือนเขาก็แล้วกัน จำไว้ให้ดีนะลูก ถ้าเห็นใครกำลังเดือดร้อน แล้วเราสามารถช่วยเหลือเขาได้ เราต้องช่วยเหลือเขา” เมื่ออ่านตอนนี้จบแล้ว ทำให้ฉันได้แง่คิดว่า แม้ในบางครั้งมีคนมาทำให้เรารู้สึกไม่ดี ก็อย่าไปถือโทษโกรธเขา และไม่ต้องทำสิ่งไม่ดีแก้แค้นเขาตอบ ซึ่งตรงกับแนวคิดทางพระพุทธศาสนาของเราที่ว่า “ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร”

แนวคิดทางธรรมอีกข้อหนึ่งที่เห็นอย่างเด่นชัดจากเรื่องนี้ก็คือ “ ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว” แนวคิดนี้ปรากฏอย่างชัดเจนที่ลักษณะนิสัยกระต่าย ดังเช่น ในตอนที่กระต่ายตั้งใจไปหลบอยู่ข้างทาง เมือครอบครัวของเต่าผ่านมาจะกระโดส่งเสียงร้องให้ตกใจ แต่ตัวเองกลับถูกกับดักของนายพรานเสียเอง ที่สุดแล้วก็ต้องเรียกให้พวกเต่าช่วย หรือตอนที่กระต่ายไปบอกให้ หมาป่ามาดักกินครอบครัวเต่า ซึ่งสุดท้ายตัวกระต่ายเองกลับเป็นฝ่ายที่ถูกหมาป่าต้อนเข้าไปในพุ่มไม้ เพื่อหวังจะกิน แล้วก็เป็นครอบครัวเต่าอีกที่ช่วยพูดไม่ให้หมาป่ากินกระต่าย

นอกจากนี้หนังสือเล่มนี้ยังเต็มไปด้วยคำสอนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเมตตากรุณาต่อเพื่อนร่วมโลก ความกตัญญู การรู้จักให้อภัย การวางอุเบกขา การใช้ปัญญา มีสติในการแก้ไขปัญหา การรู้จักสำนึกผิด ฯลฯ ซึ่งธรรมะในทุกบททุกตอนที่แทรกอยู่ในเรื่องนี้สามารถใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันของเรา และเป็นสิ่งที่เราจำเป็นต้องใช้ปฏิบัติจริงด้วย เพื่อการดำรงชีวิตอย่าง เป็นสุข และสามารถรักษาชีวิตของตนให้อยู่รอดปลอดภัยได้

เมื่อกระต่ายกับเต่าไม่ต้องวิ่งแข่งกัน ก็จะไม่มีผู้แพ้ ผู้ชนะ มีแต่คำว่าเสมอกัน และทั้งสองฝ่ายจะไม่มีเรื่องให้ต้องจองเวรกันอีก หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่หนังสือนิทานสำหรับเด็กเท่านั้น แต่ยังเป็นหนังสือธรรมะที่อ่านง่ายเหมือนกับการอ่านนิทาน เพราะผู้เขียนสามารถผูกเรื่องได้อย่างสนุกสนาน ชวนติดตาม สะท้อนนิสัยของมนุษย์ในสังคมที่ถ่ายทอดออกมาเป็นตัวละครต่างๆในเรื่องได้เป็นอย่างดี อีกทั้งในเล่มยังมีรูปภาพประกอบที่น่ารักและสื่อถึงเรื่องราวในเรื่อง ได้ดี

หากคนในสังคมใช้หลักธรรมในการใช้ชีวิตเหมือนดังครอบครัวเต่า ที่สามารถเดินทางไกลได้โดยปลอดภัย ที่เป็นอย่างนี้ได้เป็นเพราะพวกเขารู้จักนำธรรมะมาใช้ในชีวิตประจำวันนั่นเอง ธรรมะช่วยให้พวกเขามาถึงบึงน้ำ เปรียบได้กับความสำเร็จและความสุข สมดั่งที่ใจต้องการ ไม่ว่าจะเป็นกระต่าย หมาป่า หรือเป็นคน ถ้าเรารู้จักนำหลักธรรมมาใช้ในชีวิต เราย่อมอยู่อย่างเป็นสุขได้อย่างแน่นอน ส่วนบทสรุปของกระต่ายกับเต่าจะเป็นเช่นไร ติดตามอ่านได้ในหนังสือเล่มนี้

เฟื่องฟ้า

Zoo


Zoo
โอทสึอิจิ
ปีที่พิมพ์ 2548
NB Horror ในเครือเนชั่นบุ๊คส์
341 หน้า
225 บาท

Zoo เขียนโดย โอตสึอิจิ นักเขียนชื่อดังชาวญี่ปุ่น ผลงานเรื่องแรกของเขาที่ปรากฏต่อสายตาผู้อ่าน คือ ฤดูร้อน ดอกไม้ไฟกับร่างไร้วิญญาณของฉัน ซึ่งได้รับรางวัลยอดเยี่ยมในการประกวดนวนิยายครั้งที่ 6 ของนิตยสาร JUMP ต่อมาในปี พ.ศ. 2546 เขาได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดนวนิยายสืบสวนสอบสวนครั้งที่3 จากเรื่อง Goth: คดีตัดข้อมือ จนมาถึง Zoo ที่รวมเรื่องสั้นไว้ทั้งหมดสิบเรื่อง ทุกเรื่องล้วนเล่าถึงจิตใจอันซับซ้อนของมนุษย์ ที่ถูกความกดดันรุมเร้า จนทำให้เกิดเป็นจินตนาการด้านมืด อันเป็นจุดเด่นของนิยายของโอตสึอิจิทุกเล่ม


Zoo พาเราไปสัมผัสกับความดำมืดภายในจิตใต้สำนึกของมนุษย์ ในเรื่องสั้นทั้งหมดสิบเรื่อง เล่าถึงอารมณ์และโทนของเรื่องที่แตกต่างกันออกไป ให้ความรู้สึกที่หลากหลาย ดังเช่นในเรื่องแรก คาซาริกับโยโกะ เรื่องราวของสองพี่น้องฝาแฝดที่มีชีวิตแตกต่างกันสุดขั้ว คนหนึ่งเป็นที่รักของทุกคน มีแม่คอยเฝ้าทะนุถนอม ชีวิตช่างมีแต่ความสดใส อีกคนหนึ่งโดดเดี่ยวอ้างว้าง ถูกแม่จงเกลียดจงชังขนาดที่ว่าอยากจะฆ่าให้ตายอยู่ทุกเมื่อ เรื่องนี้สะท้อนสังคม ถึงการเลี้ยงดูภายในครอบครัว สองฝาแฝดเปรียบเหมือนคนคนเดียวกัน แต่ได้รับการเลี้ยงดูเอาใจใส่ต่างกัน จึงมีสภาพจิตใจที่ต่างกัน จนนำไปสู่เหตุการณ์ที่พลิกผันไปสู่โศกนาฏกรรมและเปลี่ยนชีวิตของพวกเธอไปตลอดกาล

เรื่องที่สองที่จะขอเขียนถึงก็คือ บทกวีแห่งมุมอุ่นไอแดด เป็นหนึ่งในตอนที่ข้าพเจ้าชอบมากที่สุด เป็นเรื่องของหุ่นยนต์สาวที่ถูกสร้างขึ้นมาเพียงเพื่อฝังชายผู้หนึ่งในวาระสุดท้ายของชีวิตของเขา แต่เธอกลับมีหัวใจ เรียนรู้ที่จะรัก และต้องมารู้จักความสูญเสีย เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่าการสูญเสียเป็นสิ่งที่ต้องเกิดตามธรรมชาติ เราต้องทำใจยอมรับให้ได้ และบางครั้งความเหงาและว้าเหว่ก็อาจทำให้คนเราคิดทำเรื่องที่เห็นแก่ตัวขึ้นมาได้

เรื่องสุดท้ายที่จะขอกล่าวถึงคือ Seven Rooms ตอนนี้เป็นตอนเด่นในหนังสือเล่มนี้ ไม่ว่าจะถามใครที่ Zoo เคยผ่านตา ก็จะต้องตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าชอบตอนนี้ที่สุด เรื่องราวเล่าถึงสองพี่น้องที่ถูกจับตัวไปขังไว้ในห้องโล่งๆ ที่มีเพียงท่อระบายน้ำที่ผนังด้านหนึ่ง และประตูที่เปิดไม่ออก น้องชายที่ตัวเล็กพอจะรอดได้ ได้ไปสืบดูผ่านทางท่อระบายน้ำ เขาได้พบว่ามีห้องอยู่เจ็ดห้องด้วยกัน มีหกห้องที่มีคนอยู่ และทุกๆวันจะมีคนเข้ามาใหม่หนึ่งคน และหายไปหนึ่งคน ศพที่ลอยมาทุกวันทางท่อระบายน้ำเป็นสิ่งที่บอกได้ดีว่า คนที่หายไปไปไหน และพวกเขาจะต้องเจอกับเหตุการณ์อะไรในอีกเจ็ดวันข้างหน้า ตอนนี้เป็นตอนที่สะเทือนใจผู้อ่านมากที่สุด กับสภาพความหมดอาลัยตายอยาก และการก้มหน้ารับความตายของแต่ละคน นอกจากนั้นตอนนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงการสู้เพื่อให้มีชีวิตรอด ความรักระหว่างพี่น้อง และการเสียสละอันยิ่งใหญ่ ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า หากมีคนสำคัญให้ปกป้อง เราจะไม่กลัวแม้แต่ความตาย

เรื่องสั้นในหนังสือเล่มนี้ได้ถ่ายทอดอารมณ์ด้านมืดในจิตใจของตัวละครได้อย่างละเอียดอ่อน ขณะเดียวกันก็ก้าวร้าวรุนแรง สะท้อนปมปัญหาของสังคมญี่ปุ่นส่วนหนึ่งในปัจจุบันที่จะนำพาผู้อ่านให้รู้สึกถึงความเศร้าและความซับซ้อนอย่างน่าสะพรึงกลัวในจิตใจของคน ในขณะเดียวกันก็ได้แฝงกลิ่นอายของข้อคิด และคติสอนใจไว้ได้อย่างแนบเนียนผ่านอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครแต่ละตัว เหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ที่มีที่มาที่ไปแตกต่างกัน

Zoo จึงเปรียบเสมือนสวนสัตว์ ที่ประกอบไปด้วยสัตว์นานาชนิด ที่ถูกกักขังเอาไว้ภายในกรง เหมือนดั่งตัวเอกในทุกๆเรื่องในหนังสือเล่มนี้ ที่ต่างก็ถูกกักขังเอาไว้ในความคิด ความกลัว ความอ้างว้าง ความเครียด ความเหงา ความเจ็บปวด ความสิ้นหวังของตนเอง ซึ่งล้วนแต่น่าสะเทือนใจ Zooได้นำเอาด้านมืดที่ซ่อนไว้ในจิตใจทุกคนมานำเสนอ และพาเราไปสัมผัสกับความเป็น “มนุษย์” ในหลายรูปแบบ หลายแง่มุม มากกว่าหนังสือทั่วไปในปัจจุบัน ที่มักเสนอ ความเป็น “มนุษย์” ในด้านเดียว มีพระเอกนางเอกที่แสนดี และตัวร้ายที่แสนร้ายกาจ ต่างกับZooที่ดึงเอาความเป็น “มนุษย์” ออกมาให้เห็นได้อย่างแตกต่างน่าสนใจจนอดคิดไม่ได้ว่า ฉันที่เป็น “มนุษย์” นั้นยังไม่เข้าใจคำว่า “มนุษย์” เลย

พุทธิดา

ภูกระดึงมิอาจเดินไปหาฟูจิ


ภูกระดึงมิอาจเดินไปหาฟูจิ
ฮ. นิกฮูกี้
สำนึกพิมพ์เนรมิตร
๑๒๘ หน้า
๑๐๙ บาท


เมื่อเดินเข้าไปในร้านหนังสือ สายตาย่อมสอดส่ายหาหนังสือดี ๆ สักเล่มมาถือไว้ในมือ การจะเลือกหนังสือถูกใจเพียงเล่มเดียว จากหนังสือนับร้อยนับพันที่วางเรียงอย่างสงบเงียบอยู่ภายในร้านนั้น ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่ายนัก เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เริ่มเลือกเสียตั้งแต่ชื่อหนังสือที่ถูกตาต้องใจคงไม่เป็นการเสียหาย ทันใดนั้น “ภูกระดึงมิอาจเดินไปหาฟูจิ” ก็ลอยเด่นเข้ามากระแทกหัวใจอย่างยากที่จะตัดใจเดินผ่านไปทางอื่นได้ รูปเล่มเล็ก ๆ บาง ๆ กับสีสันสดใสสะดุดตา ภาพประกอบน่ารัก ๆ กับข้อความที่อ่านและทำความเข้าใจได้ง่าย ยิ่งทำให้ยากจะตัดใจ พลิกดูชื่อผู้เขียนแล้วยิ่งการันตีคุณภาพ คงไม่มีใครไม่เคยได้ยินชื่อนักเขียนคนนี้ “ฮ. นิกฮูกี้” นักเขียนฝีมือดีกับหนังสือเล่มนี้ที่เข้ากันอย่างลงตัว


“ภูกระดึงมิอาจเดินไปหาฟูจิ” เขียนถึง “ภูกระดึง” ที่รัก “ภูเขาไฟฟูจิ” แต่ภูเขาทั้งสองตั้งอยู่ห่างไกลกัน ยากที่จะมองเห็นกันและกันได้ ไม่มีใครรู้ว่าภูกระดึงมีขาหรือไม่ หลายคนอาจคิดว่าภูกระดึงไม่มีขาจึงไม่สามารถเดินไปหาภูเขาไฟฟูจิ หากแต่แท้จริงแล้ว ภูกระดึงอาจมีขาซ่อนไว้ใต้พื้นดิน เหตุที่ภูกระดึงไม่เดินไปหาภูเขาไฟฟูจินั้น เป็นเพราะภูกระดึงเล็งเห็นถึงหน้าที่ที่ตนต้องรับผิดชอบ ทำประโยชน์ให้แก่โลก เป็นต้นทางลำน้ำป่าเขา หากภูกระดึงเดินออกจากจังหวัดเลย เดินทางไปหาภูเขาไฟฟูจิ ไร่นาจะขาดน้ำจากต้นน้ำลำธารที่ไหลมาจากภูกระดึง นาจะล่ม ชาวนาจะร้องไห้เป็นสายน้ำ ภูกระดึงจะเหยียบย่ำบ้านเรือนจนเมืองทั้งเมืองเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง .. ภูกระดึงไม่เห็นแก่ตัวเช่นนั้น ความเห็นแก่ตัวไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น

เรื่องราวของ ภูกระดึง ไม่ต่างจากเรื่องราวของชีวิตมนุษย์ สะท้อนให้เห็นว่า เราก็เป็นแค่เพียงคน ๆ หนึ่งไม่ต่างจากภูกระดึง ที่ก็เป็นแค่ภูเขาธรรมดา ๆ ลูกหนึ่ง หากแต่ยังทำประโยชน์แก่โลกได้ และไม่เห็นแก่ตัว เมื่อภูกระดึงยังเป็นต้นน้ำให้แก่โลกได้ เราก็สามารถใช้สองมือโอบอุ้มชีวิตของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้เช่นกัน ด้วยการเป็นคนดี ไม่ทำร้ายใคร และไม่เห็นแก่ตัว ... อย่างเช่นภูกระดึง


“ภูกระดึงมิอาจเดินไปหาฟูจิ” เป็นหนังสือในหมวดวรรณกรรมร่วมสมัย รวมเรื่องสั้นสอดแทรกสาระอย่างอารมณ์ดีในหนังสือขนาดพ็อกเกตบุ๊ค ถนัดมือและพกพาสะดวก น้ำหนักเบา หน้าปกมีสีสันสดใสดึงดูดสายตาไม่แพ้ชื่อเรื่อง ด้วยการใช้สีฟ้าและสีเหลืองที่ตัดกันอย่างโดดเด่น นำสายตาของผู้ผ่านไปผ่านมาได้เป็นอย่างดี มีภาพภูกระดึงและภูเขาไฟฟูจิที่มีขายาว ๆ เดินมาเจอกันและอยู่คู่กัน ประดับตกแต่งไว้ทำให้ผู้อ่านเห็นภาพและเข้าใจเรื่องราวได้ง่ายขึ้น ล้อกันกับปกหลังที่ใช้ภาพประกอบเป็นภูกระดึงและภูเขาไฟฟูจิที่ยืนอยู่คนละซีกของโลกกลม ๆ ใบหนึ่ง สองฝั่งของโลกเต็มไปด้วยบ้านเรือนและต้นไม้ แนบคำโปรยซึ่งเป็นแก่นสาระของหนังสือเล่มนี้เอาไว้

“ภูกระดึงและฟูจิเป็นเพียงแค่ภูเขา เราก็เป็นแค่คนคนหนึ่ง ...
แค่เป็นภูเขาอย่างภูกระดึง ยังทำประโยชน์ให้แก่โลกได้ เป็นต้นทางลำน้ำป่าเขา ...
เราล่ะ... ที่เป็นแค่คนไม่ต่างจากภูกระดึง เราทำประโยชน์อะไรให้แก่โลกบ้าง...”

ข้อความดังกล่าวเป็นดังแสงสว่างที่นำทางผู้อ่านไปสู่สาระที่สอดแทรกเอาไว้ในข้อความอารมณ์ดีทั้งหมดที่ ฮ. นิกฮูกี้สร้างสรรค์ขึ้นได้อย่างดี ยากจะห้ามใจให้เปิดอ่านหนังสือเล่มนี้ แล้วผจญภัยไปพร้อมกับภูกระดึง


นอกจากเรื่อง “ภูกระดึงมิอาจเดินไปหาฟูจิ” แล้วนั้น ในหนังสือเล่มนี้ยังมีเรื่องราวน่ารัก ๆ และน่าประทับใจอยู่อีกมากมาย ทั้งเรื่องราวของพระอาทิตย์ที่ตามตื้อพระจันทร์ แม้ตัวเองจะเป็นฝ่ายเดินนำหน้าตลอดในปฏิทินบอกเวลา เรื่องของนกเขาตอบแทนคุณ ก้อนเมฆที่ตายแล้ว และวิธีการยิ้ม เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลล้วนแล้วแต่ให้ข้อคิดเตือนใจ ความงามและความประทับใจ มอบความรู้สึกดี ๆ ให้กับผู้อ่านได้อย่างดีเยี่ยม เรียกได้ว่า เมื่อลองได้อ่านแล้ว ยากที่จะวางหนังสือเล่มนี้ลงได้ เป็นแน่แท้


โลกของเราวันนี้เต็มไปด้วยความเครียด ภาวะแรงกดดัน และการใช้ชีวิตที่หนักหนาสาหัส เป็นการดีทีเดียวเมื่อมีหนังสือให้สาระความรู้ แล้วสามารถทำให้ผู้อ่านผ่อนคลายจากความเครียดได้ไปพร้อมกัน และ“ภูกระดึงมิอาจเดินไปหาฟูจิ” ก็ได้รับการปรุงส่วนผสมทั้งสองประการนี้ให้เข้ากันได้และมีรสชาติดีอีกด้วย ด้วยรูปแบบการเล่าเรื่องที่มีกลิ่นอายของนิทาน อ่านได้ทุกเพศทุกวัยเพราะอ่านง่าย เบาสบายและคลายเครียด และเมื่ออ่านจบกลับทำให้รู้สึกว่าเรื่องราวยังไม่จบ ยังมีอะไรที่เรายังไม่รู้อีกมาก... ยังมีอะไรที่ต้องการสื่อสารแต่ถูกซ่อนตัวอยู่


หากเปรียบ “ภูกระดึงมิอาจเดินไปหาฟูจิ” เป็นอาหารจานหนึ่ง หากใครได้ลองลิ้มชิมรส เชื่อได้ไม่ยากกว่าอาหารจานนี้จะกลายเป็นอาหารจานโปรดของผู้อ่านทุกท่านได้ในไม่ช้า ... บนโลกที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด ความทุกข์ และความหนักหนาสาหัสในเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย เป็นการดีมิใช่หรือ เมื่อมีใครสักคน หรือปัจจัยสักอย่างที่สามารถหยิบยื่นและสร้างความสุขให้กับชีวิตเราได้บ้าง ... และเป็นการดีอีกเช่นกันมิใช่หรือ หากเราทุกคนเต็มใจรับแรงปรารถนาดีนั้นไว้ ... เพื่อเป็นแรงใจในการใช้ชีวิตต่อไป และเราจะได้เป็นทั้งผู้รับและผู้ให้ อย่างมีความสุขร่วมกัน ...


แต่ละหน้ากระดาษ ... แต่ละบรรทัด ... แต่ละความหมายที่สอดแทรกอยู่ในระหว่างบรรทัด ระหว่างตัวอักษรที่เรียงรายอย่างบรรจง ... หนังสือเล่มนี้จะทำให้ผู้อ่านทุกท่านมีความสุข และใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีคุณค่า
“แล้วเราจะเป็นภูกระดึงอย่างไร .. ทั้งหมดนี้เราเลือกเอง!”


พิมพ์ไทย

งามบาดใจ (Heart Beat Best Look)


งามบาดใจ (Heart Beat Best Look)
ดร.ศักดา ปั้นเหน่งเพ็ชร์
พิมพ์ครั้งแรก มีนาคม ๒๕๕๑
สำนักพิมพ์ ณ เพชร
๒๐๘ หน้า (ภาพประกอบ)
ราคา ๑๙๕ บาท



“ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง” เป็นสำนวนที่หลายคนรู้จักและคุ้นเคยเป็นอย่างดี และปฏิเสธไม่ได้ว่าบุคลิกภาพและการแต่งกายที่ดูดีเหมาะสม ย่อมเป็นสิ่งที่ทำให้บุคคลนั้นเป็นที่ประทับใจแก่ผู้พบเห็น ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายต่างก็ต้องการให้ตนเองดูดีที่สุด หลายคนเลือกสรรและเฟ้นหาเครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ รวมถึงเครื่องสำอางที่คิดว่าเหมาะสมกับตนเอง แต่หลายครั้งกลับพบว่าสิ่งที่เลือกสรรมาแล้วนั้นไม่เหมาะกับตนนั่นไม่ได้หมายความว่าคุณไม่สวยหรือไม่หล่อแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะว่าคุณยังไม่รู้ว่าสีใดที่เหมาะสมกับคุณ

ท่ามกลางการดำเนินชีวิตประจำวันนั้น “สี” เป็นส่วนหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญต่อชีวิต สีบางสีช่วยให้คุณผ่อนคลาย ในขณะที่สีบางสีทำให้คุณรู้สึกหดหู่ บางครั้งคุณสวมใส่เสื้อผ้าสีที่คุณคิดว่าสวยแต่กลับไม่มีใครชม แต่เมื่อคุณสวมใส่เสื้อผ้าอีกสีหนึ่งกลับได้รับคำชื่นชมจนหัวใจพองโต คนสองคนใส่เสื้อผ้าที่มีการออกแบบและตัดเย็บเหมือนกันทุกประการ แต่เพราะเหตุใดคนหนึ่งจึงดูดีกว่าอีกคน นั่นก็เป็นเพราะอิทธิพลของสีอีกเช่นกันสีสันของเครื่องแต่งกายนับว่าเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้สวมใส่ได้มาก

“ดร.ศักดา ปั้นเหน่งเพ็ชร์” หรือที่หลายคนรู้จักท่านในฐานะรองศาสตราจารย์ภาควิชาวาทวิทยาและสื่อการแสดง คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ศึกษาและนำเสนอแนวทางในการเลือกใช้สีให้เหมาะสมกับประเภทของบุคคลที่แบ่งตามฤดูกาล ไม่ว่าคุณจะเป็นคนในแบบฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง
หรือฤดูหนาว ต่างก็มีริ้วกระบวนสีแห่งฤดูกาลที่เหมาะสมกับคุณ และนอกเหนือจากสีประจำกายของคนแต่ละฤดูแล้ว ก็ยังมีสีกลางๆที่คนทุกฤดูสามารถสวมใส่แล้วทำให้ดูดีได้เหมือนกัน ได้แก่ สีขาวงาช้าง สีกัลปังหา(สีส้มปนสีชมพู) สีฟ้าใสเหมือนท้องฟ้า สีเขียวน้ำทะเลจางๆ และสีแตงโม(สีแดงปนชมพู) แต่คุณจะดูดีที่สุด
เมื่อคุณเลือกใช้ริ้วกระบวนสีที่ตรงกับประเภทของคุณ

เครื่องประดับก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยเสริมให้เราดูโดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นเข็มขัด ที่พัฒนามาจากเครื่องใช้ที่ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อคาดดาบหรือกระบี่ แว่นสายตา แว่นกันแดด ผ้าพันคอ หมวก กระเป๋า รองเท้า สร้อยคอ แหวน กำไล และเครื่องประดับประดาบนเรือนผม การเลือกเครื่องประดับนั้นควรเลือกโดยคำนึงถึงรูปหน้าและรูปร่างของผู้สวมใส่ และที่สำคัญต้องคำนึงถึงริ้วกระบวนสีประจำฤดูของผู้สวมใส่เป็นหลัก หรือแม้แต่เครื่องประดับที่มีค่ามีราคา เช่น เพชร พลอย ทองคำ ทองขาว ทองคำขาว และเงิน จะดูมีค่ามีราคาก็ต่อเมื่อประดับอยู่กับประเภทบุคคลที่เหมาะสม เช่น เพชร ซึ่งเป็นเครื่องประดับที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งร่ำรวยที่สามารถนำติดตัวไปอวดตามสถานที่ต่างๆได้นั้นเหมาะสมกับชาวเหมันตฤดูมากกว่าชาวคิมหันตฤดู

การใช้เครื่องสำอางสำหรับใบหน้าก็เป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับการสร้างบุคลิกภาพโดยรวม การแต่งหน้าจะกลายเป็นเรื่องง่ายและสนุกสนานเพลิดเพลิน เมื่อคุณฝึกฝนทักษะในการเลือกกลุ่มสีที่เหมาะสมกับประเภทของคุณจนชำนาญ คุณจะเกิดความมั่นใจในตนเองและย่อมรู้ว่ารองพื้น บลัชออน อายแชโดว์ ดินสอเขียนคิ้ว มาสคาร่า หรือแม้กระทั่งลิปสติกสีใดเหมาะสมกับคุณและจะทำให้คุณสวยได้มากที่สุด

หนังสือเล่มนี้ใช้ภาษาที่สละสลวย ประณีตบรรจง ตามหลักวาทวิทยา แต่อ่านเข้าใจง่ายไม่ซับซ้อนสัมผัสถึงความเป็นกันเองของผู้เขียนกับผู้อ่านได้อย่างชัดเจน ผู้เขียนมีความยินดีและเอื้อเฟื้อที่จะตอบคำถามหรือข้อสงสัยที่ผู้อ่านคับข้องใจผ่านทางสำนักพิมพ์ด้วยตนเอง แสดงให้เห็นถึงความหวังดีที่ผู้เขียนมีต่อผู้อ่าน
การเล่าเรื่องของผู้เขียนนั้นชวนให้ผู้อ่านติดตามได้ตลอดจนจบเล่ม มีภาพประกอบที่สวยงามดึงดูดใจ มีกลเม็ดเคล็ดลับ และแฝงไว้ด้วยความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต ดิฉันรู้สึกสะดุดตากับชื่อของหนังสือตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น เพราะทำให้เกิดความสงสัยใคร่รู้ว่า“งามบาดใจ” นั้นเป็นอย่างไร เมื่อดิฉันลองพลิกอ่านแค่เพียง
ไม่กี่หน้า ดิฉันรู้สึกตัวอีกครั้งก็พบว่าดิฉันไม่สามารถวางหนังสือเล่มนี้ลงได้ และเมื่ออ่าน“งามบาดใจ” จนจบดิฉันก็ได้ค้นพบริ้วกระบวนสีและวิธีการแต่งกายที่ดูดีเหมาะสมกับตนเอง

มนุษย์ทุกคนมีความงามแฝงอยู่ในตัวเองเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่มีใครเปรียบได้ ความงามนั้นมีความหมายลึกซึ้งเกินกว่าคำว่า สวย เพราะความงามนั้น นอกจากจะดูดีทางกายภาพแล้ว ก็ควรจะมีกิริยามารยาทที่นุ่มนวลงดงาม พร้อมทั้งมีจิตใจที่ดีงาม ผู้ที่มีใจงามก็จะมีทัศนคติที่ดีต่อสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัว และสะท้อนปรากฏออกมาโดยการกระทำ ผู้ที่งามทั้งกายและใจนั้นย่อมถือว่าเป็นผู้ที่งามอย่างแท้จริง


พิชญ์สินี

Kirakira เป็นประกาย


Kirakira เป็นประกาย
เอคุนิ คาโอริ ประพันธ์
น้ำทิพย์ เมธเศรษฐ แปล
พิมพ์ครั้งที่ ๑ ๒๕๔๕
สำนักพิมพ์อิมเมจ
๑๗๒ หน้า
๑๔๐ บาท



“ใคร...สักคนที่เกิดมาเพื่อผูกพัน ใคร...ที่เกิดมาคู่กับฉัน ใคร...คือคนนั้นช่วยมาบอกฉันที ให้ใจที่หวั่นไหวได้พึ่งพิงสักที ให้รู้ว่าสักวันฉันจะเจอคนคนนี้ และใคร...ที่รอคนนี้มีจริงใช่ไหม ใคร...ที่รอตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”

คนเราทุกคนเมื่อเกิดมาคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ความรักเป็นปัจจัยสำคัญของการดำรงชีวิต เพราะคนเรามักเชื่ออยู่เสมอว่า ความรักเปรียบเสมือนน้ำบริสุทธิ์ที่ช่วยหล่อหลอมหัวใจให้ชื่นฉ่ำ และช่วยให้ชีวิตดำรงอยู่ได้ ด้วยเหตุนี้กระมังจึงทำให้คนเรามักพยายามทุกวิถีทางเพื่อไขว่คว้าหาความรัก ถึงแม้จะไม่สมหวังก็ตามที แต่ในจำนวนคนที่ไขว่คว้าหาความรักและคนที่กำลังมีความรักนั้น ข้าพเจ้าเชื่อว่าคงมีไม่ถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนคนเหล่านั้นที่พบกับรักแท้ และรู้จักความหมายของคำว่ารักอย่างแท้จริง รัก...ที่หลายต่อหลายคนใช้ความพยายามทั้งชีวิตเพื่อรอคอยและค้นหา “Kirakira เป็นประกาย” เป็นหนังสือที่ดีที่สุดเล่มหนึ่ง ที่จะพาทุกๆคนที่อยากมีความรัก ไปสัมผัสและรู้จักกับความหมายของคำว่า “รักแท้” ผ่านสายตาของคุณเอง

“Kirakira เป็นประกาย” หนังสือคุณภาพเยี่ยม ผลงานของนักเขียนรุ่นใหม่ยอดนิยมของญี่ปุ่น “เอคุนิ คาโอริ” เจ้าของรางวัลด้านวรรณกรรมมากมาย อาทิ รางวัลมุราซากิ ชิคิบุ, รางวัลท์ซึโบตะ โจจิ, รางวัลโรโบโนะอิชิ, รางวัลยามาโตะ ซูโคโร ฯลฯ จากรางวัลเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องพิสูจน์ฝีมือของเธอได้เป็นอย่างดีเยี่ยม ส่งผลให้นิยายของเธอมียอดจำหน่ายสูงติดอันดับหนังสือขายดีอย่างสม่ำเสมอ ถูกนำไป สร้างเป็นภาพยนตร์และละครทีวีหลายครั้ง รวมทั้งเรื่อง Kirakira เป็นประกายนี้ด้วย ที่ทำให้เธอได้รับรางวัลวรรณกรรมมุราซากิ ชิคิบุ ซึ่งเป็นรางวัลอันทรงเกียรติรางวัลหนึ่งของญี่ปุ่น

“Kirakira Hikaru” หรือในชื่อภาษาไทยว่า “Kirakira เป็นประกาย” เป็นเรื่องที่ว่าด้วยความสัมพันธ์อันแปลกประหลาดระหว่างหนึ่งหญิงสองชาย หนึ่งหญิงคือ โชโกะ กับสองชายคือ มุทสึกิและค่ง โครงเรื่องหนึ่งหญิงสองชายนี้ หลายคนคงนึกว่าเป็นเพียงโครงเรื่องในแบบธรรมดาทั่วไป แต่เอคุนิ คาโอริ สามารถทำให้โครงเรื่องอันสุดแสนธรรมดานี้กลับกลายเป็นเรื่องสุดแสนประหลาดและพิสดารที่สุดได้จากฝีมือการเขียนของเธอ โดยวางโครงเรื่องให้ ฝ่ายหญิงติดสุราและมีอาการทางจิต ส่วนฝ่ายสองชายนั้นกลับฝักใฝ่ในรักร่วมเพศ เรื่องคงจะจบลงเพียงเท่านี้ถ้าโชโกะไม่เกิดไปแต่งงานกับมุทสึกิ แต่ทว่าความสัมพันธ์อันพิลึกพิลั่นของทั้งสามคน กลับเติมเต็มชีวิตรักของกันและกันให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพราะต่างเติมเต็มซึ่งกันและกันด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์ แล้วรักแท้ที่สุดแสนบริสุทธิ์ของคนทั้งสามจะจบลงเช่นไร เมื่อถูกกดดันจากคนรอบข้างที่ต่างไม่ยอมรับในความสัมพันธ์อันพิลึกพิลั่นนี้

ในเรื่อง “Kirakira เป็นประกาย” มีลักษณะอันโดดเด่นเฉพาะตัวและมีเอกลักษณ์หลายประการ ที่ทำให้ผู้อ่านเปิดใจกล้ายอมรับความรักซึ่งแหกกฏและครรลองของสังคมได้เป็นอย่างดี หากเทียบว่านิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นเมื่อสิบปีก่อน ก็นับว่าเป็นเรื่องใหม่พอสมควรทั้งเนื้อหาและรูปแบบ ผู้เขียนได้เปลือยข้อด้อยของตัวละครทุกตัวให้ผู้อ่านรู้ตั้งแต่ต้นโดยไม่ปิดบัง เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจถึงจิตใจพื้นฐานของตัวละครแต่ละตัว อีกทั้งไม่สร้างเรื่องรักร่วมเพศเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องที่ต้องปิดบังหรือตลกขบขัน ดังนิยาย ละคร หรือภาพยนตร์อื่นๆ ในแนวนี้มักนิยมทำกัน แต่ด้วยบุคลิกของตัวละคร คือ โชโกะ มุทสึกิ และค่งนั้นต่างล้วนมีพลังสร้างความประทับใจและโน้มน้าวผู้อ่านให้รู้สึกสนุก สดใส และอิ่มเอมใจจากข้างในของพวกเขาทั้งสามได้เอง

เอคุนิ คาโอริ มีสไตล์การเขียนที่แตกต่างจากนักเขียนคนอื่นๆ เธอใช้ภาษาที่ใสกระจ่าง สั้นกระชับแต่กลับละเมียดละไม ใช้ภาษาไม่ยุ่งยากซ้ำซ้อนแต่สื่อความหมายได้ตรงตัว สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้เสน่ห์ของ “Kirakira เป็นประกาย” เด่นชัดและเป็นประกายเรียงรายตามตัวอักษรทุกตัวที่เธอได้บรรจงสร้างขึ้น เปรียบเสมือนตัวละครทุกตัวกำลังโลดแล่นอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ใช่โลกแห่งความเพ้อฝัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคนิคการเล่าเรื่อง ที่สลับไปมาระหว่างความคิดของโชโกะกับมุทสึกิ เพื่อแสดงการมองต่างมุมของคนทั้งสองนั้น ทำให้เรื่องดูเด่นชัด สมจริงสมจัง และทำให้ผู้อ่านเข้าถึงความคิดของตัวละครทั้งสองว่า ขณะที่ตัวละครกำลังดำเนินเรื่องอยู่นั้น ตัวละครคิดเห็นอย่างไร ซึ่งเทคนิคนี้ทำให้ผู้อ่านต้องย้อนกลับมาดูตัวเอง เพื่อใส่ใจความคิดของคนรอบข้างมากยิ่งขึ้น

“Kirakira เป็นประกาย” จึงไม่ใช่หนังสือที่มีดีเพียงแค่จะทำให้ผู้อ่านทุกท่านได้รู้จักกับความหมายของความรัก แต่ยังช่วยให้ผู้อ่านเรียนรู้ที่จะรักและเลือกที่จะรักอย่างถูกวิธี โดยหันมาดูแลใส่ใจกับคนรอบข้าง โดยต้องคิดเสมอว่าทุกชีวิตที่เกิดมาบนโลกใบนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ รักแท้อันบริสุทธิ์จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกคนรู้จักยอมรับและรักความเป็นตัวตนของกันและกัน แล้วรักแท้ที่ส่องแสงเป็นประกายเจิดจ้าดั่งดวงดาวที่ระยิบระยับบนท้องฟ้า จะบังเกิดขึ้นกับทุกชีวิตที่เชื่อมั่นในรักแท้ หลังจากได้อ่านเรื่อง “Kirakira เป็นประกาย” เล่มนี้

นพเก้า

โตเกียวไม่มีขา


โตเกียวไม่มีขา
นิ้วกลม
พิมพ์ครั้งที่ ๕
สำนักพิมพ์ a book
๓๘๑ หน้า ภาพประกอบ
๑๗๐ บาท

นิ้วกลม บางคนอาจยังไม่รู้จักชื่อของเขาผู้นี้ ปัจจุบันเขาได้ตวัดปลายนิ้วกลมๆของเขาเป็นตัวหนังสือลงบนหน้ากระดาษรวมตัวกันเป็นหนังสือดีๆมากมาย ได้แก่ ณ, อิฐ, นั่งรถไฟไปตู้เย็น และผลงานชิ้นล่าสุดกัมพูชาพริบตาเดียว ผลงานที่สร้างชื่อให้เขาจนทำให้ชื่อนิ้วกลมไปแทรกตัวอยู่ในร่องความทรงจำของหลายๆคน และเป็นผลงานเล่มแรกของเขาที่ประทับใจผู้อ่านมาแล้วนักต่อนักอย่าง โตเกียวไม่มีขา


ก่อนหน้านี้ครั้งใดที่ได้เดินเข้าไปในร้านหนังสือเพื่อหาหนังสือเกี่ยวกับบันทึกการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศก็จะพบแต่บันทึกการเดินทางแบบเดิมๆที่บริษัททัวร์ทั่วไปสามารถพาคุณไปได้ แต่เมื่อโตเกียวไม่มีขาได้วางลงบนแผงหนังสือ บันทึกการเดินทางแบบเดิมๆก็เปลี่ยนแปลงไป โตเกียวของนิ้วกลมอาจจะเป็นคนละโตเกียวกับที่หลายคนเคยไป


โตเกียวไม่มีขาเป็นบันทึกการเดินทางท่องเที่ยวโตเกียวเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่น เมืองในฝันของใครหลายๆคนรวมทั้งตัวฉันด้วย นิ้วกลมและเพื่อนตัดสินใจเดินทางไปโตเกียวด้วยงบประมาณเพียง ๑๒,๐๐๐ บาท ซึ่งหลายคนก็คงทราบดีว่าโตเกียวเป็นเมืองที่มีค่าครองชีพสูงเป็นอันดับต้นๆของโลก ด้วยงบประมาณที่นิ้วกลมตั้งเอาไว้จะสามารถอยู่ได้อย่างไรในเมืองที่มีค่าครองชีพสูงอย่างโตเกียวในเวลาถึง ๙ วัน ดังข้อความที่นิ้วกลมวางไว้บนหน้าปกว่า “เที่ยวเปื้อนฝุ่น ๙ วันด้วยเงิน ๑๒,๐๐๐ บาท” ทำให้โตเกียวไม่มีขาของนิ้วกลมยิ่งสร้างความน่าสนใจและชวนให้ติดตามบันทึกการเดินทางครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง โตเกียวเมืองในฝันที่ใครหลายต่อหลายคนอยากมีโอกาสได้ไปเหยียบสักครั้ง หลายคนอาจจะได้เพียงคิดและฝัน แต่สำหรับนิ้วกลมแล้วเขาไม่ปล่อยให้ความฝันเป็นเพียงความฝันแต่เขาเลือกที่จะทำให้ฝันเป็นจริง


บันทึกการเดินทางเล่มนี้ของนิ้วกลมแบ่งออกเป็นตอนๆทั้งหมด ๗๒ ตอนสั้นๆที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวความสนุกสนานและแง่คิดดีๆที่นิ้วกลมได้มอบให้ผู้อ่าน ตลอดระยะเวลา ๙ วันที่เขาได้อยู่ในแดนปลาดิบเขาได้พบเจอทั้งเรื่องราวดีและร้ายปะปนกัน นั่นทำให้การเดินทางของเขาอัดแน่นไปด้วยประสบการณ์ชั้นเยี่ยมที่ทำให้ชีวิตมีสีสัน เขาสามารถมองอุปสรรคให้เป็นเรื่องดี และเพียงแค่รอยยิ้มเล็กๆธรรมดาจากผู้คนที่เดินผ่านไปมาก็กลายมาเป็ความทรงจำที่มีคุณค่าของนิ้วกลม
การเดินทางของนิ้วกลมไม่ใช่การเดินทางตามสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเพียงอย่างเดียวอย่างที่บริษัททัวร์ทั่วไปและคนส่วนมากทำกัน แต่การเดินทางของเขานั้นทำให้เขาได้สัมผัสและคลุกคลีกับโตเกียวอย่างแนบแน่นเพราะเขาเลือกที่จะนอนพักที่ข้างถนนเช่นเดียวกันคนไร้บ้านในโตเกียว แม้จะต้องใช้ชีวิตในต่างแดนอย่างยากลำบากเพียงใดแต่ก็ไม่ทำให้เขาท้อแท้หรือท้อใจแต่กลับกลายแปรเปลี่ยนเป็นพลังให้เขายิ้มรับอย่างเข้มแข็งและเป็นแรงในการเดินทางต่อไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

เสน่ห์ของโตเกียวไม่มีขาคือกลวิธีการเขียนที่นิ้วกลมสามารถถ่ายทอดเรื่องราวการเดินทางไปยังที่ต่างๆอย่างแตกต่างและไม่เหมือนใคร ทำให้เมื่อได้อ่านแล้วรู้สึกราวกับว่าได้ร่วมเดินทางไปกับเขาหรือได้เข้าไปแอบอยู่ในกระเป๋าเป้ของเขาอย่างไม่รู้ตัว หลายตอนเมื่ออ่านแล้วก็อดมีรอยยิ้มเล็กๆเกิดขึ้นหรือบางครั้งก็ต้องแอบปล่อยเสียงหัวเราะออกมาไม่ได้และบางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะลุ้นตามนิ้วกลมไปด้วย อาจกล่าวได้ว่าโตเกียวของนิ้วกลมมีครบทุกรสชาติอย่างแท้จริง


เมื่อได้เริ่มอ่านโตเกียวไม่ขาของนิ้วกลมตั้งแต่ตัวหนังสือตัวแรกไปจนถึงตัวหนังสือตัวสุดท้ายแล้วได้รับทั้งความรู้ใหม่ๆเกี่ยวกับเมืองโตเกียวที่ไม่เคยรู้มาก่อน และเกิดแรงบันดาลใจที่จะออกเดินทางตามความฝันไม่ว่าจะเป็นความฝันใดก็ตามเพราะความฝันจะไม่เดินมาหาเราอย่างแน่นอน นิ้วกลมทำให้ฉันรู้สึกว่าโลกกลมๆใบนี้กว้างขว้างและยังมีอะไรอีกมากมายที่ยังไม่ได้ทำและยังไม่รู้ ฉันเชื่อว่าเมื่อใครก็ตามเมื่อได้เข้ามาสัมผัสโตเกียวไม่มีขาของนิ้วกลมแล้วคงจะต้องรู้สึกเช่นเดียวกับฉันว่าแม้โตเกียวไม่มีขาจะเป็นผลงานการเขียนหนังสือเล่มแรกของเขาแต่เขาก็สามารถทำได้อย่างไม่มีที่ติ

ธนัชญา

ป่าน้ำค้าง


ป่าน้ำค้าง
กนกพงศ์ สงสมพันธุ์
พิมพ์ครั้งที่ ๒
สำนักพิมพ์นาคร
๘๐ หน้า ภาพประกอบ
ราคา ๗๐ บาท


“ป่าน้ำค้าง” เป็นหนังสือรวมบทกวีนิพนธ์ และเป็นหนังสือเล่มแรกของกนกพงศ์ สงสมพันธุ์ นักเขียนรางวัลซีไรต์ปี 2539 จากรวมเรื่องสั้นชุดแผ่นดินอื่น รวมกวีนิพนธ์ป่าน้ำค้างพิมพ์ครั้งแรกในปีพ.ศ.2532 และถูกตีพิมพ์อีกครั้งในปีพ.ศ.2549


กนกพงศ์ ได้รับแรงบันดาลใจในการประพันธ์กวีนิพนธ์เล่มนี้จากสภาพบ้านเมืองที่เขาพบเจอ ใน เขาเกิดในภาคใต้ จังหวัดนครศรีธรรมราชในยุคที่ความขัดแย้งทางการเมืองโดยเฉพาะแถบเทือกเขาบรรทัดอันเป็นถิ่นกำเนิด เป็นความขัดแย้งระหว่างกองกำลังของรัฐกับกองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เป็นความขัดแย้งอย่างรุนแรง จากการปราบปรามแบบเหวี่ยงแห และ มาตรการในการกำจัดแบบตัดรากถอนโคนและการทารุณกรรมของฝ่ายรัฐบาลที่เรียกว่า "ถังแดง" และการตัดใบหูของศพเพื่อแลกกับเงินรางวัลของกองกำลังพลเรือน ตำรวจ ทหาร ที่เกิดขึ้นเพื่อปราบปรามผู้ที่มีความเห็นขัดแย้งกับรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยเฉพาะ ก่อนที่จะมีนโยบายการเมืองนำการทหารตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 66/2523 สมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท เป็นนายกรัฐมนตรี

กนกพงศ์เห็นพลังของประชาชนเป็นพลังอันบริสุทธิ์ เปรียบเสมือนน้ำค้างในยามเช้า เขาใช้เวลาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ และกลั่นกรองเป็นบทกวีเพื่อหวังจะเป็นส่วนหนึ่งในการถ่ายทอดเรื่องราวและหวังเป็นอย่างยิ่งให้มีผู้อื่นได้ถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้สืบไป

“ป่าน้ำค้าง” ถ่ายทอดเรื่องราวด้วยถ้อยคำง่ายๆ แต่แฝงไปด้วยความหมาย และนัย ของเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยใช้ธรรมชาติ ป่าไม้ และหมู่บ้าน โดยแบ่งเป็นสี่ตอน ฤดูเพาะปลูก, ข่าวคราวจากหมู่บ้าน, สัมผัสแห่งแผ่นดิน และความขัดแย้ง ตามลำดับ ก่อนเริ่มบทกวีในตอนหนึ่งๆ จะมีข้อความสั้นๆ เพื่อเกริ่นนำ

“ฤดูเพาะปลูก” ตอนแรกของป่าน้ำค้าง กล่าวถึงการกลับมาของฤดูฝน ฤดูแห่งการเพาะปลูกและเจริญงอกงามของพืชพรรณต่างๆ เมล็ดพรรณแห่งความดี และความกล้าหาญ คือสิ่งที่ผู้เขียนอยากให้ปลูก ซึ่งแท้จริงแล้วกนกพงศ์หมายถึงการลุกขึ้นมาต่อสู้อย่างกล้าหาญและเชื่อมั่นในความดี

“ข่าวคราวจากหมู่บ้าน” บทกวีในตอนนี้ เล่าเรื่องราวและสะท้อนสังคมชนบทที่กำลังถูกกลืนด้วยวัฒนธรรมใหม่จากในเมือง และความเจริญจากวิทยาการใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้า ผับบาร์ต่างๆ ทำให้สังคมเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง สังคมชนบทอันเรียบง่ายกำลังถูกทำลาย

“สัมผัสแห่งแผ่นดิน” เรื่องราวของนักต่อสู่ยุคแล้วยุคเล่า ที่ตู่สู้เพื่อผืนแผ่นดินอย่างกล้าหาญ
ร่างแล้ว ร่างเล่า แอบร่างอยู่ในดิน เป็นอาหารให้ป่าไม้ใบหญ้าในผืนป่า หวังให้มีชนรุ่นใหม่ลุกขึ้นมาต่อสู่ ย่ำรอยเท้าบนแผ่นดินอย่างคนรุ่นก่อน เพื่อสร้างสังคมยุคใหม่

“ความขัดแย้ง” สิ่งที่ยังคงมีอยู่บนแผ่นดินนี้ แผ่นดินไทย ผู้เขียนยังคงวางตัวเป็นคนนอกมองเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เขาหวังเพียงสันติที่เกิดขึ้นจากหลายคนที่ยอมพลีชีพลง ภายให้เทือกเขาที่เขายืนอยู่ และทิ้งท้ายด้วยบทกวีที่กล่าถึงประเทศชาติที่รอความล่มสลาย เพราะความคิดที่ง่ายดายของผู้คน

กนกพงศ์เรียบเรียงข้อความผ่านถ้อยคำที่เรียบง่ายร้อยเรียงเป็นบทกลอน และกลอนเปล่า อ่านง่าย แต่กินความหมายและสะเทือนอารมณ์ พรรณนาให้เห็นภาพต่างๆ ทั้งฤดูกาลที่เปลี่ยนผัน กระทั้งการต่อสู้บนเทือกเขาทางภาคใต้

คุณค่าจากการได้อ่านกวีนิพนธ์เล่มนี้คงไม่ใช่เพียงได้อรรถรสจากความไพเราะแห่งบทกวีเท่านั้น แต่ความหมาย แต่ความหวังที่กวีอยากให้ผู้อ่านได้รับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้น การต่อสู้อย่างกล้าหาญ ความหวังให้คนรุ่นหลังรำลึกถึงวีรกรรมที่วีรชนสร้างเอาไว้ และความหวังให้คนรุ่นใหม่ตระหนักถึงคุณค่าของถิ่นที่อยู่ คุณค่าของแผ่นดิน เป็นสิ่งที่กวีต้องการนำเสนออย่างแท้จริง

ถึงแม้ว่าในบทกวีของกนกพงศ์จะถ่ายทอดเรื่องราวที่เจ็บปวด ภาพของการสู้รบ แต่เขายังแฝงความหวังไว้ในบทกวี ผ่านฤดูกาลแห่งห้วงเวลา ที่ยังคงหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านมาเสมอ มามอบชีวิตให้ มาสร้างเมล็ดพรรณใหม่ นั่นหมายความว่าความหวังยังมีเสมอ

“ฝัน- ฉันจะฝ่า ในฝน
คน- จะต้องสร้างยุคใหม่
ฝน- ฉันจะฝ่า ข้ามไป
ใจ- จะต้องเหนือ เวลา”
(ท่ามกลางฝน)

เด่นนภา

สุขารมณ์เพลซ

สุขารมณ์เพลซ
ธวัชชัย คิดอ่าน
สำนักพิมพ์เพนพ็อกเกต
๑๒๘ หน้า
๑๓๕ บาท

“อพาร์ตเมนต์แสนสุขที่มีคนโดดตึกดิ่งลงมาตาย แต่ยังนอนยิ้ม” เป็นข้อความแรกที่ดิฉันได้พบเห็นบนปกหนังสือสีเขียวอ่อนเล่มหนึ่ง ที่มีภาพประกอบลายเส้นแบบเรียบง่าย พร้อมด้วยแทบขาวคาดเฉียงที่ด้านบนของปกหนังสือปรากฎข้อความว่า “นวนิยายเซอร์แตก” เข้าใจว่าคำนี้คงหมายถึง นวนิยายที่มีลักษณะเฉพาะตัวที่แปลกแตกต่างไปจากเล่มอื่นๆ และด้วยข้อความทั้งหมดนั้นเอง ทำให้ดิฉันต้องยืนอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า พลางคิดในใจว่า “เขามีความสุขอะไรถึงยังยิ้มได้แม้นาทีสุดท้ายของชีวิต และถ้าเขามีความสุขจริง ทำไมจะต้องกระโดดตึกลงมาด้วย” เพื่อให้คลายจากความสงสัยนั้นคงไม่มีวิธีไหนที่จะดีไปกว่าการซื้อหนังสือเล่มนั้นติดมือกลับบ้านมาเพื่อจะอ่านให้หายข้องใจว่าเรื่องราวภายในหนังสือนวนิยายเล่มนี้เป็นอย่างไรกันแน่

ก่อนที่จะได้เปิดอ่านหนังสือเล่มนี้ สายตาก็พลันไปสะดุดกับชื่อของผู้เขียน ธวัชชัย คิดอ่าน จำได้ว่าดิฉันเองเคยอ่านผลงานของเขามาแล้วเรื่องหนึ่ง คือเรื่อง One day diary และยังจำได้ดีว่าวิธีการเขียน การเล่าเรื่อง โดยเฉพาะแนวเรื่องของคุณธวัชชัยนั้นมีลักษณะเฉพาะตัวอยู่มากทีเดียว
นอกจากนี้ผลงานเล่มอื่นๆ ของเขา อย่างเช่นเรื่อง สังคมสังคัง ศรกามเทพสำแดงเดชสะท้านฟ้า ลำนำแห่งห้วงธารา ฯลฯ ยังเป็นผลงานที่มีความน่าสนใจอย่างมากเพราะให้แนวความคิดใหม่ๆ แก่ผู้อ่าน ทำให้ข้อความที่ว่า “นวนิยายเซอร์แตก” น่าจะมีความเป็นไปได้อย่างที่ว่าจริงๆ นั่นยิ่งทำให้ดิฉันไม่รีรอที่จะเปิดอ่านนวนิยายเซอร์แตกเล่มนี้อย่างแน่นอน

นวนิยายเรื่องนี้ถ่ายทอดเรื่องราวภายในอพาร์ตเมนต์ระดับสามดาวที่หมายเลขห้องเรียงลำดับไม่เหมือนใคร และบอกเล่าถึงวิถีและการดำเนินชีวิตของชาวอพาร์ตเมนต์ “สุขารมณ์เพลซ” ตั้งแต่บุญเพ็ง หัวหน้ายามรักษาการณ์ที่มักพกพากระติกน้ำแข็งชนิดปิดฝาล็อกด้วยรหัส
ตัวเลขแปดหลักติดตัวไปกับเขาด้วยเสมอ โดยที่ไม่ยอมบอกใครให้ล่วงรู้เลยว่าภายในนั้นมีสิ่งสำคัญอะไรซ่อนอยู่หรือแท้จริงแล้วเป็นเพียงกระติกน้ำแข็งธรรมดาเท่านั้น

เดี่ยว ชายหนุ่มเจ้าของหมายเลขห้อง ๒๑๘ เขาชอบเล่นหวยเป็นกิจวัตร ทั้งยังเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการขโมยเฮโรอีนจากแก๊งค์ค้ายาโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว

เกียรติ เพื่อนของเดี่ยว เขาเป็นคนนำเฮโรอีนที่ขโมยมาไปฝากไว้ที่ห้องของเพื่อนรักในสภาพของ “พระพุทธรูป” เพราะเขารู้ดีว่าหากปล่อยให้เจ้าสิ่งนั้นอยู่ที่ห้อง ๕๕๗ ของเขาแล้วละก็ ความหายนะคงจะคืบคลานมาในอีกไม่ช้า

กลางดึกคืนหนึ่ง ภายในห้อง ๘๐๘ หญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนเหม่อมองผ่านกระจกหน้าต่างบานใสไปยังเบื้องล่างและได้พบกับสิ่งที่ไม่คาดฝัน เมื่อเธอเห็นว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังจะถูกข่มขื่น เธอลังเลอยู่นาน ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร แต่ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจที่จะลงไปช่วย ทว่าเมื่อลงไปแล้วเธอกลับไม่พบกับหญิงสาวเคราะห์ร้ายผู้นั้น กลับกลายเป็นเธอเองที่จะถูกขมขื่น และก่อนที่สติของเธอจะหมดลงไปด้วยฤทธิ์ยาสลบ สายตาก็แหงนมองไปที่หน้าต่างห้องของตน เธอเห็น...หญิงสาวคนหนึ่งกำลังจ้องมองมาทางเธอ

เบื้องหลังประตูห้อง ๔๘๙ เป็นที่อาศัยของเฮียล้นและแก่น สมุนมือขวาคนสนิท ห้องสี่เหลี่ยมห้องนี้เรียกได้ว่าเป็นรังของพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่รายหนึ่ง ที่น้อยคนในวงการยาเสพติดจะไม่รู้จัก เขาทั้งสองเป็นต้นตอและตัวการสำคัญที่จะทำให้ชีวิตเล็กๆ ของคนในอพาร์ตเมนต์บางคนต้องเปลี่ยนไป ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวพวกเขาเอง

ชายหนุ่ม ห้องหมายเลข ๙๙๘ ผู้มีประสบการณ์อันยิ่งใหญ่ที่ต้องแลกด้วยชีวิต เพราะประสบการณ์นั้นคือ การกระโดดตึกฆ่าตัวตาย ที่ใช้แรงเฮือกสุดท้ายแสดงความดีใจกับตนเองด้วยรอยยิ้ม เพราะคิดว่าอย่างน้อยการตายของเขาก็มีประโยชน์อะไรบางอย่าง

ยังมีอีกหลายชีวิตในอพาร์ตเมนต์แห่งนี้ที่รอให้ผู้อ่านเข้ามาทำความรู้จักและร่วมคลุกคลีไปกับวิถีชีวิตของพวกเขา ชีวิตที่ดำเนินไปอย่างแตกต่างแต่ล้วนมีความเกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน เสมือนเป็นภาพจิ๊กซอว์ขนาดใหญ่ ที่หากขาดชิ้นใดชิ้นหนึ่งไปแล้วก็จะทำให้ภาพนั้นไม่สมบูรณ์

นอกจากความเพลิดเพลินที่จะได้จากการอ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว แง่คิดที่แฝงอยู่ในความอลวนและงงงวยของผู้คนในอพาร์ตเมนต์แห่งนี้ จะทำให้ผู้อ่านได้สะกิดใจถึงหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็น อำนาจและกลิ่นหอมหวลของเงินที่ทำให้คนกล้าทำได้ทุกสิ่ง แม้ว่าเรื่องนั้นจะเป็นสิ่งไม่ดีก็ตาม
ดังคำกล่าวจากตัวละครหนึ่งที่ว่า “นอกจากความรักแล้ว ก็ยังมีเงินนี่แหละที่ทำให้คนตาบอดได้โดยไม่ต้องใช้เข็มทิ่มแทง” ทั้งเชื่อมโยงให้เราได้เห็นว่า การทรยศหักหลังยังคงมีอยู่เสมอ แม้จะฉาบหน้าไปด้วยความซื่อสัตย์เพียงใดก็ตาม และสุดท้าย ความตายอาจเป็นเพียงประสบการณ์ที่ท้าทายของใครบางคน แต่หากตายโดยยังเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นได้บ้าง ก็คงไม่แปลกอะไรหากลมหายใจเฮือกสุดท้ายจะหมดไปและทิ้งไว้ด้วยรอยยิ้ม

นวนิยายเรื่องนี้ทำให้ดิฉันคิดได้ว่า เรื่องราวต่างๆ รวมทั้งชีวิตของคนเรานั้น ไม่ได้ดำเนินไปเป็นเพียงแค่เส้นตรง หรือเป็นวงกลมเท่านั้น หากแต่ทุกชีวิตทุกเรื่องราวอาจกำลังเกี่ยวข้องเชื่อมโยง ปะติดปะต่อกันเป็นจิ๊กซอว์อยู่ก็เป็นได้ เพียงรอเวลาให้เราค้นพบว่าจิ๊กซอว์ชิ้นไหนที่ขาดหายไป หรือตัวเราเองกำลังเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นที่คนอื่นๆ กำลังตามหาอยู่ และที่สำคัญไม่ควรลืมความเป็นจริงที่เราหลายคนละเลยไปว่า การกระทำของเรานั้นส่งผลต่อสิ่งต่างๆ รอบตัวอยู่เสมอ
บางทีตอนที่เราขยับจิ๊กซอว์ชีวิตของตัวเราเองอยู่นั้น อาจทำให้จิ๊กซอว์ชิ้นข้างๆ กระเด็นออกนอกกรอบไปก็เป็นได้.....

ณัชชา

เข็มทิศชีวิต


เข็มทิศชีวิต
ฐิตินาถ ณพัทลุง
พิมพ์ครั้งที่ ๕๓ พ.ศ. ๒๕๕๑
สำนักพิมพ์ซีเอ็ด
208 หน้า
ราคา ๑๙๕ บาท


ด้วยวัยเพียง 21 ปี ของข้าพเจ้า ที่เมื่อพิจารณาจากตัวเลขแล้วใครหลายๆคนคงมองว่ายังน้อยนัก หากแต่เมื่อมองตามความเป็นจริงแล้วก็มากพอที่จะผ่านประสบการณ์หลายๆอย่าง นั่นหมายรวมถึงปัญหาต่างๆที่ข้าพเจ้าต้องพบเจอด้วยเช่นกัน ปัญหาใหญ่ในชีวิตของข้าพเจ้าอย่างหนึ่งคือ ก้าวแรกของการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะคุ้นชินกับการใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมาตั้งแต่ ม.1 เพราะต้องไปเรียนจังหวัดที่ไกลบ้าน แต่อย่างไรก็ตามความกว้างที่แตกต่างกันระหว่างรั้วมหาวิทยาลัยและรั้วโรงเรียนก็ทำให้ข้าพเจ้าหวั่นใจยิ่งนัก ไหนจะสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างภาคกลางและภาคใต้ เพื่อนใหม่ที่มาจากทั่วสารทิศ สำคัญที่สุดคือการปรับตัวเรื่องการเรียนที่หนักขึ้น ความรับผิดชอบที่ต้องมีมากขึ้นตามไปด้วย ในขณะที่กำลังสับสนวุ่นวายกับชีวิตช่วงนั้น สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น คุณปู่ของข้าพเจ้าจากไป..อย่างไม่มีวันกลับ ภาพในวัยเด็กระหว่างเด็กหญิงตัวน้อยกับชายชราท่าทางใจดีผุดพรายขึ้นมาพร้อมๆกับน้ำตา ตอนนั้นข้าพเจ้ารู้สึกว่าทุกอย่างถาโถมเข้ามาจนตั้งตัวรับเกือบไม่ทัน ...ความตายไม่เคยบอกล่วงหน้าว่าจะพรากใครไปจากเราเมื่อไหร่...

นับแต่วันนั้นข้าพเจ้าจึงมีโอกาสได้รู้จักกับเพื่อนใหม่อย่าง “เข็มทิศชีวิต” ที่เขียนโดยคุณฐิตินาถ ณ พัทลุง เธอเรียนจบปริญญาโทจากประทศอังกฤษ มีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อม แต่แล้ววันหนึ่งเธอต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่ว่าสามีของเธอนั้นเสียชีวิตลงอย่างกระทันหันพร้อมกับทิ้งภาระหนี้สินหลายสิบล้านบาทไว้ให้เธอแบกรับ และลูกอีกหนึ่งคนที่ต้องดูแล เธอจัดงานศพสามีในวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งเป็นเวลาที่ใครหลายๆคนสนุกสนานอยู่กับการฉลอง ความสูญเสียอันใหญ่หลวงที่เธอได้รับทำให้เธอแทบสิ้นหวังกับชีวิต แต่เธอก็สามารถผ่านพ้นความทุกข์เหล่านนั้นมาได้ด้วยการฝึกทำสมาธิภาวนา ในตอนแรกอาจจะทำยาก แต่เมื่อผ่านไปสักพักเธอก็ค้นพบคำตอบที่ว่า “แท้จริงแล้วทุกข์อยู่ที่ใจ” เมื่อมีสติก็จะรู้ใจตนเอง มีความคิดรอบคอบ หลังจากนั้นมาชีวิตของเธอก็เปลี่ยนไป เธอสามารถปลดหนี้ทั้งหมดได้ภายในเวลาเพียงสามปี ด้วยความมีสติในการใช้ชีวิตและประกอบธุรกิจ นอกจากนี้เธอยังสนับสนุนให้พนักงานบริษัทของเธอศึกษาธรรมมะ ทำงานด้วยความสุจริต มองการทำงานเป็นการทำความดีให้ลูกค้า ทั้งหมดนี้ส่งเสริมให้เธอประสบความสำเร็จในที่สุด ที่สำคัญนอกจากเธอจะเอาชนะปัญหาเหล่านั้นได้แล้ว เธอยังปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ที่จมอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ให้ได้มี “เข็มทิศ” นำจิตใจอีกด้วย


ความโดดเด่นของ “เข็มทิศชีวิต” นอกจากจะมีการใช้ภาษาที่กระชับในการนำเสนอความคิดของผู้เขียนแล้ว ยังมีเรื่องเล่าประกอบตลอดทั้งเล่ม ช่วยเน้นให้ผู้อ่านสัมผัสถึงสิ่งที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอได้ดียิ่งขึ้น เช่น ลิงกับกะปิ ใช้ตะเกียบคีบภูเขา แก้วที่ไม่เคยพอ เป็นต้น แต่ละเรื่องจะถ่ายทอดผ่านตัวละครที่ต่างกันออกไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันนั่นคือ ทุกเรื่องล้วนมีข้อคิดที่ทำให้ผู้อ่านฉุกคิดและนำไปปฏิบัติได้

ในขณะที่อ่านเข็มทิศชีวิต สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้ารู้สึกคือ เหมือนกับได้นั่งคุยอยู่กับญาติผู้ใหญ่ใจดีที่คอยเล่าเรื่องราวสัจธรรมในชีวิตให้ลูกหลานฟัง หูตาของข้าพเจ้าถูกเปิดให้กว้างขึ้น ทำให้มองเห็นว่าทุกชีวิตล้วนต้องเจอกับปัญหาทั้งสิ้น แต่ทั้งนี้จะทุกข์หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง ว่าเลือกที่จะจัดการอย่างไรกับปัญหาเหล่านั้น และที่สำคัญต้องจัดการอย่างมีสติ

ตอนนี้ความทุกข์ในใจของข้าพเจ้าค่อยๆจางหายไปแล้ว หายไปพร้อมกับสติที่เข้ามาแทนที่ ส่วนใครที่ยังไล่ตามวัตถุ กิเลส หรือกำปัญหาทั้งหลายเอาไว้ ลองหันกลับมาใคร่ครวญดูว่าความสุขในใจที่แท้จริงอยู่ที่ไหน... “เข็มทิศชีวิต” จะเป็นเข็มทิศที่ช่วยให้ชีวิตคุณพบกับความสงบได้

ซีรีน

ตุ๊กตาไล่ฝน


ตุ๊กตาไล่ฝน
ศักดา สาแก้ว
พิมพ์ครั้งที่ ๑ ปี พ.ศ. ๒๕๕๑
สำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์
๒๑๒ หน้า ภาพประกอบ
๑๙๕ บาท


ถ้าจะกล่าวถึงรางวัลนักเขียนรุ่นใหม่ที่น่าจับตามอง คงจะมีหลายคนที่นึกถึงรางวัลศิลปะเพื่อเยาวชนไทย โดยมูลนิธิซิเมนต์ไทย รางวัลล่าสุดคือเมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๑ ที่ผ่านมานี้ หนังสือเล่มที่ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมก็คือเรื่อง ตุ๊กตาไล่ฝน ซึ่งเมื่ออ่านแล้วรู้สึกได้ทันทีเลยว่า สมกับเป็นเล่มที่ได้รับรางวัลจริงๆ ด้วยการที่ผู้แต่งได้นำเรื่องที่สามารถพบเห็นได้ในสังคมไทยในปัจจุบันนี้ และเป็นความสะเทือนใจที่อ่านแล้วรู้สึกตามไปกับเรื่องที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอ ไม่น่าเชื่อเลยว่านี่จะเป็นผลงานเขียนเล่มแรกในชีวิตของศักดา เพราะว่าเนื้อเรื่องที่ผูกไว้อย่างน่าสนใจและมีเรื่องให้ต้องขบคิดตาม แต่เป็นการผูกเรื่องที่แนบเนียนและหักมุมมากที่สุดจนเราคาดไม่ถึงมาก่อน เรียกได้ว่าถ้าอ่านไม่จบเล่มนี่เรื่องราวจะเป็นไปแบบคนละเรื่องเลยทีเดียว สิ่งที่ศักดาต้องการนำเสนอเป็นเรื่องที่กล่าวถึงสภาพความเป็นจริงของครอบครัวที่มีฐานะยากจน อยู่ในสังคมที่ไม่ค่อยดี ตัวละครแต่ละตัวมีความกดดันอยู่ในชีวิตที่ต้องดิ้นรนต่อสู้กับสิ่งต่างๆ แต่ละคนมีความเครียดที่แตกต่างกันออกไป

จากการที่สนใจในหนังสือเล่มนี้จากการบอกเล่าของเพื่อน จนกระทั่งได้มาสัมผัสกับความน่าตื่นเต้น ที่ตอนจบปัญหาจะค่อยๆคลี่คลายทำให้เราเห็นความเป็นจริงและตอบในทุกๆข้อสงสัยที่มีมาตั้งแต่ตอนแรกๆ เมื่ออ่านไปแล้วรู้สึกได้เลยว่าหนังสือเล่มนี้มีเสน่ห์ในการผูกเรื่องอย่างมาก เราคาดเดาไม่ถูกเลยว่า เรื่องจะดำเนินต่อไปอย่างไร และนี่แหละคือสิ่งที่ทำให้หนังสือเล่มนี้ต่างจากเรื่องสั้นอื่นๆ

หนังสือเริ่มต้นด้วยการบอกเล่าถึงภูมิหลังครอบครัวๆหนึ่ง ที่อยู่กันอย่างสมถะ ถึงไม่มีเงินมีทองมากมาย แต่พวกเขาก็มีความสุขที่ได้อยู่ร่วมกันในครอบครัว ตัวละครเอกคือ ไหม ซึ่งพิการร่างกายไม่สมประกอบ แต่ต้องถูกกระทำจากคนรอบข้างมากมาย มันช่างโหดร้ายที่เธอต้องเป็นผู้ถูกกระทำโดยคนที่มีอวัยวะครบสมบูรณ์ที่จ้องเอารัดเอาเปรียบเธออยู่ตลอดเวลา ทั้งทางวาจาและทางกาย เมื่อเธอเป็นฝ่ายถูกกระทำ ทุกๆอย่างฝังอยู่ในใจของเธอตลอดมา วันเวลาผ่านไปเธอเริ่มแข็งแกร่งขึ้น ต่อมาภายหลังเธอจึงเลือกที่จะเป็นฝ่ายกระทำเอง

จากวันที่ครอบครัวเคยอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากลับกลายเป็นเหลือเพียงเธอ แม่ และน้องสาว พ่อผู้ซึ่งเคยดูแลเอาใจใส่เธอและน้อง และเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของครอบครัวเลือกที่จะเดินจากไป อย่างไม่เหลียวมองความยากลำบากที่ทิ้งไว้ให้แม่เป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว สภาวะที่บีบบังคับเช่นนี้ ทำให้เกิดความเคียดแค้น เจ็บปวด จนเธอรู้สึกว่าโลกแห่งความจริงมันช่างโหดร้ายเสียเหลือเกิน จนเธอเริ่มคิดถึงโลกแห่งจินตนาการ และเธอจึงเริ่มพาตัวเองเข้าไปอยู่ในโลกสมมุติที่เธอก็รู้ว่า มันเป็นเพียงแค่ความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง

เธอเริ่มมีพัฒนาการทางอารมณ์ที่ค่อนข้างชัดเจนและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เธอใช้จินตภาพชี้ความผิดถูก โดยไม่สนใจโลกแห่งความเป็นจริง จนเธอต้องพบกับจุดจบที่น่าใจหาย ผู้เขียนได้ใช้ความคิด หรือสัณชาตญาณดิบลึกๆในใจของมนุษย์มาเขียน จึงทำให้แปลกและกล้าที่จะแตกต่าง

ชุตินันท์

สำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์

สำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์
ปรามินทร์ เครือทอง
พิมพ์ครั้งที่ ๒
สำนักพิมพ์มติชน
๙๕ หน้า ภาพประกอบ
๑๑๒บาท


เมื่อพูดถึงภาพยนตร์เรื่อง สุริโยทัย หลายๆคนคงรู้จักดีและเคยชมภาพยนตร์เรื่องนี้มาแล้ว แต่เคยสงสัยหรือไม่ว่า ทำไมถึงต้องใช้ท่อนจันทน์ประหารชีวิตเชื้อพระวงศ์?

ประวัติศาสตร์ไทยนั้นประกอบด้วยความเป็นมา พิธีกรรมต่างๆเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธ์ และเมื่อกล่าวถึงประวัติศาสตร์สมัยอยุธยา คนส่วนใหญ่มักจะนึกภาพประเพณีและวัฒนธรรมที่ดีงาม ความสงบสุขของบ้านเมือง พระมหากษัตริย์ที่ปรีชาสามารถในการสู่รบและการบริหารบ้านเมือง แต่ทราบหรือไม่ว่าภายใต้บริบทเหล่านี้ มีภาพนัยยะทางการเมืองที่รุนแรงและวุ่นวายซ่อนอยู่ โดยเฉพาะช่วงรอยต่อการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน มักจะมีเหตุการณ์แย่งชิงราชสมบัติที่นำไปสู่บัลลังก์เลือด

ทุกครั้งสิ่งที่ตามมาหลังการแย่งชิงราชสมบัติบรรลุผลคือ การลงโทษหรือการกำจัดกษัตริย์และบรรดาเชื้อพระวงศ์ของกษัตริย์องค์ก่อนเสีย เพื่อป้องกันการกลับมาทวงบัลลังก์ ซึ่งมีทั้งที่ได้รับพระเกียรติสูงสุดในวาระสุดท้าย และมีทั้งที่ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างไร้เกียรติเช่นกัน ตามโบราณราชประเพณีได้กำหนดการมอบพระเกียรติแก่พระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ในวาระสุดท้ายไว้อย่างเคร่งครัด ดังที่ปรากฏอยู่ในกฎมนเทียรบาล เพื่อเป็นการรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันกษัตริย์ที่ว่าเกิดเป็นกษัตริย์ก็ต้องตายอย่างกษัตริย์

สำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ ผลงานการเขียนของคุณปรามินทร์ เครือทอง มีเนื้อหาที่เน้นเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ในเรื่องของการใช้ท่อนจันทน์เป็นอาวุธสำเร็จโทษ(ประหารชีวิต) ตามกฎมนเทียรบาล (กฎหมายลักษณะหนึ่งในมาตราสามดวง ว่าด้วยระเบียบแบบแผนอันเกี่ยวเนื่องกับราชสำนัก)
“...โบราณราชประเพณีได้กำหนดการมอบพระเกียรติแก่พระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ ในวาระสุดท้ายไว้อย่างเคร่งครัด...ทั้งนี้เพื่อรักษาความศักดิ์สิทธ์ของสถาบันกษัตริย์ไว้ไม่ให้เสื่อม คือผู้ที่เกิดอย่างเจ้าก็ควรจะตายอย่างเจ้าเช่นกัน...”

การลงโทษประหารชีวิตพระเจ้าแผ่นดินหรือเชื้อพระวงศ์นั้นมีข้อกำหนดตามกฎมนเทียรบาลที่สำคัญเรื่องหนึ่งคือ คนธรรมดาสามัญไม่สามารถถูกเนื้อต้องตัวกษัตริย์ได้ ดังนั้นในการทำการลงโทษประหารจะมีการจับเจ้านายใส่ถุงแดงก่อนแล้วจึงทำการสำเร็จโทษตามประเพณี เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้ใดผู้หนึ่งจับต้องพระวรกายของเชื้อพระวงศ์ และป้องกันไม่ให้ผู้ใดได้เห็นพระศพ

สำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ เป็นหนังสือที่มีความน่าสนใจอย่างมากสำหรับผู้ที่สนใจเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ และบุคคลทั่วไปก็สามารถอ่านได้ เพราะใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย กระชับ เนื้อหาชวนติดตาม อีกทั้งผู้เขียนได้มีการศึกษาค้นคว้าข้อมูลเรื่องนี้ไว้อย่างละเอียด จะเห็นได้จากทุกบทของหนังสือเรื่องนี้มักจะมีการอ้างอิงที่มาของข้อมูลจากหลายๆแหล่ง ตัวอย่างเช่น

บทที่ ๑ หัวข้อเรื่องกฎมนเทียรบาล ผู้เขียนได้อ้างอิงเนื้อหาข้อมูลทั้งจากหนังสือ กฎหมายเล่ม ๒ สำหรับผู้พิพากษาแลทนายว่าความของพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ หนังสือกฎหมายไทย ฉบับหมอบรัดเลย์ และหนังสือ กฎหมายตราสามดวง ฉบับ ร.แลงการ์ เป็นต้น
กลวิธีการเล่าเรื่องนั้นไม่ต่างจากเวลาอ่านหนังสือแนวสืบสวนสอบสวน ที่มักจะมีปมปัญหาให้เราขบคิดหาคำตอบ แล้วปมปัญหาจะค่อยๆคลี่คลาย และการเกิดอารมณ์สะเทือนใจของผู้อ่านที่มีต่อผลของพิธีกรรมลงโทษอันสลับซับซ้อน

รายละเอียดเรื่องก็จะเป็นการให้ข้อมูล การตีความโดยอิงหลักฐานทางประวัติศาสตร์ อธิบายให้เกิดจินตนาการตามและตอบข้อสงสัยต่างๆ อาทิ สาเหตุที่เชื้อพระวงศ์ถูกสำเร็จโทษ ทำไมถึงต้องใช้ท่อนจันทน์และมีผ้าแดงคลุม ขั้นตอนการสำเร็จโทษ การวิเคราะห์สถานที่ใช้ในการสำเร็จโทษ
สิ่งที่สะท้อนอย่างเด่นชัดในเรื่องก็คือ จุดมุ่งหมายของพิธีกรรมที่ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดก็เพื่อรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันกษัตริย์ ถ้าหากเกิดเป็นกษัตริย์ก็ต้องตายอย่างกษัตริย์จะตายอย่างสามัญชนไม่ได้ เพราะจะทำให้สถาบันกษัตริย์ลดความน่าเชื่อถือลงไป ทั้งนี้เพราะประชาชนก็อาจจะคิดได้ว่ากษัตริย์ก็เป็นแค่คนธรรมดา เวลาถูกลงโทษประหารชีวิตก็กระทำด้วยวิธีที่ไม่ต่างจากไพร่

หากใครอยากเพิ่มพูนความรู้ใหม่ๆ สำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ คือทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่รักการอ่าน ด้วยเนื้อหาที่ไม่ยาวจนน่าเบื่อและไม่สั้นจนไม่ได้ใจความ หนังสือเล่มนี้จะช่วยให้ผู้อ่านมีมุมมองที่กว้างและลึกซึ้งขึ้นได้

ชินาภรณ์

เอลิอัส กับคุณยายจากไข่


ชื่อหนังสื่อ : เอลิอัส กับคุณยายจากไข่
ชื่อผู้แต่ง : อิวา โพรชัสโควา
ผู้แปล : นฤมล ง้าวสุวรรณ
สำนักพิมพ์ : แพรวเยาวชน
ปีพิมพ์ : 2548
จำนวนหน้า : 140 หน้า ราคา : 125 บาท

“เอลิอัสกับคุณยายจากไข่” เป็นผลงานการเขียนของ อิวา โพรซัสโควา เธอได้รับรางวัลวรรณกรรมเยาวชนของเยอรมัน และในปี ค.ศ. 1987 ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับรางวัลฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงคุณภาพและความสนุกในหนังสือเล่มนี้ได้เป็นอย่างดี

เอลิอัส เด็กชายอายุ 7 ขวบ เขามีแม่แสนสวยเป็นนักตกแต่ง พ่อของเขาเป็นนักคิดเกมส์คอมพิวเตอร์ แต่เอลิอัสกลับหงอยเหงา เพราะพ่อกับแม่ไม่มีเวลาให้เขาเลย และยังไม่มีปู่ย่าตายายคอยให้ความอบอุ่นเหมือนเด็กคนอื่น ๆ เขาจึงนึกอิจฉาเพื่อนที่มีปู่ย่าตายาย วันหนึ่งเอลิอัสได้พบไข่สีเหลืองฟองโตจากการไปเดินหาลูกบอลในสวน เขาจึงนำไข่กลับมาที่บ้านด้วย สิ่งที่ฟักออกมาจากไข่นั้นไม่ใช่นกอย่างที่เขาคิดไว้ แต่เป็นคุณยายตัวเล็ก มีปีก และร้องเพลงไพเราะที่สุด เอลิอัสจึงมีคุณยายที่พิเศษกว่าใคร ๆ เขาไม่ได้บอกพ่อแม่หรือคนอื่น ๆ ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เขาคอยเฝ้าดูแลคุณยายของเขา สอนให้คุณยายอ่านหนังสือ สอนไม่ให้พูดคำหยาบ สอนให้เดิน และสอนอาบน้ำ ความรักและความอ่อนโยนในจิตใจเป็นสิ่งที่เอลิอัสได้มาโดยไม่รู้ตัว อย่างไรก็ตามเอลิอัสก็ยังคงต้องการความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่ และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการมีเวลาให้แก่กัน

วรรณกรรมเยอรมันสำหรับเยาวชนเรื่องนี้ เป็นวรรณกรรมเยาวชนที่ดีอีกเล่มหนึ่ง ซึ่งมีเนื้อหาแนวเหนือจริงที่เด็กอ่านได้ ผู้ใหญ่ก็อ่านดี เพราะเป็นเรื่องที่อ่านง่าย โดยผู้แต่งใช้ภาษาที่ผู้อ่านสามารถเข้าใจง่าย โดยถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ ผ่านทางบทสนทนาของตัวละคร ที่ใช้ภาษาระดับสนทนา และผู้แปลก็สามารถแปลออกมาได้โดยที่ไม่ทำให้ผู้อ่านได้รับรสของวรรณกรรมน้อยลง อีกทั้งยังมีการสอดแทรกอารมณ์ขันให้ผู้อ่านได้หัวเราะและอมยิ้มไปกับความคิดของเอลิอัสตลอดทั้งเรื่อง ความน่ารักของเรื่องจึงอยู่ที่บทสนทนาระหว่างพ่อ แม่ และเอลิอัส เช่นตอนที่เอลิอัสตัดผมของแม่มาทำรังให้กับไข่สีเหลือง ที่พ่อถามว่า “ลูกตัดผมแม่ใช่ไหม ลูกตัดได้ยังไง” เขาตอบว่า “ผมใช้กรรไกรตัดครับ” ทำให้ผู้อ่านกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ และการถ่ายทอดความรู้สึกของเอลิอัสสู่ผู้อ่าน อย่างเช่นตอนที่เอลิอัสไม่สามารถขัดแม่ของเขาได้ เพราะ “ถ้าแม่บอกว่าแม่จะต้องไปเอาหนังสือที่ห้องสมุดวันนี้ละก็ แม่ก็จะไปให้ได้ แม้ว่าห้องสมุดจะเกิดไฟไหม้ และถ้าแม่ตั้งใจว่าจะซื้อแป้งกับน้ำมันละก็ แม่ก็จะซื้อมันให้ได้แม้แผ่นดินจะไหวก็ตาม”

กลวิธีการเขียนของผู้แต่งนั้นมีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นการเขียนที่สามารถทำให้ผู้อ่านเห็นด้วยและคล้อยตามไปกับความคิดของผู้แต่ง ด้วยประโยคเพียงไม่กี่ประโยคในตอนเกริ่นนำก่อนที่จะเข้าเนื้อเรื่อง คือ “พ่อแม่นี่เป็นสิ่งที่เราไม่มีสิทธิ์เลือกเลย เหมือนดินฟ้าอากาศที่เราเลือกไม่ได้ ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ก็ตาม บ่นไปก็ไร้ประโยชน์” รวมทั้งการนำเสนอแก่นของเรื่อง คือ พ่อแม่ไม่มีเวลาให้กับลูก โดยกล่าวตั้งแต่ตอนเริ่มเรื่อง ซึ่งผู้แต่งไม่ได้กล่าวถึงตรง ๆ แต่ใช้ประโยคที่ทำให้เราเห็นได้ว่าพ่อกับแม่ของเอลิอัสนั้นไม่มีเวลาให้กับลูก ในประโยค “เชื่อไหมล่ะว่าแม่ของเขายังเล่นเกมมนุษย์อวกาศไม่เป็นจนแล้วจนรอด ส่วนพ่อของเขาก็ยังทำว่าวไม่เป็นจนทุกวันนี้” โดยในเนื้อเรื่องก็กล่าวถึงเกมนี้ ที่เอลิอัสมักจะชวนพ่อกับแม่เล่น แต่พ่อกับแม่ก็มักมีข้ออ้างเรื่องงานอยู่เสมอ และการที่ผู้แต่งกล่าวถึงพ่อแม่ของเพื่อน ๆ

เอลิอัสก็เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นชัดเจนขึ้นว่าพ่อแม่ของเอลิอัสนั้นไม่มีเวลาให้กับลูก รวมถึงการกล่าวถึงปู่ย่าตายายที่เอลิอัสไม่มีด้วย นอกจากนี้ผู้แต่งยังสามารถเขียนถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึก และความคิดของ
เอลิอัสซึ่งเป็นเด็กวัย 7 ขวบได้เป็นอย่างดี

หากคุณกำลังมองหาหนังสือดี ๆ สักเล่ม ดิฉันขอแนะนำ เอลิอัสกับคุณยายจากไข่ ซึ่งเป็นหนังสือที่ดีเล่มหนึ่งที่ให้ทั้งความบันเทิงและข้อคิดในเรื่องของความรัก ความอบอุ่น การมีเวลาดูแลเอาใจใส่คนในครอบครัวว่าเป็นสิ่งสำคัญ และมีเนื้อหาที่ช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวซึ่งเป็นพื้นฐานที่ดีของสังคมอีกด้วย

ชิดกมล

บันทึกสึนามิ “เราจะพาเขากลับบ้าน”


บันทึกสึนามิ “เราจะพาเขากลับบ้าน”
แพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์
พิมพ์ครั้งที่ ๑
สำนักพิมพ์อมรินทร์
มีนาคม ๒๕๔๘
๑๗๑ หน้า ภาพประกอบ
๑๕๐ บาท


หากเอ่ยถึงเหตุการณ์ “สึนามิ” คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าไม่เคยร่วมรับรู้ถึงความสูญเสียในครั้งนั้น เราตั้งคำถามกับตัวเองว่าเหตุใดเหตุการณ์อย่างสึนามิจึงเกิดขึ้น เหตุใดจึงเกิดความสูญเสียรุนแรงเช่นนี้ เราคงไม่อาจไปตัดสินว่าเพราะธรรมชาติลงโทษมนุษย์ผู้ทำลายธรรมชาติไปมากมาย แต่ที่เราคิดก็คือมนุษย์รู้จักธรรมชาติน้อยเต็มที ทุกสิ่งทุกอย่างในธรรมชาติไม่ได้ดำรงอยู่อย่างโดดเดี่ยว ธรรมชาติไม่เคยปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นโดยปราศจากสัญญาณเตือน ธรรมชาติมิได้ร้ายกาจต่อมนุษย์ถึงปานนั้น เพียงแต่ว่ามนุษย์อาจ “วิวัฒนาการ” ไปมากเสียจนสัญชาตญาณในการรับรู้ “สัญญาณ” จากธรรมชาตินั้นเสื่อมถอยไป

ปลายปี ๒๕๔๗ หลายคนรับรู้ข่าวคราวและความเป็นไปของมหันตภัยร้ายแรงที่ชื่อว่า “สึนามิ” จากสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ วิทยุ หรือหนังสือพิมพ์ บางคนก็บอกเล่ากันปากต่อปากถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เทศกาลปีใหม่อันรื่นรมย์กลับกลายเป็นห้วงเวลาแห่งความโศกเศร้า แต่ประชาชนส่วนใหญ่ก็ได้รับรู้ข้อมูลเพียงผิวเผินเท่านั้น จะมีสักกี่คนที่มีโอกาสได้สัมผัสและซาบซึ้งถึงเบื้องหลังความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่นี้
ข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งที่คอยติดตามข่าวความคืบหน้าของเหตุการณ์สึนามิอย่างใกล้ชิด แต่ก็ไม่อาจรับรู้และเข้าถึงจิตใจของผู้ที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปจากเหตุการณ์นี้ บ้างก็สูญหายไปทั้งครอบครัว บ้างก็สูญเสียเสาหลักของครอบครัว มีประชาชนทั้งไทยและเทศที่ยังหาศพของสมาชิกในครอบครัวไม่พบ จากสถานการณ์เช่นนี้จึงจำเป็นจะต้องอาศัยความร่วมมือของหน่วยงานราชการ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และอาสาสมัครทุกเชื้อชาติ ให้ร่วมแรงร่วมใจกันช่วยซับน้ำตาผู้ประสบภัย โดยมีแพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ เป็นตัวจักรสำคัญในการพิสูจน์บุคคลสูญหายจากภัย “สึนามิ” นี้
แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม หลายๆคนคงรู้จักเธอจากการที่เธอมักปรากฏกายขึ้นในเหตุการณ์ที่สังคมไทยให้ความสนใจเช่น การพิสูจน์ศพห้างทอง ธรรมวัฒนะ การพิสูจน์ศพนิรนามในสุสานจ.ปัตตานี และรวมถึงการพิสูจน์ศพจากภัยสึนามิในครั้งนี้ด้วย เนื่องจากคุณหมอเป็นผู้ที่คลุกคลีและเรียกได้ว่าใกล้ชิดกับศพมากที่สุดจึงไม่แปลกเลยหากจะกล่าวว่าคุณหมอพรทิพย์เป็นผู้ที่เข้าใจเหตุการณ์สึนามิในครั้งนี้ได้กระจ่างถ่องแท้ที่สุดเช่นเดียวกัน

“ ศพเหยื่อสึนามิส่วนใหญ่เป็นเด็กเล็กๆ พ่อแม่บางคนร้องไห้คร่ำครวญเมื่อพบศพ เขาเล่าว่า เมื่อคลื่นซัดมาพยายามกอดลูกไว้แน่น แต่พอคลื่นมา ลูกก็หลุดไปจากอกเลย ความพลัดพรากที่เห็นทำให้ห่วงเด็กๆ ที่ขาดเสาหลักของครอบครัว หมอเห็นเด็กน้อยรายหนึ่ง น่าจะอายุ 7-8 ขวบ เดินมากับญาติ พวกเขาเปิดหน้าศพให้เด็กน้อยดูเพื่อหาพ่อแม่ของเขา หมอเห็นแล้วสงสารจับใจ และคิดต่อไปว่า เด็กน้อยรายนี้จะมีชีวิตอยู่ต่อไปแบบไหน จะมีใครดูแลเขา ”
นี่คือเรื่องจากปกหลัง ซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ถูกกลั่นกรองออกมาจากปลายปากกาของคุณหมอพรทิพย์คนนี้ ข้าพเจ้าเชื่อว่า ทุกคนที่ได้อ่านบทความนี้ผ่านสายตามาแล้ว คงจะรู้สึกสะเทือนใจอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
บันทีกสึนามิ “เราจะพาเขากลับบ้าน” ได้เผยทุกเรื่องราวระหว่างการทำงานที่ยาวนานที่วัดย่านยาวของ “แพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์” ทั้งปณิธานในการทำงาน เพื่อนร่วมงานที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เพื่อนร่วมทางสืบศพทั้งชาวไทยชาวต่างชาติจากทุกสารทิศ รวมถึงปัญหาต่างๆมากมายที่เกิดขึ้น ตลอดจนน้ำใจของคนดังที่คอยแวะเวียนมาไม่ขาดสาย ชาวบ้านอีกทั้งอาสาสมัครมากมายที่ทำงานกับศพโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและไม่เคยปริปากบ่น
หนังสือเล่มนี้ จึงเป็นการถ่ายทอดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ของไทยและของมนุษยชาติ จากสิ่งที่คุณหญิงหมอได้พบได้เห็น ไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่มีอุปสรรคมากมาย ความขัดแย้งและแรงกดดันจากภายในและภายนอก รวมถึงปรากฏการณ์ธารน้ำใจที่หลั่งไหลไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยทำให้เรื่องร้ายต่างๆ ผ่านไปได้ด้วยดี ซึ่งเขียนด้วยเลือดเนื้อและน้ำตาของผู้คนนับแสน ข้อมูลทุกอย่างได้ถูกรวบรวมไว้อย่างดีแล้วในเล่ม ด้วยภาษาที่อ่านง่าย พร้อมภาพประกอบตลอดทั้งเล่ม เหลือเพียงรอให้ผู้อ่านทุกท่านเปิดใจและร่วมเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับรู้เบื้องลึก เบื้องหลังจากเหตุการณ์สำคัญของมนุษยชาติในครั้งนี้

ชามาศ

ลมฝนกับต้นกล้า


ลมฝนกับต้นกล้า
ยงยุทธ ชูแว่น
สำนักพิมพ์นาคร
160 หน้า ภาพประกอบ
ราคา 65 บาท

ลมฝนกับต้นกล้า เป็นวรรณกรรมเยาวชนร่วมสมัย ผลงานนักคิดนักเขียน “ยงยุทธ ชูแว่น” ขณะนี้ท่านเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และยังเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ท้องถิ่นโดยเฉพาะภาคใต้เป็นอย่างยิ่ง

ลมฝนกับต้นกล้า สัญลักษณ์แห่งวิถีชีวิตสามัญจากท้องทุ่ง เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ดำรงชีวิตอยู่ในชนบทด้วยความหวัง ความศรัทธาในธรรมชาติ และวิถีชีวิตของบรรพบุรุษ กล่าวได้ว่า ธรรมชาติมีบทบาทเกี่ยวเนื่องอยู่กับศักดิ์ศรีและการต่อสู้ทางความคิดของชาวบ้านในสังคมชนบท ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัฒน์ ที่นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในทุกๆด้าน ทำให้เกิดการผสมผสานวิถีชีวิตความเป็นอยู่และการเปลี่ยนแปลงทางความรู้สึกนึกคิดที่จะกัดกร่อนวัฒนธรรมดั้งเดิมของสังคมไทยโดยท้องถิ่นและส่วนรวม

วรรณกรรรมเล่มนี้ นับได้ว่าเป็นหนังสือมหาเสน่ห์โดยไม่ต้องใช้น้ำมันพราย เพราะไม่ว่าใครได้หยิบ ได้เปิดอ่านแม้เพียงหน้าแรกแล้ว แทบทุกคนเหมือนโดนต้องมนต์จนแทบจะวางหนังสือไม่ลง ด้วยท่วงทำนองการเขียนที่น่าสนใจ ยงยุทธ ชูแว่น ใช้ทักษะภาษาที่กะทัดรัด ชัดเจน แต่ลึกซึ้งกินใจ โดยเฉพาะการถ่ายทอดอารมณ์สิ่งแวดล้อมในแต่ละฉาก ทำให้ดิฉันรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นตัวละครตัวหนึ่งที่เข้าไปยืนในฉากนั้นและมองเห็นเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ด้วย
นอกจากนี้ ผู้แต่งยังสามารถผสมผสานเนื้อเรื่องระหว่างเหตุการณ์ปัจจุบัน ความเชื่อ และจินตนาการได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ บุคลิกนิสัย ตลอดจนคำพูดคำจาและข้อมูลของบรรดาตัวละครต่างๆ ล้วนเป็นสามัญชนที่พบเห็นได้ตามชนบท ดังนั้นเรื่องนี้จึงเปรียบเสมือนกระจกเงาบานใหญ่ที่สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิต การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของชนบท ซึ่งวิถีชีวิตทางสังคมเหล่านี้กำลังจะถูกทำให้เปลี่ยนไปโดยกระแสโลกาภิวัฒน์

ผลงานของยงยุทธ ชูแว่น ชิ้นนี้จึงตอบสนองอัตลักษณ์ตัวตนของชนบทได้ดี เสนอแนวคิดไว้อย่างน่าสนใจว่า บุคคลที่เกิดมายืนบนแผ่นดินไทยพึงมีชีวิตที่มั่นคง สันติ และสืบทอดเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนได้ในชุมชนบ้านเกิดของตนเอง ไม่ต้องทิ้งถิ่นฐานร่อนเร่ไปเผชิญโชคในเมืองใหญ่ และในต่างประเทศอย่างที่เคยเป็นมาในอดีต ณ วันนี้ สังคมไทยเป็นสังคมที่ประกอบด้วยชุมชนที่มีอำนาจปกครองตนเอง เป็นสังคมที่มีเสรีภาพในการแลกเปลี่ยนและถ่ายทอดความรู้ ความคิดระหว่างสมาชิกในสังคม ที่สำคัญที่สุดคือ การเป็นสังคมที่สมาชิกทุกคนมีความรู้ความสามารถ เราจึงสามารถหยัดยืนอยู่ได้ในฤดูกาลแห่งท้องทุ่ง

หากคุณเป็นคนที่หมดหวังไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไร คุณควรอ่านหนังสือเล่มนี้เป็นอย่างยิ่ง เพราะลมฝนกับต้นกล้าจะทำให้คุณได้รู้ว่า การมีชีวิตอยู่ คือการมีทรัพย์ที่ประเสริฐที่สุด เพราะนั่นหมายถึงการที่คุณได้มีโอกาสที่จะรับรู้ โอกาสที่จะสัมผัสและกระทำการต่างๆ แต่น่าแปลก ที่คนเรามักไม่ได้คำนึงถึงว่า การได้มีโอกาสมีชีวิตเป็นสิ่งมีค่าขนาดไหน กว่าจะเข้าใจก็ตอนใกล้จะสูญเสียมันไปแล้ว คนเราเข้าใจถึงคุณค่าของการมีชีวิตแตกต่างกันไป ทำให้ใช้ชีวิตให้เกิดความคุ้มค่าไม่เท่ากัน
คำว่า “วรรณกรรมเยาวชน” มิได้ให้ความหมายเพียงแค่เป็นววรณกรรมที่สร้างขึ้นสำหรับเยาวชน นัยว่าเพื่อพัฒนาการอ่าน พัฒนาความรู้ ความคิดและหล่อหลอมให้พวกเขามีจิตใจและคุณธรรมที่ผู้ใหญ่ในสังคมพึงประสงค์เท่านั้น หากแต่วรรณกรรมเยาวชนเรื่องลมฝนกับต้นกล้า ยังมุ่งเสนอและสะท้อนความคิดอ่าน พฤติกรรม ตลอดถึงความใฝ่ฝันของเยาวชน โดยผ่านทัศนะความเชื่อและมุมมองของยงยุทธ ชูแว่น

ลมฝนกับต้นกล้าจึงเป็นหนังสือที่เหมาะสมกับทุกเพศทุกวัย หากคุณกำลังมองหาหนังสือที่มีสิ่งดีๆให้คุณมากกว่าความสนุกและความบันเทิง ลมฝนกับต้นกล้า จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะทำให้คุณมองเห็นมุมต่างๆในโลกกลมๆใบนี้ มากกว่าที่คุณเคยรู้ ที่คุณเคยเห็นแน่นอน

ชยานุตม์

ต้นไม้ใต้โลก


ต้นไม้ใต้โลก
ทรงกรด บางยี่ขัน
พิมพ์ครั้งที่ 4/2550
สำนักพิมพ์ A Book
226 หน้า
185 บาท

รอยยิ้มสดใสกับต้นไม้ใต้โลก



ในปัจจุบันมนุษยชาติกำลังประสบปัญหาอย่างหนักหนาสาหัส ไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางธรรมชาติอย่างเช่นสภาวะโลกร้อน หรือปัญหาจากมนุษย์เอง อันได้แก่ ระเบิดนิวเคลียร์ สงครามการเมือง(ทั้งในและนอกประเทศ) ฯลฯ เมื่อเกิดปัญหาขึ้นแล้วก็ต้องหาวิธีแก้ปัญหากันต่อไปเพื่อที่จะได้มีชีวิตอยู่บนโลกที่เกือบจะสดใสใบนี้

การแก้ปัญหาที่พบเห็นได้บ่อยครั้งมักจะมีอยู่ 2 อย่างคือ แบบสันติวิธีที่มักจะไม่ต้องเสียเลือดเนื้อจากทั้งสองฝ่าย และแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ซึ่งผลของการแก้ปัญหาเช่นนี้คือ สูญเสียทรัพย์สินและบุคลากร ความเครียดสั่งสมจึงเป็นผลพลอยได้เมื่อเกิดปัญหาขึ้น จะทำอย่างไรให้รอดพ้นจากวิถีทางแห่งความเครียดของปัญหาต่างๆ ต้นไม้ใต้โลกจึงน่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง

ต้นไม้ใต้โลก เป็นหนังสือประเภทสารคดีรวบรวมเรื่องที่เกิดขึ้นจริงทั่วโลก ซึ่งได้มาจากความคิดมันๆ ของคนอยากเปลี่ยนโลก จาก 100 วิธีในการช่วยโลกแบบสนุก และสร้างสรรค์ ซึ่งน่าจะช่วยให้คำตอบง่ายๆต่อคำถามยากๆอย่าง "คนเราเกิดมาเพื่ออะไร" ได้ว่า "เรามาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้ ทำให้มันดีขึ้น และจากไปอย่างภาคภูมิ" เช่นเดียวกับ "คนดี" อย่างน้อยร้อยคน ด้วยร้อยวิธีของพวกเขาที่ปรากฏรายชื่ออยู่ในหนังสือเล่มนี้ เนื้อหาส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ทุกบทจะมีบทความสั้นๆของแต่ละความคิดนำเรื่องก่อนเข้าบทเสมอ เช่น เราไม่ได้ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของเราเท่านั้น เราต้องรับผิดชอบต่อการไม่ทำของเราด้วย โมลิเยร์ , เราไม่ได้หยุดเล่นเพราะเราแก่ตัว เราแก่ตัวเพราะเราหยุดเล่น นิรนาม , วิธีที่จะยุติสงครามได้เร็วที่สุดก็คือ รบให้แพ้ จอร์จ เป็นต้น

หนังสือเล่มนี้เหมาะกับนักท่องอินเตอร์เน็ตเป็นอย่างมาก เพราะเกือบทุกความคิด ทุกเรื่องจริงที่ผู้เขียนได้เลือกสรรมาเล่าต่อนี้ ผู้เขียนได้อ้างอิงเว็บไซต์ให้คนอ่านสามารถติดตามต่อไปได้อย่างสนุกสนาน เมามัน เต็มไปด้วยสาระ และประโยชน์ต่อโลกมากมาย และถึงจะเป็นหนังสือประเภทสารคดี หากแต่ ทรงกรด บางยี่ขัน ก็นำเสนอได้อย่างน่าสนใจ ความยาวในแต่ละเรื่องไม่เกิน 2 หน้า จึงทำให้ผู้อ่าน อ่านได้โดยไม่รู้สึกเบื่อ ภาษาที่ใช้เข้าใจได้ง่าย อีกทั้งผู้เขียนได้แทรกอารมณ์ขันเข้าไปในเนื้อหาทำให้ไม่น่าเบื่อ กระดาษที่พิมพ์เป็นกระดาษถนอมสายตา น่าอ่าน ขนาดของเล่มไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป เหมาะสำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป เนื่องจากตัวอักษรมีขนาดเล็ก ไม่ค่อยมีรูปภาพประกอบ และศัพท์บางตัวอาจยากไปสำหรับเด็กที่มีวัยต่ำกว่านี้ แต่กระนั้น เชื่อว่า หนังสือเล่มนี้จะเป็นแรงกระตุ้นให้ใครหลายๆคนคิดอยากเปลี่ยนโลกที่ดูจะแย่ลงไปทุกวัน แม้ความคิดนั้นจะเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยก็ตามและจะรู้สึกทึ่งไปกับแนวคิด และขำขันไปกับสไตล์การเขียนที่เป็นเสน่ห์ของนักเขียนท่านนี้

ทรงกลด บางยี่ขัน ใช้นามปากกาว่าก้อง คาร์ ไว ปัจจุบันรับตำแหน่งเป็นทั้งนักเขียนและบรรณาธิการของนิตยสาร a day เขาเริ่มต้นบนเส้นทางนักเขียนจากการชักชวนของอธิคม คุณาวุฒิ บรรณาธิการคอมลัมน์ เสาร์สวัสดี ของหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ และถูกทาบทามให้เข้าทำงานที่นิตยสาร A Day
หลายคนคงรู้จักสำนวนที่ว่า สวยแต่รูป จูบไม่หอม ซึ่งมีความหมายว่าอย่ามองแต่รูปลักษณ์ภายนอกเพราะอาจจะเป็นภาพลวงที่ทำให้ผิดหวังในผลที่ได้รับ แต่ต้นไม้ใต้โลกนั้น สวยทั้งรูปและ จูบก็หอม เพราะหน้าปกที่สวยงามอย่างสร้างสรรค์ สีครีมขาวที่นวลตาและภาพหน้าปกที่ดูแล้วช่างเหมาะสมกับเนื้อหาในตัวเล่มเสียเหลือเกิน ชวนให้อยากรู้ถึงเนื้อหาข้างใน และเมื่อได้อ่านแล้วก็ขอยืนยันด้วยความสัตย์จริงว่าผิดหวังเพราะกลวิธีการนำเสนอและเนื้อหาที่อ่านได้อย่างไม่น่าเบื่อ

นอกจากท่านจะได้ทึ่ง และสนุกไปกับแนวคิดต่างๆแล้ว ก็ยังอาจเป็นแรงกระตุ้นให้ได้ลองคิด ลองทำ สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อโลก ใครจะรู้ ท่านอาจค้นพบว่าท่านก็สามารถเปลี่ยนโลกได้ เพียงแค่หยิบและเปิดหนังสือเล่มนี้อ่านดู


ชนิตา

ลูกป่า


ลูกป่า
มาลา คำจันทร์
พิมพ์ครั้งที่ 13 ปีที่พิมพ์ 2551
สำนักพิมพ์เคล็ดไทย
184 หน้า ภาพประกอบ
110 บาท



“ลูกป่า” เป็นวรรณกรรมเยาวชนอีกหนึ่งผลงานของ มาลา คำจันทร์ ได้รับรางวัลดีเด่นบันเทิงคดีสำหรับเด็กก่อนวัยรุ่นจากคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติประจำปี พ.ศ. 2525 และรางวัลจากคณะกรรมการส่งเสริมและประสานงานเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ. 2525

วรรณกรรมเยาวชนเรื่อง “ลูกป่า” ผู้เขียนเขียนเพื่อส่งเสริมคุณธรรมแก่เยาวชนในรูปแบบบันเทิงคดี จากคำชักชวนของเจ้าหน้าที่ในกระทรวงศึกษาธิการ ผู้เขียนผูกเรื่องราวจากตัวละคร 3 คน คือ เมืองคำ ลูกป่าพื้นราบวัย 14 ปี เขาชอบทำอะไรด้วยตนเอง ชอบเข้าป่าล่าสัตว์เหมือนพ่อ เมืองคำไม่ชอบพวก ยาง หรือ คนดอยสูงที่มีกลิ่นตัวเหม็นสาบแบบ ยาชิ ลูกป่าดอยสูงรุ่นราวคราวเดียวกับเมืองคำ ยาชิเป็นเด็กมีน้ำใจ เขาเคยช่วยชีวิตเมืองคำไว้ไม่ให้ถูกงูกัด ยาชิยังเป็นเด็กเรียนเก่ง เขาฝันอยากเป็นครูแต่บ้านยากจนจึงต้องสอบชิงทุนเพื่อลงจากดอยมาเรียน ยาชิสอบแพ้ ซุทอ ลูกป่าชาวยางด้วยกัน แต่ในที่สุดยาชิก็ได้ทุนลงจากดอยมาเรียนหนังสือกับเมืองคำ ทั้งสองเป็นเพื่อนรักกัน เว้นแต่ซุทอที่แม้จะเป็นชาวยางเหมือนยาชิแต่ก็คอยกลั่นแกล้งยาชิอยู่เสมอ ระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่ในหอพักโรงเรียนก็มีเรื่องราวแปลกๆเกิดขึ้นให้เมืองคำและยาชิสงสัยอยู่ตลอดเวลา

ลูกป่า เป็นหนังสือเล่มเล็กๆที่มีเนื้อหาไม่หวือหวาซับซ้อน เหมาะกับเด็กวัยเรียน ใช้ภาษาเรียบง่าย ไม่ต้องตีความมาก บางบทสนทนาก็ลึกซึ้งกินใจ เพราะเป็นคติสอนใจให้ผู้อ่านได้คิดตาม มีกลวิธีการเล่าเรื่องที่น่าติดตาม ใช้วิธีการพรรณนาสลับกับการบรรยายบรรยากาศของฉากกับตัวละครอยู่ตลอดทั้งเรื่อง ทำให้ผู้อ่านสามารถจินตนาการภาพตามได้ ดิฉันคิดว่ากลวิธีการเล่าเรื่องเช่นนี้เป็นจุดเด่นที่ทำให้หนังสือเรื่องนี้มีคุณค่าน่าอ่าน นอกจากนี้ยังแบ่งเนื้อหาออกเป็นตอนๆ แต่ละตอนจะเล่าเหตุการณ์ต่อเนื่องกันไป ทำให้ผูกเรื่องราวได้ง่ายไม่สับสน ส่วนที่เป็นจุดเด่นของแต่ละตอนคือ ผู้เขียนไม่ลืมที่จะสอดแทรกข้อคิด และคำพูดที่สามารถกระทบใจผู้อ่านได้ เช่น ตอนคนสูงคนต่ำ ตัวละครชาวดอยแสดงทัศนคติให้เห็นว่าคนเราจะสูงจะต่ำไม่ได้อยู่ที่ชาติกำเนิดแต่อยู่ที่จิตใจและการกระทำ

สาระสำคัญของลูกป่า คือมิตรภาพระหว่างเพื่อน ความช่วยเหลือเกื้อกูลกัน นอกจากนี้ยังมีความผูกพันระหว่างพ่อกับลูกชาย และอีกหนึ่งความผูกพันที่ได้จากเรื่องนี้คือความผูกพันระหว่างชาวเขาชาวดอยกับป่าที่เป็นเสมือนชีวิต เป็นแหล่งอาหารที่สำคัญ แต่นานวันความอุดมสมบูรณ์ก็เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
ปมและวิธีการแก้ปัญหาของตัวละครในเรื่องมีความน่าสนใจ เช่นตอนที่มีสิ่งแปลกปลอมมาอยู่ในตู้และเตียงของยาชิอยู่เป็นประจำ ทำให้ผู้อ่านคิดสงสัยตามไปด้วยว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นของใคร เหตุใดจึงมาอยู่กับยาชิ และผู้เขียนสามารถคลายปมปัญหาได้ในตอนท้ายของเรื่อง ซึ่งตัวละครก็รู้ความจริงไปพร้อมกับผู้อ่านเช่นกัน
แม้ว่าหนังสือเรื่องนี้จะมีภาพประกอบเพียงเล็กน้อย แต่แต่ละภาพก็สื่อถึงเหตุการณ์และบรรยากาศของเรื่องในแต่ละตอนได้เป็นอย่างดี ผู้อ่านสามารถเข้าใจความหมายของรูปภาพได้ง่าย และหากอ่านเนื้อเรื่องของแต่ละตอนจบแล้วก็จะยิ่งเข้าใจความหมายของรูปภาพได้มากขึ้นด้วย

ปกของหนังสืออาจดูธรรมดาไม่ตามสมัยมากนัก แต่ตัวการ์ตูนที่อยู่บนปก คือตัวละครเอกนั้น ผู้ออกแบบ(คุณทองรัช เทพารักษ์) สามารถถ่ายทอดบุคลิกของตัวละครเอกออกมาเป็นลายเส้นที่น่ารักลงตัวและมีรูปร่างลักษณะตรงตามที่ดิฉันได้จินตนาการไว้ ส่วนชื่อเรื่องว่า “ลูกป่า” ตามความหมายที่ผู้เขียนต้องการบอก หมายถึง เพื่อน ความรัก ความผูกพัน และความช่วยเหลือเกื้อกูลกันในแง่ที่ว่า ไม่ว่าจะมีความแตกต่างกันอย่างไรก็ยังสามารถเป็นเพื่อนที่ดี มีมิตรภาพที่ดีต่อกันได้ ผู้เขียนยังสะท้อนให้เห็นอีกว่า ความเป็นเพื่อน ความรัก ความผูกพัน และความช่วยเหลือเกื้อกูลกันนี้ คงไม่จำกัดขอบข่ายอยู่แต่เพียงเมืองคำ ยาชิ และซุทอ เด็กชาวดอยเท่านั้น แต่จะต้องแผ่ขยายมาถึงเด็กในเมืองพื้นราบทั้งหลายด้วยเช่นกัน

หากใครกำลังมองหาหนังสือดีๆสักเล่ม หนังสือเรื่อง “ลูกป่า” น่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะทำให้ท่านได้เพลิดเพลินไปกับกลวิธีการใช้ภาษาที่สวยงาม อ่านแล้วผ่อนคลาย และหลังจากที่ท่านได้อ่านเรื่องลูกป่าแล้ว ท่านจะรู้ว่ามิตรภาพระหว่างเพื่อนนั้น สร้างได้ไม่ยาก เพียงแค่เรามีความจริงใจต่อกันและกัน อีกทั้งการนำเรื่อง “ลูกป่า” กลับมาตีพิมพ์ซ้ำถึง 13 ครั้ง ก็เป็นเครื่องรับรองและยืนยันความมีคุณค่าในการจรรโลงใจผู้อ่านได้ ซึ่งเป็นคุณภาพที่ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ใดใดอีก

ชนิกรรดา

เขียนและก๊อปปี้แผ่นด้วยNero 8 ฉบับสมบูรณ์

เขียนและก๊อปปี้แผ่นด้วยNero 8 ฉบับสมบูรณ์
อัมรินทร์ เพชรกุล
พิมพ์ครั้งแรก/ปีที่พิมพ์ 2550
บริษัทซัคเซสมีเดียจำกัด
340 หน้า (ภาพและซีดีประกอบ)
189บาท

เมื่อกล่าวถึงสื่อเก็บข้อมูลในยุคปัจจุบันที่เป็นที่นิยมที่สุดคงหนีไม่พ้นแผ่นซีดีและแผ่นดีวีดีเนื่องจากแผ่นกลมสีเงินเหล่านี้สามารถจัดเก็บข้อมูลได้มาก ราคาถูกและสามารถเก็บรักษาได้ง่ายซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันจะมีไดรฟ์สำหรับอ่านและเขียนแผ่นซีดีและดีวีดีอยู่แล้วและโปรแกรมที่เกี่ยวกับการเขียนแผ่นซีดีและดีวีดีท่ได้รับความนิยมมากที่สุดหนีไม่พ้นโปรแกรม Nero ซึ่งในปัจจุบันได้รับการพัฒนามาถึงเวอร์ชั่น8ซึ่งการใช้งานง่าย มีรูปแบการใช้งานที่หลากหลายและรองรับการเขียนข้อมูลได้ทุกรูปแบบทำให้โปรแกรมนี้เป็นที่นิยมในปัจจุบัน

หากใครกำลังหาต้องการศึกษาและกำลังหาหนังสือเกี่ยวกับโปรแกรมNero 8 ดิฉันขอแนะนำหนังสือคู่มือ “เขียนและก๊อปปี้แผ่นด้วยNero 8 ฉบับสมบูรณ์” ของคุณอัมรินทร์ เพชรกุลเพราะนอกจากรางวัลการติดอันดับขายดีตลอดสองปีและความสามารถของผู้เขียนที่สำเร็จการศึกษาจากคณะวิทยาศาสตร์ ภาควิชาคณิตศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบังซึ่งเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงด้านคอมพิวเตอร์และมีผลงานการวิจัยที่มีชื่อเสียงด้านคอมพิวเตอร์ที่หลากหลายพร้อมมีผลงานหนังสือที่ขายดีเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์หลายเล่ม เช่น “ช่างคอมพ์ ฉบับสมบูรณ์”และในปัจจุบันเป็นบรรณาธิการหนังสือคอมพิวเตอร์บริษัทซัคเซสมีเดียจำกัดซึ่งสามารถ เป็นเครื่องการันตีความน่าเชื่อถือและความถูกตองสมบูรณ์ของหนังสือคู่มือ “เขียนและก๊อปปี้แผ่นด้วยNero 8ฉบับสมบูรณ์”

นอกจากความน่าเชื่อถือของผู้แต่งแล้วหนังสือเล่มนี้ยังเปรียบเสมือนครูสอนโปรแกรม Nero 8ฉบับพกพาเพราะในหนังสือเล่มนี้ได้อธิบายการใช้โปรแกรมNeo 8อย่างละเอียดทุกขั้นตอนตั้งแต่การแนะนำชนิดของไดร์ฟและแผ่นซีดีดีวีดีรวมถึงการเลือกซื้อ การเขียนข้อมูลลงบ่นแผ่นซีดีและดีวีดี การแปลงไฟล์ต่างๆ , การตัดต่อไฟล์ภาพและวิดีโอเป็นภาพยนตร์ , การออกแบบปกซีดี เป็นต้น จุดที่น่าสนใจของหนังสือเล่มนี้คือการที่ผู้เขียนอธิบายและแนะนำเทคนิคที่เป็นประโยชน์สำหรับการเขียนแผ่นซีดีและดีวีดีอย่างละเอียดในแต่ละขั้นตอนและมีการนำเสนอตัวอย่างวิธีการแต่ละขั้นตอนด้วยภาพประกอบสี่สีตลอดเล่ม นอกจากนี้ยังมีวีซีดีประกอบการสอนเพื่อให้สามารถเห็นวิธีทำที่ชัดเจนและละเอียดยิ่งขึ้นพร้อมโปรแกรมการใช้เสริมกว่า 10 โปรแกรม อาทิ โปรแกรมClone DVD ที่สามารถคัดลอกข้อมูลลงบนแผ่นดีวีดีได้รวดเร็วขึ้นและไฟล์ภาพยนตร์ไม่เสีย , โปรแกรม Alcohal 120% ที่สามารถคัดลอกแผ่นซีดีและดีวีดีได้แม้ว่าแผ่นซีดีหรือดีวีดีนั้นจะตั้งค่าป้องกันก็ตาม,โปรแกรมDVD Ripperที่สามารแปลงไฟล์ดีวีดีเป็นไฟล์ 3Gp, Mp4เพื่อดูหนังฟังเพลงโปรดจากแผ่นดีวีดีลงบนมือถือได้เป็นต้น

หากท่านเป็นผู้หนึ่งที่มีความสนใจในความก้าวล้ำของเทคโนโลยีและชื่นชอบต้องการศึกษาเกี่ยวกับโปรแกรมNero เวอร์ชั่นที่ 8ซึ่งเป็นโปรแกรมสำหรับการเขียนข้อมูลลงบนแผ่นซีดีและแผ่นดีวีดีที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันนี้อย่างลึกซึ้งไม่ควรพลาดหนังสือคู่มือ “เขียนและก๊อปปี้แผ่นด้วยNero 8 ฉบับสมบูรณ์” ของคุณอัมรินทร์ เพชรกุลซึ่งสามารถหาซื้อได้ที่ร้านซีเอ็ด บุ๊ค , ร้านนายอินทร์และตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป

ชนาพร

อย่ากลัวที่จะเป็นตัวของตัวเอง จงกล้า ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง

อย่ากลัวที่จะเป็นตัวของตัวเอง จงกล้า ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
ฟ้าใส
สำนักพิมพ์เอ็ดดูเคชั่น ไมน์ด ไลน์
พิมพ์ปี ๒๕๔๙
๑๔๔ หน้า
๑๒๕ บาท

ดิฉันได้รับหนังสืออย่ากลัวที่จะเป็นตัวของตัวเอง จงกล้า ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นของขวัญวันเกิดจากพี่สาวตอนอายุครบ ๑๙ ปี หลังจากที่ได้รับมา ก็เอามาลองนั่งอ่านดู พบว่ามีเนื้อหาที่เหมาะสมกับสภาพสังคมสมัยนี้เสียจริงๆ เพราะว่าสังคมในสมัยปัจจุบันนี้เป็นสังคมแห่งการเปลี่ยนแปลง มีการแข่งขันสูง ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีก้าวไปอย่างรวดเร็ว ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมต่างๆก็เปลี่ยนตามไปด้วย ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆในชีวิต

ปกติแล้วคนเรากลัวการเปลี่ยนแปลง เมื่อได้เจอเรื่องใหม่ๆ สิ่งใหม่ๆ สิ่งที่ไม่คุ้นเคยแล้ว ความกังวล ความกลัว ความไม่มั่นใจ ก็เกิดขึ้น แต่จะดีแค่ไหนถ้าเราสามารถจะกำจัดความกังวล ความกลัว เหล่านั้นออกไปได้ และเปลี่ยนมาเป็นพลังแห่งความมั่นใจที่จะนำพาชีวิตของเราให้สดใสและมีความสุข

“การเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองใหม่ไม่ใช่เรื่องยาก บางครั้งอาจทำให้ขัดกับความรู้สึกของตัวคุณเองไปบ้าง แต่ก็เป็นเรื่องดีถ้าการเปลี่ยนแปลงตัวเองนั้นให้มีความมั่นใจมากขึ้น จะนำพาชีวิตของคุณให้สดใสและดียิ่งขึ้น สิ่งนั้นจึงเป็นเรื่องที่คุณควรจะลงมือทำ”

ดิฉันเริ่มต้นจากการอ่านบทแรกที่กล่าวเกี่ยวกับความกลัวในรูปแบบต่างๆ เช่น กลัวการถูกปฏิเสธ กลัวความล้มเหลว กลัวความผิดหวัง กลัวการเผชิญกับอุปสรรค ฯลฯ อุปสรรคในชีวิตของเรามีอยู่หลายอย่างให้เราได้เผชิญ “ว่าวลอยสูงขึ้นได้ เพราะเหตุที่ต้านลม ถ้าลมหมด ว่าวจะตก มนุษย์เราจะสูงขึ้นได้ ก็เพราะต่อต้านอุปสรรค ชีวิตที่ไม่เคยประสบอุปสรรค จะหาความก้าวหน้าไม่ได้เลยเป็นอันขาด”

หนังสือเล่มนี้จะพูดถึงการเสนอวิธีจัดการกับความกลัว การรับผิดชอบชีวิตของตนเอง การเลือกคบคนที่จะทำให้เราก้าวหน้า การดำเนินชีวิต การมองโลกในแง่ดี การกล้าที่จะตัดสินใจ วิธีสร้างเสริมความมั่นใจให้กับตนเอง การแบ่งปันเวลาและความรักให้กับคนรอบข้าง วิธีขยายขอบเขตความสุข การกำจัดความคิดด้านลบ ฯลฯ ถือเป็นคู่มือชั้นเยี่ยมที่จะทำให้เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างมั่นคงและมีความสุข

มนุษย์ในสังคมปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่ถ้าเป็นคนเก่งก็มักจะเห็นแก่ตัว แต่จะดีแค่ไหนถ้าเราสามารถที่จะเป็นคนเก่งและคนดีไปพร้อมๆกัน เราจะกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้องและเราก็พร้อมที่จะแบ่งปันสิ่งดีๆให้กับคนรอบข้าง ดังคำพูดในตอนหนึ่งว่า “เมื่อคุณรู้จักการแบ่งปันคุณจะเข้าใจประโยคที่ว่าการให้ไม่มีวันหมด”

เมื่อดิฉันอ่านหนังสือเล่มนี้จบ ก็รู้สึกว่าดิฉันกล้าที่จะออกไปเผชิญโลกกว้างได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น หนังสือเล่มนี้เป็นเหมือนคู่มือชีวิตที่จะช่วยให้ฉัน “เอาความกล้า ชนะความกลัว เป็นในสิ่งที่อยากจะเป็น” ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้น รู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้น พร้อมที่จะแบ่งปันความรักให้กับคนรอบข้าง และมองโลกในแง่ดี ดิฉันเชื่อว่าหนังสืออย่ากลัวที่จะเป็นตัวของตัวเอง จงกล้า ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง จะเป็นคำตอบให้กับผู้ที่ไม่มั่นใจในตัวเอง ผู้ที่กลัวการเปลี่ยนแปลง ผู้ที่ท้อแท้ สิ้นหวัง ผู้ที่ไม่กล้าที่จะออกไปเผชิญกันโลกภายนอกได้เพิ่มพลังให้ตัวเองไปต่อสู้กับสิ่งต่างๆในชีวิตได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น และใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ดังคำพูดที่ว่า “ชีวิตทุกชีวิตมีเพียงหนึ่งเดียวและจงใช้มันอย่างเต็มที่”

หนังสืออย่ากลัวที่จะเป็นตัวของตัวเอง จงกล้า ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง จัดได้ว่าเป็นหนังสือที่น่าอ่าน มีเนื้อหาที่ผู้อ่านสามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน มีการใช้ภาษาที่เข้าใจได้ง่าย มีการยกตัวอย่างประกอบให้เข้าใจได้ดียิ่งขึ้น มีการเปรียบเทียบทำให้เห็นภาพได้ชัดเจน มีคำพูดที่เสริมสร้างกำลังใจได้เป็นอย่างดีอย่างคำพูดที่ว่า “เมื่อใดก็ตามที่ต้องอยู่กับสิ่งที่ไม่คุ้นเคย ไม่ได้มีเพียงฉันเท่านั้นที่รู้สึกกลัว แต่ทุกๆคนก็รู้สึกกลัวเหมือนกัน” หรือข้อความนี้ “ไม่มีสิ่งที่เลวร้ายมีแต่สิ่งดีๆ ซึ่งก็คือโอกาสที่จะพบกับชีวิตโดยการเติบโตและเรียนรู้” ส่วนในด้านรูปเล่มนั้นหนังสืออย่ากลัวที่จะเป็นตัวของตัวเอง จงกล้า ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองใช้กระดาษถนอมสายตา ตัวหนังสืออ่านง่าย มีการใช้ตัวอักษรสีฟ้าเพื่อเน้นข้อความที่สำคัญ มีรูปภาพประกอบ หน้าปกออกแบบได้อย่างสวยงาม ดูแล้วชวนให้หยิบขึ้นมาอ่าน เมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วจะรู้ว่าเงินที่เสียไปกับสิ่งที่ได้มานั้นช่างคุ้มค่าเหลือเกิน

ถ้ามีใครสักคนที่กำลังหยุดนิ่ง หรือใครสักคนที่ไม่กล้าจะย่างก้าวต่อไป หรือใครสักคนที่กำลังหกล้ม หรือใครสักคนที่ไม่กล้าจะลุกขึ้นยืน หนังสืออย่ากลัวที่จะเป็นตัวของตัวเอง จงกล้า ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองจะเป็นยาบำรุงกำลังชั้นเลิศ ให้ผู้อ่านเป็นคนใหม่ที่มีความมั่นใจ เพื่อการเริ่มต้นสู่ชีวิตใหม่ที่สดใสและเต็มปรี่ไปด้วยความสุข
จุไรรัตน์

เกามนุษย์


เกามนุษย์
ดำรง วงษ์โชติปิ่นทอง
พิมพ์ครั้งที่ 3 /2551
อัมรินทร์พริ้นติ้งพับลิชชิ่ง
240 หน้า
180 บาท


มนุษย์ถือเป็นสัตว์สังคม ที่มีการแบ่งปัน และแลกเปลี่ยนความคิดซึ่งกันและกัน ดังนั้นการเข้าใจจิตใจ ความรู้สึกนึกคิดของเพื่อนมนุษย์จึงเป็นสิ่งสำคัญ ความคิดที่แตกต่าง สถานการณ์ที่ผันแปร ทำให้ความเข้าใจผิดเกิดขึ้นได้ง่าย ในบางครั้ง เราต้องการให้คนอื่นหันมาเข้าใจความคิดของเรา แล้วตัวเราเอง เคยที่จะเข้าใจคนอื่นบ้างหรือไม่


หนังสือ เกามนุษย์ เป็นหนึ่งในหนังสือ ชุดพัฒนาจิตใจและปัญญา ในการทำงานและการดำรงชีวิต โดยมีหนังสือที่พิมพ์ออกมาเผยแพร่พร้อมๆกันอีก 3 เล่ม คือ เกาสมอง เกาโลก และเกาใจ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผลงานที่น่าติดตามเป็นอย่างยิ่งของคุณดำรง วงษ์โชติปิ่นทอง เกามนุษย์ เป็นหนังสือที่เปรียบเทียบมุมมอง พฤติกรรม และความคิดของแต่ละบุคคล ในสถานการณ์ต่างกัน และพึงเจอได้ในสังคมปัจจุบัน มีกลวิธีการแต่งด้วยการยกตัวอย่างเปรียบเทียบพี่น้องตระกูลเกา อันประกอบไปด้วย เกาหู เปรียบเสมือนคนโง่ เกาหัวเปรียบเสมือนคนฉลาด เกาใจเปรียบเสมือนคนที่มีใจบริสุทธิ์ และเกาสมองเปรียบเสมือนคนมีปัญญา พี่น้องทั้ง 4 คนนี้ มีความประพฤติที่แตกต่างกันถึงแม้จะตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็ตาม ไม่อาจบอกได้ว่าความคิดของใครถูก ความคิดของใครผิด แต่เป็นการสื่อถึงการอยู่ร่วมกันของสังคมมนุษย์ซึ่งบุคคลแต่ละคนสามารถที่จะสร้างความสุขกับตนเองและคนรอบข้างได้มากเพียงใด จากความคิด และการกระทำของตน


การจำลองสถานการณ์ และประเมินพฤติกรรมและความคิดของพี่น้องทั้ง 4 คน ดังเช่น ความเกรงใจ เมื่อตกอยู่ในสภาวะที่ต้องเกรงใจคนอื่นแล้วนั้น เกาหู มักไม่เกรงใจใคร ทั้งการกระทำและคำพูด เป็นคนไม่มีกาละเทศะ เกาหัว เป็นคนที่ ตรงไปตรงมา ถูกคือถูก ผิดคือผิด เกรงใจคนถูก เอาโทษคนผิด เกาใจ ขี้เกรงใจ ไม่กล้าต่อว่าใครแม้ตนจะถูกเอาเปรียบ เกาสมอง เป็นคนที่รู้กาละเทศะเหมาะสม เกรงใจคนดี ไม่ใช่เกรงใจคนรวย ตามสถานการณ์นี้ ตัวเราอาจเป็นเกาหัว เพื่อนเราอาจเป็นเกาสมอง ถ้าเราลองอ่านแล้วจะทำให้เข้าใจว่าในสภาวะแบบนี้ เพื่อนเราคิดอย่างไรอยู่ และบุคคลอื่น คิดอย่างไร ทำให้เข้าใจความคิด ของผู้อื่น
หากได้ศึกษาอย่างถ่องแท้แล้ว สามารถมองได้ว่าสิ่งที่ผู้แต่งต้องการสื่อ คือ ความมีปัญญา คนที่มีปัญญา ไม่ว่าจะทำการใด ก็สามารถฟันฝ่าอุปสรรคมาได้ ด้วยปัญญาอันเฉียบแหลมของตน เปรียบเสมือนหนึ่งในพี่น้องตระกูลเกา คือ เกาสมอง ที่มักใช้ปัญญาในการตรึกตรองก่อนลงมือปฏิบัติ ผลที่ตามมาก็คือ การกระทำที่ถูกต้อง สามารถแก้ปัญหาในสถานการณ์คับขันได้ ทำให้เป็นที่รักในหมู่สังคม


ในแต่ละสถานการณ์ เมื่อบอกความคิดของพี่น้องทั้ง 4 แล้ว ยังมีการสรุปและประเมินความหมายของคำในสถานการณ์นั้น เช่น เมื่อถึงตอน เกรงใจ จะสรุปว่า ความเกรงใจย่อมสร้างความอึดอัดใจให้แก่ตนเอง หากเกรงใจโดยไร้ปัญญา


หนังสือเกามนุษย์ นอกจากจะให้ข้อคิดที่เป็นความเปรียบแล้ว ยังมีการใช้ภาษาที่กะทัดรัด คมคาย สมกับเป็นหนังสือทางจิตวิทยาและการพัฒนาจิตใจ ทำให้กลับมาคิดได้เสมอว่า ในสถานการณ์นี้ เราเป็นใครอยู่ อีกทั้งยังได้เข้าใจความคิดของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง หนังสือเล่มนี้จึงเหมาะกับบุคคล ทุกเพศ ทุกวัย ทุกระดับการศึกษา เพื่อเข้าถึงความคิด ความรู้สึกของคนอื่นอย่างถ่องแท้ ดีกว่าที่เราจะพยายามมาให้คนอื่นเข้าใจแต่ตัวเราเท่านั้น โดยคิดแต่เพียงว่าตนเป็นคนถูกเสมอ ยึดแต่ตนเป็นที่ตั้ง


หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังเสาะหา ความเข้าใจ อยากเข้าใจคนอื่น ทั้งอยากให้คนอื่นเข้าใจเรา
เกามนุษย์จึงเป็นหนังสือที่ชี้ทางให้คุณได้เป็นอย่างดี เพราะการเกามนุษย์ เป็นการ เกา เพื่อให้คุณได้รู้จักความคิด และจิตใจของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง อีกทั้ง ยังเป็นการ เกลา ความคิดของคุณ โดยใช้ปัญญาในการดำเนินชีวิต จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไม เกามนุษย์ จึงได้มีการตีพิมพ์อีกเป็นครั้งที่ 3 ภายในเวลาเพียง 3 เดือน นับตั้งแต่ตีพิมพ์ครั้งแรก


การเข้าใจคนอื่น ย่อมง่ายกว่าการทำให้คนอื่นเข้าใจเรา การเข้าใจว่า มนุษย์ทุกคนมาจากต่างสถานที่ ต่างบิดา ต่างมารดา ต่างความคิด ต่างจิตใจ ดังพุทธภาษิตที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้ว่า นิ้วมือแต่ละนิ้วยังสั้นยาวไม่เท่ากันฉันใด ฉันนั้นมนุษย์เราก็ย่อมมีความแตกต่างกันนั้นเอง ย่อมทำให้เราสามารถ เกามนุษย์ผู้ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมโลก ร่วมทุกข์ ร่วมสุขกับเราได้อย่างถ่องแท้ และผลที่ตามมา คือความสงบของจิตใจเรานั่นเอง

กนกวรรณ

ตำบลช่อมะกอก


ตำบลช่อมะกอก
วัฒน์ วรรลยางกูร
ปีที่พิมพ์ : 4/2542
แพรวสำนักพิมพ์
จำนวนหน้า : 167 หน้า
ราคา: 105 บาท

ตำบลช่อมะกอกเป็นผลงานการเขียนนวนิยายของวัฒน์ วรรลยางกูล ซึ่งเป็นวรรณกรรมเพื่อชีวิตที่วัฒน์ได้สรรค์สร้างผ่านปลายปากกาในช่วงสมัย 6 ตุลา 2519 ในขณะนั้นแผ่นดินไทยกำลังร้อนระอุจากเหตุการณ์การรวมตัวกันของนักศึกษาประชาชนที่เห็นความอยุติธรรมในสังคม ด้วยเพราะวัฒน์ วรรลยางกูลมีอาชีพเป็นนักข่าว ได้เก็บเกี่ยวข้อมูล เห็นภาพการกดขี่ข่มเหงที่เกิดขึ้นในสถานการณ์สังคมบ้านเมืองยุค 14 ตุลาคม 2516 – 6 ตุลาคม 2519 แล้ว จึงกลั่นกรองความคิดความรู้สึกร้อยผ่านตัวอักษรออกมาเป็นเรื่องราวของการต่อสู้ สะท้อนความเป็นจริงของสังคม นวนิยายเรื่องนี้จึงไม่ใช่เป็นนวนิยายที่อ่านแล้วรู้สึกจรรโลงใจ หากแต่ผู้อ่านจะเห็นภาพความจริงที่ถูกปิดบังมาโดยตลอด การต่อสู้เพื่อสังคมที่ดีขึ้นของชาวบ้านนักศึกษาจึงเป็นแรงบันดาลใจให้วัฒน์ได้กำเนิดวรรณกรรมเพื่อชีวิตเรื่องนี้


ตำบลช่อมะกอกเป็นเรื่องราวการต่อสู้ของชาวนาไทย ที่โดนรังแกจากบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้รักษาความถูกต้องของสังคม โดยกลุ่มคนเหล่านั้นได้กดขี่ข่มเหงคนที่มีอาชีพเป็นชาวนา อาชีพที่เปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของชาติ จนทำให้กลุ่มชาวนาแห่งตำบลช่อมะกอกต้องพบเจอกับความทุกข์ยากอยากแสนสาหัส ความเดือดร้อนเหล่านี้หาได้กระทบแต่ตัวของชาวนาไม่ หากแต่สะเทือนถึงปากท้องของลูกเมีย ชาวนาตำบลช่อมะกอกหลายรายที่ในอดีตมีที่นาเป็นของตนกลับต้องมาเผชิญหน้ากับพวกปีศาจร้ายที่จ้องจะเอาแต่ผลประโยชน์ ด้วยอาศัยกำลังเงินและความรู้ที่เหนือกว่าเหยียบย่ำชาวนาตำบลช่อมะกอกจนไม่มีที่ดินที่นาเป็นของตนเอง ต้องเช่านาที่อดีตเคยเป็นของตนมาจากพวกสูบธรณี พอผลผลิตข้าวออกดอกออกผลเป็นรวงสีทองอร่าม ชาวนาเหล่านั้นหวังจะเงยตาอ้าปากให้สมกับความทุกข์ยากที่กว่าจะได้ข้าวมา กลับต้องมาสูญเสียข้าวไปเพื่อชดเชยหนี้ให้คนเห็นแก่ตัว จากข้าวที่เป็นความหวังกลับกลายเป็นข้าวที่เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาของชาวนาแห่งตำบลช่อมะกอก


ความทุกข์ยากเหล่านั้นทำให้ชาวนาตำบลช่อมะกอกทนไม่ไหว จึงเกิดการรวมตัวกันตั้งเป็นสหพันธ์ชาวนาแห่งตำบลช่อมะกอก เพียงเพื่อจะเรียนรู้ทันกลโกงของปีศาจนายทุนหน้าเลือด แต่ทว่าเหตุการณ์กลับดำเนินไปในทางที่แย่ลง เมื่อพวกคนหน้าเนื้อใจเสือเห็นว่าการกระทำเหล่านั้นได้ขัดผลประโยชน์ตน จึงลงมือขัดขวาง ใส่ร้ายป้ายสีว่าการกระทำนั้นผิดกฎหมาย เป็นการกระทำของพวกคอมมินิตย์ ไข้ปากกระบอกจึงแพร่ระบาดขึ้น ใครที่คิดต่อกรกับปีศาจหน้าเลือดกลุ่มนี้ก็จะโดนไข้ปากกระบอกสังหารเสีย ชีวิตชาวนาตำบลช่อมะกอกที่คิดจะต่อสู้กลับราคาถูกกว่าลูกตะกั่วลูกเล็กๆ แล้วการดิ้นรนต่อสู้ของชาวนาแห่งตำบลช่อมะกอกจะสิ้นสุดลงที่ใด ความถูกต้องจะหวนคืนกลับมาได้หรือไม่ และชาวนาแห่งตำบลช่อมะกอกจะสามารถกลับมาดำรงความสุขกับวิถีชีวิตเรียบง่ายได้อย่างไร สิ่งเหล่านี้มีคำตอบอยู่ใน การต่อสู้ของชาวนา ตำบลช่อมะกอก


ตำบลช่อมะกอกเป็นวรรณกรรมก้าวหน้าหรือที่เรียกว่าวรรณกรรมเพื่อชีวิต เรียกร้องให้สังคมหันกลับมามองปัญหาของชาวนาไทย ลักษณะการเปิดเรื่องได้แสดงให้เห็นฉากและบรรยากาศของท้องทุ่งท้องนา อบอวลไปด้วยกลิ่นของฟางข้าวที่อดีตเคยเป็นสถานที่แห่งความสุข แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นที่สถานที่ที่คละคลุ้งไปด้วยหยาดเหงื่อและน้ำตาของชาวนาที่ทุกข์ยาก นวนิยายเรื่องนี้จึงมีลักษณะของฉากและบรรยากาศที่โดดเด่น ทำให้ผู้อ่านเห็นภาพตามที่ผู้เขียนต้องการถ่ายทอด ด้วยสถานการณ์ของเรื่องที่ชวนติดตามจึงทำให้อ่านแล้วรู้สึกอยากอ่านต่อไปเรื่อยๆ


ความขัดแย้งของตัวละครก็เป็นประเด็นที่ผู้เขียนต้องการสื่อออกมา สะท้อนให้เห็นภาพการต่อสู้ของชาวบ้านนักศึกษาที่เป็นอยู่ในขณะนั้น จึงทำให้ปมปัญหาที่ผู้เขียนสร้างขึ้นมาและต้องการจะแก้ไขนั้นเป็นไปอย่างน่าสนใจ เพราะเกี่ยวพันกับสถานการณ์บ้านเมือง จึงทำให้ไม่รู้สึกแปลกใจเลยว่า ทำไมนวนิยายเรื่องนี้จึงเป็นวรรณกรรมต้องห้ามในสมัยนั้น เรื่องตำบลช่อมะกอกจึงมีเนื้อเรื่องที่ชวนติดตาม บวกด้วยตัวละครที่สร้างมาให้เห็นความแตกต่าง บุคลิกที่โดดเด่น แม้นวนิยายเรื่องตำบลช่อมะกอกจะเป็นเรื่องที่สะท้อนความจริง หากแต่เป็นความจริงที่ผู้เขียนสร้างตัวละครได้อย่างลงตัว


ลีลาการเขียนนวนิยายเล่มนี้ ผู้เขียนได้แบ่งเนื้อเรื่องออกเป็นตอนๆ ซึ่งในแต่ละตอนจะแสดงบทบาทการดำเนินเรื่องอย่างง่ายๆ และบางตอนก็จะสะท้อนความคิดของตัวละครแต่ละตัว ทำให้ผู้อ่านมองเห็นความรู้สึกนึกคิดของตัวละครที่ผู้เขียนต้องการสื่อ ภาษาที่ใช้เป็นภาษาชาวบ้านที่เข้าใจง่ายและสื่อสารออกมาอย่างเรียบง่าย นำพาให้ผู้อ่านดำดิ่งไปกับห้วงแห่งความทุกข์ยากของชาวนา และได้สัมผัสกับความเป็นจริงที่แสนโหดร้ายที่เกิดขึ้นจริงในสังคม สะเทือนอารมณ์ไปกับภาพชาวนาที่โดนเอารัดเอาเปรียบ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต่างก็เป็นเหตุการณ์จริงที่ดำเนินอยู่ไม่ไกลไปจากชีวิตของเราเลย


ปกของนวนิยายเล่มขนาดกะทัดรัดมือเล่มนี้ใช้ภาพของฉาก คือบรรยากาศท้องทุ่งท้องนา แสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดในเรื่องเกิดขึ้นที่ใด ตัวพื้นปกเป็นสีขาวนวล มีภาพควายสามตัวกำลังเล็มหญ้าอยู่ข้างกองฟาง เบื้องหลังเป็นพื้นนาไกลสุดลูกหูลูกตา เห็นถึงความแห้งแล้ง ถึงแม้สีปกจะไม่ฉูดฉาดแต่ภาพปกกลับสะท้อนความจริงบางอย่างที่ดึงดูดผู้อ่านให้เปิดอ่าน และเมื่อหยิบขึ้นมาอ่าน ผู้อ่านก็จะได้ซึมซับความทุกข์ยากไปพร้อมกับชาวนาแห่งตำบลช่อมะกอกจนไม่อยากวางหนังสือลงเลยทีเดียว


ตำบลช่อมะกอกเป็นนวนิยายเรื่องแรกของผู้เขียน ซึ่งตัวผู้เขียนเองได้ผ่านการเขียนเรื่องสั้น บทความ เรียงความที่มีคุณค่ามามากมายผ่านหน้าหนังสือพิมพ์ และด้วยเนื้อเรื่องของนวนิยายเรื่องนี้ก็สะท้อนความสะเทือนอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของชาวนาได้อย่างถึงพริกถึงขิง ลีลาการเขียนที่โดดเด่นของฝีมือนักเขียนมือทองคำคนนี้ จึงเป็นสิ่งที่การันตีคุณภาพนวนิยายเล่มนี้ได้เป็นอย่างดี


ผู้อ่านคนใดที่อยากลิ้มลอง อยากเข้าถึงนทีชีวิตแห่งทุกข์ยากของชาวนา ก็ขอแนะนำให้ลองยื่นมือออกไปหยิบฉวยความรู้ที่จับต้องได้เล่มนี้ขึ้นมาอ่าน หนังสือที่ต้องการพลังจากคนทุกเพศทุกวัย ให้ร่วมกันต่อสู้ไปกับสิ่งชั่วร้าย ผู้อ่านจะซาบซึ้งไปกับน้ำใจของเพื่อนมนุษย์ที่แสนจะบริสุทธิ์ และเห็นความใสสะอาดผ่านน้ำใจของชาวบ้านตำบลช่อมะกอก แต่ในขณะเดียวกันก็จะเห็นความชั่วร้ายของคนหน้าซื่อใจคด ที่ปัจจุบันมีให้เห็นอยู่เกลื่อนเมือง ผ่านลีลาการเขียนที่โดดเด่น การดำเนินเรื่องที่เรียบง่ายแต่กลับตรึงใจผู้อ่าน สอดแทรกข้อคิดให้ผู้อ่านได้ขบคิดความหมายตาม นวนิยายเรื่องนี้จึงมีคุณค่าเหลือคณานับที่ผู้อ่านจะต้องหยิบขึ้นมาพิสูจน์ด้วยตนเอง รับรองท่านต้องวางหนังสือเล่มนี้ไม่ลงเลยทีเดียวเชียว

กนกกาญจน์