
นางสาวเปียรินทร์ มหาพงษ์เสถียร รหัส 05490241
รักแห่งสยาม ภาพยนตร์ไทยของชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ที่ได้เข้าฉายเมื่อเดือนพฤจิกายน ปี 2550 เป็นภาพยนตร์ที่ดีและเป็นที่น่าสนใจของคนจำนวนมากโดยเฉพาะกลุ่มเด็กวัยรุ่น ด้วยเนื้อหา เรื่องราวที่ดีเยี่ยม รักแห่งสยามจึงได้รับรางวัลมากมายหลายรายการเช่น 6 รางวัลจากชมรมวิจารณ์บันเทิงครั้งที่ 16 , 6 รางวัลจากสตาร์เอนเตอร์เทนเมนท์ อวอร์ต หรือ 3 รางวัลใหญ่จากงานสุพรรณหงษ์ นอกจารางวัลจากรายการเหล่านี้แล้วก็ยังได้รับรางวัลอื่นๆอีกมากมายที่เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าเป็นภาพยนตร์ที่น่าสนใจและควรติดตามเป็นอย่างยิ่ง
รักแห่งสยาม ภาพยนตร์ไทยของชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ที่ได้เข้าฉายเมื่อเดือนพฤจิกายน ปี 2550 เป็นภาพยนตร์ที่ดีและเป็นที่น่าสนใจของคนจำนวนมากโดยเฉพาะกลุ่มเด็กวัยรุ่น ด้วยเนื้อหา เรื่องราวที่ดีเยี่ยม รักแห่งสยามจึงได้รับรางวัลมากมายหลายรายการเช่น 6 รางวัลจากชมรมวิจารณ์บันเทิงครั้งที่ 16 , 6 รางวัลจากสตาร์เอนเตอร์เทนเมนท์ อวอร์ต หรือ 3 รางวัลใหญ่จากงานสุพรรณหงษ์ นอกจารางวัลจากรายการเหล่านี้แล้วก็ยังได้รับรางวัลอื่นๆอีกมากมายที่เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าเป็นภาพยนตร์ที่น่าสนใจและควรติดตามเป็นอย่างยิ่ง
รักแห่งสยาม เรื่องราวของโต้งและมิวเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงกัน ที่รู้จักและสนิทกัน คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันตลอดเวลา แต่วันหนึ่งมีเหตุให้ครอบครัวของโต้งต้องย้ายบ้านออกไปเพราะไม่ต้องการอยู่บ้านที่มีความทรงจำอันแสนเศร้าจากการที่ต้องสูญเสียแตงลูกสาวคนโตที่หายตัวไปขณะไปเที่ยวเชียงใหม่กับเพื่อนๆ เมื่อหลายปีผ่านไป โต้งและมิวได้กลับมาเจอกันอีกโดยบังเอิญ เริ่มนำความสนิทสนมของทั้งคู่กลับมาอีกครั้ง ซึ่งความรู้สึกและความสัมพันธ์ครั้งนี้มิได้เป็นไปอย่างเพื่อน แต่เป็นความรู้สึกแบบคนรัก ทำให้สุนีย์แม่ของโต้งไม่อาจรับความสัมพันธ์แบบนี้ได้ โต้งและมิวจึงเริ่มห่างกัน ขณะเดียวกันจูนหญิงสาวที่มีหน้าตาคล้ายแตงก็ถูกสุนีย์จ้างให้มาเป็นแตงเพื่อให้กร ที่เป็นสามีรู้สึกดีขึ้นหลัจากที่กินแต่เหล้าจนไม่สบายหนักกับการเสียใจ จูนได้รับรู้ถึงเรื่องราวระหว่างโต้งกับมิว และปัญหาในครอบครัวที่จ้างตนมา ด้วยความรักและผูกพันต่อครบครัวนี้ เธอจึงได้อธิบายเรื่องราวต่างๆให้สุนีย์ได้เข้าใจจนเปิดใจยอมรับมากขึ้นและให้โอกาสโต้งที่จะเลือกทางเดินของตนเอง แต่สุดท้ายโต้งก็เลือกที่จะรู้สึกกับมิวอย่างเพื่อนมากกว่าอย่างคนรัก
รักแห่งสยามเปิดเรื่องราวด้วย 2 ครอบครัวในตอนเดียวกัน คือ ฉากที่มิวคุยกับอาม่าเรื่องที่จะย้ายไปอยู่ระยอง และตอนที่ครอบครัวของโต้งนั่งอยู่พร้อมหน้ากันบนโต๊ะอาหาร จากการเปิดเรื่องก็แสดงให้เห็นถึงความรักของครอบครัวได้แล้วเช่นกัน และมีเหตุการณ์การการเจอกันโดยบังเอิญระหว่างโต้งกับมิวหลังจากที่ไม่ได้พบกันอีกสมัยเด็กที่จะนำไปสู่ความใกล้ชิดและผูกพันต่อไปจนเกิดเป็นความรักที่สร้างความขัดแย้งให้กับตัวละครได้ ดังนี้
ควาขัดแย้งที่เห็นได้ชัดนั้นคือระหว่างโต้งกับสุนีย์ ที่สุนีย์ห้ามโต้งไม่ให้คบกับมิว
ความขัดแย้งในใจของโต้งเองว่าเขารักมิวแบบไหน
ความขัดแย้งในใจของมิวเองว่าเลือกที่จะทำตามคำขอของสุนีย์ที่ให้เลิกความสัมพันธ์แบบคนรักกับโต้ง ซึ่งมิวก็เลือกที่จะห่างและไม่เจอหน้าโต้งอยู่ช่วงหนึ่ง
เมื่อมาถึงจุดไคลแมกซ์ของเรื่องก็เป็นตอนที่สุนีย์และโต้งตกแต่งต้นคริสต์มาสมีตุ๊กตาหญิงและชาย 2 ตัวให้โต้งเลือกติด ซึ่งตอนแรกโต้งไม่กล้าเลือกว่าจะเอาตัวไหนเพราะกลัวไม่ถูกใจแม่ แต่สุนีย์ก็ให้โอกาสโต้งที่จะเลือกซึ่งตัวนั้นก็คือตุ๊กตาผู้ชาย สุนีย์ก็ไม่ว่าอะไรนั่นก็หมายถึงการเปิดโอกาสให้โต้งเลือกดำเนินชีวิตในอย่างที่ตัวเองอยากเป็นได้
ในเรื่องนี้จะสร้างโดยเน้นในเนื้อหา เรื่องราวของภาพยนคร์เป็นจุดสำคัญในเรื่องราวของความรักหลากกลายรูปแบบทั้งความรักของครอบครัว ความรักแบบเพื่อน มิตรภาพ และความรักแบบคนรัก อีกอย่างที่โดดเด่นมากเช่นกันคือบทพูดที่มีนัยและสาระอยู่ในตัวของมันตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งจะไม่ค่อยเน้นฉากหรือบรรยากาศเพราะจะเห็นได้ว่าฉากนั้นจะเป็นฉากเดิมๆ คือที่บ้าน ที่ห้องซ้อมดนตรี และที่สยาม เป็นต้น
ฉากสุดท้ายในการปิดเรื่องเป็นฉากที่โต้งนำชิ้นส่วนจมูกของตุ๊กตาไม้มาให้มิวและ มิวเอาชิ้นส่วนนั้นมาต่อให้ครบสมบูรณ์และร้องไห้ออกมา การร้องไห้ของมิวนั้นไม่ได้ร้องเพราะไม่ได้โต้งมาคบแบบคนรัก แต่ร้องเพราะได้รู้ว่าชีวิตนี้ไม่ได้อยู่โดดเดียวอีกต่อไปแต่ยังมีคนที่รักและพร้อมจะอยู่เคียงข้าง อย่างน้อยก็มีโต้งคนหนึ่ง
ตัวละครเอกของเรื่องหลักๆมี 2 ตัวด้วยกัน ได้แก่
“โต้ง” ชายวัยรุ่นที่ต้องเจ็บปวดกับการสูญเสียพี่สาวสมัยยังเด็ก แต่เขาก็ดำเนินชีวิตไปอย่างวัยรุ่นธรรมดาที่ใช้เวลาไปกับการเรียนและเพื่อนๆ
“มิว” ที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับโต้ง อาศัยอยู่กับอาม่าตั้งแต่เด็ก เมื่ออาม่าเสียก็อยู่อย่างโดดเดี่ยว มิวจึงโตมากับความเหงาโดยมีเสียงดนตรีเป็นพื่อน
“มิว” ที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับโต้ง อาศัยอยู่กับอาม่าตั้งแต่เด็ก เมื่ออาม่าเสียก็อยู่อย่างโดดเดี่ยว มิวจึงโตมากับความเหงาโดยมีเสียงดนตรีเป็นพื่อน
สำหรับตัวละครรองที่พอมีบทบาทนั้นเห็นจะมี
“สุนีย์” แม่ของโต้งผู้มีจิตใจแข้มแข็งที่ต้องดูแลครอบครัว แต่ภายในใจก็รู้สึกบอบช้ำมากจากการสูญเสียลูกสาว ทำให้โต้งเป็นคนเดียวที่เป็นความหวังของเธอ จึงได้พยายามทำทุกอย่างให้โต้งเป็นอย่างที่เธอต้องการ จนเกิดความขัดแย้งกับโต้ง เมื่อดูแล้วจะเห็นว่าสุนีย์เป็นตัวละครที่ไม่ได้เห็นแก่ตัวที่ไม่ให้โต้งคบกับมิว เพราะเธอยังถือเป็นคนที่ไม่สมัยใหม่มากนักในการจะยอมรับความรักระหว่างเพศเดียวกันได้ อีกสาเหตุก็เป็นเพราะเหลือลูกอยู่คนเดียวก็ไม่อยากให้ใช้ชีวิตไปในแนวทางที่สังคมยังไม่ยอมรับมากเท่าที่ควร
”จูน” ตัวละครที่เป็นตัวกลางทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างมิวและโต้งดีขึ้นและยังทำให้ปัญหาระหว่างสุนีย์และโต้งได้เข้าใจกัน
“สุนีย์” แม่ของโต้งผู้มีจิตใจแข้มแข็งที่ต้องดูแลครอบครัว แต่ภายในใจก็รู้สึกบอบช้ำมากจากการสูญเสียลูกสาว ทำให้โต้งเป็นคนเดียวที่เป็นความหวังของเธอ จึงได้พยายามทำทุกอย่างให้โต้งเป็นอย่างที่เธอต้องการ จนเกิดความขัดแย้งกับโต้ง เมื่อดูแล้วจะเห็นว่าสุนีย์เป็นตัวละครที่ไม่ได้เห็นแก่ตัวที่ไม่ให้โต้งคบกับมิว เพราะเธอยังถือเป็นคนที่ไม่สมัยใหม่มากนักในการจะยอมรับความรักระหว่างเพศเดียวกันได้ อีกสาเหตุก็เป็นเพราะเหลือลูกอยู่คนเดียวก็ไม่อยากให้ใช้ชีวิตไปในแนวทางที่สังคมยังไม่ยอมรับมากเท่าที่ควร
”จูน” ตัวละครที่เป็นตัวกลางทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างมิวและโต้งดีขึ้นและยังทำให้ปัญหาระหว่างสุนีย์และโต้งได้เข้าใจกัน
สัญลักษณ์ต่างๆในเรื่องที่พอจะสังเกตได้
ที่เลือกให้มิวเป็นนักดนตรีนั้นก็เพื่อสื่อให้เห็นว่าความรู้สึกและเพลงมันสามารถเชื่อมเกี่ยวกัน อย่างเช่น เพลงรักที่มิวแต่งนั้นก็มีแรงบันดาลใจเมื่อเห็นรูปโต้งทุกครั้ง นอกจากนี้เพลงยังเป็นสิ่งที่จะสามารถสื่อความรู้สึกบางอย่างถายในใจได้โดยไม่ต้องพูดออกมาตรงๆ
ที่เลือกให้มิวเป็นนักดนตรีนั้นก็เพื่อสื่อให้เห็นว่าความรู้สึกและเพลงมันสามารถเชื่อมเกี่ยวกัน อย่างเช่น เพลงรักที่มิวแต่งนั้นก็มีแรงบันดาลใจเมื่อเห็นรูปโต้งทุกครั้ง นอกจากนี้เพลงยังเป็นสิ่งที่จะสามารถสื่อความรู้สึกบางอย่างถายในใจได้โดยไม่ต้องพูดออกมาตรงๆ
หมอนในห้องของมิวในสมัยเด็กมี 2 สีคือฟ้าที่สื่อหมายถึงโต้ง และหมอนสีเขียวที่สื่อถึงมิว หลังจากที่โต้งย้ายบ้านไป จะเห็นว่าหมอนมี 2 ใบเหมือนเดิม แต่เป็นสีเขียวหมด มันก็อาจสื่อได้ว่าชีวิตตรึ่งหนึ่งของมิวที่เคยมีโต้งมันหายไป
ตุ๊กตาไม้ที่โต้งให้กับมิวสมัยยังเด็กที่ขาดชิ้นส่วนที่เป็นจมูกไป และสุดท้ายโต้งไปหาซื้อมาได้และนำไปให้มิว นั่นแสดงให้เห็นว่าจมูกนั้นมีไว้หายใจถ้าขาดจมูกชีวิตก็อยู่ไม่ได้ ก็เหมือนกับความรักก็จะช่วยให้มิวมีชีวิตต่อไปแม้ว่าโต้งจะไม่สามารถคบกับมิวแบบคนรักได้
ฉากที่จะนำตุ๊กตามาติดต้นคริสต์มาส มีตัวผู้หญิงและผู้ชาย โต้งเลือกที่จะเลือกตัวผู้ชายมาติด นั่นก็แสดงให้เห็นว่าโต้งเลือกมิว
หลังจากได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ก็สะท้อนให้เห็นถึงความรัก ความผูกพันในรูปแบบต่างๆที่ได้กล่าวมาแล้วและยังสะท้อนให้เห็นว่าแม้ว่าสังคมปัจจุบันจะเปิดกว้างในเรื่องความรักระหว่างเพศเดียวกันได้แล้ว แต่มุมมองคนบางคนก็ยังคงปิดกั้นเลือกที่จะไม่ยอมรับทั้งๆที่ความรักนั้นเป็นความรักแบบบริสุทธิ์ก็ตาม อีกเรื่องหนึ่งที่สื่อออกมาในภาพยนตร์เรื่องนี้คือปัญหาของเด็กวัยรุ่นที่มีความสับสนภายในใจที่ไม่สามารถบอกกับคนใกล้ชิดในครอบครัวได้จึงไปปรึกษาและรวมกลุ่มกันในหมู่เพื่อนๆมากกว่านั่นเอง