วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2551

รายชื่อผู้ส่งกวีนิพนธ์และเปิดไฟล์ได้

พิมพ์อัณณ์
ประภาพรรณ
ปองกานต์
กชพรรณ
กนกกาญจน์
กนกนภา
กนกวรรณ
กุลธิดา
เกศสุดา
จินตญา
จิราภรณ์

ชณัฎฎา
ชนาพร
ชนิกรรดา

ชยานุตม์
ชวัลญา
ชัชลัย
ชามาศ
ชิดกมล
ชินาภรณ์
เชษฐกิดา
ซีรีน
ฐิตินันท์
ณัชชา
เด่นนภา

ตวงพร
ทรัพย์อนันต์
ธนัชญา
นพเก้า
นพวรรณ
นิชา
พิชญ์สินี
บายศรี
สมัชญ์
ปิยะฉัตร


พรรณรอง
พรรณิดา
พัฒนวัชร
พิมพ์พิศ
พุทธิดา
เฟื่องฟ้า
ภัทรา
ภัทราพร ศรี
ภัทราภรณ์
ภัสวดี
มนตรี
รุ่งทิวา
รุ่งรัตน์
ลักษมณ
วิลาสินี
ศศิกานต์

สริญลา
สิทธิชัย
สิทธิเดช
สุกานดา
สุพิชญ์
สุฤดี
สุวีณา
หทัยวรรณ
อรจิรา
อรรถอรองค์

เอกพันธุ์
เอื้อบุญ
ฮานาน

วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2551

ชุดประดาน้ำและผีเสื้อ




ชุดประดาน้ำและผีเสื้อ
ฌ็อง - โดมินิก โบบี้ เขียน
วัลยา วิวัฒน์ศร แปล
พิมพ์ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2545
สำนักพิมพ์ผีเสื้อ
224 หน้า ราคา 149 บาท






"---คลื่นความทุกข์เข้าครอบคลุมผม เตโอฟีล ลูกชายของผม นั่งเรียบร้อยอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าของเขาห่างจากใบหน้าผมเพียงห้าสิบเซ็นต์ แล้วผม พ่อของเขา ไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะเอามือลูบผมดกหนาของเขา สัมผัสต้นคออ่อนนุ่ม กอดรัดร่างน้อยๆ อันอบอุ่นและลื่นเรียบของเขาให้แนบแน่น จะให้พูดว่าอย่างไร มันเหี้ยมโหด อยุติธรรม สุดจะทนทาน หรือ น่าสะพรึงกลัวกันแน่ ---" เป็นข้อความตอนหนึ่งในบทที่ชื่อว่าม่าน จากหนังสือ “ชุดดำน้ำและผีเสื้อ” ของ ฌ็อง-โดมินิก โบบี้

บันทึกชีวิตที่ทั้งเฉียบคมทางความคิด เข้มข้นทางอารมณ์ และละมุนละไมด้วยความอ่อนหวานแห่งถ้อยคำ เป็นการเขียนด้วยการเลิกเปลือกตาของโบบี้ ผ่านการแปลจาก “วัลยา วิวัฒน์ศร”ผู้โลดแล่นบนถนนสายการแปลวรรณกรรมฝรั่งเศสอย่างภาคภูมิเป็นเวลากว่า 20 ปี

ข้อความตอนนี้เป็นสัจธรรมชีวิตที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ ตราบใดที่มนุษย์ยังคงเดินตามวิถีโลก โลกก็จะสร้างแบบทดสอบชีวิตมาทดสอบมนุษย์อยู่ตลอดเวลา และรอจังหวะที่มนุษย์ผู้หลงระเริงก้าวพลาดพลั้ง โลกก็พร้อมที่จะกระหน่ำซ้ำเติมและมอบรอยแผลเป็นแห่งชีวิตไว้เป็นสิ่งเตือนใจ นั่นคือความจริงที่มนุษย์ต้องทำใจยอมรับโดยไม่สามารถหลีกหนีได้

บรรณาธิการบริหารนิตยสารแอลล์ฉบับฝรั่งเศสเป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องพบกับบททดสอบอันโหดร้ายและหนักหน่วงที่สุดในชีวิต เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 1995 เส้นเลือดในสมองของฌ็อง-โดมินิก โบบี้แตก ส่งผลให้เขาเป็นผู้ป่วยอัมพาตทั้งตัว ขยับตัวไม่ได้ ไม่สามารถพูดหรือแสดงสีหน้า สิ่งที่เขาทำได้นั้นคือการเคลื่อนไหวศรีษะเล็กน้อยและกระพริบเปลือกตาซ้ายเท่านั้น ส่วนสติ ความนึกคิด อารมณ์ และความฝันความมุ่งมั่นของเขายังคงอยู่ครบถ้วน นั่นจึงเป็นฝันร้ายที่สุดในชิวิตของเขา

ในระหว่างการรักษาตัว โบบี้ได้เรียนรู้การสื่อสาร จากนักสัทวิทยาหรือที่เขาเรียกว่าแม่ทูนหัว เธอนำชุดตัวอักษร ESA ซึ่งโบบี้เรียกว่า "รหัส" มาให้ใช้ อักษรชุดนี้เรียงตามความถี่ในการใช้ภาษาฝรั่งเศส ซึ่งทุกคนที่ต้องการสื่อสารกับเขาจะต้องรู้จัก เพื่อจะได้พูดคุยกันได้ในเวลาสั้นที่สุด โดยโบบี้ใช้วิธีเลิกเปลือกตา ส่วนเธอจะขานอักษรทีละตัวไล่ เพื่อให้โบบี้เลือกตัวอักษรเหล่านั้น จากนั้นก็จดอักษรเหล่านั้น แล้วเริ่มขานอักษรใหม่ ทีละตัว จนได้หนึ่งคำ ทีละคำ เรียงกันไปจนเป็นประโยค

จากการสื่อสารระหว่างคนสองคน กลายเป็นการสื่อสารกับคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นพยาบาล แพทย์ เพื่อนร่วมงาน หรือ คนในครอบครัว โบบี้เริ่มสื่อสารถึงเพื่อนๆ ด้วยการเขียนจดหมายเวียน เขียนด้วยการเลิกเปลือกตาข้างซ้ายของเขา จากจดหมายเวียนโบบี้ตกลงใจเขียนหนังสือเป็นเล่ม ทำความฝันของตนให้เป็นจริง นั่นคือการเป็นนักเขียน

เขาเขียนหนังสือชุดประดาน้ำและผีเสื้อเสร็จภายในเวลาสองเดือน ในทุกๆวันวันละสองถึงสามชั่วโมง โบบี้จะต้องวางโครงเรื่องทั้งหมดในสมองของเขา แบ่งเป็นบทเป็นตอน ในแต่ละคืนเขาเลือกสรรคำ เรียงประโยค เรียงย่อหน้า แก้ไขสำนวน ขัดเกลาทุกอย่างให้เสร็จสรรพ แล้วท่องจำไว้ เขาต้องท่องจำได้ทั้งหมด ก่อนที่จะให้เขียนตามคำบอกด้วยการเลิกเปลือกตาให้ผู้ขานอักษรเขียนจด เขาต้องเลิกเปลือกตามากกว่าสองแสนครั้งจนกระทั่งจบเล่ม จากอักษรรวมเป็นคำ จากหนึ่งตัวอัษร หนึ่งคำ หนึ่งประโยค หนึ่งย่อหน้า หนึ่งบท และหนึ่งเล่ม

โบบี้พูดถึงประสบการณ์จริงทั้งในอดีตและปัจจุบัน ทั้งเรื่องจริงและจินตนาการผ่านสายตาที่มองโลกอย่างเฉียบคมของชายคนหนึ่งที่ไม่ยอมพ่ายให้กับอุปสรรคที่ผ่านเข้ามา แม้ว่าโบบี้จะต้องเขียนโดยมีข้อจำกัดมากมายภายใต้สถานการณ์ยากลำบากเกินจะจินตนาการได้ แต่ทว่าความสามารถในการใช้ภาษาที่เบาด้วยอารมณ์ขัน ร่าเริงมีชีวิตชีวา อีกทั้งเต็มไปด้วยอารมณ์อ่อนไหว เศร้าทรมาน ที่แทรกไว้ได้อย่างลงตัว ความสามารถในการใช้ถ้อยคำ สำนวนและโวหารต่างๆของเขายังอยู่ครบ โบบี้ไม่ได้ทำให้ผู้อ่านผิดหวังทั้งด้านคุณค่าของเนื้อหาและภาษา เขาสามารถร้อยเรียงเรื่องราวเข้ากันให้เป็นหนังสือที่วิเศษ เป็นเรื่องที่ผู้อ่านไม่อยากวางจนกระทั่งจบบทสุดท้าย


สิ่งที่โบบี้กล่าวถึงในฐานะผู้ป่วยในหนังสือเล่มนี้ ยังเปรียบได้กับสารของผู้ป่วยต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาพยาบาลทุกระดับ ให้พวกเขาได้ตระหนักถึงการหลงลืมไปว่า ผู้ป่วยอัมพาตยังคงมีความรู้สึกเช่นเดียวกับคนทั่วไปควรได้รับการปฎิบัติในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน อีกทั้งสารแห่งความรู้สึกที่มีต่อผู้ป่วยด้วยกัน ว่าให้ยอมรับสิ่งที่เป็นไปและอยู่กับมันให้ได้

โบบี้เสียชีวิตหลังจากหนังสือออกวางจำหน่ายเพียงสามวัน หนังสือชุดประดาน้ำและผีเสื้อจึงเปรียบได้กับของขวัญที่มีค่าที่โบบี้ได้มอบให้แก่โลกของเรา เขาทำให้เรารู้ว่าคนเราสามารถทำตามความฝันได้เสมอ ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเพียงใด ขอเพียงอย่าหยุดฝัน มีความหวังอยู่เสมอ และลงมือทำ ดังที่โบบี้แสดงให้เห็นแล้วว่า แม้ร่างกายของเขาจะต้องอยู่ภายใต้ชุดประดาน้ำที่รัดรึงกายให้เจ็บปวดเคลื่อนไหวไม่ได้ แต่ความฝันความคิดจินตนาการของเขาก็ยังสามารถจะโบยบินตามใจนึก ดังเช่นผีเสื้อที่โบยบินแสวงหาความสวยงามมาเติมเต็มให้ชีวิต





พิมพ์อัณณ์

ผู้ชายคนที่ตามรักเธอทุกชาติ พิมพ์ครั้ง 85



ผู้ชายคนที่ตามรักเธอทุกชาติ พิมพ์ครั้ง 85
วินทร์ เลียววาริณ
ปีที่พิมพ์ 2549
สำนักพิมพ์ 113 จำกัด
จำนวน 304 หน้า
ราคา 185 บาท

“นวนิยายรักที่ Dak – Done เสียด Colour และกวน – Teen ที่สุดในรอบปี” นี่คือคำนิยามของนวนิยายที่ชื่อว่า “ผู้ชายคนที่ตามรักเธอทุกชาติ พิมพ์ครั้งที่ 85” เป็นนิยามที่บัญญัติขึ้นโดยตัวผู้เขียนเอง คือ “วินทร์ เลียววาริณ” นักเขียนรางวัลซีไรต์ ปี 2540 เจ้าของผลงานติดหูนักอ่านผู้ชื่นชอบวรรณกรรมแนว “เสียดสี” อย่าง ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน หลังอานบุรี ปีกแดง และผลงานอื่น ๆ อีกมากมาย หากใครที่เป็น “แฟนพันธุ์แท้” ของวินทร์แล้ว ย่อมทราบกันดีว่าชายผู้นี้มี “ไอเดียร์” ที่หลากหลายในการสร้างสรรค์งานเขียนประเภทเสียดสีวิภาควิจารณ์สังคมและการเมืองได้ในทุกรูปแบบ นวนิยายรักเล่มนี้ก็เช่นกัน


ครั้งแรกที่ดิฉันเห็นหนังสือเล่มนี้ โดยเฉพาะชื่อที่เรียกได้ว่า “หวานซึ้ง” ไม่ว่าใครก็คงจะเข้าใจว่าเป็นนิยายรักอย่างแน่นอน แต่ความคิดนั้นก็ต้องสะดุดเมื่อได้เห็นชื่อของนักเขียน



“วินทร์ เลียววาริณ” ความแปลกใจเกิดขึ้นทันที จากการที่เคยอ่านผลงานของคุณวินทร์มาบ้าง อาจกล่าวได้ว่างานเขียนแนวเสียดสีนี้ กลายเป็นเอกลักษณ์ประจำของคุณวินทร์ไปเสียแล้ว จะเป็นไปได้หรือที่คุณวินทร์จะเปลี่ยนแนวมาเขียนนิยายรัก “ผู้ชายคนที่ตามรักเธอทุกชาติ พิมพ์ครั้งที่ 85” จึงเป็นความคาดหวังเล็ก ๆ ของดิฉันที่อยากจะเห็นนิยายรักและอยากจะทราบมุมมองรักของคุณวินทร์ แต่หนังสือเล่มนี้ก็เป็นนวนิยายรัก “หวานปะแล่ม ๆ” ในแบบฉบับของคุณวินทร์จริง ๆ เพราะนอกจากเรื่องราวความรักแล้ว ยังผสมด้วยนิยายอิงประวัติศาสตร์ เจือนิยายวิทยาศาสตร์ ล้อเลียนเสียดสีสังคมการเมืองยุคบริโภคนิยม ด้วยโครงเรื่องที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนและเปี่ยมด้วยอารมณ์ขันร้าย ด้วยความซับซ้อนของเรื่องนี้ จึงก็ต้องอาศัยความตั้งใจในการอ่านไม่น้อย เพราะเป็นหนังสือที่ไม่ใช่จะ “อ่านผ่าน ๆ” ได้ หากแต่ต้อง “อ่านเก็บ” กันอย่างละเอียดลออ



เรื่องราวของ “ผู้ชายคนที่ตามรักเธอทุกชาติ พิมพ์ครั้งที่ 85” เริ่มต้นเรื่องที่ สาย ธารี โกสท์ไรเตอร์ นักเขียนผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของนักเขียนที่มีชื่อเสียงหลายคน วันหนึ่งเขาเดินชนหญิงสาวลึกลับที่หัวมุมถนนและหลงรักเธอทันที เขาเชื่อมั่นว่าเขาเคยพบกับเธอมาก่อน สาย ธารี สืบพบว่าหญิงสาวคนที่เขาหลงรักตั้งแต่แรกพบ เกี่ยวข้องกับหนังสือนิทานโบราณเล่มหนึ่งที่ตีพิมพ์โดยหมอบรัดเลย์ ชื่อ “นิทานอีแสบ” ยิ่งเขาคลี่คลายปริศนาแห่งนิทานอีแสบลึกเท่าใด ก็ยิ่งค้นพบความลับของเขากับเธอว่าเคยรักกันมาก่อนในหลาย ๆ โลก จักรวาลประกอบด้วยมิติมากมายนับไม่ถ้วน เธอคนที่เขารักเป็นหนึ่งในเธอจำนวนล้าน ๆ คนในโลกมิติต่าง ๆ ที่ซ้อนทับกัน



ความรักของเขากับเธอในโลกมิติต่าง ๆ นั้น เกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์ของโลกตั้งแต่โบราณ เช่น การยาตราทัพข้ามโลกของเจ็งกิสข่าน อเล็กซานเดอร์มหาราช การรุกกรุงธนบุรีของอะแซหวุ่นกี้ งานจิตรกรรมของ ดา วินชี ความลับกรุงศรีอยุธยาแตกในปี พ.ศ. 2310 ลายแทงขุมทรัพย์โบราณของยามาชิต้า ความลับของเลข 5 กับ 8 ไปจนถึงปริศนากลุ่มดาวราศีธนู หลุมดำ และการย้ายข้ามมิติในจักรวาล



นอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้วยังมีนักเขียนนิยายชื่อดังหลาย ๆ ท่าน รวมทั้งศิลปินผู้มีชื่อเสียง นักคิด นักวิทยาศาสตร์ ที่คุณวินทร์นำมา “ยำ” รวมเข้ากับนวนิยายรักเรื่องนี้ อาทิ รงค์ วงษ์สวรรค์ จาก มาเฟียก้นซอย ปรมาจารย์นิยายกำลังภายในอย่างกิมย้ง กับนิยายมังกรหยก อองตวน เดอ แซงเตก ซูเปรี กับเจ้าชายน้อย เออร์เนสท์ เฮมิงเวย์ กับ The Old Man and the Sea แดน บราวน์ กับ The Da Vinci Code จอห์น เลนนอน กับเพลง Imagine อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กับทฤษฎีสัมพันธภาพ และผู้มีชื่อเสียงอื่น ๆ อีกมากมาย






“ผู้ชายคนที่ตามรักเธอทุกชาติ พิมพ์ครั้งที่ 85” ผลงานชื่อยาวเหยียดของคุณวินทร์เรื่องนี้ นับได้ว่า “ฉีก” จากงานเขียนเรื่องอื่น ๆ อยู่มาก ด้วยเนื้อหาที่ผ่อนคลายลงจากที่เคยเสียดสีการเมืองอย่างเข้มข้นในผลงานที่ผ่านมา มีการปรับเปลี่ยนมุมมอง และให้ความสนใจแง่มุมต่าง ๆ ในสังคมมากขึ้น โดยใช้ความรักของสาย ธารีและรตี เป็นสื่อกลาง มีการสอดแทรกประเด็นสังคมที่อ่านแล้วก็ทราบได้ทันทีว่า “โกหก” แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่ออ่านแล้วก็รู้สึก “สะใจ” ในการประชดประชันผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ของไทยในมิติต่าง ๆ ที่ซ้อนทับกันดังกล่าวข้างต้น เช่น กินเนสส์ บุ๊ค ประกาศว่าคนไทยอ่านหนังสือมากที่สุดในโลก เฉลี่ยคนละ 1,250 เล่มต่อปี รัฐบาลจำเป็นต้องออกกฎหมายบังคับให้หนังสือทุกเล่มพิมพ์ประโยคที่ปกว่า “ห้ามอ่านเกินวันละ 15 เล่ม” หรือ ประเทศไทยได้รับการโหวตว่าเป็นประเทศที่คอรัปชั่นน้อยที่สุดในโลก จนรัฐบาลต้องงดเก็บภาษีเพราะเงินออมของชาติพุ่งสูง พาดหัวข่าวของประเทศไทยในมิติอื่นนี้เรียกได้ว่าแตกต่างกับความเป็นจริงที่คุณวินทร์เรียกว่า “มิติของเรา” อย่างสิ้นเชิง การเขียนในลักษณะนี้ กล่าวได้ว่าคุณวินทร์ก็ยังคงไม่ทิ้งลายแห่งนักเขียนงานประเภทเสียดสี และคงความเป็นเอกลักษณ์ไว้อย่างเหนียวแน่นแม้จะเป็นงานเขียนประเภทนวนิยายรัก




หากคุณกำลังมองหาหนังสือเบาสมองแต่หนักด้วยสาระ ดิฉันขอแนะนำ “ผู้ชายคนที่ตามรักเธอทุกชาติ พิมพ์ครั้งที่ 85” นวนิยายรักที่จะทำให้คุณรู้สึกสนุกสนานเหมือนได้ร่วมผจญภัยข้ามมิติและกาลเวลาไปพร้อมกับสาย ธารี ขบขันกับตลกร้ายแห่งสังคมยุคบริโภค และสงสัยบ้างหรือไม่ ว่าทำไมต้อง “พิมพ์ครั้งที่ 85” หาคำตอบได้ในนวนิยายรักที่ “Dak – Done เสียด Colour และกวน-Teen ที่สุดในรอบปี” เล่มนี้




ฑิฆัมพร

เทวากับซาตาน



เทวากับซาตาน
ผู้เขียน : แดน บราวน์
ผู้แปล : อรดี สุวรรณโกมล
และอนุรักษ์ นครินทร์
ปีที่พิมพ์ : 2547
แพรวสำนักพิมพ์
จำนวน 599 หน้า
ราคา 345 บาท

หลายคนรู้จักแดน บราวน์ จากหนังสือชื่อดัง “ รหัสลับดาวินชี ” ซึ่งต่อมาหนังสือเล่มนี้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อว่า “ The Da Vinci Code : รหัสลับ ระทึกโลก ” สำหรับแฟนนักอ่านของแดน บราวน์ที่ติดใจในเรื่องราวของสมาคมลับ การถอดรหัส และการตีความบทกวีโบราณ จาก “ รหัสลับดาวินชี ” แล้ว จะต้องไม่พลาด “ เทวากับซาตาน ” อย่างแน่นอน

“ เทวากับซาตาน ” เป็นหนังสือที่แดน บราวน์ เขียนขึ้นมาก่อน “ รหัสลับดาวินชี ” แต่กลับได้ตีพิมพ์ทีหลัง หนังสือ“ เทวากับซาตาน ” ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนังสือแนวลึกลับที่ไม่สามารถวางมืออ่านได้ และยังเป็นหนังสือต่างชาติที่ขายดีที่สุดอีกด้วย

“ เทวากับซาตาน ” เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโรเบิร์ต แลงดอน ศาสตราจารย์ด้านสัญลักษณ์แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ถูกโทรศัพท์มารบกวนในเวลาเช้ามืด ปลายสายบอกว่า ชื่อ แมกซีมีเลียน โคห์เลอร์ ต้องการตัวแลงดอนด่วน แลงดอนบอกปฏิเสธไปในตอนแรก แต่ก็เปลี่ยนใจเนื่องจากโคห์เลอร์ได้ส่งแฟกซ์รูปถ่ายรูปหนึ่ง เป็นรูปที่ทำให้แลงดอนเปลี่ยนใจ คือ รูปคนตายที่ศีรษะถูกบิดจนหันกลับไปด้านหลัง ที่หน้าอกของผู้ตายถูกประทับตราคำว่า “ อิลลูมินาติ ”

อิลลูมินาติ หมายถึง ผู้รู้แจ้ง เป็นกลุ่มภราดรโบราณ เกิดจากคนกลุ่มหนึ่งในกรุงโรมลุกขึ้นมาต่อต้านคริสตจักร เนื่องจากนิโคลัส โคเปอร์นิคัส ถูกคริสตจักรฆ่าฐานเปิดเผยความจริงทางวิทยาศาสตร์ กลุ่มบุคคลผู้มีความรู้สูงสุดในอิตาลีส่วนหนึ่ง ทั้งนักฟิสิกส์ นักคณิตศาสตร์ นักดาราศาสตร์ เริ่มลักลอบพบปะกันเพื่อแสดงความกังวลเกี่ยวกับคำสอนที่ไม่ถูกต้องคริสตจักร คนเหล่านี้เกรงว่า การที่คริสตจกัรผูกขาดการเสนอ “ ความจริง ” แต่เพียงฝ่ายเดียว เป็นการคุกคามต่อความรู้แจ้งทางวิชาการทั่วโลก พวกเขาจึงได้ก่อตั้งกลุ่มผู้เชียวชาญทางวิทยาศาสตร์ขึ้นเป็นกลุ่มแรกของโลก และเรียกตนเองว่า “ ผู้รู้แจ้ง ”

แลงดอนเล่าเรื่องนี้ให้โคห์เลอร์ ฟัง เมื่อเขามาถึงศูนย์วิจัยนิวเคลียร์ หรือ เซิร์น ซึ่งตั้งอยู่ ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างทางไปยังสถานที่เกิดเหตุ โคห์เลอร์ได้เล่าเรื่องมากมายให้แลงดอนฟัง ทั้งการคิดค้น “ เวิร์ลด์ ไวด์ เว็บ ” และผลงานต่างๆอีกมากมาย เมื่อถึงที่เกิดเหตุ แลงดอนก็ยิ่งประหลาดใจกับภาพที่เห็นยิ่งกว่าในรูปถ่ายที่ได้รับ และมีบางสิ่งบางอย่างได้ถูกขโมยไปจากศพ นั่นก็คือ ดวงตาของศพนั่นเอง
ต่อมา วิกโตเรีย เวตรา ลูกสาวบุญธรรมของผู้ตายได้มาถึงเซิร์น วิกโตเรียได้ซักถาม

แลงดอนและโคห์เลอร์เกี่ยวกับการตามของพ่อว่าใครเป็นคนทำ ในตอนแรกโคห์เลอร์ไม่ยอมบอกว่าเป็นใคร แต่พูดแกมบังคับให้วิกโตเรียพาทั้งสองไปดูว่า พ่อของหล่อนกำลังทดลองสิ่งใดอยู่ หล่อนพาไปที่ห้องทดลองพร้อมกับบอกว่า พ่อของหล่อนกำลังทดลองเกี่ยวกับ ทฤษฏีบิ๊กแบง พ่อของหล่อนได้สร้าสงสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสสารขึ้นมา เรียกว่า “ ปฏิสสาร ”

ปฏิสสารนี้เอง ทำให้แลงดอนและวิกโตเรียต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมพระคาร์ดินัล ที่เป็นตัวเก็งในการรับตำแหน่งพระสันตะปาปาองค์ต่อไป ทั้งสองคนต้องเดินทางไปทั่วนครรัฐวาติกัน เพื่อไขปริศนาว่าใครเป็นผู้ฆ่าพ่อของวิกโตเรียและพระคาร์ดินัล รวมทั้งการหาปฏิสสารที่ถูกขโมยไปจากห้องทดลอง ก่อนที่มันจะระเบิดทำลายนครรัฐวาติกันให้เป็นผุยผง

“ เทวากับซาตาน ” เป็นหนังสือที่ตอนแรกข้าพเข้าไม่คิดจะอ่าน เพราะเพื่อนแนะนำว่า ใครที่อ่าน “ รหัสลับดาวินชี ” ไม่รู้เรื่อง ก็ไม่ควรอ่าน “ เทวากับซาตาน ” ข้าพเจ้าจึงไม่ได้ซื้อมา เพราะว่ากลัวอ่านไม่รู้เรื่อง แต่ในที่สุดข้าพเจ้าก็ซื้อมาอ่าน และคิดไม่ผิดเลย เพราะเนื้อหาในเล่ม ทั้งเข้มข้นกว่า สนุกกว่า เร้าใจกว่า มีปริศนาลึกลับมากกว่า “ รหัสลับดาวินชี ” อีกทั้งหนังสือเล่มนี้จึงเป็นหนังสือที่ผู้อ่านหนังสือแนวลึกกับและแนวสืบสวนสอบสวน ที่ไม่ควรมองข้าม



ฉัตรแก้ว ธำรง

หลายชีวิต คิดถึงบ้าน


หลายชีวิต คิดถึงบ้าน
ไพวรินทร์ ขาวงาม
2550
สำนักพิมพ์นาครมีเดีย
104 ภาพประกอบ
80 บาท


หลายชีวิต คิดถึงบ้านเป็นผลงานเขียนของ ไพวรินทร์ ขาวงาม หลายคนคงจะเคยมีโอกาสอ่านผลงานการเขียนของนักเขียนมือทองผู้นี้มาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็น เรื่องลำนำวเนจร เรื่องที่ใดมีรัก ที่นั่นมีรัก และเรื่องผมจรรอนแรมจากลุ่มน้ำมูล ฯลฯ แต่ผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้ ไพวรินทร์ ขาวงาม เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง นั่นก็คือ กวีนิพนธ์ม้าก้านกล้วย เป็นบทกวีไทย-อังกฤษ ได้รับการแปลโดย ม.ล.พีระพงศ์ เกษมศรี ซึ่งได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ประจำปี พ.ศ.2538


แม้ว่า หลายชีวิต คิดถึงบ้านได้รับการตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2550 แต่เรื่องนี้กลับถูกเขียนขึ้นและได้รับการเผยแพร่มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ ยุค รุ่งเรือง ปรีชากุล ซึ่งเป็นบันทึกเรื่องราวบางฉากของมหานครในมุมมองของคนชนบท


หนังสือเรื่องหลายชีวิต คิดถึงบ้าน ผู้แต่งเป็นผู้เล่าเรื่องด้วยตนเอง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับผู้คนต่างถิ่นที่มาทำงานไกลบ้านเกิด โดยตัวละครในเรื่องนั้นเป็นคนซึ่งมีชีวิตอยู่จริงและมีโอกาสผ่านเข้ามาสัมผัสกับบางช่วงของชีวิตผู้เขียน ตัวละครในเรื่องมีทั้งหมด 10 คน คือ สรพง โย่ง ดาวละออง ลมหวน มะม่วง โชดึก ลมโชย หนวด เล และจ้อย ทุกคนล้วนเป็นคนต่างจังหวัด ที่เข้ามาตามหาความฝันของตนเองในกรุงเทพเมืองฟ้าอมร แต่ทางเดินชีวิตก็ไม่ได้สวยงามโรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป บางคนต้องพบกับความผิดหวังและพบกับจุดจบของชีวิตคือ ความตาย แต่อีกหลายคนก็สามารถสานฝันของตนเองให้เป็นจริง


ไพวรินทร์ ขาวงาม ใช้ภาษาในการเล่าเรื่องอย่างเรียบง่าย ทำให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจและสัมผัสความรู้สึกของตัวละครได้อย่างลึกซึ้ง มีการนำเสนอบุคลิกของตัวละครที่มีความแตกต่างกันออกไป เนื่องจากแต่ละคนนั้นมาจากถิ่นฐานบ้านเกิดที่แตกต่างกัน มีปูมหลังของชีวิตที่ไม่เหมือนกัน แต่อย่างไรก็ตามเรื่องราวชีวิตของแต่ละคนก็ได้สะท้อนสภาพสังคมได้เป็นอย่างดี และในด้านเนื้อหา ชีวิตของแต่ละคนก็ได้สอดแทรกแง่คิดดีๆที่ผู้อ่านจะนำมาประยุกต์ใช้กับการดำเนินชีวิตประจำวันได้อีกด้วย


ปกของหนังสือเล่มนี้มีการสะท้อนภาพได้อย่างชัดเจน โดยปกหน้าเป็นภาพฝูงนกบินเหนือพื้นน้ำอันกว้างใหญ่ และปกหลังเป็นภาพฝูงนกบินเหนือตึกรามบ้านช่องในเมืองใหญ่ ซึ่งมีการใช้นกเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตคนชนบทในต่างจังหวัด และเดินทางตามหาความฝันของตนเองเข้ามาในเมืองหลวง ด้วยความเชื่อที่ว่าอาจจะทำให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น


หลายชีวิต คิดถึงบ้าน เป็นงานเขียนที่มีท่วงทำนองร้อยแก้วที่สั้นกระชับ อาจกล่าวได้ว่าเป็นความเรียงแห่งชีวิตจริง นอกจากนี้ยัง เป็นหนังสือที่มีการเขียนเล่าเรื่องที่เข้าใจง่าย มีการสอดแทรกข้อคิดให้แก่ผู้อ่าน หลายชีวิต คิดถึงบ้านจึงเป็นหนังสือที่เหมาะสำหรับบุคคลทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเป็นคนชนบทที่ได้ผ่านชีวิตเมืองหลวง ตัวละครตัวเล็กๆหลายชีวิตเหล่านี้อาจเป็นเพื่อนให้คุณได้คิดถึงบ้าน และเมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ควรจะมองย้อนกลับไปที่ตัวคุณเอง เพราะอาจจะทำให้คุณมีกำลังใจในการต่อสู่เพื่อสานฝันของตนเองให้สำเร็จ เพราะฉะนั้นหากใครที่กำลังมองหาหนังสือดีๆสักเล่ม หนังสือเรื่องหลายชีวิต คิดถึงบ้าน ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถหยิบยื่นความสุขให้แก่คุณได้ไม่น้อยเลยทีเดียว


จินตญา

รหัสชีวิต


รหัสชีวิต
ผู้แต่ง : นงค์นาถ ห่านวิไลและมนสิกุล โอวาทเภสัชช์
ปีพิมพ์ : 3/2550
จำนวนหน้า : ปกอ่อน / 211หน้า
ราคา : 195 บาท




หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เคยคิดว่า การปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องยุ่งยาก ทั้งยังต้องลำบากเดินทางไปหาที่สงบอันห่างไกล ไร้ผู้คน และเป็นกิจกรรมที่เหมาะกับคนวัยเกษียณเท่านั้น ความคิดของคุณจะเปลี่ยนไปเมื่อได้พบกับคู่มือที่จะแนะนำการหลอมรวมการปฏิบัติธรรมให้เป็นหนึ่งเดียวกับการใช้ชีวิต จากประสบการณ์ชีวิตของผู้มีชื่อเสียง และประสบความสำเร็จในแวดวงต่างๆ ทั้งนักเขียน นักวิชาการ และนักธุรกิจ ถึง 10 ท่าน


เรื่องราวของชีวิตแต่ละท่านล้วนมีที่มาที่ไปที่แตกต่างกัน จุดเริ่มต้นในการเข้าถึงรสพระธรรมก็ต่างกัน ทั้งยังมีหลักธรรมที่เป็นหลักยึดเหนี่ยวในการดำเนินชีวิตแตกต่างกันอีกด้วย การศึกษาธรรมจากหลายๆบุคคลจะเป็นหนทางให้คุณหันกลับมามองและค้นหาตัวตนที่แท้จริงของตนเอง จะพบว่าคุณเองก็สามารถเข้าถึงแก่นแท้ของธรรมได้ ด้วยวิธีไม่ยากเลย



“รหัสชีวิต” บอกเล่าเรื่องราวของบุคคลผู้มีชื่อเสียง 10 ท่าน ที่ใช้ธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจและสามารถผ่านพ้นปัญหาต่างๆได้ด้วย สติ อันเกิดจากการสั่งสมสมาธิด้วยตัวเองตามแนวทางแห่งพุทธ ได้แก่


ศรัณย์ ไมตรีเวช นักเขียนอิสระ เจ้าของนามปากกา “ดังตฤณ” เป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงหนังสือมีผลงานเป็นที่รู้จักทั่วโลก ส่วนใหญ่เป็นงานเขียนบนแนวทางของพระพุทธศาสนา “ ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ทุกอย่างต้องไหลมาแต่เหตุเสมอ ผลต้องไหลมาแต่เหตุไม่ใช่อยู่ๆเกิดขึ้นลอยๆไม่มีเหตุไม่มีที่ไปทุกอย่างไหลมาแล้วไปสู่จุดจบเพื่อแปรเปลี่ยนไปเป็นสภาพอื่นเสมอ ”


วิกรม กรมดิษฐ์ เจ้าของนิคมอุตสาหกรรมและสนามกอล์ฟ อมตะ ผู้ที่ขลุกอยู่กับการสร้างอาณาจักรธุรกิจทางโลกมากว่าครึ่งชีวิต ส่วนครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่นั้นเขาของแสวงหาความสุขทางใจด้วยธรรม“ ทุกวันนี้เราทุรนทุราย เพราะเราฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม อยากได้อะไรโดยไม่ดูกำลังตัวเอง ”


ฐิตินาถ ณ พัทลุง ผู้หันหลังให้กลับธุรกิจ ทั้งเวิร์คกิ้ง ไดมอนด์ และโรงเรียนแฮปปี้คิดส์ ที่ตนเองสร้างมากับมือ เพราะเธอยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง เปลี่ยนวิถีมาเป็นคนเดินช้า เป็นแม่ของลูก และเป็นผู้บรรยายธรรมให้แก่เพื่อนมนุษย์ “ ความอยากได้อยากมีทำให้แก้วโตขึ้นเรื่อยๆไม่เคยพอ แต่ถ้ามีน้ำครึ่งแก้วแล้วลดขนาดของแก้วจนเหลือเพียงหนึ่งในสี่ น้ำก็จะล้นเกินอีกเท่าตัว ”


พีระศักดิ์ กลิ่นสุนทร เจ้าของบ้านเนื้อที่เกือบ 2 ไร่ ย่านลาดพร้าว ที่ปัจจุบันอยู่ในคราบนักธุรกิจพันล้าน ในฐานะทายาทกลุ่มบริษัทปราณีภัณฑ์ และกรรมการผู้จัดการบริษัทประกอบการอสังหาริมทรัพย์ แต่แก่นแท้ของตัวเขากลับกลายเป็นทายาทนักบุญ “ บางทีเหตุผลก็ไม่สามารถอธิบายได้หมด คนที่อธิบายได้คือตนเอง อยากรู้ต้องศึกษา ต้องปฏิบัติ ต้องอ่าน ต้องเรียน และต้องเข้าถึงด้วยตนเอง ”


เพชรยุพา บูรณ์สิริจรุงรัฐ ประธานกรรมการบริษัท เฌ. เดียมอง จำกัด เจ้าของ ณ เพชรสำนักพิมพ์ และเป็นคอลัมนิสต์ให้กับหนังสือหลายฉบับ ตัดสินใจบวช 7 วัน และปฏิบัติธรรมสืบเนื่องมาโดยตลอด หลังจากตกเป็นทาสของอารมณ์มาทั้งชีวิต “ ทุกวันนี้ใครทำอะไรเราก็คิดว่าเดี๋ยวก็ตายจากกันแล้ว หยุดแค่นั้นเอง บางทีก็คิดว่าเพราะเขาเป็นทุกเขาจึงทำร้ายเรา ”


ภัทริน ซอโสตถิกุล ทายาทเศรษฐี ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รับเหมาก่อสร้าง บริษัทในเครือซีคอน เจ้าของศูนย์การค้าซีคอนสแควร์ และธุรกิจอื่นๆอีกมากมาย เธอยังเป็นทายาททางธรรมที่เจริญรอยตามพ่อแม่ ด้วยอายุไม่ถึง 30 “ ได้คำตอบจากพระพุทธเจ้าที่สอนในเรื่องสันโดษ ซึ่งไม่ใช่ไม่เอาทางโลกเลย แต่จะใช้หลักการนี้คู่กับอิทธิบาท 4 คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ”


ผศ.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาตะวันออก สาขาวิชาบาลี สันสกฤต คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ถอดรหัสธรรมนูญชีวิต ที่ย่อยคัมภีร์อันเป็นหัวใจในพระไตรปิฎกทั้ง 45 เล่ม “ สติคือรากฐานของคุณธรรมทั้งปวง ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมที่ดีที่สุด ที่แท้จริง คือการเจริญสติมีสติอยู่กับตัว ”


อนุรุธ ว่องวานิช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อังกฤษตรางู จำกัด และนายกสมาคมยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ผู้สืบสายเลือดยุวพุทธฯ โดยตรงมาจากพ่อตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งธรรมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต“ ปกติเราเข้าไปอยู่ในอารมณ์เรา แต่วันนี้เราเป็นผู้เห็นอารมณ์ตัวเอง เข้าใจความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้นว่ามันเกิดขึ้นแล้วหายไป ”


ดร.ลักขณา ลีละยุทธโยธิน CEO บริษัท เซเรบอส(ประเทศไทย) จำกัด เจ้าของผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
แบรนด์ ที่นอกจากจะเป็นหญิงเก่งในวงการธุรกิจแล้ว ยังมีหัวใจแกร่งจากธรรมและวิปัสสนาที่เธอปฏิบัติ“ การนั่งวิปัสสนาเหมือนนั่งมองสายน้ำที่ไหลอยู่ ถ้าน้ำขุ่นต่อให้มีปลามากเท่าไหร่ก็มองไม่เห็น แต่ถ้าน้ำใสแล้วมีปลาเพียงสองสามตัวก็มองเห็นได้ชัดเจน ”


พิพัฒน์ ยอดพฤติการ กรรมการผู้จัดการบริษัท ชื่อไทยดอทคอม นอกจากความสนใจในเทคโนโลยีทางด้านไอทีแล้ว ซีอีโอหนุ่มยังสนใจการปฏิบัติธรรมและการศึกษาธรรมอย่างเอาจริงเอาจังด้วย “ อย่าไว้ใจความคิดตัวเอง เพราะความคิดของเรามักเจือปนไปด้วยกิเลสเสมอ ”



ท้ายหนังสือยังแนะนำถึง สถานที่ปฏิบัติธรรม ค่ายพักใจท่องเที่ยวข้างในไม่ไปไม่รู้ ข้อมูลสถานที่สำหรับผู้ที่ต้องการฝึกฝน เจริญวิปัสสนากรรมฐาน และศึกษาพระธรรมในวาระต่างๆ โดยรวบรวมไว้ถึง 26 แห่ง
หากใจคุณยังไหวติง จิตยังเคลื่อนคล้อยตามสิ่งเร้ารอบด้านแล้วละก็ คุณก็เป็นคนหนึ่งที่น่าจะอ่านหนังสือเล่มนี้ หนังสือธรรมแนวใหม่ที่ใช้ภาษาง่ายต่อการทำความเข้าใจ บอกเล่าจากประสบการณ์ชีวิตจริงของผู้ที่เดินเข้าสู่แนวทางแห่งธรรม จากความวุ่นวายทางโลกถอดรหัสสู่ความสงบทางธรรม มุ่งเน้นที่จะสื่อสารให้เห็นว่าการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องที่สามารถปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวันควบคู่ไปกับการทำงาน ไม่จำกัดวัย เพศ และสาขาอาชีพ


ความวุ่นวายแห่งจิตอาจเป็นสิ่งรบเร้าให้ใจเราห่างจากความสงบ ความสุขที่แท้จริงอาจไม่ได้มาจากความสุขด้านวัตถุที่มนุษย์ปฏิเสธความอยากได้อยากมีในชีวิตไม่เคยได้ แต่จะมีสักกี่คนที่เคยพบกับความสุขทางใจ อันเป็นความสุขที่แท้จริงอันควรแสวงหา ที่ดูจะอยู่ไกลออกไปทุกทีๆ จากชีวิตของเรา เมื่อไม่เคยหาแล้วเหตุใดจึงจะพบ ลองเดินตามแนวทางของบุคคลเหล่านี้ ที่คุณเองก็สามารถพบทางสว่างแห่งจิตได้ไม่ไกลเกินเอื้อม





ปิยะนุช กล่อม

พระเจ้าในห้องสมุด



พระเจ้าในห้องสมุด
เซโอะ ไมโกะ เขียน
แปลโดย หนึ่งฤทัย ปราดเปรียว
ปีพิมพ์ 2551
สำนักพิมพ์ JBOOK
143 หน้า กระดาษถนอมสายตา
135 บาท

เมื่อมนุษย์เกิดมาพร้อมกับความรัก แต่ความรักของมนุษย์นั้นไม่เป็นไปอย่างที่หวัง ทั้งจากคนรักและคนรอบข้าง ความเข้าใจซึ่งกันและกัน ถูกผันเปลี่ยนเป็นความเหินห่าง กอปรกับความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ที่ตนไม่ได้ก่อไว้ในทางตรง ความรู้สึกเหล่านี้ต่างเป็นแรงผลักดันให้เกิดความสูญเสียสิ่งที่รักไป แต่ก็ใช่ว่าจะสิ้นไปหมดทุกอย่าง เพราะเมื่อความรักดั่งดอกไม้ที่แท้จริง ค่อยๆเจริญเติบโต อยู่ภายในส่วนลึกของจิตใจ

พระเจ้าในห้องสมุด หนึ่งในผลงานการเขียนโดยชาวญี่ปุ่น เซโอะ ไมโกะ เจ้าของรางวัลนักเขียนหน้าใหม่ โยชิกาวาเอจิ ครั้งที่ 26 แปลโดยหนึ่งฤทัย ปราดเปรียว หนังสือเล่มนี้เป็นนิยายแห่งความรักในชีวิต และความหมายของความฝันที่ชาวญี่ปุ่นยกย่องว่าสนุกรื่นรมย์เหมือน Dead Poet Society

เรื่องเริ่มต้นเมื่อคิโยะ เด็กสาวกัปตันทีมวอลเลย์บอล ผู้ยึดติดกับกฎเกณฑ์ และมุ่งมั่นใส่ใจในการกระทำทุกสิ่งที่จะทำให้เธอไปถึงฝัน แต่แล้ววันหนึ่งเกิดเหตุการณ์พลิกผันในชีวิต ทำให้เธอต้องละทิ้งความฝัน และถอยห่างจากสิ่งที่เธอรัก คิโยะเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต อย่าท้อถอย และปล่อยไปตามกระแสของโลก ของเหตุการณ์ ของพลังความกดดันจากคนรอบข้าง จนเธอตัดสินใจมาเป็นครูในโรงเรียนมัธยมต่างจังหวัด โชคชะตาขีดให้เธอกลายเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาชมรมวรรณศิลป์ ทั้งที่ไม่เต็มใจนัก ทว่าในบรรยากาศของห้องสมุดโรงเรียนมัธยมปลาย นั่นเรียบเรื่อย ทำให้คิโยะกลับค้นพบความหมายของชีวิตอีกครั้ง จากประกายดวงน้อยของคาคิอุจิ สมาชิกหนึ่งเดียวในชมรมวรรณศิลป์เป็นผู้จุดขึ้น

นิยายเรื่องนี้มีเนื้อเรื่องที่อาจตรงใจกับผู้อ่านหลายๆคน เนื่องจากเป็นเรื่องราวของชีวิต ความหวัง ความฝัน และความรักที่มิอาจเปิดเผย ซึ่งล้วนแล้วเป็นสิ่งที่อยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน เพียงแต่อุปสรรคที่เกิดขึ้นอาจแตกต่างกันไป พระเจ้าในห้องสมุดจึงสามารถจุดประกายความคิดกับผู้อ่านได้เป็นอย่างดี มีการแทรกเรื่องราววรรณกรรมญี่ปุ่นรวมเข้ากับเนื้อเรื่อง ทำให้เนื้อเรื่องดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น เพราะจะทำให้ผู้อ่านได้รู้จักวรรณกรรมญี่ปุ่นเรื่องอื่นๆ

ถึงแม้ว่านิยายเรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิต แต่ภาษาและความน่าสนใจของการเขียนกลับไม่ได้น่าเบื่อ ไม่ได้เครียด อีกทั้งยังอ่านได้ต่อเนื่องเข้าใจง่าย ด้วยภาษาที่เรียบง่าย เข้าใจได้ไม่ยาก บางครั้งใช้ภาษากวีญี่ปุ่นผสมไปด้วย ทำให้เรื่องมีความน่าสนใจ ชวนขบคิดถึงความหมายของวลีแต่ละวลีที่แทรกซึมอยู่ในบทสนทนา ดังเช่นวลีตอนต้นของบทประพันธ์เรื่องโจะโจคะ ที่ว่า “การเอ่ยอะไรกับคนที่ตายไปแล้ว ช่างเป็นธรรมเนียมของมนุษย์ที่แสนเศร้าเสียนี่กระไร” ทำให้เห็นสัจธรรมของการกระทำของมนุษย์ บางช่วงมีการใช้คำพูดที่เป็นสัญลักษณ์ ที่แสดงให้เห็นลักษณะนิสัยของตัวละครด้วย

นิยายอ่านง่ายช่วยทำให้จิตใจ แนวคิด และชีวิตละมุนขึ้นในสภาวะปัจจุบัน คำตอบของการกระทำที่แฝงอยู่ในตัวละครมีส่วนช่วยส่งเสริมให้เราได้คิดถึง และหันไปมองการกระทำของเราว่าได้ลืม หรือทำสิ่งใดขาดหายไปหรือไม่ จึงทำให้เรื่องนี้สื่อข้อคิดออกมาได้เป็นอย่างดี ช่วยให้ชีวิตที่ขาดหายอาจเติมเต็มด้วยความอิ่มเอมใจ เหมือนกับคิโยะที่ไม่อาจจะดูแลดอกไม้ไม่ให้เฉาได้ แต่เธอกลับปลูกดอกไม้แห่งความรักความอาลัยที่แท้จริงได้ในภายหลัง หรือมุมมองของทาคุมิ น้องชายของคิโยะที่มีมุมมองแตกต่างจากคนอื่นเช่นเลือกคบผู้หญิงที่ชอบพูดโกหก เพราะถ้าได้ฟังเรื่องโกหกทุกวัน ก็สนุกได้โดยไม่ต้องดูโทรทัศน์หรืออ่านการ์ตูน

นอกจากนี้นิยายเรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความน่ารักต่างวัยของพี่น้อง อาจารย์กับลูกศิษย์ หรือการสานสายใยของคนทำผิดกับผู้ให้อภัย ที่ทำให้ผู้อ่านอ่านแล้วยิ้มได้ทั้งใจและใบหน้า สร้างความอบอุ่นให้หัวใจ ตลอดทั้งเล่ม ซึมซับกับบรรยากาศของฉากที่ใครต่อใครวาดฝันอยากไปอยู่ ทั้งริมทะเล ติดภูเขา หรือกลิ่นหอมของอาหารและขนมที่ถูกเขียนขึ้นอย่างน่าทาน ทำให้เรื่องนี้ไม่ใช่ได้แต่รสคำ แต่ได้ทั้งรสใจ รสกายและรสฝันอีกด้วย

ดังนั้นหากที่อยากจะเปิดความฝันเปิดความคิด เปิดชีวิตให้ดำเนินไปอย่างมีความหมาย พระเจ้าในห้องสมุดเล่มนี้จะคอยเปิดใจให้ผู้อ่านให้รู้จักกับความหมายของชีวิต และความรักเหล่านั้นมากขึ้น เพราะชีวิตไม่ได้มีเพียงแค่ตัวเรากับความฝัน ตัวเรากับกฎเกณฑ์ แต่เป็นตัวเรากับสายสัมพันธ์หลากหลายสาย แล้วผู้อ่านจะรู้จักใจตัวเอง ตอบคำถามในใจของตัวเองได้ว่า จะรอถึงเมื่อไหร่เราถึงจะได้รับรู้ถึงความรักและชีวิตที่แท้จริงนั่นเสียที

สิทธิชัย

ขุมทองแห่งการสร้างสรรค์ของลูก

ขุมทองแห่งการสร้างสรรค์ของลูก
มานพ ถนอมศรี
พิมพ์ครั้งที่ 2
สำนักพิมพ์ต้นอ้อ
95 หน้า ภาพประกอบ
28 บาท

“เรียนรู้ลูก เพื่อเสริมให้เป็นเด็กฉลาด” เป็นประโยคหลักอันเด่นชัดของหนังสือเล่มบางๆเล่มนี้ หลังจากได้เพ่งพิศทั้งหน้าปกและเปิดดูเนื้อหาข้างในคร่าวๆแล้ว ฉันคิดว่าคงเป็นหนังสือเกี่ยวกับข้อแนะนำการเลี้ยงดูลูกเหมือนกับหนังสือสำหรับผู้เป็นแม่ทั่วไป ด้วยความที่ว่าเสร็จสิ้นจากการทำงานอันแสนเหน็ดเหนื่อย ฉันจึงลองพักผ่อนด้วยการอ่านหนังสือเกี่ยวกับเด็กดูบ้าง คงจะผ่อนคลายไม่น้อย

“ขุมทองแห่งการสร้างสรรค์ของลูก” เป็นหนังสือเล่มบางพร้อมกับหน้าปกที่มีรูปประกอบสีสันสดใส ทำให้ฉันรู้สึกชื่นบานขึ้น เปิดอ่านข้างในก็พบกับตัวหนังสืออ่านสบายและรูปประกอบน่ารักตลอดทั้งเล่ม ฉันรู้สึกสนใจหนังสือเล่มนี้มากขึ้นจึงตั้งใจอ่านตั้งแต่ต้น

หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเลี้ยงดูเด็กจริงๆ เพียงแต่กลวิธีการนำเสนอนั้นทำให้ฉันรู้สึกประทับใจมากกว่าเดิม ผู้เขียนขึ้นต้นเรื่องทั้งหมดว่า “คุณแม่มีความรู้สึกหนักใจมากเมื่อเห็นลูกชายของเธอซึ่งเรียนอยู่ชั้นอนุบาลหนึ่ง ไม่ชอบอ่านหนังสือหรือทำการบ้านที่ครูให้มา” พออ่านจบฉันก็นึกสงสัยขึ้นมาว่า หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งหรืออย่างไรกันนะ อีกทั้งยังแบ่งเรื่องราวทั้งหมดเป็นตอนๆ ด้วยความสงสัย ฉันใช้เวลาเพียง20นาทีในการซึมซับเรื่องราวของครอบครัวนี้

เนื้อเรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับครอบครัวหนึ่ง มีพ่อ แม่ และลูกชายวัย 4 ขวบ ชื่อ “น้องต้น” น้องต้นเป็นเด็กที่มีลักษณะพิเศษต่างจากเด็กคนอื่นๆทั่วไป น้องต้นชื่นชอบการวาดภาพและศิลปะ แต่ไม่ยอมทำการบ้านและตั้งใจเรียน คุณแม่ที่มีนิสัยขี้บ่นระคนตื่นตระหนก ด้วยความรักลูกมากจึงกังวลใจกับปัญหาที่น้องต้นไม่เรียนหนังสือแต่กลับเอาแต่วาดรูป ร้องเพลงเป็นอย่างมาก ส่วนด้านคุณพ่อผู้แสนใจเย็นและอ่อนโยน กลับเข้าใจและไม่รู้สึกว้าวุ่นใจในการกระทำของลูกชายตัวน้อยซักเพียงนิด คุณแม่จะคอยบ่นถึงการกระทำต่างๆที่ตนมองว่าเป็นปัญหาอยู่ตลอดเวลา และคุณพ่อจะคอยอธิบายธรรมชาติของเด็กและการกระทำของลูกอย่างใจเย็น จนสุดท้ายทั้งคุณแม่และคุณพ่อก็มีความสุขกับการเรียนรู้และสนับสนุนความคิดสร้างสรรค์ของลูกที่มีอย่างเต็มเปี่ยม

จุดมุ่งหมายในการแต่งและข้อคิดดีๆว่าด้วยการเลี้ยงดูลูก เรียนรู้ลูก และเข้าใจธรรมชาติของลูกนั้น สอดแทรกอยู่ในเรื่องราวของครอบครัวที่น่ารักนี้ ประหนึ่งเป็นเรื่องสั้นที่ชวนเพลิดเพลินเรื่องหนึ่ง ซึ่งฉันเองได้รับความอิ่มเอมใจและสดชื่นขึ้นเมื่ออ่านจนถึงบทสรุป ทั้งยังรู้สึกเอ็นดูเด็กมากขึ้นมาทีเดียว ผู้แต่งใช้ภาษาที่เรียบง่าย ร้อยเรียงสิ่งที่ต้องการจะสื่อเป็นเรื่องราวได้อย่างลงตัว ทำให้ไม่รู้สึกตึงเครียดเหมือนอ่านหนังสือวิชาการทั่วไป ในเนื้อเรื่องทั้งเรื่องจะเน้นเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก และเน้นในด้านศิลปะอันสวยงามที่หล่อหลอมและพัฒนาเด็กอย่างสมบูรณ์ ผู้เขียนเพียงอยากให้พ่อแม่ที่มีลูกในวัยที่กำลังมีการพัฒนาสมองนั้นอย่าปิดกั้นความคิดเด็ก และตีกรอบความคิดของเด็กมากเกินไป เพราะในวัยนี้เด็กจะแสดงออกถึงความชอบ และความคิดได้อย่างอิสรเสรี พ่อแม่ด้วยความรักลูกมากก็จะคอยประคบประหงมลูกมากเกินไป จนบางครั้งความรักนี้อาจทำลายลูกของตนอย่างไม่รู้ตัว ผู้แต่งมองเห็นถึง ธรรมชาติของเด็ก เข้าใจความรู้สึกของเด็กอย่างลึกซึ้ง และตระหนักถึงปัญหาอันบอบบางนี้ ฉันเองรู้สึกสะเทือนใจต่อเด็กและรู้สึกรับรู้ถึงข้อความที่ผู้แต่งสื่อออกมาอย่างเปี่ยมล้น ด้วยความสนใจในความพิเศษของหนังสือเรื่องนี้ และประทับใจในความคิดของผู้แต่ง ฉันจึงพลิกหนังสือมองหาชื่อผู้แต่งอย่างตื่นเต้น

“มานพ ถนอมศรี” หรือ อาจารย์ มานพ ถนอมศรี หลายคนคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าไม่รู้จักท่าน ท่านเป็นนักเขียนมืออาชีพที่สร้างสรรค์ผลงานไว้มากมาย อีกทั้งยังหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นทั้งเรื่องสั้น นวนิยาย สารคดี เรื่องสำหรับเด็ก วรรณกรรมเยาวชน บทความศิลปะ ท่านกล่าวไว้ว่า “มีอันเดียวที่ไม่เขียน คือ กลอน” ด้วยความที่ท่านเป็นนักเขียนที่เขียนหนังสือหลายรูปแบบมาก และทำได้ดีในทั้งหมด รางวัลที่การันตีผลงานของท่านนั้นมีไม่น้อยเลย ไม่ว่าจะเป็น ผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรม สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี 2539 จากสำนักงานวัฒนธรรมแห่งชาติ ได้รับรางวัลเรื่องสั้นดีเด่น ว. ณ ประมวลมารค ได้รับรางวัลจากการประกวดหนังสือของคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ประเภทหนังสือสารคดี และหนังสือสำหรับเด็กอีกหลายปี รวม 8 รางวัล อีกทั้ง ท่านยังได้รับเชิญให้เป็นอาจารย์พิเศษและวิทยากรของกระทรวงศึกษาธิการ และมหาวิทยาลัยต่างๆอีกด้วย ปัจจุบันนี้ อาจารย์มานพ ทำอาชีพเขียนหนังสือและเป็นนักบรรณาธิการหนังสือ

แม้ว่าหนังสือเล่มนี้ จะเป็นแค่หนังสือเล่มบางๆที่มองผิวเผินแล้วอาจเป็นเพียงหนังสือสำหรับผู้เป็นแม่ธรรมดาเล่มหนึ่ง แต่ฉันผู้ซึ่งยังไม่มีโอกาสสัมผัสความเป็นแม่ หรือการมีเด็กน้อยเป็นของตนมาก่อนนั้น เมื่อได้อ่านแล้วยังตระหนักได้ถึงเพียงนี้ แล้วคุณแม่คนอื่นๆล่ะ พร้อมที่จะให้ลูกของท่านเติบโตมาเป็นเด็กฉลาดด้วยความรักความเข้าใจอันแท้จริงหรือเปล่า

ฉันอยากให้หนังสือเล่มนี้อยู่ในมือของผู้ที่กำลังเป็นแม่ หรือ ผู้ที่กำลังจะเป็นแม่ทุกท่าน ฉันมั่นใจในสาระดีๆและผลสำเร็จที่จะบังเกิดกับทุกครอบครัว และอยากจะแสดงความยินดีกับเด็กน้อยทุกคนที่ได้รับการเอาใจใส่และโอบอุ้มด้วยความรักอย่างมีเหตุผล โตขึ้นมาฉลาดเฉลียว สดใสร่าเริง เต็มไปด้วยจิตนาการอันมีศิลปะ จากแนวคิดของหนังสือเล่มนี้ …“ขุมทองแห่งการสร้างสรรค์ลูก” ไว้ ณ ที่นี้ด้วย

กชพรรณ

วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2551

สไปรัล พันธุ์อาถรรพ์



สไปรัล พันธุ์อาถรรพ์
ซุสุกิ โคจิ
ผู้แปล:น้ำทิพย์ เมธเศรษฐ
พิมพ์ครั้งที่ 3
สำนักพิมพ์อิมเมจ
326 หน้า
190 บาท






สไปรัล พันธุ์อาถรรพ์ หรือ ราเซ็น นวนิยายแนวสยองขวัญภาคสองของ ริง คำสาปมรณะ ผลงานจากนักเขียนชื่อดังซุสุกิ โคจิ ผู้ที่มีผลงานการเขียนมากมาย ชีวิตการเป็นนักเขียนของเขาเริ่มรุ่งโรจน์เมื่อ ระคุเอ็น (สรวงสวรรค์) นิยายเรื่องแรกที่ได้รับการตีพิมพ์ของเขาเปิดตัวได้อย่างงดงามและเรื่องต่อมาที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขาก็คือ นิยายสยองขวัญ ริง คำสาปมรณะจนกระทั่งภาคสองของ ริงคำสาปมรณะ นั่นก็คือ สไปรัล พันธุ์อาถรรพ์ทำให้เขาได้รับรางวัลนักเขียนหน้าใหม่โยชิกาวา เออิจิครั้งที่ 17 และสร้างปรากฏการณ์สร้างยอดขายพิมพ์ซ้ำถึง 15 ครั้งภายใน 8 เดือน สร้างกระแสนิยมใหม่ในวงการวรรณกรรมญี่ปุ่นที่มีสำนวนภาษาที่เป็นเอกลักษณ์ และความสนใจเฉพาะด้านโดยเฉพาะปรัชญาวิทยาศาสตร์ ทำให้ซุสุกิ โคจิ เป็นนักเขียนที่มีคุณภาพคนหนึ่ง


เปิดฉากต่อจากเรื่อง ริง คำสาปมรณะ ด้วยการชันสูตรศพทาคายามะ ริวจิ มิตรแท้ผู้ช่วยอาซาคาวาค้นหาวิธีแก้เคล็ดคำสาปจนตัวเองต้องสิ้นชีวิต นายแพทย์นิติเวชนามอันโด หลังจากที่เขาได้สูญเสียลูกชายและเลิกรากับภรรยา เขาเป็นคนแรกที่พบเนื้อเยื่อประหลาดในตัวริวจิ และเห็นกระดาษหนังสือพิมพ์ซึ่งมีตัวเลขโผล่ออกมาจากศพ ตัวเลขเหล่านั้นเมื่อนำมาเรียงถอดรหัส จะได้คำว่า RING อันโดติดตามปริศนานี้จนได้พบกับทาคาโนะ ไม แฟนสาวของริวจิ เธอเป็นเครื่องมือของการกำเนิดเรื่องราวที่นำไปสู่การเกิดใหม่ของสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว นั่นก็คือ การฟื้นคืนชีพซึ่งมาจาก คำสาปที่ซับซ้อนเหนือความคาดหมาย จากการวางแผนอันแยบยลของทาคายามะ ริวจิ ผู้ซึ่งทิ้งปริศนา RINGให้แก่อันโดนั่นเอง และมีปลายทางเดียวที่อันโดต้องเผชิญนั่นกันคือความตาย หากเขาไม่สามารถคลี่คลายปัญหาได้ เขาจึงทำทุกวิถีทางเพื่อไขปมปริศนาซึ่งทำให้เขาต้องเลือกระหว่างความถูกต้องกับชีวิตใหม่ของลูกชาย


สไปรัล พันธุ์อาถรรพ์ แม้จะเป็นนิยายสยองขวัญลึกลับแต่ก็ยังมีกลิ่นอายของนิยายวิทยาศาสตร์เพิ่มเติมมาด้วย ทำให้เรื่องที่น่าเหลือเชื่อกลายเป็นเรื่องที่น่าเชื่อถือ จึงทำให้ผู้อ่านเกิดความคิด จินตนาการและยอมรับความสมจริงที่มีความสมบูรณ์ไร้ที่ติ จนต้องยอมรับว่าเป็นการ “โกหกที่สมบูรณ์แบบ”เนื่องจากมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เข้ามาผูกเรื่องอย่างละเอียดแน่นหนา จึงทำให้ต้องกลับมาอ่านหลายครั้งเพราะมีเนื้อหาที่ค่อนข้างซับซ้อนและเต็มเปี่ยมไปด้วยปมปริศนามากมาย รวมทั้งมีการผูกเงื่อนงำได้อย่างเหนือชั้นพลิกความคาดหมายชวนให้คิดอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่บรรทัดแรกจวบจนถึงบรรทัดสุดท้าย


ภายในหนังสือมีการแบ่งเนื้อหาออกเป็นบท เริ่มจากบทนำ ผ่าชันสูตร สาบสูญ ถอดรหัส วิวัฒนาการ ลางร้ายและบทส่งท้าย ปกของหนังสือมีภาพประกอบเป็นผู้หญิงผมยาว ลักษณะน่ากลัวทำให้ทราบได้ว่าต้องเป็นนิยายแนวสยองขวัญแน่นอน และยังมีข้อความต่างๆที่บอกถึงชื่อเรื่อง ผู้เขียน ผู้แปลและคุณสมบัติความสยองขวัญของหนังสือเล่มนี้ที่เป็นเครื่องการันตีคุณภาพชั้นดีอีกด้วย

นวนิยายเรื่องนี้นอกจากจะให้ความระทึก ตื่นเต้น และความสนุกสนานแล้วยังให้ข้อคิดสอดแทรก ในแง่เนื้อแท้ของมนุษย์ที่ยังมีรัก โลภ โกรธ หลง สิ่งเหล่านี้นำมาซึ่งความหายนะสู่ตนเองและผู้อื่น จากเรื่องที่ต้นตอของทุกสิ่งทุกอย่างมาจากความโกรธแค้นจนนำไปสู่ความอาฆาตพยาบาทที่น่าสะพรึงกลัว หากในโลกของความเป็นจริงก็เปรียบเสมือนกับคนที่มีความอาฆาตพยาบาทในเพื่อนมนุษย์ด้วยกันจนนำไปสู่การปองร้าย เข่นฆ่า ดังเช่นที่เกิดขึ้นในสังคมทุกวันนี้ซึ่งเป็นสิ่งที่โหดร้ายทารุณมากสำหรับการที่มนุษย์ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสริฐเข่นฆ่ากันเอง หนังสือเล่มนี้จึงเปรียบเสมือนกับตัวแทนของมนุษย์ที่ยังกระทำสิ่งที่โหดร้ายเช่นนี้อยู่ในสังคมปัจจุบัน

กล่าวได้ว่าสไปรัล พันธุ์อาถรรพ์ ได้กลายมาเป็นหนังสือแนวสยองขวัญพันธุ์ใหม่ของคนยุคนี้ เพราะได้เพิ่มบทบาทจากหนังสือแนวสยองขวัญทั่วไปทำให้ผู้อ่านเกิดอรรถรสมากขึ้นจึงไม่น่าแปลกใจที่นิยายลึกลับสยองขวัญ รางวัลโยชิคาวา เออิจิ ภาคต่อของ ริง คำสาปมรณะ จะสามารถสั่นสะเทือนอาณาจักรแห่งความกลัวด้วยยอดขายกว่า 3,000,000 เล่ม และเป็นภาคต่อที่ทำให้ภาคแรกคือ ริง คำสาปมรณะ โด่งดังและมียอดขายถล่มทลายอย่างเป็นปรากฏการณ์ และนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ จนทำให้เกิดกระแส “ซุสุกิ เฮอร์เรอ” ทั่วเอเชีย ด้วยความแปลกใหม่และมีลีลาการแต่งที่ไม่ซ้ำแบบใคร สไปรัล พันธุ์อาถรรพ์ จึงเป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ผู้รักการอ่านหนังสือไม่ควรพลาด




บายศรี

นกสีฟ้า (THE CHILDREN'S BLUE BIRD)


นกสีฟ้า (THE CHILDREN’S BLUE BIRD)
มาดาม โมริซ เมเตอร์ลิงก์ เขียน
น้ำค้าง แปลและเรียบเรียง
พิมพ์ครั้งแรก : 2549
สำนักพิมพ์เรือนปัญญา
252 หน้า ภาพประกอบ
195 บาท




“ไม่มีอะไรเริ่มต้น ไม่มีอะไรสูญสิ้นไป จะมีก็แต่เพียงความเปลี่ยนแปลง เราต่างเป็นนักเดินทาง ความสุขของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับการบรรลุจุดมุ่งหมาย หากแต่เกิดขึ้นได้ตลอดเส้นทาง เมื่อเรารู้จักให้ เราก็จะมีความสุข...” ข้อความตอนหนึ่งจากวรรณกรรมเยาวชนเรื่อง นกสีฟ้า


เรื่อง THE CHILDREN’S BLUE BIRD หรือฉบับภาษาไทยคือ นกสีฟ้า นี้ ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในรูปแบบของบทละครภาษาฝรั่งเศสชื่อ L’OISEAU BLEU แต่งโดย เคานต์ โมริซ เมเตอร์ลิงก์ ผู้ได้รับฉายาว่าเช็กสเปียร์แห่งเบลเยียม และได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ในปี พ.ศ. 2454 ต่อมา มาดาม โมริซ เมเตอร์ลิงก์ (จอร์เจ็ต เลบลอง) ได้ดัดแปลงบทละครนกสีฟ้าให้เป็นวรรณกรรมสำหรับเด็ก


งานเขียนเล่มนี้มีรูปแบบแฟนตาซี ซึ่งผู้เขียนนำเราไปสู่ดินแดนเหนือจริง มีเวทมนตร์ที่บันดาลให้สิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบกาย ไม่ว่าจะเป็น แมว หมา ขนมปัง ไฟ น้ำ น้ำนม น้ำตาล กลายร่างเป็นมนุษย์ แม้หมาจะมีลักษณะนิสัยและหน้าตาของหมา แมวจะมีลักษณะนิสัยและหน้าตาของแมว แต่พวกมันโตขึ้น สามารถเดินสองขาและพูดได้ วรรณกรรมเรื่องนี้จึงเปี่ยมไปด้วยความสนุกสนานจากการผจญภัยในดินแดนแห่งจินตนาการของสองตัวละครเด็กผู้กล้าหาญ


ทิลทิลและมิททิลสองพี่น้องอาศัยอยู่ที่กระท่อมเก่าๆ กับพ่อและแม่ “มันดูโกโรโกโสเข้าไปใหญ่เมื่อตั้งอยู่ท่ามกลางคฤหาสน์งามโอ่อ่า ซึ่งมีเด็ก ๆ ผู้ร่ำรวยอาศัยอยู่” แต่เด็กทั้งสองไม่เคยอิจฉาเด็ก ๆ เหล่านั้น แม้ตนจะไม่เคยมีวันฉลองคริสมาสต์เลยก็ตาม และด้วยหัวใจอันเปี่ยมด้วยความรัก ความโอบอ้อมอารีของเด็กทั้งสอง นางฟ้าเบรีลูนผู้ใจดีจึงมอบหมวกใบเล็กประดับเพชรกายสิทธิ์แก่ทิลทิล ซึ่งเพชรกายสิทธิ์มีพลังทำให้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวนั้นมีชีวิตขึ้นมา “ทันทีที่เด็กชายสวมหมวกลงบนหัว มนตราแห่งความเปลี่ยนแปลงก็เข้าครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง” จากนั้นการเดินทางตามหานกสีฟ้าแห่งความสุขจึงเริ่มต้นขึ้นพร้อมกับความตื่นเต้นและหัวใจอันเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นของเด็กๆ ทิลทิลเที่ยวตามหานกสีฟ้าไปทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นปราสาทเทพธิดา ดินแดนแห่งความทรงจำ ปราสาทราตรี อาณาจักรแห่งอนาคต วิหารแสงสว่าง สุสาน และในป่า ซึ่งทุกสถานที่ล้วนมีอุปสรรคเพื่อเป็นการทดสอบความกล้าหาญ และความอดทนของทิลทิล


นกสีฟ้า เป็นงานเขียนเชิงสัญลักษณ์ที่ผู้เขียนนำเราไปสู่คำถามและคำตอบของชีวิต โดยไม่รู้ตัวว่าเราได้กลายเป็นนักฝันและนักคิดในเวลาเดียวกัน นกสีฟ้าเป็นตัวแทนแห่งความสุข ในเรื่องจะมีทั้งนกสีฟ้าจริงและนกสีฟ้าปลอม เหมือนกับในชีวิตจริงของคนเราที่มักจะไขว้เขว หลงผิดไปกับวิถีในการแสวงหาความสุขจอมปลอม และยังมีสิ่งแวดล้อมที่คอยบิดเบือนสายตาของเราอยู่มากมาย


จากท่วงทำนองการเขียนที่ได้สร้างบรรยากาศของโลกแห่งความฝันขึ้นพร้อมๆ กับจินตนาการผ่านรูปวาด ประกอบกับคำพูดของตัวละครที่ถูกถ่ายทอดออกมาด้วยวิธีการอันเรียบง่าย ชัดเจน ทำให้งานเขียนเล่มนี้เรียกได้ว่าเป็น ‘เสียงดนตรีแห่งถ้อยคำ สีสันอันเจิดจ้าห้าวหาญ และความรื่นรมย์อันบริสุทธิ์ของชีวิต’
นอกจากนี้ความงามทางวรรณศิลป์ที่มาพร้อมกับข้อคิดเตือนใจ ทำให้ผู้อ่านซาบซึ้งได้กับทุกๆ ตอนในเรื่อง ดังคำพูดของแสงสว่างตอนหนึ่งว่า “อย่าร้องไห้เลยหนูน้อยที่รัก...เราไม่มีเสียงเหมือนสายน้ำ มีแต่ความสว่างไสวซึ่งมนุษย์ไม่อาจเข้าใจ...แต่เราคอยระวังภัยให้พวกเจ้าเสมอตราบจนวันสุดท้ายของชีวิต... อย่าลืมว่าเรากำลังพูดกับเจ้าอยู่ในแสงจันทร์ที่ส่องฉาย ในแสงกะพริบของดวงดาว ในแสงอรุณรุ่งของทุกวัน ในตะเกียงทุกดวงที่มีคนจุด และในทุกความคิดอันดีงามใสสว่างในจิตใจของพวกเจ้า...”


นกสีฟ้าจะเปิดมุมมองแห่งจินตนาการที่สวยงาม เปิดโลกของความคิดในแง่บวก และจะเป็นคำตอบให้กับทุกคนที่กำลังท้อแท้สิ้นหวัง เรื่องราวมหัศจรรย์ ณ ดินแดนแห่งความฝันจะทำให้เรามองโลกในมุมที่สวยขึ้น เพราะโลกสมมุติที่เกิดจากจินตนาการอันไร้ขอบเขตนั้นไม่มีถูกหรือผิด มีเพียงดินแดนแห่งความทรงจำในจิตใจ ขอเพียงเราได้ค้นหาความสุขเล็ก ๆ ใกล้ตัวให้เจอ เพื่อรับรู้และสัมผัสกับ ‘นกสีฟ้า’ แห่งความสุขได้อย่างแท้จริง ดังคำที่แสงสว่างบอกไว้ว่า “เราอยู่ใกล้ความสุขไปทุกขณะ”


ความสุขภายในเป็นสิ่งที่สามารถพบได้ในทุกอณูแห่งชีวิต เวลาใดที่ตั้งใจจะหาความสุข เมื่อนั้นเราจะไม่พบความสุข แต่เมื่อใดที่เราใช้ชีวิตอย่างตระหนักในความสุข เมื่อนั้นความสุขก็จะอบอวลอยู่รอบกาย มนุษย์เราล้วนใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งสัญลักษณ์ สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าเราจะทำอย่างไรกับ ‘นกสีฟ้า’ ที่พบเห็นตามรายทางของชีวิต หาคำตอบได้ในวรรณกรรมเยาวชนเรื่อง นกสีฟ้า แล้วคุณจะรู้ว่าความลับของชีวิตที่เปี่ยมด้วยความสุขนั้น อยู่ใกล้แค่เอื้อม...




นิชา

ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน (The Alchemist)


ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน (The Alchemist)
ผู้แปล : ชัยวัฒน์ สถาอานันท์
ครั้งที่พิมพ์ : พิมพ์ครั้งที่ ๒
สำนักพิมพ์ : โครงการจัดพิมพ์คบไฟ
จำนวนหน้า : ๑๖๐ หน้า
ราคา : ๑๑๐

“ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน” เป็นหนังสือสัญชาติสเปน ถูกแต่งขึ้นเมื่อ ๒๐ กว่าปีก่อน โดยนักเขียนชาวบราซิล ผู้ซึ่งเคยถูกกล่าวหาว่าเป็นคนบ้า เปลโล โคเอลโย เรื่องราวชีวิตของนักเขียนคนนี้ล้วนเต็มไปด้วยความหลากหลายที่ทำให้แนวความคิดของเขานั้นถูกผสมผสานจนก่อให้เกิดการหล่อหลอมกลายเป็นผลงานที่มีคุณภาพและเปี่ยมล้นไปด้วยคุณค่า เรื่องราวที่โคเอลโย นำเสนอผ่านงานเขียนของเขาในแต่ละเล่มนั้น มักข้ามสู่มิติที่นักเขียนทั่วไปแทบไม่เคยพูดถึง ทุกครั้งที่ได้อ่านงานเขียนของเขาเปรียบเสมือนเป็นการเสพอารมณ์ศักดิ์สิทธิ์ประหลาด จนทำให้นึกชอบและคิดว่านักเขียนผู้นี้แท้จริงเขาไม่ใช่นักเขียน แต่เขาน่าจะเป็น “ครูทางจิตวิญญาณ” ที่แฝงมาในรูปแบบนักเขียนมากกว่า

“ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน” ถูกนำเข้ามาในประเทศไทยโดยโครงการคบไฟ ซึ่งเป็นโครงการที่จัดขึ้นเพื่อพิมพ์เผยแพร่หนังสือวิชาการทั้งในและนอกประเทศ รวมทั้งวรรณกรรมชั้นดีจากต่างประเทศอีกด้วย หนังสือเล่มนี้แปลโดย ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ผู้ที่มีตำแหน่งกรรมการและคณะทำงานคนสำคัญของโครงการคบไฟ มีผลงานการเขียนบทความและงานทางวิชาการมากมาย อีกทั้งยังได้รับรางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติสาขารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ ความสามารถและเกียริติคุณของผู้แปลคนนี้น่าจะเป็นเครื่องการันตีถึงคุณภาพการคัดเลือกงานมาแปลได้เป็นอย่างดี จึงไม่น่าสงสัยถ้าหากหนังสือเล่มนี้จะเป็นเล่มที่น่าอ่านให้ชีวิตของคุณได้ลองฟังดูสักครั้ง

“ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน” เป็นเรื่องราวการเดินทางออกค้นหาขุมทรัพย์ของเด็กหนุ่มผู้มีชื่อว่า ซานติเอโก เด็กหนุ่มผู้นี้รักการอ่านและการเดินทางเพื่อแสวงหาสิ่งใหม่ ๆ ให้กับชีวิต ด้วยเหตุผลนี้เขาจึงทำอาชีพเลี้ยงแกะ แต่แล้วก็ได้เกิดปมปัญหาให้กับชีวิตของเขา เมื่อเด็กหนุ่มเกิดมีความฝันประหลาดติดต่อกันถึงสองครั้ง เขาเป็นกังวลกับภาพความฝันที่เขาได้พบ เขาจึงได้นำความฝันไปให้หญิงแก่ผู้ทำอาชีพทำนายฝันแปล เธอบอกกับเขาว่าเขามีขุมทรัพย์อยู่ที่ปิรามิด และเขาก็ควรออกไปค้นหาขุมทรัพย์ของเขา เด็กหนุ่มเป็นกังวล เพราะเขารู้ว่าการเดินทางไปปิรามิดนั้นมันแสนยากลำบาก จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้พบกับราชาผู้ซึ่งปลอมตัวเป็นชายชรามาพบกับเขา เพื่อมอบความเชื่อมั่นและทำให้เขากล้าที่จะออกเดินทางไปค้นหาขุมทรัพย์

ในการเดินทางเพื่อไปให้ถึงปิรามิดของเด็กหนุ่มนั้นล้วนเต็มไปด้วยอุปสรรคและการทดสอบมากมาย แต่ด้วยความเชื่อมั่นที่เขาได้รับมาจากชายชราผู้นั้น ได้ทำให้เขายังคงมั่นคงต่อการเดินไปให้ถึงปลายฝัน และระหว่างการเดินทางเด็กหนุ่มได้หัดเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิตและไม่ลืมที่จะหันกลับไปเรียนรู้กับสิ่งเก่า ๆ ที่เคยผ่านพบมาเช่นกัน แต่แล้วเขาก็ต้องสะดุดเมื่อเขาได้พบกับฟาตีมา หญิงสาวผู้มีนัยน์ตาคมสีดำ ณ ดินแดนกลางทะเลทรายระหว่างทางที่จะไปยังปิรามิด เขาคิดว่าเธอคือขุมทรัพย์อันเลอค่าของเขา แต่เธอก็ยังไม่ใช่ขุมทรัพย์ที่เขาออกค้นหามาตั้งแต่แรก เขาจึงต้องยอมข่มใจทิ้งขุมทรัพย์นี้ไว้ และออกเดินทางค้นหาขุมทรัพย์ที่แท้จริงต่อไป

การเดินทางของเขาในช่วงปลายทางนี้ เขาได้พบกับนักแปรธาตุผู้ที่ช่วยให้เขารู้จักฟังหัวใจตัวเอง รู้จักนำทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเขามาผันแปรเปลี่ยนเป็นพลังให้เขามีแรงในการเดินทางต่อไป แม้ว่าจะต้องเจอกับอุปสรรคที่ยากเข็ญสักเพียงใดก็ตาม และแล้วเขาก็สามารถเดินทางไปจนถึงสุดปลายทางของความฝันและค้นพบขุมทรัพย์ของเขาได้สำเร็จ

ขุมทรัพย์ของเขามีอยู่จริง มีอยู่ ณ ที่ที่เขาเคยเห็นในความฝัน สุดท้าย เขาได้ครอบครองขุมทรัพย์ของเขาและเขาก็กำลังจะกลับไปหาขุมทรัพย์อันเลอค่าของเขาที่เขาได้จากมา

การบรรยายเหตุการณ์และเรื่องราวต่าง ๆ ภายในเรื่องที่เด็กหนุ่มต้องเผชิญ ล้วนเป็นสิ่งที่ตรงกับหลักการ “การเรียนรู้ ที่จะเข้าใจชีวิตอย่างไม่มีเงื่อนไข” ซึ่งเป็นการการฟังเสียงภายในของตนเองว่าต้องการอะไร เราก็จะค่อย ๆ เรียนรู้และค้นพบว่าเราสามารถที่จะไว้ใจเสียงที่ได้ยินเหล่านั้นได้ หลักการความคิดเช่นนี้ตรงกับเรื่องของ “ญาณทัศนะ” ซึ่งเป็นการฝึกการใช้สมองชั้นที่สี่ และถือได้ว่ากระบวนการเรียนรู้นี้เป็น “วิธีการสร้างคน” ที่เริ่มจากการสร้างความมั่นคงภายในก่อน

จากการสังเกตการออกเดินทางค้นหาขุมทรัพย์ของตัวละครเอกของเรื่องในทุก ๆ ครั้งจะมีคนคอยคุ้มครองและให้คำแนะนำให้เขาก้าวไปได้ในทิศทางที่ควรจะเป็นไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเป็นการเรียนรู้ ส่วนความไม่พอเหมาะหรือขัดสนบางประการนั้นไม่ใช่ความผิดพลาด หากแต่เป็นสัญญาณหรือลางที่บอกอะไรบางอย่างให้กับชีวิต ตัวเอกของเรื่องจึงสามารถเดินทางไปจนถึงปลายทางแห่งความฝันและได้ค้นพบกับขุมทรัพย์ของตนเองได้สำเร็จ

“ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน” หากมองลงไปให้ลึกและเข้าใจในความเป็นมาและเป็นไปของตัวละครแต่ละตัว เราสามารถรับรู้ได้ว่าแท้จริงแล้วเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ล้วนเป็นเรื่องราวที่มีเค้าความเป็นจริงในชีวิตและตัวตนของผู้เขียนเอง เพราะผู้เขียนก็เคยฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อไปให้ถึงความฝันด้วยพลังอันกล้าแกร่งภายในจิตใจ และเรื่องราวและเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่สอดแทรกอยู่ตลอดทั้งเรื่องนั้น ก็ล้วนเป็นความจริงของสิ่งที่มีและเป็นอยู่ในชีวิตของมนุษย์ทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์ผู้ที่มีความฝัน แต่มนุษย์ทุกคนต่างก็มีแนวทางและจุดจบของความฝันที่แตกต่างกัน และที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะจิตใจของแต่ละคนที่มีต่อความฝันนั่นเอง

การเล่าเรื่องเป็นไปในรูปแบบที่เรียบง่าย แต่ในความเรียบง่ายนั้นได้แฝงข้อคิดและความเป็นจริงอยู่อย่างแยบยลโดยตลอด เรียกว่าอ่านแล้วทำให้เราได้มานั่งคุยอยู่กับความคิดและหัวใจของตัวเอง อีกทั้งยังทำให้เราเข้าใจผู้อื่นที่มีความฝันเช่นเดียวกันกับเราแต่ใช่ว่าจะดำเนินตามวิถีเช่นเดียวกับเราเสมอไป

หนังสือเล่มนี้จึงเป็นหนังสือที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับทุกคนที่มีความฝัน แต่ยังคงไปไม่ถึงฝัน หนังสือเล่มนี้ก็จะบอกกับคุณว่าคุณควรวางตัวอย่างไร และหนังสือเล่มนี้ยังเหมาะอย่างมากสำหรับผู้ที่เคยละทิ้งความฝัน เพราะหนังสือเล่มนี้จะทำให้คุณมีพลังในการกลับมาเดินทางออกตามหาความฝันอีกครั้ง นอกจากนี้ผู้ที่เคยพบปลายทางของความฝันแล้ว หากได้อ่านหนังสือเล่มนี้คุณจะรู้สึกภาคภูมิใจและรู้คุณค่ากับขุมทรัพย์ที่ได้มาอย่างแน่นอน

“จงศรัทธาและไว้ใจในตัวเอง...แล้วคุณจะไม่ต้องเกรงหากพบอุปสรรคและไม่ต้องกลัวว่าจะไปไม่ถึงปลายฝัน”

ฮานาน

ปลูกฝันไว้ในแผ่นดิน


ปลูกฝันไว้ในแผ่นดิน
ลูเซีย บาเกดาโน่ เขียน
รัศมี กฤษณมิษ แปล
พิมพ์ครั้งที่ 6 2548
สำนักพิมพ์ฟ้าอภัย
167 หน้า ภาพประกอบ
80 บาท

“ผู้คนมากมายในโลกนี้ เลือกประกอบอาชีพแตกต่างกันออกไป บางคนเลือกเพราะเงินเป็นแรงจูงใจ บางคนเลือกเพราะอยากได้ชื่อเสียงเกียรติยศ ในขณะที่บางคนเลือกเพราะความพอใจ แต่จะมีการเลือกใดที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าการเลือกที่จะรักชีวิตทุกชีวิต จะมีความคิดใดที่งดงามไปกว่าความฝัน จะมีการกระทำใดที่น่ายกย่องไปกว่าการให้และการแบ่งปัน จะมีก็แต่ผู้ที่เคยให้และเคยแบ่งปันเท่านั้น ที่มีโอกาสลิ้มรสความสุขอันประณีตอย่างแท้จริง” เพียงแค่ได้อ่านบันทึกผู้แปลฉันก็ตัดสินใจซื้อ ปลูกฝันไว้ในแผ่นดิน มาครอบครองทันที

หลายคนแนะนำให้ฉันอ่านหนังสือเล่มนี้ เพราะเป็นหนังสือที่สมาพันธ์องค์กรเพื่อพัฒนาหนังสือและการอ่านคัดสรรให้เป็นหนังสือดีสำหรับเด็กและเยาวชน อีกทั้งผลกำไรที่ได้จากการขายหนังสือนำไปช่วยเหลือเด็กยากจนในชนบท

ในเล่มเป็นเรื่องราวของ“มูริเอล” สาวสเปนชาวเมืองวัย 21 ปี เพิ่งสำเร็จวิชาการศึกษา สอบได้คะแนนยอดเยี่ยม เปี่ยมล้นด้วยพลังใจและมุ่งมั่นจะเป็นครูที่ดี แต่กลับได้รับคำสั่งบรรจุให้เป็นครู ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ ท่ามกลางขุนเขาอันไกลลิบนามว่า “เบอิเรเชอา” หมู่บ้านที่ไม่ปรากฏในสารานุกรม เธอเดินทางไปหมู่บ้านกันดารด้วยรถเก่าปุเลง ๆ อำลาชีวิตสุขสบายแบบเด็กในเมืองเพื่อมาเป็นครูบ้านนอก ครั้งแรกที่เธอเห็นโรงเรียน เธอถึงกับ “อยากจะกรีดร้องให้สมใจอยาก” เพราะสภาพโรงเรียนเหมือนกับ “เล้าไก่พัง ๆ” ซ้ำร้ายผู้คนในหมู่บ้านที่มีธรรมชาติสวยงาม กลับแข็งกระด้าง แล้งน้ำใจไร้การศึกษา ช่างเป็นความจริงที่สวนทางกับความฝันอันงดงามอย่างสิ้นเชิง

มูริเอลพบว่าเด็ก และผู้ปกครองไม่เห็นความสำคัญของการเรียนเพราะ “หนูไม่เห็นว่าจำเป็นต้องเรียนเรื่องภาคประธานกับภาคแสดงของประโยคเพื่อจะไปรีดนมวัว” เธอจึงพยายามทำให้เด็กอ่านหนังสือให้ได้ และคิดเสมอว่า “ไม่ว่าจะทำอะไร หากรู้หนังสือ ก็จะทำได้ดีกว่าเสมอ” มูริเอลไม่ยอมแพ้ เธอพยายามเอาชนะอุปสรรค ความท้อแท้สิ้นหวังด้วยวิธีการของเธอเอง จนสามารถค้นพบภารกิจแท้จริงของเธอเอง ทั้งยังได้เรียนรู้ว่าชาวเบอิเรเชอาควรค่าแก่การนับถือ อคติที่มีต่อชาวบ้านในตอนแรกนั้นก็หายไปพร้อมกับการปฏิเสธโรงเรียนที่อยู่ในระดับดีกว่าและตัดสินใจสอนต่อที่นี่ โรงเรียนที่ทั้งเก่าและโทรม ทว่าเต็มไปด้วย
เด็ก ๆ ที่เธอทุ่มเทพลังและความรักให้ และฆาเบียร์ ชายหนุ่มที่ดูเสมือนว่าเป็นคนถือดี แปลกประหลาดที่สุดในหมู่บ้าน กลับกลายเป็นคนสุภาพอ่อนโยน อีกทั้งยังได้ช่วยแต่งเติมความฝันและชีวิตของเธอให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

ปลูกฝันไว้ในแผ่นดิน อ่านแล้วเข้าใจได้ทันที เป็นเรื่องสามัญแต่มีเสน่ห์ชวนติดตามจนวางไม่ลง รู้ตัวอีกทีก็ถึงบรรทัดสุดท้ายเสียแล้ว เพราะถ้อยคำและภาษาที่ผู้แปลสรรมาใช้ในการบรรยายและพรรณนาเรื่องราวนั้นทำให้เพลิดเพลินและรู้สึกอิ่มเอมใจไปกับตัวละคร

ฉันว่าหนังสือเล่มนี้เหมาะกับคนหนุ่มสาว หรือผู้ที่ยังกรุ่นไฟฝันและผู้ที่ต้องการเติมพลังความฝันให้กับตัวเองมากทีเดียว เพื่อร่วมกันเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมไปในทางที่ถูกที่ควร หนังสือเล่มนี้จะช่วยเติมเต็มและย้ำเตือนบางอย่างที่เรากำลังหลงลืมไป อย่าลืมว่าเก่งอย่างเดียวไม่เกิดประโยชน์ เก่งแล้วต้องเข้าใจผู้อื่นด้วยอย่างที่ “มูริเอล” เรียนรู้จากชาวบ้านและบาทหลวง เพราะไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แต่ละคนต่างมีข้อดีและข้อเสียอยู่ในตัว เมื่อความ “เข้าใจ” ควบคู่ไปกับ “ไฟฝัน” ไม่ว่าสิ่งใดก็สำเร็จได้ดังใจหมาย


ฉันวางหนังสือลงพร้อมกับความคิดที่วาบขึ้นมา ว่าต้องลงมือทำตามความฝันหรือทำอะไรสักอย่างที่เป็นประโยชน์แก่สังคมอย่าง “มูริเอล”บ้างเสียแล้ว...เลิกนอนหนุนฝันแล้วลงมือปลูกฝันกันเถอะ


เอื้อบุญ

กว่าจะเป็นกบ


กว่าจะเป็นกบ
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล
ปีที่พิมพ์ พ.ศ.2548
สำนักพิมพ์พิมพ์บูรพา
222 หน้า
170 บาท



กว่าจะเป็นกบ(นอกกะลา) หนังสือที่บอกเล่าวิถีของรายการกบนอกกะลาตั้งแต่จุดเริ่มต้น ก่อนที่จะถือกำเนิดมาเป็นรายการโทรทัศน์ที่ได้รับความนิยมเช่นปัจจุบัน ผ่านปลายปากกาของคนเบื้องหลังอย่าง กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล ผู้เปี่ยมไปด้วยความคิดอันสร้างสรรค์ที่สรรค์สร้างถ้อยคำมาเรียงร้อยเรื่องราวได้อย่างน่าสนใจ กลายเป็นหนังสือสารคดีที่ให้ความบันเทิงได้เฉกเช่นรายการกบนอกกะลา รายการที่สามารถลบล้างความคิดที่ว่า “รายการสารคดีไม่มีคนดู” ได้อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง

“ความรู้ที่แท้จริงไม่ได้มาจากการท่องจำ แต่ความรู้และปัญญาที่แท้จริงมาจากการเชื่อมโยงความรู้กับชีวิต และเชื่อมโยงชีวิตเข้ากับโลก” คำโปรยหนังสือบนปกหลังที่คัดลอกมาจากตอนหนึ่งในหนังสือถือเป็นข้อความที่น่าสนใจ สามารถสะท้อนแนวความคิดของผู้เขียนที่ต้องการแนะแนวทางให้ผู้อ่านได้รับความรู้ที่แท้จริงจากสิ่งที่ผู้เขียนเองได้ถ่ายทอดลงในหนังสือเล่มนี้ หนังสือที่เต็มไปด้วยแง่คิด รวมไปถึงประสบการณ์จริง แต่ก็ยังไม่ละทิ้งสาระและความสนุกสนาน ที่อ่านจบได้โดยไม่รู้ตัว

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่กบตัวนี้ยังไม่ได้ก่อตัวเป็นรูปธรรม ยังคงเป็นเพียงความเชื่อของกบ โดยผู้เขียนได้เปิดเรื่องโดยการยกนิทานที่นักอ่านหนังสือทุกคนคงจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี คือ เรื่องกบผู้ไม่เคยยอมแพ้ เรื่องของกบ 2 ตัวตกลงไปในถังครีม ต่างดิ้นรนเอาชีวิตรอด ตัวหนึ่งยอมแพ้ต่อโชคชะตา แต่อีกตัวดิ้นรนไม่หยุดหย่อน ว่ายอยู่ในถังครีมด้วยความเชื่ออยู่นาน จนพบว่ามันได้มายืนอยู่บนเนยที่ทำขึ้นมาเองอย่างไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งนั่นทำให้มันกระโดดออกจากถังและมีชีวิตรอดอย่างน่ามหัศจรรย์ ความเชื่อนี้เองที่ทำให้กบตัวหนึ่งได้ถือกำเนิดขึ้นจากแรงบันดาลใจและได้เจาะกำแพงความเชื่อเดิมๆ กบตัวนี้ก็คือ รายการกบนอกกะลา

ผู้เขียนได้เรียงลำดับพัฒนาการของรายการกบนอกกะลาโดยการใช้สัญลักษณ์แทนความเปลี่ยนแปลงที่รายการนี้ค่อยๆก้าวขึ้นไปทีละขั้น โดยการแทนรายการกบนอกกะลาเป็นเหมือนกบตัวหนึ่งที่นับวันก็ยิ่งเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ดังจะเห็นได้จากชื่อของแต่ละบททั้ง 17 บท ตั้งแต่บทแรกที่รายการยังไม่เกิดขึ้นยังคงเป็นเพียงแค่ความคิด ผู้เขียนก็ใช้ชื่อบทว่า ความเชื่อของกบ จากนั้นก็กลายเป็นไข่กบ และฟักตัว เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนโตเต็มวัย กลายไปเป็นกบย่าง และจบด้วยการฝากข้อคิดในบทสุดท้ายคือ แด่...กบตัวอื่นๆ จะเห็นได้ว่าเพียงชื่อบทผู้เขียนก็แสดงออกถึงความคิดอันสร้างสรรค์ได้อย่างน่าสนใจ และที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือการแทรกวิธีการคิดและวิธีการทำงาน กว่าจะมาเป็นรายการกบนอกกะลาไว้ในทุกบท จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วจะได้แนวทางในการทำงานให้ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับการทำรายการกบนอกกะลาอย่างน้อย 17 ประการ

เหตุผลอีกประการหนึ่งที่ทำให้หนังสือเล่มนี้น่าสนใจนั่นก็เป็นเพราะ ผู้เขียนได้ค่อยๆอธิบายไปทีละขั้น บอกเล่าเส้นทางของรายการกบนอกกะลาตั้งแต่เริ่มต้น ไปเรื่อยๆตามลำดับเวลากระทั่งปัจจุบัน ทำให้อ่านง่ายและน่าติดตาม โดยเริ่มเล่าความเป็นไปตั้งแต่การเกิดขึ้นของรายการกบนอกกะลาที่เกิดขึ้นจากกระแสความสำเร็จของรายการคนค้นคน เป็นการเปิดเส้นทางสายใหม่ภายใต้คำจำกัดความที่ว่า “ความรู้จะไม่ใช่สิ่งที่น่าเบื่ออีกต่อไป” ส่วนหนึ่งที่ทำให้รายการกบนอกกะลาแตกต่างจากรายการสารคดีอื่นๆนั่นก็เพราะผู้สร้างได้ลงไปสัมผัสกับข้อมูลต่างๆด้วยตัวเอง ไม่ได้ใช้เอกสารหรือสื่อต่างๆเป็นตัวกลาง ประกอบกับการถ่ายทอดที่เข้าใจได้ง่ายดังคำกล่าวของผู้เขียนที่ว่า “การตัดต่อของกบนอกกะลาจะไม่สลับซับซ้อนเท่าไหร่ มันจะเหมือนโบกี้รถไฟเป็นตู้ๆต่อไปเรื่อยๆ แต่ละตู้ก็เป็นแต่ละประเด็นของมัน มีการเชื่อมโยงขยับไปทีละประเด็น” นี่เองเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รายการกบนอกกะลาน่าสนใจ แต่เข้าถึงผู้ชมได้ง่าย เพราะการนำเสนอที่เป็นไปอย่างมีขั้นตอนนี่เอง

คำพูดหนึ่งที่ผู้เขียนได้ยกมาใช้ในตอนต้นเรื่องและในตอนท้ายที่ว่า “เนื้องานพิสูจน์เนื้อแท้ของคน” ถือเป็นอีกหนึ่งแง่คิด ทำให้ผู้อ่านได้ตระหนักถึงความเป็นไปของสังคมในปัจจุบันที่มุมมองการมองโลกของคนได้เปลี่ยนไป การมองเพียงแค่ภายนอกก็สามารถตัดสินเนื้อแท้ของคนได้โดยที่ยังไม่ได้เห็นเนื้องาน เช่นเดียวกัน หนังสือ กว่าจะเป็นกบ เล่มนี้ก็มีมุมมองที่น่าสนใจให้ค้นหา และมีข้อคิดดีๆที่มีประโยชน์ให้นำไปใช้ รวมไปถึงสาระดีๆที่รอคอยให้ผู้อ่านได้ค้นหา อย่างเพิ่งตัดสินเพียงรูปเล่มภายนอกเพราะยังมีแก่นและความรู้ที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยสายตาได้อย่างชัดเจ แต่จะมองเห็นได้อย่างแจ่มแจ้งเมื่อเปิดใจอ่าน

รายการกบนอกกะลาเกิดขึ้นได้ด้วยความกล้าที่จะเจาะกำแพงความเชื่อแบบเดิมไปสู่ความเชื่อที่แตกต่าง กว่าจะเป็นกบ หนังสือเล่มเล็กๆเล่มนี้ก็เกิดขึ้นได้ด้วยความกล้าที่จะนำเสนอสาระความรู้ที่หลายคนมองเป็นเรื่องน่าเบื่อได้อย่างน่าสนใจและน่าติดตาม ภายใต้ความเชื่อที่ซ้ำซากในสังคมที่ยังคงยืนย่ำอยู่บนจุดเดิม หลายคนคงไม่ทันคิดว่า จริงๆแล้วสังคมอาจกำลังต้องการสิ่งใหม่ๆ เพียงแต่ผู้คนยังคงลังเลและไม่กล้าเปิดประตูความเชื่อนั้น หากประตูยังคงปิด ทุกอย่างก็จะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง หากประตูถูกเปิดออก สิ่งที่รออยู่ก็คือความท้าทายให้ค้นพบสิ่งที่ดีกว่า การหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านจึงเป็นเหมือนก้าวแรกแห่งการเปิดรับแนวคิดใหม่ แล้วคุณกล้าที่จะเปิดประตูความเชื่อนั้นแล้วหรือยัง?
เอกพันธุ์

เรื่องลับที่ดราก้อน คาเฟ่


เรื่องลับที่ดราก้อน คาเฟ่
จูดี้ ฟอง เบทส เขียน
คำเมือง แปล
ปีที่พิมพ์ ๒๕๕๐
สำนักพิมพ์สันสกฤต
๒๗๕ หน้า
๒๒๕ บาท

เรื่องลับที่ดราก้อน คาเฟ่ หรือ midnight at the Dragon Café เป็นผลงานของจูดี้ ฟอง เบทส ผู้ซึ่งย้ายมาจากประเทศจีนมายังแคนาดาตั้งยังเป็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ แถบออนแทรีโอหลายเมือ ผลงานของเธอได้นำไปออกอากาศใน CBC Radio และตีพิมพ์ในวารสารด้านการประพันธ์รวมกับผลงานของนักเขียนคนอื่น ๆ หลายครั้ง ดังนั้นผู้เขียนจึงใช้ถ้อยคำสำนวน และสามารถบรรยายสภาพครอบครัวชาวจีนได้เป็นอย่างดี

เรื่องลับที่ดราก้อน คาเฟ่ ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของเด็กหญิงชาวจีนที่ได้อพยพมายังแคนาดาในค.ศ. ๑๙๗๖ ชื่อ ซูเจิ้น เธอมายังแคนาดาพร้อมกับแม่ของเธอเพื่อมาหาพ่อ และเพื่อชีวิตที่ดีกว่าในประเทศที่ไม่มีคอมมิวนิสต์ ซูเจิ้นและแม่ต้องปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมใหม่ ๆของพวก โหลฟาน หรือ ฝรั่งในคำเรียกของชาวจีน ในขณะที่เธอต้องเป็นซูเจิ้นของครอบครัวเมื่ออยู่ที่บ้าน และเธอจะต้องเป็นแอนนี่เมื่ออยู่ข้างนอก เธอต้องปรับตัวให้เข้ากับสองวัฒนธรรม คือวัฒนธรรมตะวันออกและวัฒนธรรมตะวันตก ในขณะที่แม่ของเธอไม่สามารถรับหรือแม้แต่ปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมตะวันตกได้เลย ซูเจิ้นต้องรับรู้ถึงความขมขื่นและความอดทนอดกลั้นของทั้งพ่อและแม่ สิ่งที่แม่พร่ำบอกเธอมาตลอดคือ แม่มาที่นี่เพื่อเธอ ชีวิตของแม่สิ้นสุดลงนับจากวินาทีที่ก้าวลงจากเครื่องบิน

ซูเจิ้นมีเพื่อนที่สนิทที่สุดชื่อ ชาร์ล็อต่พร่ำบอกเธอมามขื่นและอดกลั้นของทั้งพ่อและแม่ สิ่ไม่สามารถรับหรือแม้แต่ปรับตต์ สำหรับซูเจิ้นแล้วเธอเป็นคนที่กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว เชื่อมั่นในตัวเอง และฉลาด ซูเจิ้นและชาร์ล็อตต์มักจะอยู่ด้วยกันแทบทุกที่ ในขณะที่ซูเจิ้นมีความสุขที่เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ รอบด้าน หุ้นส่วนของพ่อเธอก็ตัดสินใจขายหุ้นให้กับพี่ชายคนละแม่ของเธอที่ชื่อ หลี่กัง เมื่อเขาก้าวเข้ามาในบ้าน แม่ของเธอก็ดูมีความสุขขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ความสัมพันธ์ของพ่อและแม่เธอได้แย่ลงเรื่อย ๆ และในไม่ช้าเธอก็ได้รู้ความลับของครอบครัวที่หนักอึ้งและไม่อาจจะเอ่ยปากบอกใครได้ ทั้งชาร์ล็อตต์ พ่อของเธอ หรือแม้แต่แม่ของเธอ ว่าเธอรู้ว่าแม่ของเธอกับพี่ชายได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน

ซูเจิ้นต้องรู้จักสุภาษิตจีนที่ว่า เหง่ฮั่ย คือ การเก็บกดความคิดด้านไม่ดีเอาไว้ และ เฮ็กฝู่ คือ การกล้ำกลืนความขมขื่นไว้ ด้วยวัยเพียงสิบกว่าขวบซูเจิ้นต้องแบกรับทุกอย่างเอาไว้ เธอรักแม่และพี่ชาย แม้จะรังเกียจในการกระทำของพวกเขา เธอรู้สึกสงสารพ่อของเธอ และรับรู้ว่าพ่อของเธอก็ต้องรับผิดชอบ และอดทนกล้ำกลืนความขมขื่นไว้มากเพียงไร สถานการณ์ยิ่งบีบคั้นเมื่อแม่เธอตั้งครรภ์ขึ้นมาทั้ง ๆ ที่พ่อของเธอแก่มากแล้ว

เหตุการณ์มาถึงจุดพลิกผันเมื่อชาร์ล็อตต์เพื่อนรักของเธอได้ตกลงไปในสระน้ำแข็งและเสียชีวิตลง ความอดทนอดกลั้นของเธอมาถึงขีดสุดและเธอก็ระเบิดมันออกมา สิ่งที่ไม่มีใครพูดออกมา สิ่งที่ทุกคนจะต้องเหง่ฮั่ย และ เฮ็กฝู่ ทำให้ทั้งแม่และพี่ชายของเธอรู้ว่าเรื่องที่เป็นความลับที่สุดไม่ได้เป็นความลับอีกต่อไป ความสัมพันธ์ในครอบครัวชาวตะวันออกอย่างชาวจีนที่แสนจะเคร่งครัดจะดำเนินต่อไปอย่างไร กับความรู้สึกกระอักกระอ่วนนี้

หนังสือเล่มนี้ได้ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ต้องดำเนินชีวิตผ่านสองวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ต้องแบกรับเรื่องราวที่หนักอึ้งมากกว่าตัวเธอ ทำให้ชีวิตในวัยเด็กที่ควรจะสดใสมีรอยเปื้อนแต้มไว้ทำให้ซูเจิ้นต่างจากเด็กที่เติบโตในสังคมตะวันตกทั่ว ๆ ไป ผู้เขียนได้ถ่ายทอดวิถีชีวิตและคติสังคมของคนจีนแม้จะอยู่ในสังคมตะวันตกอย่างลึกซึ้ง ได้สะท้อนถึงวัฒนธรรมของจีนที่ต้องสั่งสอนให้ผู้หญิงรู้จักอดทนอดกลั้น และเก็บความขมขื่นไว้ สอนให้รู้จักความสำคัญของครอบครัว รวมถึงความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวอีกด้วย ในเรื่องนี้ยังบ่งบอกถึงค่านิยมของและวิถีของชาวบ้านของสังคมจีนในยุคหนึ่ง ที่ทำให้ผู้หญิงต้องรู้จักเหง่ฮั่ย และ เฮ็กฝู่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นมา เพราะมิฉะนั้นแล้วหญิงที่ตั้งครรภ์ในขณะที่สามีไม่อยู่อาจต้องฆ่าตัวตายเพราะไม่สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้ตามปกติที่ต้องถูกนินทา

นอกจากนี้จูดี้ ฟอง เบทสได้จงใจสื่อสารถึงผู้ปกครองที่ควรตระหนักถึงบุตรหลานให้มาก เด็กเปรียบเสมือนผ้าขาวที่เราจะแต่งเติมสีอะไรลงไปในผ้าก็ย่อมได้ บางครั้งหากขาดความระมัดระวังสีที่เราไม่ได้ตั้งใจแต้มลงไปอาจเปื้อนติดผ้าจนยากจะแก้ไข หากเป็นเด็กที่พอมีวุฒิภาวะเพียงพออาจจะเข้าใจโดยง่ายและสามารถรับกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างเข้าใจ แต่ถ้าเด็กไม่สามารถรับได้ก็อาจเกิดเป็นปมขึ้นมาทำให้ติดตัวเด็กไปจนโตก็เป็นได้

แม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่ดำเนินเรื่องแบบเรียบ ๆ ไม่หวือหวาแต่ตลอดทั้งเรื่องเราต่างก็เอาใจช่วยและลุ้นระทึกไปกับซูเจิ้นว่าจะทำอย่างไรกับความลับที่รู้มาโดยบังเอิญ พร้อมทั้งสิ่งที่ผู้เขียนพยายามถ่ายทอดเสี้ยวหนึ่งของความจริงที่ถูกละเลยไปของผู้หญิง เรื่องราวของการฝ่าฝืนขนบธรรมเนียมประเพณีอย่างร้ายแรง เมื่อแม่เลี้ยงที่สามียังคงนอนอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน และอีกฝ่ายหนึ่งคือลูกเลี้ยงที่พ่อ สามีของผู้หญิงที่เขามีความสัมพันธ์ด้วยนั้นยังคงเห็นหน้ากันอยู่ทุกวัน นอนอยู่ห้องข้าง ๆ โดยมีเพียงฝากั้น ความสัมพันธ์นี้จะยอมรับได้มากน้อยเพียงใดและยิ่งเมื่อคนคู่นั้นเกิดมีลูกด้วยกัน โดยถ่ายทอดผ่านตัวละครเด็กผู้หญิงผู้เป็นลูกของผู้หญิงคนนั้น และน้องสาวของผู้ชาย ปมที่ยุ่งยากนี้จะได้รับการคลี่คลายได้อย่างไร คงต้องพิสูจน์และร่วมเอาใจช่วยซูเจิ้นให้ผ่านเรื่องราวต่างๆ ไปได้ด้วยดี


อรรถอรองค์

ครอบครัวอบอุ่น


ครอบครัวอบอุ่น
ส.ผ่องสวัสดิ์
พิมพ์ครั้งที่ 2
สำนักพิมพ์ดวงกมล
373 หน้า ภาพประกอบ
179 บาท


ความรัก ... กำลังสร้างบ้าน
ความผูกพัน ... กำลังสร้างความอบอุ่น
ความสุข ... จะอบอวนในครอบครัวของคุณตลอด 24 ชั่วโมง
หนังสือเล่มนี้บอกเล่าเรื่องราวดีๆที่คุณอาจไม่เคยทราบมาก่อน
(บทความตอนหนึ่งในคำนำของผู้เขียน)

หนังสือครอบครัวอบอุ่น เป็นผลงานร่วมกันของชมรมนักคิด นักเขียนเพื่อสันติภาพโลกและมูลนิธิพัฒนาเยาวชนต้นแบบศีลธรรม โดยมีคุณ ส. ผ่องสวัสดิ์ เป็นผู้เขียนและเรียบเรียง ได้ใช้ความมานะพยายามในการรวบรวมความรู้สำคัญเกี่ยวกับการแก้ไข พัฒนาและปลูกฝัง เจตคติ ค่านิยม และหลักคุณธรรมเพื่อพัฒนาครอบครัวให้อบอุ่นและเป็นสุขในช่วงเวลาต่างๆของชีวิตครอบครัว

หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับทุกๆคนที่รักครอบครัว เนื้อหาในหนังสือกล่าวถึงพัฒนาการของมนุษย์ในแต่ละช่วงวัย ตั้งแต่วัยแรกเกิดจนถึงช่วงบั้นปลายของชีวิตล้วนสอดแทรกด้วยธรรมะและปลูกฝังศีลธรรมในแต่ละช่วงวัยที่สามารถปฏิบัติได้ เนื้อหาของหนังสือเริ่มตั้งแต่การสร้างรากฐานของครอบครัว การเลี้ยงดูบุตรอย่างถูกวิธี การสร้างความสามัคคีในครอบครัว ตลอดจนการเตรียมตัวสู่บั้นปลายชีวิตอย่างมีคุณค่า ชี้แนะแนวทางในการปฏิบัติในทางที่ดีในแต่ละช่วงวัย อีกทั้งยกกรณีศึกษามาประกอบเพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนใจแก่ผู้อ่านตลอดทั้งเรื่อง

หนังสือเล่มนี้เป็นผลงานสร้างสรรค์สังคมที่สำคัญยิ่ง และมีคุณค่าต่อความต้องการของสังคมยุคปัจจุบัน ครอบครัวยุคใหม่ที่กำลังเผชิญปัญหาที่ซับซ้อนกว่าในอดีตมาก แนวทางการแก้ไขพัฒนาได้ใช้หลักธรรมมาเป็นที่ยึดเหนียวปฏิบัติ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ปฏิบัติยากสำหรับครอบครัวปกติทั่วไป นักเขียนจึงได้รวบรวมหลักคำสอน หลักธรรม หลักปฏิบัติหลากหลาย รวมทั้งพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่องคุณธรรม 4 ประการคือ ความซื่อสัตย์ ความข่มใจ ความอดทน และความเสียสละ ล้วนเป็นหลักธรรมในการปฏิบัติตนที่ควรน้อมนำมาปรับใช้ ในการปฏิบัติเพื่อพัฒนาดูแลครอบครัวได้อย่างดี และได้รวบรวมความรู้ ประสบการณ์ แนวทางปฏิบัติสำหรับการสร้างครอบครัวให้อบอุ่นบนหลักพื้นฐาน 3 ประการ คือ

1.ควบคุมกิเลสในตัวไม่ให้แพร่เชื้อร้ายหรือนิสัยไม่ดีออกไปติดต่อคนอื่น

2.นำความรู้ ความสามารถ และความดีที่ตนเองมีอยู่ถ่ายทอดให้ผู้อื่น


3.ซึมซับความดีที่ผู้อื่นมี นำมาฝึกฝน และพัฒนาเพิ่มพูนนิสัยดีๆให้ตัวเอง

แต่อย่างไรก็ตามถึงเนื้อหาจะเน้นหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา แต่ไม่ได้สร้างความน่าเบื่อให้แก่ผู้อ่าน เนื่องจากเนื้อหาอันทันสมัย สอดแทรกข้อคิดคติสอนใจ และมีภาพประกอบ ทำให้เนื้อหาน่าสนใจและน่าติดตามมากขึ้น ภาษาที่ใช้เป็นภาษากะทัดรัด เข้าใจง่ายเหมาะสำหรับทุกช่วงวัย ข้อความที่สำคัญที่สามารถสอนใจผู้อ่านได้ ผู้เขียนจะนำมาเขียนซ้ำ เพิ่มความหนาของตัวอักษรไว้ในกรอบสี่เหลี่ยม เพื่อสร้างจุดสนใจ เป็นจุดเด่นกระตุ้นให้น่าสนใจ ทุกข้อความในหนังสือจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้หลายท่านได้พบแสงสว่างในการสร้างครอบครัวให้อบอุ่น ครองรักได้ยั่งยืน ครองเรือนร่วมกันด้วยความเข้าอกเข้าใจ และสามารถวางรากฐานครอบครัวให้มั่นคงต่อไปได้

วันนี้เราเตรียมพร้อมแค่ไหนกับการดูแลครอบครัวให้ดีที่สุด ทำอย่างไรครอบรากฐานของครอบครัวจึงมั่นคง มีวิธีอย่างไรจะสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นในบ้าน คำสอนใดที่ทำให้รู้จักคุณค่าชีวิตที่ถูกต้อง และจะวางตนอย่างไรให้เป็นที่รักและเคารพ คำถามเหล่านี้คือชีวิตจริงที่ต้องเผชิญต่อไปข้างหน้า แล้วคุณเตรียมพร้อมกับสิ่งเหล่านี้มากน้อยแค่ไหน

หนังสือ ครอบครัวอบอุ่น คือคำตอบที่คุณกำลังต้องการ


สุวีณา

เกาะโลมาสีน้ำเงิน (Island of the Blue Dolphins)


เกาะโลมาสีน้ำเงิน (Island of the Blue Dolphins)
ผู้แปล : วิลาวัณย์ ฤดีศานต์
ปีพิมพ์ : 6 / 2551
สำนักพิมพ์ : มติชน
จำนวนหน้า : 192 หน้า
ราคา : 140 บาท


เมื่อเราเดินเข้าไปในร้านหนังสือ คงคาดเดายากว่าใครจะไปหยุดตรงชั้นหนังสือหมวดใด สำหรับฉัน คนไม่ชอบอ่านหนังสือแต่ชอบทะเล เกิดสะดุดตาหนังสือเล่มหนึ่งเรื่อง เกาะโลมาสีน้ำเงิน ฉันไม่ชอบอ่านหนังสือแต่ทะเลทำให้ฉันอยากอ่านหนังสือเล่มนี้ และเมื่อเปิดอ่านตั้งแต่ต้นจนจบฉันกลับค้นพบหลายสิ่งที่มากกว่าแค่เรื่องราวของทะเลจากหนังสือเล่มนี้


เกาะโลมาสีน้ำเงิน หรือ Island of the Blue Dolphins เป็นวรรณกรรมอิงประวัติศาสตร์ ผลงานการเขียนของสก๊อตต์ โอ เดลล์ และผลงานการแปลจาก วิลาวัณย์ ฤดีศานต์ ได้รับการการันตีมากมายจากหลายรางวัลที่ได้รับกว่า 12 รางวัลรวมถึงได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 10 วรรณกรรมเยาวชนที่ดีที่สุดในรอบ 200 ปีจากสมาคมวรรณกรรมเยาวชนของสหรัฐอเมริกาอีกด้วย

การานา เด็กหญิงคนหนึ่งเคยมีทั้งพ่อ พี่น้อง และเพื่อนบ้าน เคยมีชีวิตปกติร่วมกับผู้คนเช่นเดียวกับมนุษย์ในสังคมอื่นๆ แต่วันหนึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด นักล่าหนังสัตว์ขึ้นมาที่เกาะของเธอ เกิดการต่อสู้และคนในหมู่บ้านของเธอต้องเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมากรวมถึงพ่อของเธอด้วย จากนั้นหัวหน้าหมู่บ้านได้ล่องเรือออกไปตามคนมาอพยพพวกเธอ กระทั่งมีเรือมารับที่เกาะ ทุกคนรีบไปที่เรือจนครบยกเว้นน้องชาย 6 ขวบของเธอที่ย้อนกลับไปเอาหอกแทงปลาในบ้าน เธอบอกให้เรือย้อนกลับไปรับน้องชายของเธอแต่ทุกคนปฏิเสธและบอกว่าจะกลับมารับภายหลัง เธอจึงตัดสินใจกระโดดลงน้ำและว่ายกลับไปที่เกาะ เธอและน้องชายอยู่ด้วยกันบนเกาะได้ไม่ถึงสัปดาห์ น้องชายของเธอก็ถูกหมาป่ากัดตาย นับตั้งแต่นั้นเธอจึงต้องใช้ชีวิตอยู่บนเกาะโลมาสีน้ำเงินเพียงคนเดียวเป็นเวลาถึง 18 ปี กระทั่งมีเรือมาพบเธอ

การานา ทำให้ฉันรู้สึกว่า ฉันควรพอใจกับชีวิตที่ฉันมีอยู่ในตอนนี้ เพราะหากเทียบกับเธอแล้ว ฉันอาจกลายเป็นคนที่โชคดีที่สุดก็ว่าได้ ฉันมีพ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อนๆ และสังคม ฉันมีคนให้คุยด้วย มีคนคอยรับฟัง และมีสังคมให้ฉันได้เป็นส่วนหนึ่งและร่วมดำเนินชีวิตไปด้วยกัน ฉันคิดไม่ออกว่าหากเป็นฉัน ฉันควรจะทำอย่างไรกับชีวิตที่เคยมีครอบครัว แต่วันหนึ่งฉันต้องอยู่คนเดียว ต้องช่วยเหลือตัวเอง สร้างบ้าน หาอาหารเพียงลำพัง แย่ที่สุดคือไม่ได้พูดคุยกับใครเลย

เห็นได้ว่าการใช้ชีวิตของเธอไม่ใช่แค่หาที่หลบฝนและหาอาหารประทังชีวิตไปวันๆเพียงเท่านั้น แต่เธอแสดงให้เห็นถึงการปรับตัว การให้อภัยและยอมรับ เพราะจากเรื่องมีเหตุการณ์ตอนที่เธอพบน้องชายนอนเสียชีวิตอยู่ท่ามกลางฝูงหมาป่าที่ยืนล้อมอยู่ ตั้งแต่นั้นเธอจึงให้สัญญากับตัวเองว่า เธอจะฆ่าหมาป่าให้หมดเพื่อแก้แค้นให้กับน้องชายของเธอ แต่เมื่อเธอสบโอกาสเธอกลับเปลี่ยนใจไม่ทำ และยังอุ้มหมาป่าที่บาดเจ็บตัวนั้นกลับมาที่บ้าน ช่วยทำแผลรวมถึงหาอาหารให้หมาป่าจนแข็งแรงดี และกลายมาเป็นเพื่อนของเธอ เห็นได้ว่าเธอเปิดใจที่จะยอมรับศัตรูที่เธอเรียกในตอนแรกให้กลายมาเป็นมิตร เธอรู้จักให้อภัยและเริ่มต้นปรับตัวกับสิ่งใหม่
โชคชะตาของ การานา นั้นโหดร้ายเป็นที่สุด เธอเองก็เป็นเด็กหญิงที่น่าสงสารสุดใจ แต่เพราะเธอเข้มแข็ง สิ่งตรงหน้าจึงแลดูไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเธอ เห็นได้จากในเรื่องที่เธอยังคงมีชีวิตอยู่ได้ ไม่ได้คิดฆ่าตัวตายตรงกันข้ามเธอรักชีวิตของเธอ ทุกวันที่เธอเดินหาอาหาร และง่วนอยู่กับการเย็บชุดกระโปรงของเธอ เธอหาอะไรทำ และพยายามปรับตัวให้มีความสุขกับสิ่งที่เธอมีอยู่แม้ว่าจะไม่ใช่สิ่งที่เธอปรารถนาและพอใจ

สก๊อตต์ โอ เดลล์เขียนเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี อ่านแล้วฉันรู้สึกได้ถึงภาพบรรยากาศและอารมณ์นึกคิดของตัวละครในทุกฉากเหตุการณ์ เขาเล่าเรื่องได้อย่างประณีตและแฝงแง่คิดไว้มากมาย เช่น “...สิ่งที่มีพลังยิ่งกว่านั้น คือความปรารถนาที่จะได้อยู่ในที่ที่ผู้คนอาศัยอยู่ ความปรารถนาที่จะได้ยินเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะของพวกเขา” ข้อความนี้ทำให้ฉันรู้สึกว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคมอย่างปฏิเสธไม่ได้ แม้บางครั้งเราอาจต้องการอยู่คนเดียว แต่คงไม่มีใครสามารถอยู่ตัวคนเดียวไปได้ตลอดชีวิต มีข้อความที่ฉันประทับใจอีกคือ “ฉันไม่คิดถึงอดีต ไม่คิดถึงฤดูร้อน ฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิมากมายที่ผ่านไป ฉันไม่เห็นความแตกต่างของแต่ละฤดู ฤดูกาลทั้งหมดรวมเป็นหนึ่งเดียว เป็นความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในอก และไม่มีอะไรมากกว่านั้น” อ่านข้อความนี้จบ ฉันสัมผัสได้ถึงความทุกข์ทรมานที่คล้ายว่า ทุกสิ่งที่ผ่านข้ามาในชีวิตดูไม่ต่างกัน ไม่มีค่าอะไร เพราะการที่เรากำลังเป็นทุกข์ ไม่มีความสุข เราจะไม่มีความต้องการที่จะรับรู้อะไรทั้งสิ้น

ฉันอยากให้หลายคนได้อ่านเรื่องนี้โดยเฉพาะคนที่กำลังรู้สึกทุกข์ใจ เพราะเมื่อคนคนนั้นได้อ่านเรื่องราวของ การานา ใน เกาะโลมาสีน้ำเงิน เล่มนี้แล้ว ความทุกข์ของเขาเหล่านั้นอาจบรรเทาลงได้บ้างและอีกหลายคนที่ไม่ได้กำลังทุกข์ใจ ฉันก็ยังคงอยากให้พวกเขาได้อ่านอยู่ดี เพื่อลองรับฟังมุมมองใหม่ๆจากการใช้ชีวิต ได้มีข้อคิดดีๆ ไว้ใช้ในวันต่อๆไป

สุพิชญ์

ชีวิตไม่ได้มีไว้ให้ยอมแพ้


ชีวิตไม่ได้มีไว้ให้ยอมแพ้
ลูกปัด ปัทมสุคนธ์
พิมพ์ครั้งที่ 12
สำนักพิมพ์ใยไหม
172 หน้า ภาพประกอบ
159 บาท


คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ทุกครั้งที่ต้องเผชิญกับปัญหาแล้วไม่เคยร้องไห้ ไม่เคยเสียใจ ไม่เคยสิ้นหวัง และไม่เคยหมดกำลังใจ ฉันก็เป็นคนหนึ่งที่เคยร้องไห้เสียใจอย่างมากมายกับการเผชิญกับปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปพึ่งใคร หมดสิ้นกำลังใจที่จะต่อสู้ เอาแต่ร้องไห้และเก็บตัวอยู่ในห้อง มีเพียงหนังสือเท่านั้นที่เป็นเพื่อน แล้ววันหนึ่งฉันก็พบทางออก หนังสือเล่มหนึ่งที่ฉันเคยมองข้ามและไม่เห็นค่าความสำคัญ กลับเป็นดั่งมือที่ฉุดฉันให้ขึ้นมาจากความทุกข์เศร้า ให้ลุกขึ้นยืนพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างผู้ชนะ และไม่หันกลับไปมองความพ่ายแพ้ของวันวาน ชีวิตไม่ได้มีไว้ให้ยอมแพ้

ในโลกของการใช้ชีวิต ทุกคนถูกผลักให้ต้องต่อสู้ ถูกผลักให้ต้องแข่งขัน ถูกผลักให้ขึ้นไปสู่ “ไฟล์ทบังคับ” ที่ทำให้หลายคนหวาดหวั่น ท้อแท้ ใจฝ่อ จนอยากจะยกธงขาวยอมแพ้ แต่ติดอยู่ที่ว่าในเวทีชีวิตนั้น เราไม่สามารถยอมแพ้ทุกอย่างได้ “บนเส้นทางชีวิต เราจะแพ้ตลอดไปไม่ได้ ถ้าเราแพ้เราจะไปอยู่ตรงไหนของโลก”

ชีวิตไม่ได้มีไว้ให้ยอมแพ้ เป็นหนังสือเกี่ยวกับข้อคิด ชีวิต และกำลังใจ ที่ ‘ลูกปัด’ ได้ถ่ายทอดมุมมองของชีวิตโดยผ่านประสบการณ์ของตัวเอง ถ่ายทอดข้อคิดดีๆด้วยการใช้คำที่สวยงามและอ่อนโยน คำที่เลือกมาใช้นั้นแม้จะเป็นคำธรรมดาแต่กลับเป็นคำที่เต็มไปด้วยพลัง บางถ้อยคำมีมิติที่ลึกและกินใจ ‘ลูกปัด’ไม่ได้ปิดและบังคับให้ผู้อ่านต้องเชื่อและทำตาม แต่เธอได้เปิดโอกาสให้ผู้อ่านได้ต่อยอดความคิดเอาเอง เพื่อแก้ไขปัญหาตามประสบการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง เช่นเรื่อง “สนามชีวิต” ที่ว่า “คนฉลาดต้องรู้ว่าเมื่อไหร่ควรรุก เมื่อไหร่ควรถอย กับคนแต่ละคน สนามรบแต่ละสนาม ไม่จำเป็นต้องรบด้วยยุทธวิธีเดียวกันหรืออาวุธเดียวกัน กับข้าศึกบางจำพวก บางทีนักรบก็ชนะได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ดาบ” ลูกปัดได้เปิดโอกาสให้ผู้อ่านได้คิด และมีส่วนร่วมในการตีความว่าดาบนั้นหมายถึงอะไร เพราะทุกคนล้วนมีดาบหรืออาวุธในการแก้ปัญหาไม่เหมือนกัน

หนังสือเล่มนี้มีทั้งหมด 48 เรื่องย่อย แต่ละเรื่อคือแง่คิดดีๆที่นำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ เป็นกำลังใจที่ดีในยามที่ต้องเผชิญกับปัญหา ทำให้เราเข้มแข็งและสามารถยืนหยัดต่อสู้กับปัญหาอยู่ได้โดยไม่ย่อท้อ ในวันที่ฉันเจอกับปัญหา หนังสือเล่มนี้คือกุญแจที่ไขประตูให้ฉันได้เจอกับแสงสว่างอีกครั้งหนึ่ง 48 เรื่องย่อยมีเรื่องหนึ่งที่ฉันชอบและประทับใจมาก เพราะตรงตรงกับความรู้สึกของฉันในขณะนั้น อ่านแล้วทำให้ฉันมีกำลังใจและสามารถยิ้มออกมาได้ คือเรื่อง “ที่ยืนยังมีอยู่” ที่ว่า “วันที่อุปสรรคและปัญหาถาโถมมาสู่ชีวิต ได้กลายเป็นวันที่ความหวังอับแสงและเหมือนชีวิตมืดมน หลายคนเฝ้าตัดพ้อและคร่ำครวญว่าชีวิตไม่มีหนทางไป โลกไม่มีที่ให้อยู่ เหมือนไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า แค่ผลักประตูออกไปก็มีถนนมากมายรอยอยู่ตรงหน้า มีสิ่งใหม่ๆในชีวิตอีกร้อยพันอย่างให้เรียนรู้ มีความหวัง ความฝันมากมายรอให้ไขว่คว้า มีมือใครต่อใครอีกมากมายที่ยื่นมาให้เราเกาะเพื่อลุกขึ้น มีดวงตะวันดวงใหญ่ที่ฉายแสงอยู่ในทุกๆเช้า อย่างนี้แล้วโลกจะมืดมนตรงไหน จะไม่มีทางไปตรงไหน โลกไม่มีที่ให้อยู่ตรงไหน หรือถ้าโลกไม่มีที่ให้อยู่จริงๆ ไม่มีที่จะอยู่จริงๆ ก็อยู่ไปก่อนตรงที่เท้ายืน...”

จุดเด่นของหนังสืออีกประการหนึ่งก็คือ ทุกหัวข้อจะพูดถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาทุกครั้ง แล้วจึงค่อยแนะนำวิธีการแก้ปัญหาอย่างเปิดกว้าง โดยมีเหตุผลมาสนับสนุนวิธีคิดในทุกๆข้อ และก็มีภาพประกอบที่สวยงาม แต่ละภาพมีความสัมพันธ์กับเรื่องที่เขียน ซึ่งเป็นการสื่ออารมณ์โดยผ่านภาพ ทำให้ผู้อ่านรู้สึกผ่อนคลาย และสามารถปล่อยอารมณ์ให้โลดแล่นไปกับเรื่องที่อ่านได้อย่าง
เพลิดเพลิน

ชีวิตไม่ได้มีไว้ให้ยอมแพ้เปรียบชีวิตเหมือนกับการเดินทาง และโลกใบนี้ก็เป็นเหมือนถนนที่ทอดสายให้เราเลือกและทดลองเดิน ซึ่งถนนแต่ละสายก็มีความแตกต่างกัน บางสายก็ราบเรียบ บางสายก็ขรุขระ แต่ไม่ว่าถนนข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวมากกว่าที่เป็น เพราะโลกไม่ได้แย่ขนาดนั้นและชีวิตก็ไม่ได้โหดร้ายจนไม่ทิ้งแผนที่และเข็มทิศไว้ให้เรา “ไม่มีถนนสายไหนที่ไม่ให้บทเรียน และไม่มีถนนสายไหน ทำให้เราตกลงไปในหุบเหวจนปีนขึ้นมาไม่ได้”

ณ วันหนึ่งที่ชีวิตมีปัญหาเข้ามาถึง หนังสือเล่มนี้จะเป็นเหมือนกุญแจที่สามารถช่วยให้เราแก้ปัญหาด้วยสติปัญญาและกำลังใจที่ไม่ยอมแพ้ตัวเอง

“ในวันหนึ่งที่ร้องไห้....
หากทำได้เพียงแค่สะอึกสะอื้นและคร่ำครวญ
จะฝัน จะเฝ้ารอคอยให้ใครเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาให้
หากมือของตัวเองแนบอยู่ข้างลำตัว
แล้วยังปล่อยให้น้ำตาตัวเองไหลริน”

Weak Today, Strong Tomorrow.

สุกานดา

เที่ยวบินยามเช้า เรียนรู้โลกภายในด้วยหัวใจแสวงหา


เที่ยวบินยามเช้า เรียนรู้โลกภายในด้วยหัวใจแสวงหา
ชมัยภร แสงกระจ่าง
สำนักพิมพ์คมบาง
๒๑๖ หน้า ภาพประกอบ
๘๐ บาท


คงไม่มีนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากร คณะอักษรศาสตร์ชั้นปีที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๔๙ คนใดที่ผ่านชีวิตน้องใหม่มาได้โดยไม่รู้จักนิยายเรื่อง กุหลาบในสวนเล็กๆ ของคุณชมัยภร แสงกระจ่าง เป็นแน่ เหตุเพราะเป็นหนังสือบังคับอ่านนอกเวลาในรายวิชา การใช้ภาษาไทย เนื้อเรื่องนั้นเกี่ยวกับชีวิตนักศึกษาที่ชื่อ “เพลิน” ผู้ค้นพบแนวคิดใหม่ๆ จากบุคคลรอบกายและจากหนังสือหลายเล่มที่ได้รับการเอ่ยนามใน นวนิยายเรื่องนี้ ซึ่งทำให้ผู้อ่านได้เรียนรู้ไปพร้อมๆ กับเพลินด้วย ไม่นานผมก็รับหนังสืองานเขียนของ คุณชมัยภร เรื่อง “เที่ยวบินยามเช้าฯ” มาครอบครองโดยบังเอิญอีกเล่มหนึ่ง จากการประกวดอ่านบทละครของภาควิชาภาษาไทย ประจำปี ๒๕๔๙

หนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในหนังสือเล่มจำนวน ๑๕ เล่ม ที่จัดทำขึ้นในโครงการวรรณกรรมเพื่อสร้างภูมิคุ้มใจเยาวชน เนื่องในวาระเฉลิมฉลองครบ ๑๐๐ ปี ชาตกาลท่านพุทธทาสภิกขุ ในวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๔๙ โดยมีเป้าหมายที่จะปลูกฝังธรรมะของพระพุทธองค์แก่เยาวชนไทยเพื่อให้มีจิตสำนึกทางพุทธธรรมและภูมิคุ้มกันทางใจที่จะทำให้ชีวิตมีคุณค่ากับตัวเองและสังคมโดยรวม ซึ่งนับเป็นวรรณกรรมคู่มือการเรียนรู้ชีวิตที่เหมาะยิ่งกับวัยรุ่นไทยสมัยนี้

เรื่องราวถ่ายทอดผ่านตัวละครชื่อ “นก” หนุ่มน้อยวัย ๑๕ ปี ที่ไม่พอใจกับข่าวการแต่งงานใหม่ของแม่ที่จะมีขึ้นในไม่ช้าหลังจากที่พ่อของเขาได้จากไปเป็นเวลา ๕ ปี เขาคิดว่าตำแหน่งคนสำคัญที่สุดของแม่นั้นคงไม่ใช่เขาต่อไปแน่ หากแต่จะเป็นพ่อเลี้ยงใหม่ของเขา จึงได้วางแผนหนีออกจากบ้านโดยยังไม่รู้จุดหมายปลายทาง ไม่นานขาก็เลือกที่หมายได้ด้วยเหตุผลที่เป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตของเขามากที่สุด

ระหว่างทางนั้นนกได้พบชีวิตหลากหลายผ่านหน้าต่างรถไฟ เขาเพิ่งได้เจาะไข่ในหินออกมาดูโลกกว้างโดยลำพังก็วันนี้นี่เอง แล้วเขาก็ได้พบหญิงสาวท่าทางมอมแมมผู้เป็นเพื่อนใหม่ในการเดินทางครั้งนี้ ทั้งคู่ลงรถไฟที่ชลบุรีแล้วเดินทางไปที่อำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี หมายที่จะตามหายายของ “สอยดาว” อันเป็นชื่อเพื่อนร่วมทางที่นกเพิ่งทราบหลังจากซักไซ้ไล่เลียงอยู่หลายหน วี่แววที่จะพบยายของสอยดาวนั้นช่างลำบากเสียยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร จนกระทั่งได้มาอยู่ในป่า ได้มาใช้ชีวิตกับปู่ผมยาวในป่า นก ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตและข้อขบคิดแห่งการเป็นมนุษย์อย่างที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนในชีวิตเด็กเมือง จนทำให้เขาเข้าใจโลกมากขึ้นและคิดที่จะกลับบ้านไปอยู่กับแม่ผู้ที่รักเขามากที่สุด

เหตุที่ผมเกริ่นถึงเรื่อง กุหลาบในสวนเล็กๆ ในตอนต้นนั้น ก็เพราะทำให้ผมเห็นลักษณะงานเขียนของคุณชมัยพรที่คล้ายคลึงกัน ทั้งกุหลาบในสวนเล็กๆ และเที่ยวบินยามเช้านั้นเสมือนวรรณกรรมต่อยอด คือ ไม่เพียงถ่ายทอดเรื่องราวของหนังสือนั้นๆ เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีการยกชื่อหนังสือต่างๆ มาเป็นคติ
สอดแทรกในเรื่อง ดังที่จะเห็นว่าเรื่องนี้มีการกล่าวถึงผลงานของ Antoione De Saint Exupery กวีชาวฝรั่งเศส เรื่อง “เจ้าชายน้อย” ที่พ่อให้นกอ่านในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่ และ “เที่ยวบินกลางคืน” ที่นกอ่านเองเมื่อโตขึ้นมาแล้ว และกล่าวถึงตัวละครที่เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตอย่าง “คุณปู่ฟูกุโอกะ” ในเรื่องปลูกต้นไม้ของญี่ปุ่น หรือ “ดุสิต โตมิกรณ์” จากเรื่องสงครามแห่งชีวิต เป็นต้น รวมถึง “หนังสือเล่มใน”ของท่านพุทธทาส เสมือนการบูรณาการวรรณกรรมหลากหลายมาไว้ในหนังสือเล่มเดียวกัน

การดำเนินเรื่องยังแสดงให้เห็นการพัฒนาของมนุษย์ตามหลักอริยสัจ ๔ โดยเริ่มต้นจากปัญหา (ทุกข์) แล้วนำไปสู่การเล็งเห็นแล้วคิดที่จะแก้ปัญหา (สมุทัย) เมื่อคิดได้ก็ปฏิบัติ (นิโรธ) แล้วก็พบกับความสำเร็จ (มรรค) บางครั้งอาจผิดถูกคละเคล้ากันไปบ้าง นั่นก็สอดคล้องกลับชื่อเรื่องรองที่ว่า “เรียนรู้โลกภายในด้วยหัวใจแสวงหา” ส่วน “เที่ยวบินยามเช้า” นั้นก็เป็นการตั้งชื่อเปรียบกับ “เที่ยวบินกลางคืน” ที่มีความเหมือนกันในด้านการเผชิญปัญหา แต่แตกต่างกันที่ปัญหาของนกเป็นเรื่องของเที่ยวบินยามเช้าที่ทัศนวิสัยนั้นไม่มืดมนเท่าไร แต่ “ฟาเบียง” ในเที่ยวบินกลางคืนนั้นเป็นปัญหาที่หนักหนาถึงกับต้องหลุดพ้นด้วยชีวิต ทำให้นกเข้าใจว่าคนที่ทนทุกข์กับปัญหานั้นไม่ใช่แค่นกเท่านั้น แต่ยังมีคนอีกมากมายที่ลำบากเสียยิ่งกว่าเขาอีก

ผมคงเสียดายแย่หากเพียงเทิดทูนรางวัลชิ้นนี้เพียงไว้บนชั้นหนังสือโดยไม่เปิดอ่าน เที่ยวบินยามเช้าผู้โดยสารให้เพลินเพลินพร้อมกับข้อขบคิดมากมาย ทั้งยังกระตุ้นให้ผู้อ่านอยากอ่านหนังสือเล่มอื่นๆ ต่อไปเรื่อยๆ อีก เที่ยวบินเที่ยวนี้ยังรอให้ผู้โดยสารมาใช้บริการโดยไม่จำกัดจำนวน
“ขโณ โว มา อุปจฺจคา อย่าปล่อยกาลเวลาให้ล่วงไปโดยเปล่าประโยชน์” ลองใช้เวลาเพียงเล็กนเรียนรู้ชีวิตที่แท้จริงดูจากหนังสือเล่มนี้ เพื่อคุณจะได้เข้าใจวิถีแห่งมนุษย์มากขึ้น

สิทธิเดช

ขอเพียงได้รัก


เรื่อง ขอเพียงได้รักผู้เขียน อิชิคาวะ ทาคุจิแปล สมเกียรติ เชวงกิจวณิช
ปีพิมพ์ 2/2549
จำนวนหน้า ปกอ่อน/ 172 หน้า
ราคาปกติ 155 บาทISBN 974-9966-60-0


"มาโคโตะ" หนุ่มมาดขรึม รูปร่างสูง ผอมบาง ความลับของเขาคือเป็นโรคเกี่ยวกับผิวหนัง มักจะคันตลอดเวลา เขาจึงต้องทายาจากอิสราเอลที่มีกลิ่นฉุน คล้ายยีสต์ผสมกับเครื่องสำอางค์ ด้วยความกลัวเพื่อนรังเกียจ เขาจึงหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้อื่น โดยเต็มใจจะเป็นผู้ที่ยืนใต้ลม และเขาตั้งปณิธานว่าจะไม่ใช้มือถือตลอดชีวิตอีกด้วย มาโคโตะรักการถ่ายภาพ เขามีความใฝ่ฝันว่าอยากจะทำงานในสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง เขียนเรื่องท่องเที่ยว รวมทั้งถ่ายภาพประกอบ เหนือสิ่งอื่นใด มาโคโตะไม่เคยรู้จักคำว่า “รัก” มาก่อน จนมาพบกับมิยูกิและชิสึรุ เมื่อเขาเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย

"มิยูกิ" สาวสวยที่อาจเรียกได้ว่าเป็นดาวคณะ เธอเป็นคนอ่อนหวานและจิตใจงดงาม เป็นที่รักของเพื่อนๆ เรียกว่าคุณสมบัติเธอเพียบพร้อมไปเสียทุกอย่าง แต่เธอกลับตกหลุมรักมาโคโตะ หนุ่มทึ่ม และสุดแสนจะซื่อบื้อในหมู่เพื่อนๆ


"ชิสึรุ" เด็กสาววัยรุ่นที่ดูไม่เหมือนวัยรุ่น เนื่องจาก ฟันน้ำนมยังหักไม่หมด และหน้าอกกเธอยังไม่ขึ้น เธอมักชอบสวมเสื้อสม็อกสีเทาๆ นี่เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เธอยังดูเด็กอยู่เสมอ ร่างกายของเธอไม่เติบโตเท่าเพื่อนสาววัยเดียวกัน เพราะไม่ชอบกินอะไรนอกจากโดนัทบิสกิตเท่านั้น เธอไม่ชอบใช้มือถือเหมือนมาโคโตะ เธอไม่ค่อยมีเพื่อน แต่อย่างน้อยก็มีสาวหน้ากว้าง สาวร่างโย่ง และมาโคโตะเพียงสามคนเท่านั้น ที่สำคัญเธอยังชอบโกหก เพราะว่าเธอมีความลับบางอย่างที่บอกใครในโลกนี้ก็คงไม่เข้าใจ คงเป็นเพราะแม่และน้องชายของเธอต้องเสียชีวิตด้วยโรคประหลาด และมันจะเกิดขึ้นหลังจากที่พวกเขารู้จักคำว่า "รัก"

ความรักวุ่นๆของคนสามคนเกิดขึ้น เพราะมาโคโตะตกหลุมรักมิยูกิ โดยไม่รู้ว่ามิยูกิก็แอบชอบมาโคโตะอยู่เช่นกัน ในขณะที่ชิสึรุก็รักมาโคโตะ และในขณะเดียวกันชิสึรุไม่อยากทำร้ายความรัก(ข้างเดียว)ของมาโคโตะที่มีต่อมิยูกิ เธอจึงให้ความช่วยเหลือมาโคโตะในทุกๆเรื่องที่เธอสามารถทำได้ แม้จะช่วยทั้งน้ำตาแต่ก็เต็มใจที่จะทำ เรื่องราวผ่านไปหลายปีจนพวกเขาเรียนจบ ต่างแยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง เวลาทำให้ทุกคนรู้ใจตัวเอง เวลาก็ไม่เคยนั่งคอยใคร เวลาเดินไปเรื่อยๆ และความสูญเสีย ทำให้พวกเขารู้ค่าของคำว่า “เวลา” แต่ความรักและความผูกพันธ์ยังคงประทับอยู่ในหัวใจของพวกเขาตลอดไป....

ขอเพียงได้รัก เป็นวรรณกรรมแปลจากประเทศญี่ปุ่น ผู้เขียนคืออิชิคาวะ ทาคุจิ ผลงานการเขียนของเขา เคยสร้างความประทับใจมาแล้วใน แล้วฉันจะกลับมา Be with You (Ima, ai ni yukimasu) ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ สามารถสร้างความเศร้าสะเทือนใจเกี่ยวกับความรักของวัยรุ่น เรียกน้ำตามาแล้วทั้งในและนอกประเทศญี่ปุ่น ผู้แปลคืออาจารย์มสมเกียรติ เชวงกิจวณิช อาจารย์คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประจำสาขาวิชาญี่ปุ่นศึกษา

หน้าปก ขอเพียงได้รัก ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังยืนอยู่ในฉากหลังสีเขียวสด รูปๆนี้เป็นฉากหนึ่งในเนื้อเรื่อง สาเหตุที่ใช้รูปนี้เพราะว่าเป็นเหตุการณ์ที่น่าจดจำของมาโคโตะและชิสึรุ เป็นจุดเริ่มต้นของเขา และเป็นบทสรุปของเธอ


เนื้อเรื่องดำเนินไปไม่สลับซับซ้อน เดินเรื่องตามลำดับเวลา เกี่ยวกับความรักของชายหนุ่มคนหนึ่งและหญิงสาวสองคนที่แอบรักเพื่อน ทั้งที่บางคนไม่รู้ตัว แล้วเพิ่งมารู้ใจตัวเองภายหลังและบางคนที่รู้อยู่เต็มอก แต่ไม่ใส่ใจ การผูกเรื่องเป็นไปอย่างน่าสนใจ โดยให้ตัวละครมีบุคลิกและลักษณะที่แปลก อย่างเช่นชิสึรุ มีความลึกลับ น่าค้นหา ว่าตัวเธอนั้นมีสิ่งใดซ่อนไว้ เธอชอบโกหกเพราะอะไร สาเหตุที่แม่และน้องชายเสียชีวิตเชื่อมโยงกับเธออย่างไร นอกจากนี้ฉากและบรรยากาศของเรื่องจะเป็นฉากในมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นภาพของมิตรภาพ และความสดใส ความผูกพันธ์ระหว่างเพื่อนๆ ทำให้ไม่น่าเบื่อ ภาษาที่ใช้เป็นระดับภาษาสนทนาและระดับกันเอง

คุณค่าของคำว่า “เวลา” เป็นข้อคิดที่ได้จากวรรณกรรมเรื่อง ขอเพียงได้รัก การทำอะไรเพื่อคนที่เรารัก ควรรีบทำก่อนที่จะสายเกินไป ความเสียสละเป็นอีกข้อคิดหนึ่งที่น่าประทับใจ ความรักที่บริสุทธิ์ ไม่หวังผลประโยชน์ใดเคลือบแคลงของชิสึรุ เป็นสิ่งที่น่ายกย่อง นอกจากนี้ยังเห็นถึงความผูกพันธ์ของกลุ่มเพื่อนที่แม้จะแยกย้ายกันเดินไปตามทางของตัวเอง แต่ยังติดต่อหากัน ถามไถ่กันเสมอ อาจกล่าวได้ว่า ขอเพียงได้รัก คือเรื่องราวของความรักที่บริสุทธ์อย่างแท้จริง

ขอเพียงได้รัก เป็นวรรณกรรมแปลเล่มหนึ่งที่น่าสนใจ ด้วยเนื้อหาที่เข้าใจง่าย ตัวละครน่าติดตาม และข้อคิดที่ดี ที่ทำให้ผู้อ่านซาบซึ้งใจไปกับความผูกพันธ์และและความรักอันบริสุทธิ์ของพวกเขา แล้วคุณจะรู้ว่า ขอเพียงได้รัก ก็เพียงพอแล้ว


สริญลา

ติสตู นักปลูกต้นไม้


ชื่อหนังสือ : ติสตู นักปลูกต้นไม้
ผู้แต่ง : โมรีส ดรูองผู้แปล: อำพรรณ โอตระกูลปีที่พิมพ์: กรกฎาคม 2544จำนวนหน้า: 164 หน้า
สำนักพิมพ์ : ผีเสื้อ

ผู้ที่เคยประทับใจกับเรื่อง 'เจ้าชายน้อย' วรรณกรรมอมตะของนักเขียนชาวฝรั่งเศส แซง เตกซูเปรี เรื่อง 'ติสตู นักปลูกต้นไม้' เรื่องนี้ก็สามารถเชื่อว่าน่าจะทำให้ ผู้อ่านประทับใจได้ไม่แพ้กัน ทั้ง 'เจ้าชายน้อย' และ 'ติสตู นักปลูกต้นไม้' ถ่ายทอดเป็นภาษาไทยโดย อำพรรณ โอตระกูล ซึ่งได้รับยกย่องเป็นดั่งทูตวรรณกรรมฝรั่งเศสแห่งประเทศไทย ด้วยความเชี่ยวชาญในภาษาฝรั่งเศสอันเป็นที่ยอมรับ


ติสสตู นักปลูกต้นไม้ เป็นเรื่องของเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ผู้ซึ่งไม่ยอมให้พวกผู้ใหญ่อธิบายความเป็นไปในโลกโดยใช้ความคิดสำเร็จรูป ติสตูจะนอนหลับในห้องเรียนทุกครั้งที่ผู้ใหญ่จะใส่ความคิดสำเร็จให้แก่เขา ติสตู ทำให้เราเห็นว่าเด็กๆนั้นมีดวงตาคู่พิเศษ มองสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะป็นคนหรือสิ่งของแตกต่างไปจากผู้ใหญ่ ที่ถูกความเคยชินครอบงำ เมื่อ ติสตู เรียนถึงบทเรียนว่าด้วยเมืองและระเบียบเขาเห็นสถานที่หนึ่งมีกำแพงมหึมาไม่มีหน้าต่างแม้แต่บานและบนกำแพงก็มีเหล็กปลายแหลมเสียบไว้โดยรอบ 'ถ้าคุกน่าเกลียดน้อยกว่านี้' ติสตูพูด 'บางทีนักโทษคงไม่อยากหนีเท่าไหร่นัก' ติสตูไม่ใช่เด็กเล็กๆ ธรรมดา ความพิเศษของเขาอยู่ที่พรสวรรค์ในการปลูกต้นไม้ ไม่ว่าติสตูจะนำหัวแม่มือปักลงไปที่ใด ดอกไม้ก็จะผลิบานสวยงาม ติสตูค้นพบว่าดอกไม้สามารถสกัดกั้นความชั่วร้ายได้ พรสวรรค์ของเขาจึงไม่เพียงนำความสวยงามให้โลก แต่ยังนำความหวังมาสู่ผู้ที่ไร้กำลังใจ นำความรักมาในที่ๆ มีความเกลียดชังนำบ้านมาสู่ผู้ร้างเรือนนอนแล้วภารกิจของติสตูก็เริ่มขึ้น เขาลงมือปลูกต้นไม้ ทำให้คุก โรงพยาบาล ชุมชนแออัด เป็นสถานที่น่าอยู่ด้วยต้นไม้ ดอกไม้ ติสตูค้นพบสิ่งที่วิเศษอย่างหนึ่งสิ่งนั้นคือ ดอกไม้ เป็นสิ่งที่สามารถสกัดกั้นความชั่วร้ายได้โดยปกติแล้วเด็กทุกคนกระตือรือร้นที่จะปฏิบัติตนเพื่อสาธารณประโยชน์เมื่อตอนเขาเป็นผู้ใหญ่เพื่อกระทำการนั้นแต่สำหรับติสตูแล้ว เขาลงมือกระทำการโดยไม่ต้องรอเป็นผู้ใหญ่เพื่อที่จะไม่ลืมความตั้งใจนั้น


'ติสตู นักปลูกต้นไม้' แฝงทั้งแง่คิด ปรัชญา ความคิดที่สวยงามผ่านดวงตาพิเศษของเด็กชายตัวน้อยนาม ติสตู ซึ่งคุณจะเอ็นดูเขาไม่แพ้ 'เจ้าชายน้อย' เลย
เรื่องราวนี้พิเศษกว่าวรรณกรรมเยาวชนธรรมดา เพราะมิได้เสนอแต่เนื้อหาบันเทิงที่เคลือบด้วยน้ำตาลบอกให้เราทราบถึงความคิดยิ่งใหญ่และลึกซึ้งกว่านั้น โดยเฉพาะเกี่ยวกับความคิดสำเร็จรูปของผู้ใหญ่ในเรื่องต่างๆ ที่มักเกิดขึ้นโดยขาดการไตร่ตรอง เพียงแต่มีขึ้นตามๆ กัน เพราะเป็นระบบความคิดที่มีมานานแล้ว แต่โลกทัศน์ของติสตูมิได้เป็นเช่นนั้น เขาเป็นเด็กเล็กๆ ไร้เดียงสา ความคิดของติสตูจึงทำให้ผู้ใหญ่บางคนส่ายหัว เพียงเพราะว่าติสตูคิดต่างออกไปเท่านั้นเอง


นิทานส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องของเจ้าชายที่ร่ำรวยทรัพย์และเพชรนิลจินดา โดยไม่มีคำอธิบายว่าทรัพย์สินนั้นมาจากไหน ผู้ฅนในเมืองล้วนแต่สุขแจ่มใส หากจะมีความทุกข์บ้าง ก็มักเป็นเรื่องที่แก้ไขให้หมดไปโดยง่าย เช่นคิดถึงลูกที่อยู่เมืองไกล หรือเศร้าสร้อยใจร้ายเพราะอยู่ตัวฅนเดียว แต่นิทานมักไม่บอกถึงชาวนาที่ถูกนายทุนยึดที่ดินทำกิน หรือฅนที่ต้องเจ็บป่วยอนาถาเพราะไร้เงินรักษาพยาบาล หากนิทานจะกล่าวถึงสงคราม ก็มักละเลยที่จะเล่าว่าสงครามทำให้บางฅนต้องสูญเสียแขนขาหรือชีวิต ทำให้บ้านเมืองถูกเผาทำลาย และคนจำนวนมากไร้บ้าน ทำให้หญิงบางคนเป็นม่าย และทำให้เด็กส่วนหนึ่งกำพร้าพ่อ หากนิทานจะกล่าวถึงคุกและสลัม ก็มักแตะต้องแต่เพียงผิวเผิน ไม่ให้ความดิ้นรนนั้นชัดเจนเป็นชีวิตชีวานัก เพราะนิทานมักบอกเรื่องราวสวยงามและความสุขใจมากกว่าจะกล่าวถึงชีวิตจริง และนิทานที่บอกเรื่องราวจริงในโลกก็อาจโหดร้ายเกินไปสำหรับเด็กแต่ติสตูไม่ใช่นิทานเด็กที่มีแต่สีสวยงามจำพวกนั้น เมื่อเราได้รู้จักติสตู เราจะรู้ว่าพ่อแม่ของเขาร่ำรวยมาก อาศัยในบ้านหรูหรา มีรถยนต์จำนวนมากที่ต่างแวววับจนดูเหมือนพระราชวังกระจก มีม้างามเอาไว้ประดับทัศนียภาพในสนาม พ่อแม่ของติสตูหล่อและสวย ติสตูเป็นเด็กที่เกิดมาพรั่งพร้อมบริบูรณ์ แต่เราก็ได้รู้เช่นกันว่าความมั่งคั่งนี้ เป็นเพราะบิดาของติสตูเป็นพ่อค้าอาวุธสงคราม ติสตูค่อยๆ เรียนรู้โลก และพบว่าคุณพ่อผู้ใจดีและอ่อนโยนที่รักเขาอย่างยิ่ง กลับไม่ได้นึกถึงเด็กฅนอื่นๆ ที่อาจเป็นกำพร้าเพราะอาวุธของพ่อเลย


เนื้อหาที่ฟังดูหนักแน่นกว่านิทานเด็กธรรมดานี้ไม่ได้ทำให้เรื่องนี้สาหัสหรือหม่นหมองเกินกว่าจะให้เด็กอ่าน ผู้เขียนเล่าเรื่องได้น่ารักและไร้เดียงสา ไม่ได้แฝงแววบีบคั้นให้เราต้องหดหู่ในความโหดร้ายของโลก เพียงแต่เล่าเรื่องราวไปด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ ซ่อนร่องรอยของเนื้อหาหนักนี้แนบเนียน นำเสนอได้อย่างบริสุทธิ์สดใส ในเนื้อเรื่องนั้นสวยงามรื่นรมย์ คลี่คลายด้วยความสุข นิทานเยาวชนเรื่องนี้จึงน่าประทับใจ เพราะนอกจากจะให้ความบันเทิง ยังมีแง่คิดที่ดีหลายประการ หนังสือเล่มนี้ยังน่าจะเป็นที่รักสำหรับทุกฅนที่มีความเป็นเด็กหลงเหลือในตัวอีกด้วย


เมื่อได้รู้จักติสตู เราอาจจะสนใจ โมรีส ดรูอง ผู้แต่งขึ้นบ้างแล้ว ว่าเหตุใดเขาจึงเขียนนิทานเด็กได้พิเศษไปกว่านิทานทั่วๆ ไปเช่นนี้ ติสตูเป็นนิทานเด็กเรื่องเดียวที่เขาเขียน เขาสร้าง ติสตู เป็นตัวละครเด็กผู้แปลกไปกว่าเด็กอื่นๆ เพราะติสตูไม่ยอมให้ผู้ใหญ่อธิบายเรื่องราวของโลกโดยใช้ความคิดสำเร็จรูปทื่อๆ ของผู้ใหญ่ เขาบอกว่า


"ในชีวิตประจำวัน ข้าพเจ้าไม่เคยเลยที่จะพูดกับเด็กๆ ด้วยเสียงและสำนวนแบบเด็ก ข้าพเจ้าไม่คิดว่าเด็กจะโง่เขลาเสียจนกระทั่งข้าพเจ้าต้องทำเป็นโง่ไปด้วย เพื่อจะได้เข้าใจกัน สมัยที่ข้าพเจ้าเป็นเด็ก เมื่อมีคนมาใช้วิธีไม่ดีนี้กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะโกรธฉุนเฉียวมาก และแน่ละ ข้าพเจ้ามักคิดโดยไม่กล้าพูดออกมาว่า 'ดูซิ นายคนนี้โง่จริงๆ ที่รู้สึกว่าต้องนั่งยองๆ เพื่อจะได้ดูเหมือนว่าตัวขนาดเดียวกับฉัน'

คงไม่ต้องบอกว่าเนื้อหาอย่างสมบูรณ์ในหนังสือเล่มนี้จะเป็นที่ประทับใจยิ่งกว่าแนวคิดของผู้เขียนที่ได้หยิบยกมาข้างต้นพอที่จะทำให้ผู้อ่านหลายท่านเกิดความสนใจได้มากเพียงใดหรือเป็นการถ่ายทอดความนึกคิดและปรัชญาที่เต็มไปด้วยอีกแง่มุมหนึ่งของเด็กที่เราไม่เคยประสบมากหรือมองผ่านมาก่อนเพี่ยงแต่รอให้ผู้อ่านทุกท่านพิสูจน์และพบความเป็นหนังสือที่ขายความเป็นตัวตนของโลกปรัชญาอย่างง่ายๆผ่านความบริสุทธิ์ของพฤติกรรมเด็กที่เป็นตัวถ่ายทอดได้อย่างไร้เดียงสาและพร้อมที่เข้าไปอยู่ในหัวใจของผ็อ่านทุกเมื่อเพียงหยิบและพลิกอ่าน ติสตู นักปลูกต้นไม้

สมัชญ์

ซอยเดียวกัน


รวมเรื่องสั้น ซอยเดียวกัน
ผู้เขียน วาณิช จรุงกิจอนันต์
ปีที่พิมพ์ ๒๕๔๓
สำนักพิมพ์ บูรพาสาส์น จำกัด


รวมเรื่องสั้น “ ซอยเดียวกัน ” เป็นผลงานของ วาณิช จรุงกิจอนันต์ ก่อนได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ของประเทศไทยประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๗ นั้น เรื่องสั้นที่รวบรวมอยู่ในหนังสือเล่มนี้ล้วนแล้วแต่ถูกตีพิมพ์ในว่ารสารต่างๆ เช่น นิตยสารสตรีสาร นิตยสารผู้หญิง นิตยสารลลนา นิตยสารชาวกรุง นิตยสารเอ็กซ์คลูซิฟ เป็นต้น

ในด้านรูปแบบคำประพันธ์นั้นมีถึง ๒ แบบด้วยกัน คือเป็นเรื่องสั้น ๑๕ เรื่อง และบทกวีนิพนธ์ ๑ ชุด มีจำนวน ๕ เรื่องย่อย ส่วนในด้านเนื้อหานั้นก็มีมากมายหลายรูปแบบ เรียกได้ว่า หนังสือเพียงเล่มเดียว แต่ทำให้ผู้อ่านรู้สึกได้เลยว่า “ครบรส” อีกทั้งราคาก็สบายๆกระเป๋า เพียง ๘๐ บาท แต่คุณค่าภายในเล่มนั้นคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม

เรื่องราวที่ผู้เขียนได้ถ่ายทอดลงในหนังสือเล่มนี้นั้น มีหลากหลายแนวดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นแนวการเขียนที่แสดงให้เห็นถึงความคิดเห็นทางการเมืองที่นักเขียนมีจุดยืนของตนเองอย่างมั่นคง ซึ่งเห็นได้ชัดในเรื่องโนรี เรื่องซ้ายล่าสุด และ เรื่อง ๑๒๕ ผีและมวลชนผู้ทุกข์ยาก รวมถึงบทกวีนิพนธ์ ชุด คืนรัง แนวการเขียนที่แสดงให้เห็นถึงสภาพสังคมเมือง รวมถึงผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองซึ่งถูกสังคมบริโภคนิยมครอบงำ เช่น เรื่องเมืองหลวง เรื่องเวลานัด เรื่องมิชิแกนเทสต์ และ เรื่องบ้านเราอยู่ในนี้....ซอยเดียวกัน แนวการเขียนที่แสดงให้เห็นถึงการดิ้นรนต่อสู้ของคนชนชั้นล่างของสังคมที่ถุกเอารัดเอาเปรียบจากชนชั้นนายทุน เช่น เรื่องสี่สิบห้าบาท เรื่องครกกับสาก แนวการเขียนที่แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมดั้งเดิม ความลี้ลับ รวมไปถึงเรื่องของ บาป บุญ คุณ โทษ ดังที่เห็นใน เรื่องกา เรื่องเพลงใบไม้ เรื่องผาติกรรม เรื่องภาพเขียนที่หายไป และแนวการเขียนเกี่ยวกับการวิจารณ์การศึกษารวมถึงบุคลากรทางการศึกษาที่ไม่มีคุณภาพ ซึ่งจะเห็นได้ในเรื่อง ที่นี่...มหาวิทยาลัย

จะเห็นได้ว่า วาณิช จรุงกิจอนันต์ นั้น เป็นนักเขียนที่มีความสามารถมากจนหาตัวจับได้ยากเลยทีเดียว เนื่องจากเขาสามารถถ่ายทอดเรื่องราวรอบๆตัวออกมาเป็นงานขียน เช่น ในเรื่องเวลานัด ที่ผู้เขียนสามารถที่จะเก็บเอาเรื่องราวบนรถโดยสารประจำทางที่เกิดขึ้นจริงมาเล่าผ่านตัวหนังสือ จนทำให้ผู้อ่านรู้สึกประหนึ่งว่าตนร่วมอยู่ในรถคันเดียวกับเขาด้วย อีกทั้งจะเห็นว่าผู้เขียนนั้นมีความคิดทั้งด้านอนุรักษ์นิยม ความเชื่อดั้งเดิม และด้านความคิดสมัยใหม่รวมอยู่ในคนๆเดียว จะเห็นได้จากเรื่อง กา ที่เล่าถึงเรื่องของบาปกรรม ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมากกับเรื่องโนรี ซึ่งเป็นแนวความคิดทางการเมืองสมัยใหม่ของยุคนั้น

ในด้านของการใช้ภาษานั้น วาณิช จรุงกิจอนันต์ นั้นสามารถถ่ายทอดออกมาได้ดีในด้านของการบรรยายให้เห็นภาพตาม เสมือนว่าเราอยู่ในเรื่องด้วย ไม่ว่าจะเป็นการบรรยายฉากของชนบท ในเรื่อง เพลงใบไม้ หรือ ฉากในตัวเมือง ซึ่งเกิดในเรื่องเมืองหลวง หรือการใช้คำเปรียบแบบบุคลาธิษฐาน แบบอุปมาอุปมัย ซึ่งจะเห็นได้ชัดในเรื่องบ้านเราอยู่ที่นี่...ซอยเดียวกัน

ไม่น่าเชื่อเลยว่าหนังสือเล็กๆที่มีความหนาเพียง ๑ เซนติเมตรเล่มนี้ จะอัดแน่นไปด้วยคุณภาพจนคับเล่ม เหมาะสำหรับทุกท่านที่ต้องการความบันเทิงแต่ไม่ไร้สาระ หากใครได้ลองอ่านหนังสือเล่มนี้เพียงแค่ ๔- ๕ หน้า รับรองว่าท่านจะวาง “ รวมเรื่องสั้น...ซอยเดียวกัน” ไม่ลงเลยทีเดียว หรืออาจจะติดอกติดใจจนกลายเป็นหนังสือข้างหมอนไปได้ในที่สุด


ศศิกานต์