วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2551

แสงสว่างเล็กๆ

ทรัพย์อนันต์

หากพูดถึงภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับผู้ป่วยโรคจิตแล้วหลายท่านคงนึกถึงผู้ป่วยที่เป็นโรคจิตในทางลบ เพราะมักมีภาพยนตร์หลายเรื่องที่นำเสนอด้านลบของผู้ป่วยโรคจิต จนทำให้ “ผู้ป่วยโรคจิต” กลาเป็นคนที่น่ากลัว และไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกับคนปกติได้ แต่ก็มีภาพยนตร์ไม่น้อยที่นำเสนอชีวิตด้านบวกของผู้ป่วยโรคจิต

“shine” สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1996 กำกับภาพยนตร์โดย Scott Hicks บทภาพยนตร์โดย Scott Hicks และ Jan Sardi

ภาพยนตร์เปิดเรื่องด้วยภาพของชายคนหนึ่งที่พูดคนเดียว และพูดเร็วจนจับใจความไม่ได้ จากนั้นภาพก็ตัดไปที่ภาพชายสูงวัยคนหนึ่งเดินสูบบุหรี่กลางสายฝน แล้วไปหยุดอยู่หน้าร้านอาหาร จ้องมองเข้าไปในนั้น “เปียโน” ที่อยู่ในร้านคือ สิ่งที่เขามองโดยไม่ละสายตา

หลังจากนั้นก็ได้เล่าย้อนกลับไปในชีวิตวัยเด็กของชายสูงวัย “เดวิด เฮลก๊อต” เด็กชายที่เล่นเปียโนเป็นชีวิตจิตใจ โดยมีปีเตอร์ บิดาของเขาที่เป็นทั้งพ่อ ทั้งครูสอนเปียโน และยิ่งกว่านั้นเขาเป็นผู้คุมจิตวิญญาณของเดวิด

ปีเตอร์พยายามยัดเยียดให้เดวิดเล่นเปียโนตั้งแต่เด็ก เคี่ยวเข็ญให้เดวิดฝึกซ้อมเปียโนอย่างหนัก เพื่อที่จะทดแทนความต้องการในชีวิตวัยเยาว์ของเขา จนเดวิดนั้นประสบความสำเร็จจากการประกวดมากมาย เวทีแล้วเวทีเล่าจนเดวิดได้รับทุนไปเรียนที่สถาบันสอนดนตรีชื่อดังที่สหรัฐอเมริกา แต่เดวิดก็ถูกพ่อขัดขวางความ จึงทำให้ความหวังที่จะได้เรียนต่อนั้นพังทลายลง หลังจากนั้นเขาก็เริ่มมีอาการทางจิตเล็กน้อย

หลังจากนั้นไม่นานนักเขาก็ได้พบกับนักเขียนชื่อดัง แคทเธอรีน พลิชาร์ต เดวิดได้ไปเล่นเปียนโนให้เธอฟังบ่อยๆ แคทเธอรีน กลายเป็นที่พึ่งทางใจของเดวิดในช่วงนั้น จนวันหนึ่งเดวิดได้รับทุนให้ไปเรียนที่อังกฤษ เช่นเคยเขาถูกพ่อคัดค้าน แต่ครั้งนี้เขาเลือกที่จะเดินตามเสียงหัวใจ โดยไม่สนใจว่าเขาจะได้กลับมาที่บ้านอีกหรือไม่

ระหว่างที่เดวิดอยู่ที่อังกฤษเขาได้ตั้งใจฝึกซ้อมดนตรีอย่างหนัก อีกทั้งยังมีความเครียดเรื่องที่พ่อไม่ตอบจดหมายของเขาแม้แต่ฉบับเดียว ในขณะเดียวกัน แคทเธอรีน ก็ได้เสียชีวิตลงซึ่งทำให้เขารูสึกเสียใจเป็นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ยังไม่ลดละความพยายามที่จะเล่นเพลง “เปียโนคอนเชอร์โต ราช หมายเลข 3 ของ โรมานินอฟ” เพลงที่ถือว่ามีความยากที่สุด เพื่อใช้ในการประกวดของวิทยาลัย ซึ่งเพลงนี้พ่อเขาเคยบังคับให้เล่นเมื่อสมัยเขาเด็กๆ

เดวิดเล่นเพลงนี้จนชนะการประกวด และหลังจากที่เขาบรรเลงเพลงจบลงเขาก็หมดสติล้มลงกลางเวที หลังจากนั้นเดวิดก็เข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลผู้ป่วยทางจิต หลังจากที่เขาฟื้นขึ้นมาเขาก็มีอาการพูดเร็ว คิดเรื่องราวไม่ประติดประต่อ จมปลักอยู่กับความหลังว่าเรื่องราวแย่ๆที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะการกระทำของเขาเอง ดังนั้นเดวิดจึงถูกสั่งห้ามให้เล่นเปียโน เพื่อลดความตึงเครียดภายในจิตใจ

หลังจากที่เขาออกจากโรงพยาบาลเขาก็ได้เข้ามาอาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนแห่งหนึ่ง เขาเล่นเปียโนจนเจ้าของห้องรำคาญจนเจ้าของห้องต้องล็อคเปียโนนั้นไว้ จนในที่สุดเดวิดตัดสินใจเดินออกไปท่ามกลางสายฝนและไปยืนจ้องอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งและได้ไปเล่นเปียโนที่ร้านอาหารนั่น จนทำให้เขากลายเป็นผู้ที่มีชื่อเสียง

วันหนึ่งเดวิดได้พบกับกับพ่อของเขาอีกครั้ง เพื่อที่จะมารับเดวิดกลับบ้าน แต่เขากลับพบว่าลูกชายของตนมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปจากที่เดิมที่เขาเคยขีดเส้นทางให้เดวิดเดิน เขาจึงตัดสินใจทิ้งเดวิดไว้แล้วเดินจากไปเพียงลำพัง

หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้พบกับกิลเลี่ยน นักดูดวงชาวซิดนีย์ เธอประทับใจในความร่าเริง ความน่ารัก ความสามารถทางดนตรีของเดวิด จนทำให้เธอตัดสินใจแต่งงานกับเดวิด เธอคอยดูแลเอาใจใส่เดวิดด้วยความรักและความห่วงใยจนทำให้เดวิดสามารถกลับมาเล่นเปียโนได้อีกครั้ง แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า วันที่เดวิดประสบความสำเร็นั้น พ่อของเขาไม่มีโอกาสได้อยู่ชื่นชมความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นั้น


“shine” หากเห็นคำนี้แล้วก็ชวนให้นึกถึงความสุข ความสว่างสดใส ชื่อเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้มีความเหมาะสมกับเนื้อหาของเรื่องเป็นอย่างมาก เพราะ เป็นการตั้งชื่อเรื่องที่ขัดแย้งกับเนื้อเรื่อง ทำให้ผู้ชมอาจพอจะเดาได้ว่าชีวิตของตัวละครเอกนั้นไม่ได้ “shine” เลยแม้แต่น้อย และในขณะเดียวกันก็พอจะเดาได้ว่าในตอนท้ายของเรื่องนั้นอาจจะมีเรื่องดีๆที่ทำให้ชีวิตของตัวละครเกิดแสงสว่างหรือความสุข

ภาพยนตร์เปิดเรื่องด้วยภาพของชายที่พูดเร็วจนจับใจความไม่ได้ เป็นการแนะผู้ชมอย่างคร่าวๆว่าตัวละครเอกของเรื่องนั้นมีบุคลิกภาพ ลักษณะอย่างไร ซึ่งเป็นการดึงความสงสัยของผู้ชมได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทำให้ผู้ชมต้องติดตามเรื่องราวไปตลอด

ตัวละครเอกของเรื่องนำแสดงโดยเจฟฟี่ รัช ซึ่งถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม จน ไม่ว่าจะอารมณ์เศร้า เหงา รัก ทำให้ผู้ชมตกอยู่ในมายาอันสมบูรณ์ เชื่อว่าเขาเป็นโรคจิตจริงๆโดยปราศจากข้อสงสัย

ความขัดแย้งของภาพยนตร์เรื่องนี้จัดเป็นความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ก็คือความขัดแย้งระหว่างเดวิดกับพ่อ ซึ่งทำให้เรื่องดำเนินไปได้โดยตลอด

ฉากในเรื่องนี้ใช้แสงค่อนข้างน้อย เน้นไปในช่วงเวลากลางคืนเป็นสำคัญ ซึ่งถือว่ามีความเหมาะสมกับเนื้อเรื่องเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังช่วยให้เกิดความสะเทือนอารมณ์ได้ง่ายอีกด้วย

ภาพยนตร์เรื่อง “shine” มีการทิ้งจุดสงสัย และนัยไว้หลายตอน เช่น ตอนที่ปีเตอร์พ่อของเดวิดออกมานั่งดูภาพของเดวิดตอนได้รับรางวัลที่โซฟา และก่อนที่เขาจะล้มตัวลงนอนที่โซฟาเขาได้เอาผ้าห่มปิดทับลงบนโวฟาที่ขาดวิ่น นั่นเป็นการแสดงให้เห็นว่าเขาพยายามจะปกปิดแผลเก่าที่มีในใจของเขาเองด้วยการพยายามเคี่ยวเข็ญของให้เล่นเปียโนแทนเขาในตอนเด็ก

ภาพที่เดวิดผิดหวังเรื่องไปเรียนต่อที่อเมริกาแล้วเครียดจนอุจจาระในอ่างน้ำ จนทำให้พ่อโกรธและทำร้ายร่างกายเขา จากนั้นภาพก็ตัดไปที่ก๊อกน้ำที่ปิดแต่ยังมีหยดน้ำไหลอยู่ นั่นก็แสดงให้เห็นว่าเดวิดนั้นไม่สามารถควบคุมตนเองได้แล้ว

ภาพที่พ่อชอบเดินเอามือประสานกันที่หน้าขา และภาพที่แว่นตาของพ่อแตกแต่ไม่ยอมเปลี่ยน นั่นก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าพ่อเป็นคนที่ไม่ยอมรับสิ่งใหม่ๆ มักปิดกั้นตนเองจากความคิดของคนอื่น อีกทั้งยังไม่ยอมเปลี่ยนทัศนคติอีกด้วย

ภาพที่เดวิดวางแว่นตาไว้บนเปียโนเมื่อตอนที่เขาประกวดเล่นเปียโนที่วิทยาลัย และเมื่อเขาเล่นจบเขาก็เอื้อมมือจะไปจับแว่นตา แต่ไม่สามารถทำได้เนื่องจากเขาหมดสติไปเสียก่อนและหลังจากนั้นเดวิดก็ป่วยเป็นโรคจิต ภาพยนตร์ตั้งใจจะทิ้งภาพนี้ไว้เพื่อให้สัมพันธ์กับตอนจบของเรื่องคือ ตอนที่เดวิดสามารถกลับมาเล่นเปียโนได้อีกครั้ง และเมื่อเล่นจบเขาก็สามารถจะหยิบแว่นตาที่วางไว้บนเปียโนให้กลับมาสวมได้ นั่นเป็นการแสดงให้เห็นว่า เดวิดสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนเดิมแล้ว ไม่ต้องทนอยู่กับความเจ็บปวดในอดีตอีกแล้ว

นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องการนำเสนอคือ “น้ำ” จะเห็นได้ว่าภาพยนตร์เปิดเรื่องขึ้นมาพร้อมกับสายฝน และเดวิดเองก็ชอบเล่นน้ำ เช่น ฉากที่ไปเล่นน้ำที่ทะเล นอกจากนี้ยังมีฉากที่เดวิดสูบบุหรี่กลางสายฝน ที่จุดอย่างไรก็ไม่มีทางติด

น้ำในที่นี้ก็หมายถึง “พ่อ” ของเดวิดที่ช่วยให้เขาได้เล่นเปียโน จนมีชื่อเสียง เปรียบได้กับตอนที่เดวิดเล่นน้ำทะเล หรือเล่นน้ำที่สระในบ้านแล้วมีความสะบายใจ แต่ในขณะเดียวกันนั้นพ่อเขาก็เป็นคนที่ทำลยชีวิตของเดวิดเช่นกัน เปรียบเสมือนได้กับตอนที่เดวิดสูบบุหรี่กลางสายฝน ซึ่งฝนได้ทำให้เปลวไฟของบุหรี่ดับลง

หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่กำลังต้องการกำลังใจ ภาพยนตร์เรื่อง “shine” จะเป็นหนึ่งกำลังใจเล็กๆแต่มีความหมายที่ยิ่งใหญ่ที่จะทำให้คุณมีแรงที่จะก้าวเดินต่อไปในวันข้างหน้า และศรัทธาในปาฏิหารย์แห่งความรัก แล้วสักวันแสงสว่างจะเป็นของคุณ

Shine โชคดีที่สวรรค์ไม่ลำเอียง

อรจิรา

ภาพยนตร์เรื่อง Shine หรือในชื่อภาษาไทยว่า โชคดีที่สวรรค์ไม่ลำเอียง เป็นภาพยนตร์จากประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่สร้างโดยอ้างอิงจากชีวิตจริงของ เดวิด เฮล์ฟก็อตต์ (David Helfgott) นักเปียโนอัจฉริยะชาวออสเตรเลีย ภาพยนตร์เรื่องนี้อำนวยการสร้างโดย เจน สก็อต (Jane Scott) กำกับภาพยนตร์โดย สก็อต ฮิกส์ (Scott Hicks) ผู้กำกับชาวออสเตรเลีย และนำแสดงโดย Geoffrey Rush ผู้ซึ่งสวมบทบาทเป็นเดวิดในวัยกลางคน และ Noah Taylor ผู้ซึ่งสวมบทบาทเป็นเดวิดในช่วงวัยรุ่น ซึ่งจากภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้ Geoffrey Rush ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Oscar และได้รับรางวัล Best Actor ภาพยนตร์เรื่อง Shine เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่ติดอันดับ Top 10 ในปี 1996 ของภาพยนตร์โลก และนอกจากนี้ยังได้รับรางวัลต่างๆอีกมากมายจาก AFI (Australian Film Institute)

ภาพยนตร์เรื่อง Shine เป็นเรื่องราวของ เดวิด เฮล์ฟก็อตต์ (David Helfgott) นักเปียโนอัจฉริยะชาวออสเตรเลีย เดวิดเด็กชายคนหนึ่ง ผู้ซึ่งเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ทางด้านดนตรี แต่ชีวิตในวัยเด็กของเขาไม่เหมือนกับเด็กทั่วไปที่ได้เล่นสนุกสนาน เขาต้องมีชีวิตอยู่กับการฝึกฝนเรียนเปียโนอย่างหนัก โดยมีพ่อของเขาเป็นผู้ผลักดันแบบบังคับ และให้เดวิดฝึกเล่นเพลงที่ยากเกินไป แต่เดวิดเล่นเปียโนได้ดีและเก่งมาก พอเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นเขาได้เข้าแข่งขันเปียโน เขาเล่นได้ดีจนได้รับรางวัลมากมาย และได้รับทุนไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา แต่พ่อของเขาไม่ให้ไปด้วยเหตุผลที่ว่าไม่ต้องการให้ครอบครัวแยกจากกัน ด้วยความที่เดวิดเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดและขาดความมั่นใจในตัวเองอยู่แล้ว เนื่องจากสภาพการเลี้ยงดูของพ่อและความกดดันที่ถูกสร้างขึ้นในวัยเด็ก ทำให้เขาทำตามที่พ่อบอก ต่อมาตอนเขาอายุได้ 19 ปี เขาสอบชิงทุนไปเรียนต่อเปียโนที่กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษได้ และครั้งนี่พ่อของเขาก็ไม่ให้เขาไปเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้เดวิดไม่ฟังคำของพ่อ เขาตัดสินใจไปกรุงลอนดอน โดยที่พ่อของเขาประกาศตัดพ่อตัดลูกกับเขา ขณะที่เดวิดอยู่ที่กรุงลอนดอน เขาคิดถึงพ่อของเขาเสมอและพยายามเขียนจดหมายหาพ่อของเขาหลายครั้ง แต่พ่อของเขาโกรธและไม่ยอมตอบจดหมายเขาเลย ทำให้เดวิดเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ จนเดวิดฝึกเล่นเปียโนคอนแชร์โตหมายเลข 3 ของ Rachmaninoff เขาเล่นได้ยอดเยี่ยม แต่เมื่อแสดงบนเวทีจบ เขาก็ช็อกบนเวที และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล เมื่อเรียนจบเขาก็กลับออสเตรเลีย เขามีอาการไม่ปกติมากขึ้น พูดจาไม่รู้เรื่องจนสื่อสารไม่ได้ เขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลและต้องพักรักษาตัว หมอสั่งห้ามเขาเล่นเปียโนเด็ดขาด เขารักษาตัวนานถึง 20 ปี จนอาการเขาเริ่มดีขึ้นแต่ก็ยังไม่เป็นปกติจึงได้ออกจากโรงพยาบาล เดวิดยังมีอาการไม่ปกติดี ยังพูดจาไม่รู้เรื่อง จนวันหนึ่งเขาได้เจอกับเจ้าของร้านอาหารคนหนึ่งชื่อซิลเวีย ที่ร้านอาหารแห่งนี้มีเปียโน เมื่อเดวิดเห็นจึงขอเล่น เขาเล่นได้ดีจนทำให้ทุกคนตะลึง เดวิดจึงได้งานเล่นเปียโนที่ร้านอาหารแห่งนี้ เขาเล่นเปียโนตามคำขอของลูกค้า ทำให้มีลูกค้าเข้าร้านของซิลเวียมากขึ้น ชีวิตการเล่นเปียโนของเขากลับมาอีกครั้งหนึ่ง ต่อมาซิลเวียแนะนำให้เดวิดรู้จักกับเพื่อนที่เป็นหมอดูชื่อกิลเลียน กิลเลียนพูดกับเดวิดรู้เรื่องได้เป็นอย่างดี ทำให้ทั้งสองเรียนรู้กันและได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน และสุดท้ายพ่อของเดวิดก็เสียชีวิตไป

ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดเรื่องด้วยภาพใบหน้าด้านข้างของชายคนหนึ่งที่กำลังพูดอยู่ท่ามกลางสายฝน แต่ไม่สามารถจับใจความได้ และภาพก็ขยายขึ้นเป็นภาพชายคนนั้นกำลังวิ่งอยู่ท่ามกลางสายฝนไปเคาะประตูร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งปิดให้บริการแล้ว ภายในร้านมีผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเธอเข้ามาพูดคุยกับชายคนนั้น เพราะคิดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ชายคนนั้นแนะนำตัวเองว่าชื่อ เดวิด ส่วนหญิงคนนั้นแนะนำตัวเองว่าชื่อ ซิลเวีย เดวิดพยายามพูดกับซิลเวีย แต่เขาพูดไม่รู้เรื่องจนไม่สามารถจับใจความได้ และหลังจากนั้นภาพก็ย้อนกลับไปเป็นภาพชีวิตในวัยเด็กของเดวิด

เหตุการณ์เริ่มพัฒนา ภาพชีวิตในวัยเด็กของเดวิดนั้นเต็มไปด้วยความกดดันและคร่ำเคร่ง ต่างจากเด็กทั่วๆไปที่ได้เล่นสนุกสนาน พ่อของเดวิดให้เดวิดฝึกเล่นเปียโนตั้งแต่ยังเด็ก และให้ฝึกเล่นเพลงยากๆ โชคดีที่พรสวรรค์ของเดวิดช่วยให้เดวิดเล่นเปียโนได้ดีและเก่งมาก จนพอเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นเขาได้เข้าแข่งขันเปียโนจนได้รับรางวัล และได้รับทุนไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา

จุดสงสัยของภาพยนตร์เรื่องนี้คือ การที่เดวิดได้รับทุนไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา แต่พ่อของเขากลับไม่ยอมให้เขาไปด้วยเหตุผลที่ว่าไม่ต้องการให้ครอบครัวต้องแยกจากกัน ครั้งนี้เดวิดเชื่อฟังพ่อของเขา จนกระทั่งเดวิดสามารถสอบชิงทุนไปเรียนต่อเปียโนที่กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษได้อีกครั้ง และครั้งนี่พ่อของเขาก็ไม่ให้เขาไปเหมือนเดิมด้วยเหตุผลเดิม แต่ครั้งนี้เดวิดไม่ฟังคำของพ่อ แม้ว่าพ่อของเขาประกาศจะตัดพ่อตัดลูก เรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ทำให้เราต้องคิดต่อไปว่าชีวิตของเดวิดจะดำเนินอย่างไรต่อไป เมื่อเขาต้องจากพ่อและครอบครัวของเขาไป เขาจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้หรือไม่ และเพราะอะไรพ่อของเขาจึงทำเช่นนั้น ซึ่งที่จริงพ่อของเดวิดน่าจะยินดีกับลูกชายมากกว่า

ความขัดแย้งในภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ เป็นความขัดแย้งระหว่างพ่อของเดวิดกับเดวิด คือพ่อของเดวิดต้องการให้เดวิดมีชีวิตที่เป็นไปตามที่เขากำหนดมากกว่าการที่เดวิดจะเลือกทางเดินชีวิตด้วยตัวเอง จะเห็นได้จากการที่พ่อของเดวิดบังคับให้เดวิดเล่นเปียโนตั้งแต่เด็ก และพยายามให้เดวิดคิดว่าโชคดีที่ได้เล่นดนตรี พ่อของเดวิดไม่ต้องการให้เดวิดจากไปไหน แม้จะได้รับทุนไปเรียนต่อ เขาต้องการให้เดวิดอยู่ในสายตาตลอดเวลา ความรักที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวกลายเป็นสิ่งที่กดดันเดวิดมากเกินไป

จุดวิกฤตของภาพยนตร์เรื่องนี้คือตอนที่เดวิดทำการแสดงบนเวที โดยเขาเล่นเปียโนคอนแชร์โตหมายเลข 3 ของ Rachmaninoff เขาเล่นได้ยอดเยี่ยม แต่เมื่อแสดงบนเวทีจบ เขาก็ช็อกบนเวที และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล หลังจากนั้นเดวิดก็อาการหนักขึ้นเรื่อยๆจนพูดไม่รู้เรื่อง สื่อสารไม่ได้ หมอสั่งห้ามเขาเล่นเปียโนเด็ดขาด เขาต้องพักรักษาตัวนานกว่า 20 ปี

จุดไคลแม็กซ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ คือเหตุการณ์ที่เดวิดได้เจอกับเจ้าของร้านอาหารคนหนึ่งชื่อซิลเวีย ซึ่งที่ร้านอาหารแห่งนี้มีเปียโน เมื่อเดวิดเห็นจึงขอเล่น เขาเล่นได้ดีจนทำให้ทุกคนตะลึง เดวิดจึงได้งานเล่นเปียโนที่ร้านอาหารแห่งนี้ จากเหตุการณ์นี้ทำให้ชีวิตการเล่นเปียโนของเดวิดกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ภาพยนตร์เรื่องนี้ปิดเรื่องด้วยฉากที่เดวิดอยู่ที่หลุมศพพ่อของเขา

เดวิดเป็นตัวละครเอกของเรื่อง เรื่องราวชีวิตต่างๆของเขานั้น แสดงให้เห็นถึงสาเหตุที่มาที่ไปว่าเพราะอะไรชีวิตของเขาจึงต้องดำเนินไปในลักษณะนั้น การเลี้ยงดูของพ่อแม่ สภาพชีวิตในวัยเด็ก ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตในระยะยาวของเขา เดวิดต้องอยู่ในสภาพที่เต็มไปด้วยความกดดัน โดดเดี่ยว อ้างว้าง กลายเป็นคนที่ขาดความมั่นใจ ทำอะไรเดิมๆอยู่เสมอ ทำตามกรอบที่พ่อเขาสร้างไว้ และเมื่อต้องออกมาอยู่ในสังคมอื่นทำให้เขากลายเป็นคนที่ประหลาดในสายตาคนรอบข้าง สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นนี้ มีสาเหตุที่มาที่ไปจากครอบครัวของเขาเอง

ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้ชื่อว่า Shine ซึ่งแปลว่าส่องสว่าง ซึ่งเมื่อดูจากตัวเนื้อเรื่องแล้วนั้นมีความตรงกันข้ามกัน แต่จะเห็นได้ว่าคำว่า Shine นั้นสื่อให้เห็นถึงความส่องสว่างของชีวิตเดวิดในตอนท้ายเรื่อง ซึ่งเขาประสบความสำเร็จในชีวิต แม้จะเคยขึ้นไปถึงจุดสูงสุดแล้วตกลงมาแล้วก็ตาม และชีวิตในวัยเด็กของเขาที่ไม่มีความสว่างสดใสเลย ก็เหมือนกับการที่ชีวิตของเดวิดนั้นได้กลับมาส่องสว่างอีกครั้ง และสำหรับในชื่อภาษาไทยว่า โชคดีที่สวรรค์ไม่ลำเอียงนั้น ก็หมายถึงชีวิตของเดวิดที่ยังโชคดีในตอนท้ายที่เขากลับมาประสบความสำเร็จได้อีกครั้ง สื่อให้เห็นถึงความพยายามความตั้งใจของเดวิดที่เขามีมาตลอดชีวิตนั้นไม่สูญเปล่า

ความคิดสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้คือ ความรักที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวจะกลายเป็นสิ่งที่สร้างความกดดันและทำลายล้างทุกสิ่ง การมอบความความรักให้แก่ผู้อื่นแบบผิดๆอย่างเช่นที่พ่อของเดวิดมีให้กับเดวิดนั้น เป็นความรักที่ขาดเหตุผล และเข้าข้างแต่ตัวเองฝ่ายเดียว เป็นความรักที่ไม่เปิดโอกาสให้ผู้อื่น ทำให้ผู้รับต้องทนรับ และกลายเป็นการได้รับความกดดันไว้แทน และอีกประการคือ การทำความฝันนั้นไม่มีคำว่าผิดหรือถูก ถ้าเรามุ่งมั่นตั้งใจ เราก็จะทำสิ่งนั้นได้สำเร็จ และสิ่งที่สำคัญคือเราต้องคิดอยู่เสมอว่าเราได้เลือกทำในสิ่งที่ดีที่สุด และทำมันให้ดีที่สุด คนเรานั้นแม้จะเคยล้มลงแล้วก็ตาม แต่ก็มีวันที่จะลุกขึ้นใหม่ได้ ถ้าเราเชื่อมั่นในตัวเอง

ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่อ้างอิงจากชีวิตจริงของเดวิด เฮล์ฟก็อตต์ (David Helfgott) นักเปียโนอัจฉริยะชาวออสเตรเลีย ซึ่งนับว่าเป็นภาพยนตร์ที่มีคุณค่าและคุณภาพอย่างยิ่ง เรื่องราวชีวิตของเดวิดให้แง่คิดต่างๆที่น่าสนใจมากมาย ทั้งเรื่องครอบครัว ความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก การทำตามความฝันของตัวเอง อีกทั้งในเรื่องของดนตรี หากใครที่ชื่นชอบในเสียงเปียโน ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือเป็นภาพยนตร์อีกเรื่องที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Shine โชคดีที่สวรรค์ไม่ลำเอียง

ฮานาน

บทพิสูจน์...ความลำเอียงเป็นอย่างไร...สวรรค์ไม่รู้จัก

ชายน์เป็นภาพยนตร์ของค่ายเวิลด์ พิคเจอร์ส ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1996 โดยผู้กำกับหน้าใหม่ สก็อตต์ ฮิคส์ เป็นเรื่องราวชีวิตจริงของนักเปียโนชาวออสเตรเลีย ที่ป่วยเป็นโรคทางประสาท ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลมากมาย เช่น รางวัลออสการ์ รางวัลลูกโลกทองคำ เป็นต้น

เดวิด เอลฟ์ก็อตต์ เด็กชายที่เกิดมาในครอบครัวชาวยิวที่ค่อนข้างยากจน หนุ่มน้อยผู้นี้มีพรสวรรค์ในการเล่นเปียโนมาตั้งแต่เด็ก ผู้เป็นพ่อได้ปลูกฝังความรักดนตรีแก่เขาและพยายามให้เขาทำความฝันที่ตัวพ่อไม่มีวันทำได้ให้สำเร็จ เมื่อเขาชนะการแข่งขันและได้รับทุนไปเรียนดนตรีต่อที่ประเทศอเมริกา ซึ่งต้องจากบ้านและครอบครัวด้วยเหตุนี้พ่อจึงห้ามและความฝันของเขาก็พังทลายลง พ่อให้ความรักกับลูก ๆ ด้วยกับการครอบครองและใช้อำนาจบงการชะตาชีวิตอยู่เสมอ เมื่อความอดทนของเขาสิ้นสุดลง เขาได้ตัดสินใจทุบกำแพงของพ่อออกเพื่อเดินตามความฝันของตัวเอง ที่โรงเรียนดนตรีในลอนดอน เดวิดคือเด็กอัจฉริยะทางด้านเปียโน เขาได้รับการฝึกฝนทักษะเปียโนจากศาสตราจารย์ซิซิล พาร์ค นักเปียโนผู้มีชื่อเสียงในอดีต แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถเล่นเปียโนได้เพราะแขนหนึ่งข้างของเขาพิการ เดวิดได้เข้าร่วมการแข่งขันเปียโนระดับโลก เขาตัดสินใจที่จะเล่นแร็ค 3 ของแร็คแมนนีนอฟ เป็นเพลงเปียโนที่ถือได้ว่าเป็นสุดยอดและน้อยคนนักจะกล้าเล่น แต่เขาก็บ้าพอที่จะเล่น และแล้วชีวิตเขาก็ต้องเปลี่ยนไปหลังการแสดงเปียโน ชีวิตเขาเหมือนถูกคำสาปแช่งของพ่อเมื่อครั้งที่เขาหันหลังเดินจากมา เขากลายเป็นผู้ป่วยทางจิตต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาลนานเป็นเวลา 10 กว่าปี หมอสั่งห้ามเขาเล่นเปียโนเด็ดขาด เพราะจะเป็นผลต่อโรคของเขาได้ วันหนึ่งเขาได้พบแฟนเพลงซึ่งเธอเป็นนางพยาบาลที่นั้น เธอพาเขาออกมาจากโรงพยาบาล จากนั้นชีวิตของเขาก็ได้โลดแล่นอยู่บนโน้ตเปียโนอีกครั้ง

เปิดเรื่องด้วยกับเสียงเปียโนและใบหน้าของชายผู้หนึ่งที่บ่นพร่ำอย่างคนไม่ปกติ เปลี่ยนเป็นเสียงสายฝนชายหนุ่มผู้นั้นวิ่งท่ามกลางสายฝนสีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความอ้างว้างและปรารถนาที่จะพบเจออะไรบ้างอย่าง เขาหยุดอยู่หน้าร้านอาหารกึ่งผับชื่อโมบาย ชายผุ้นั้นยังคงจ้องมองตรงไปที่เปียโนตัวหนึ่ง เขาเคาะกระจกเรียกคนในร้านให้เปิดประตู ชายคนหนึ่งเดินมาและไล่เขากลับไป เขาไม่ยอมเอาแต่พูดไม่หยุด สาวในร้านเธอชื่อซิลเวียได้พาเขากลับบ้าน ตลอดทางเขายังคงพูดไม่หยุด บ่นถึงพ่อผู้ไม่เครงศาสนาและใจดำ ซึ่งตรงนี้ก็ได้ชี้ให้เห็นว่าเขามีปมขัดแย้งกับพ่อ เมื่อซิลเวียพาเขามาถึงที่พักและเธอก็ลากลับ เขาอยู่กับตัวเองเหม่อมองออกนอกหน้าต่างเสียงสายฝนดังขึ้นแล้วกลับกลายเป็นเสียงปรบมือ ภาพย้อนไปเมื่อสมัยเขายังเด็ก เขากำลังจะเดินขึ้นเวทีเพื่อแสดงเปียโน “เราต้องชนะ” เขาพูดตลอดทาง เขาแสดงฝีมือได้เยี่ยมมาก เขากลับมาที่บ้าน ที่นี้ได้แสดงให้เห็นว่าพ่อคือผู้ปลูกฝังความเป็นเดวิด เฮล์ฟก็อตแก่เขา พ่อบอกว่าเขาเป็นเด็กที่โชคดี โชคดีมาก ๆ ที่ได้เล่นดนตรี ต่างจากพ่อที่พยายามเก็บเงินเพื่อซื้อไวโอลินเอง แต่ปุ่ของเดวิดก็ได้ทำลายมันลง พ่อจึงไมมีโอกาสที่ดีเช่นเขา ดังนั้นเขาจึงต้องเป็นผู้ทำความฝันของพ่อให้เป็นจริง มีผลงานดนตรีให้พ่อได้ภาคภูมิใจ โรเซ่นหนึ่งในคณะกรรมการตัดสินได้มาหาเดวิดเพื่อจะบอกว่าเขาชนะ โรเช่นได้บอกกับพ่อของเดวิดว่าเขาจะกลายเป็นนักเปียโนระดับโลก แต่พ่อกลับไม่สนใจเขาคิดว่าลูกเขายิ่งใหญ่เองได้ พ่อต้องการให้เดวิดเล่นแร็คแมนนีนอฟ แต่เขาไม่สามมารถสอนและมันก็ยากมากเกินไปสำหรับเด็กอย่างเดวิด พ่อจึงตัดสินใจพาเดวิดไปหาโรเซ่นเพื่อให้เขาสอนให้ แต่เขากลับปฏิเสธและจะสอนให้แต่สิ่งที่เขาคิดว่าเหมาะกับเด็กก็พอ เหตุการณ์ต่าง ๆ เริ่มพัฒนาเมื่อเดวิดชนะการแข่งขันและได้รับทุนการศึกษาทางด้านดนตรีที่ประเทศสหรัฐอเมริกา พ่อคิดว่าถ้าเดวิดต้องไปจริงครอบครัวของเขาก็จะแตกแยกด้วยเหตุนี้พ่อจึงห้ามไม่ให้เขาไป เดวิดเสียใจและไม่เข้าใจในสิ่งที่พ่อทำ เขากลายเป็นเด็กเก็บกด ทำตัวเหมือนเด็กที่ไม่รู้จักโต วันหนึ่งเขาแช่อยู่ในอ่างน้ำแล้วเกิดถ่ายหนักลงในอ่าง พ่อมาพบเข้าก็เกิดโทสะฟาดเขาอย่างแรง แสดงให้เห็นถึงความโหดเหี้ยมและรุนแรงของพ่อ ในงานชมรมสหภาพโซเวียตเดวิดได้พบกับนักเขียนผู้มีชื่อเสียงเธอชื่อแคทเธอรีน เดวิดชอบไปอยู่กับเธอ เธอได้สอนอะไรหลายอย่างแก่เขา และหนึ่งสิ่งที่เธอได้สอนเขานั้นก็คือความกล้า เธอเล่าเรื่องเมื่อสมัยเด็กที่เคยทำกับพ่อของเธอจนได้การยอมรับจากพ่อ จากเรื่องสมัยเด็กของแคทเธอรีนเดวิดจึงกล้าที่จะทุบกำแพงของพ่อออก คืนนั้นเขากลับบ้านดึกพ่อรอเขา พ่อรู้ว่าเขาต้องมีอะไรแน่จึงถาม เขาบอกกับพ่อว่าเขาต้องการจะไปเรียนต่อ พ่อห้ามเขาและทุบตีอย่างไร้ความเมตตา พ่อขู่ว่าถ้าหากเขาออกจากบ้านไปเขาจะกลายเป็นคนไม่มีครอบครัวอีกต่อไป ชีวิตของเขาจะถูกลงทัณฑ์ไปชั่วชีวิต แต่เดวิดกลับเลือกที่จะเดินจากไป

ที่โรงเรียนดนตรีในกรุงลอนดอน ศาสตราจารย์ซิซิล พาร์ค ได้เห็นแววอัจฉริยะในตัวของเดวิดและเขาก็ได้ทำให้พรสวรรค์ของเดวิดออกมาประจักษ์แก่ผู้อื่น เดวิดได้รับคัดเลือกให้เข้าแข่งขันเปียโนระดับนานาชาติ เขาเลือกที่จะเล่นแร็ค 3 ของแร็คมอนีนอฟ ซึ่งถือได้ว่าเป็นสุดยอดของเพลงที่น้อยนักที่นักเปียโนจะกล้าเล่น เขาอยากจะทำความฝันให้สำเร็จ ในวันที่เดวิดได้แสดงฝีมือการเล่นเปียโนเขาได้ทุ่มเทวิญญาณและปล่อยทุกอย่างไปโดยที่สมองไม่สามารถควบคุมได้ เสียงตัวโน๊ตที่วิ่งอย่างถี่ยิบ มือที่พรมลงบนโน้ตที่เป็นไปเองโดยธรรมชาติ ลมหายใจอันแผดเบา เสียงหัวใจที่เต้นช้า ๆ หยาดเหงื่อรินไหล ทุกคนกำลังได้ฟังความไพเราะอันน่าทึ่งของเขาอยู่ แต่มีใครรู้หรือไม่ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับเขา เมื่อตัวโน้ตตัวสุดท้ายจบลงเขาลุกขึ้นไม่ทันไร ก็ล้มลงฟาดพื้นตาค้าง เขาหมดสติ

หลังจากวันนั้น เขาก็เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลทางประสาทเป็นเวลานานกว่า 10 ปี เขาป่วยเป็นโรคทางจิต หมอสั่งห้ามไม่ให้เขาเล่นเปียโนอีก วันหนึ่งเดวิดได้พบกับเบริลแฟนเพลงของเขาที่ทำงานเป็นนางพยาบาลอยู่ที่นั้น เธอได้พาเขาออกมาจากโรงพยาบาลมาอยู่กับ แต่แล้วเธอก็ทนอยู่กับเขาไม่ไหว จึงส่งเขาไปอยู่อพาร์ทเม้นที่นั้นเดวิดมีเปียโนเก่าหนึ่งหลัง เขามีความสุขที่ได้เล่นมันอีกครั้ง เขาเอาแต่เล่นจนไม่เป็นอันทำอะไร เจ้าของอพาร์ทเม้นเกิดความรำคาญจึงล็อคเปียโน เขาไม่สามารถเล่นได้อีกแล้ว ด้วยใจที่ปรารถนา เขาออกมานั่งเล่นที่สวนสาธารณะและเห็นเด็กสาวสองคนกำลังวิ่งเล่นเข้าไปในป่า เขาจึงวิ่งตามเธอไป และแล้วเขาก็หลงทางวิ่งตากฝนและต้องมาหยุดลงที่หน้าร้านโมบาย และที่นั้นมีสิ่งที่เขาปรารถนา

ย้อนกลับมาตอนเปิดเรื่อง และต่อไปนี้จะเป็นเรื่องราวที่เกิดต่อไปในชีวิตของเขา

วันต่อมาเขายังคงมาร้านเดิม เขาเดินตรงเข้ามาเล่นเปียโนโดยที่ไม่ได้ขออนุญาตจากใคร ทุกคนที่ได้ยินต่างรู้สึกชื่นชมในฝีมือการเล่นเปียโนของเขา เขาได้เป็นนักดนตรีที่ร้านนี้และได้ย้ายมาอยู่กับซิเวียสาวบาร์ที่ร้านนั้น ต่อมาเขาก็ได้พบกับกิลเลียนหมอดูดวงจากซิดนีย์ เดวิด เอลฟ์ก็อตต์ กลับมามีชื่อเสียงอีกครั้งในชื่อใหม่คือ เดวิด ชายน์ พ่อเขาเห็นว่าเดวิดกลับมาอีกครั้งเขาจึงกลับไปหาลูก เมื่อเดวิดได้พบกับพ่อ เขาตื่นเต้นและประหลาดใจมาก พ่อพยายามเรียกเดวิดคนเดิมกลับมาหาเขา แต่เดวิดคนใหม่นั้นชอบชีวิตเสรีเช่นนี้มากกว่า พ่อจึงเดินจากชีวิตเขาไป เดวิดตกหลุมรักกิลเลียนเพราะเธอและครอบครัวช่างแสนดีกับเขาเหลือเกิน เขาขอเธอแต่งงาน และแล้วทั้งคู่ก็อยู่ดูแลกัน กิลเลียนได้ทำให้เดวิดกลับมาแสดงเปียโนจนโด่งดังและได้รับความนิยมอีกครั้ง พ่อของเขาจากไปก่อนที่จะได้เห็นความสำเร็จอีกครั้งของเขา แต่เขาก็ไม่ได้ถือโทษโกรธพ่อ เขาบอกกับกิลเลียนเป็นการส่งท้ายให้ได้ข้อคิดที่ว่า “ชีวิตยังไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันต่อไป”

เดวิดจึงกล้าที่จะทุบกำแพงของพ่ออก็นที่ยอมรับของพ่อเขา และหนึ่งสิ่งที่เธอได้สอนเขานั้นก็คือความกล้าที่เธเธอเคยทำกับพ่อของเธอเมื่

การเปิดฉากในเรื่อง

จะใช้ความสัมพันธ์กันในเรื่องเสียง ที่สังเกตได้ชัดและถือได้ว่าเป็นจุดเด่นของเรื่องนี้ก็คือเสียงสายฝนกับเสียงปรบมือ ที่ทุกครั้งที่ตัวละครมองสายฝนก็จะเกิดเรื่องราวในสถานที่ที่เขากำลังต้องขึ้นแสดง

ในเรื่องแสง ไม่สดใส แต่แสงเป็นสีที่หม่นหมองแสดงถึงความโหดร้ายและหดหู่ที่พ่อมอบให้ กอปรกับชีวิตที่ไร้ความสุขสดใสของเด็กชายเดวิด ที่ชีวิตวัยเด็กกลับไม่ได้เล่นสนุกเหมือนเด็กคนอื่น แต่กลับต้องคร่ำเครงฝึกเปียโนเพื่อที่จะได้ชัยชนะ

ในเรื่องภาพ ในภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องราวย้อนยุคไปก่อนหน้าประมาณ 20 ปี ภาพจึงออกมาเป็นแนวย้อนยุค และสื่อสะท้อนอารมณ์ในแต่ละฉากได้เป็นอย่างดี

สำหรับเรื่อง Shine โชคดีที่สวรรค์ไม่ลำเอียง เรื่องนี้

จากชื่อเรื่องก็ได้ชี้ให้เห็นว่าชีวิตทุกชีวิตย่อมต้องมีทางออก หากเราไม่ดิ้นหาทางออกให้กับตัวเอง แล้วเราจะพบแสงสว่างของชีวิตได้อย่างไร ดูจากชีวิตของเดวิดถึงแม้ว่าเขาจะต้องถูกบีบบังคับและถูกปลูกฝังอย่างที่ตัวเขาเองไม่ได้ต้องการจะเป็น แต่เมื่อเขาเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ที่สวรรค์ได้มอบให้ เขาก็ต้องเดินตามไปจนถึงฝังฟันของเขาให้ได้ ต่างจากพ่อที่มีความฝัน แต่เมื่อตัวเองไม่สามารถทำตามความฝันได้ก็พยายามยัดเหยียดให้ลูกทำแทน แต่เมื่อความฝันนั้นมาขัดขวางความปรารถนาและแรงแค้นที่เขาไม่ต้องการแยกจากใครสักคนในครอบครัว จึงยอมละทิ้งความฝันไปอย่างง่ายดาย แสดงให้เห็นว่าพ่อไม่ได้มุ่งมั่นและรักในความฝันของตัวเองพอ นี้ก็อาจเป็นสาเหตุให้ความฝันในอดีตของพ่อต้องจบลงก็เป็นได้

เมื่อได้ดู Shine ก็คิดได้ว่า หากเรามีความฝันมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำให้สำเร็จแล้วละก็ ถึงแม้จะมีอุปสรรคขวากหนามหรือปัญหาที่ถาโถมเข้ามาจนทำให้เราต้องอ่อนล้าและหมดกำลังใจไป แต่ถ้าหากเรารักในความฝันและพร้อมที่จะสู้เพื่อไปให้ถึงฝังฝัน เราก็จะไม่ย่อท้อ ต้องหาทางดิ้นร้นเพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากอุปสรรคต่าง ๆ ได้ ก็เหมือนกับที่เดวิดได้ทิ้งท้ายไว้ก่อนจบ “ชีวิตยังไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันต่อไป” นี้คือความจริง ตราบใดที่เรายังคงมีลมหายใจ ร่างกายเรายังคงขยับได้ เรายังมีชีวิต เรายังมีความคิด เรายังคงมีหนทางที่จะดิ้นร้นพาให้ตัวเองรอดพ้นจากสิ่งเลวร้ายหรืออุปสรรคได้...

Shine : ชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันต่อไป

เอื้อบุญ

Shine เป็นภาพยนตร์ของผู้กำกับ Scott Hicks ผู้กำกับยอดเยี่ยมจากเวทีอคาเดมี อวอร์ดส์(OSCAR) ประจำปี 1997 เป็นภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นจากชีวิตจริงของนักเปียโนชาวออสเตรเลีย – ยิว

ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอเรื่องราวของเดวิด เฮลฟ์กอตต์ เด็กชายผู้มีแววอัจฉริยะทางด้านเปียโนถูกผู้เป็นพ่อบังคับเคี่ยวเข็ญให้ฝึกเปียโนอยู่แต่ในบ้านตลอดเวลา จนเดวิดสามารถเป็นผู้ชนะในการประกวดและได้รับเชิญให้ไปเรียนต่อที่สถาบันดนตรีชื่อดังของสหรัฐอเมริกา แต่พ่อไม่ยอม เดวิดจึงต้องใช้ชีวิตแบบเดิม ๆ ต่อไป ต่อมาเดวิดได้พบกับแคทเทอรีนนักเขียนชื่อดังชาวรัสเซียคนหนึ่ง เดวิดไปเล่นเปียโนที่บ้านของเธออยู่เสมอ เธอคอยสนับสนุนและให้กำลังใจเขาจนกระทั่งเดวิดได้เข้าร่วมแข่งขันเปียโนอีกครั้ง แต่ผลปรากฏว่าเขาแพ้ แต่ก็ได้รับทุนไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ เดวิดตัดสินใจเลือกในสิ่งที่ตนต้องการโดยไม่สนใจคำคัดค้านของพ่อเป็นเหตุให้ถูกตัดขาดจากครอบครัว เมื่อมาอยู่ที่อังกฤษได้ไม่นานนักเดวิดได้รับข่าวร้ายว่าแคทเทอรีนเสียชีวิต อีกทั้งจดหมายทุกฉบับที่ส่งถึงพ่อก็ถูกตีกลับมาหมด เขาจึงทุ่มเทฝึกซ้อมโดยมีเซซิล อาจารย์ชื่อดังเป็นผู้ฝึกสอนให้ จนในที่สุดเขาก็สามารถบรรเลง Rach 3 ของ Rachmaninoff บทเพลงที่พ่อบังคับให้เขาเล่นเมื่อครั้งยังเด็ก เมื่อสิ้นสุดการบรรเลง เดวิดก็ล้มลงหมดสติ เขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลและต้องพักรักษาตัวถึง 10 กว่าปี ก่อนที่จะพบกับกิลเลี่ยน หมอดูดวงผู้อารีย์ ที่ให้ความรักและคอยเยียวยาเดวิดจนอาการของเขาดีขึ้นเรื่อย ๆ

ภาพยนตร์เปิดฉากที่เดวิดในวัยกลางคนยืนพึมพำกับตนในคืนฝนพรำ แล้วออกวิ่งฝ่าสายฝนไปตามถนนไปหยุดอยู่ที่หน้าร้านอาหาร สายตาของเขาจับจ้องไปที่เปียโน จากนั้นหนังก็ได้เล่าย้อนไปถึงเรื่องราวในวัยเด็กของเด็กชายเดวิด ชีวิตในวัยเด็กของเขาไม่เหมือนเด็กคนอื่น ๆ ในขณะที่เพื่อน ๆ วิ่งเล่นกันอยู่ข้างนอก เขาต้องนั่งฝึกเปียโนอยู่ในบ้าน เด็ก ๆ ต่างมองว่าครอบครัวนี้ประหลาดดีแท้ จึงกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับสังคม เห็นได้ชัดในฉากที่เดวิด พ่อ และน้องสาว ออกไปเก็บขวดในหมู่บ้าน เด็ก ๆที่กำลังเล่นกระโดดกันอยู่นั้นก็ถอยออกห่างและแลบลิ้นปลิ้นตาใส่

เรื่องดำเนินต่อไปจนกระทั่งเดวิดแข่งเปียโนชนะและได้รับเชิญไปเรียนต่อที่อเมริกาแต่พ่อไม่ยอมให้ไป ความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ คือพ่อกับเดวิด จึงเริ่มขึ้น และได้กลายเป็นจุดแตกหักของพ่อกับลูกในที่สุด เมื่อเดวิดได้รับทุนไปเรียนดนตรีที่ประเทศอังกฤษ และตัดสินใจเลือกเส้นทางด้วยตนเองบ้างหลังจากถูกตีกรอบมานาน

เดวิดเป็นตัวละครที่เสมือนหุ่นกระบอกโดยมีพ่อเป็นผู้เชิดอยู่เบื้องหลัง กรอบที่พ่อสร้างไว้ทำให้ชีวิตในวัยเด็กของเขาหายไปเดวิดไม่เคยได้คิดหรือทำอะไรด้วยตัวเองเลยพ่อสั่งให้ทำก็ทำ พ่อสั่งให้พูดก็พูด กลายเป็นคนที่ไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง ในการแข่งขันในแต่ละครั้ง แม้ปากจะบอกว่า “จะต้องชนะ” ซึ่งเป็นถ้อยคำที่พ่อพร่ำสอนอยู่เสมอ แต่ในใจของเขากลับไม่มีความเชื่อมั่นอยู่เลย ความกดดันที่มีอยู่แล้วยิ่งมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ จนกระทั่งได้พบกับแคทเทอรีน นักเขียนชื่อดังชาวรัสเซียซึ่งกลายมาเป็นที่พักพิงทางใจของเขา ถุงมือสีแดงที่เธอมอบให้เดวิดนั้นเป็นสัญลักษณ์ของความเชื่อมั่นและความพลังของคนหนุ่มที่ต้องออกไปเผชิญกับโลกกว้าง เมื่อเดวิดใส่ถุงมือเขาจะรู้สึกมั่นใจ กล้าออกเดินทางตามฝัน

จุดวิกฤตเริ่มต้นขึ้นเมื่อตัวละครเอกเดินทางไปเรียนดนตรีที่อังกฤษ แล้วทุ่มเทซ้อมอย่างหนักเพื่อจะเล่นRachmaninoff หมายเลข 3 ให้จงได้ และในที่สุดเขาก็สามารถบรรเลงบทเพลงนี้ได้ท่ามกลางความชื่นชมของทุกคน แต่อนิจจา...เดวิดไม่สามารถรับรู้ความสำเร็จในครั้งนั้นได้ เพราะเขาล้มหมดสติไปเสียก่อน

เดวิดกลับมาออสเตรเลียในสภาพคนสติแตก มีกระบวนการคิดที่ผิดปกติ คือมีความคิดที่รวดเร็วไม่ปะติดปะต่อ หลุดเข้าไปอยู่ในโลกของตัวเอง ดูเหมือนว่าเขาก็พอใจที่เห็นและเป็นอยู่ในขณะนั้น เพราเป็นช่วงเวลาที่เดวิดไม่ต้องกังวลสนใจกับสิ่งใด ๆ เลย ใช้ชีวิตราวกับว่าเป็นการทดแทนวัยเด็กที่ขาดหายไป ดังฉากทั่วละครเอกเดินตามพยาบาลไปอาบน้ำ กล้องจับภาพไปยังขาของเขาที่กระโดดตามพยาบาลไปอย่างเริงร่า

เรื่องเริ่มคลายปมเมื่อเบอริล แฟนเพลงของเดวิดรับเขามาดูแล เดวิดได้ทำทุกอย่างตามใจต้องการ แม้กระทั่งการเล่นเปียโนที่แพทย์สั่งห้าม ดนตรีที่ใช้ประกอบฉากเริ่มให้ความรู้สึกสดชื่น ท้องฟ้าแจ่มใสไร้เงาทะมึนของเมฆฝนซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของมรสุมแห่งชีวิต เดวิดกระโดดตัวลอยอยู่ในสวน เสียบหูฟังฟังเพลงไปด้วยเป็นฉากหนึ่งที่เรียกรอยยิ้มได้ไม่ยาก และมีความสุขจนอาจทำให้เผลอคิดไปว่าตัวเองเป็นเดวิด วันนั้นนั่นเอง กิลเลียน หมอดูดวงผู้อารีย์ได้เข้ามาในชีวิตของเขา ใช้ความรัก ความเข้าใจเยียวยาจนอาการของเดวิดดีขึ้นตามลำดับ

พ่อของเดวิดก็เป็นอีกตัวละครที่มีปมในใจ กล่าวคือชีวิตในวัยเด็กเขาไม่เคยได้รับในสิ่งที่ต้องการ จึงนำสิ่งเหล่านี้มายัดเยียดให้กับเดวิด อีกทั้งยังเป็นยิวที่อพยพมาจากโปแลนด์ ความเจ็บปวดที่ได้รับเป็นเหตุให้เขาต้องการเห็นครอบครัวอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา แม้ว่าในตอนท้ายเขาได้ยกโทษให้กับเดวิด แต่เขาก็ยังอยากจะมีลูกที่เชื่อฟังพ่อและทำตามทุกอย่างเช่นเคย ดังแว่นตาที่แตกร้าวของพ่อเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงคนหัวโบราณไม่ยอมปรับเปลี่ยนทัศนคติของตน

การเปิดคอนเสิร์ตของตัวละครเอกก่อนจบเรื่อง แล้วมีผู้ชมขอให้เขาเล่นอีกนั้น ทำให้เดวิดดีใจคล้ายกับว่าความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ถึงแม้ว่าครั้งนี้เขาจะไม่ได้เล่นRachmaninoff ก็ตามที

การปิดเรื่องที่สุสานในบรรยากาศที่สดใสนั้น เปรียบเสมือนกับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเดวิด.... “ทุกสิ่งมีฤดูกาลของมัน” ต่อจากนี้ไปคงเป็นฤดูกาลของเดวิด

ภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นอีกเรื่องที่ฉันต้องเสียน้ำตาให้อย่างไม่อายใคร ชีวิตที่ขมขื่นและมีอุปสรรคขวากหนามมากมายของเดวิด ทำให้ปัญหาที่รุมเร้าเข้ามาในชีวิตของฉันเทียบไม่ได้แม้เศษเสี้ยวของชีวิตเดวิดเลยด้วยซ้ำไป ...ถ้าโลกเป็นละครโรงใหญ่ เราจะยอมให้เขากำหนดบทชีวิต หรือเราจะต้อนผู้กำกับให้จนมุมกันดีล่ะ ...ทุกปัญหามีทางออกเสมอ ตั้งสติให้มั่นไว้เป็นพอ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี อย่างที่เดวิดบอกว่า “ ชีวิตยังไม่สิ้น ก็ต้องดิ้นกันต่อไป”

Shine แสงสว่างแห่งชีวิต

เอกพันธุ์


Shine ชื่อสั้นๆง่ายๆแต่แสนซาบซึ้งตราตรึงใจ ภาพยนตร์สัญชาติออสเตรเลียเรื่องนี้ ถ่ายถอดชีวิตจริงของเดวิด เฮลฟ์ก็อท นักเปียโนชาวออสเตรเลีย ผู้ซึ่งธรรมชาติได้สร้างพรสวรรค์อันแสนวิเศษทางด้านดนตรีให้กับเขา แต่ชีวิตเล็กๆนี้ก็ไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ เมื่อพ่อผู้ที่เริ่มสนับสนุนให้เขาเล่นเปียโนกลับเป็นผู้ปิดกั้นอนาคตแห่งความสำเร็จที่รออยู่อย่างคาดไม่ถึง

Shine เล่าเรื่องราวของเดวิด เฮลฟ์ก็อด ตั้งแต่วัยเด็ก วัยรุ่น จนกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อเดวิดได้เข้าแข่งขันเล่นเปียโนที่โรงเรียน และที่นั่นเองที่ทำให้ครูสอนดนตรีคนหนึ่งเห็นแวว และมาติดต่อที่บ้านเพื่อเป็นครูสอนให้ แต่ปีเตอร์ พ่อของเดวิดผู้ซึ่งมีอดีตฝังใจก็ไม่แม้แต่จะเปิดใจรับ ทำให้ครูคนนั้นต้องถอยหลังกลับไป อดีตที่ฝังใจพ่อของเขาได้ถูกอธิบายให้เข้าใจ นั่นคือ ปีเตอร์เมื่อครั้งเป็นเด็ก ใฝ่ฝันอยากจะเล่นดนตรีมาก แต่ถูกพ่อห้าม ผลก็เลยมาตกที่ลูกๆอีกรุ่นหนึ่งนี่เอง เขาสอนให้เดวิดได้ทำในสิ่งที่เขาทำไม่ได้ นั่นคือเล่นดนตรี ในขณะเดียวกันกลับปิดกั้นโอกาสหลายๆอย่างของลูก โดยใช้ข้ออ้างว่า “อย่าให้ใครต้องมาทำลายครอบครัวเรา”

เดวิดได้ฝึกฝนจนกระทั่งชนะเลิศหลายครั้งในที่สุด อีกครั้งที่เดวิดได้รับโอกาสนั่นคือ ได้ไปสหรัฐอเมริกา และก็เป็นอีกครั้งที่ถูกพ่อปิดกั้นโอกาสนั้น ภายหลังเดวิดก็ได้แสดงโชว์เรื่อยมา ไม่นานเขาก็ได้รับจดหมายจากอังกฤษ เชิญให้เขาไปฝึกที่นั่น เขาดีใจแล้วตั้งใจว่า โอกาสครั้งนี้เขาจะไม่ยอมสูญเสียมันไปอีกแล้ว จึงพยายามปิดบังไม่ให้พ่อรู้ แต่ท้ายที่สุด เขาก็ต้องยอมให้พ่อรู้เช่นเดิม แต่ที่ต่างออกไปคือ เขาไม่ยอมให้พ่อบังคับให้เขาต้องอยู่ในบ้านประหนึ่งสัตว์เลี้ยงของพ่ออีกแล้ว เขาตัดสินใจเดินทางไปอังกฤษ

เป็นครั้งแรกที่เดวิดต้องยืนอยู่บนสองเท้าของเขาเองอย่างเต็มตัว เขาเหมือนคนที่เพิ่งพบอิสรภาพเป็นครั้งแรกในชีวิต ด้วยเหตุนี้เขาจึงใช่ชีวิตผิดพลาดไปโดยถูกเพื่อนชักนำไปในทางที่ผิด ทั้งบุหรี่ สุรา แต่เขาก็ยังคงฝึกฝนการเล่นเปียโนอย่างเต็มที่เรื่อยมา จนกระทั่งการแสดงครั้งยิ่งใหญ่ที่เขาจะพิสูจน์ความสามารถของตนอีกครั้ง กับเพลงที่ถือว่ายากและท้าทายความสามารถมากที่สุด เขาขึ้นแสดงด้วยความมั่นใจ และเล่นอย่างสุดความสามารถ ด้วยอารมณ์แห่งเพลง ด้วยความมุ่งมั่น เขาเล่นจบลงได้อย่างยอดเยี่ยม ในขณะเดียวกันก็พลันล้มลงและหมดสติไป เขาถูกพาส่งโรงพยาบาล ด้วยอาการเกร็งตามนิ้วที่เกิดจาการเล่นเพลงที่ยากเกินขีดจำกัด ด้วยเหตุนี้ทำให้เกิดอาการผิดปกติหลายอย่างในร่างกายเขา หนึ่งในนั้นก็คือ การพูด

เมื่อเดวิดพูด เขาไม่สามารถเรียบเรียงคำพูดได้ และจะพูดรัวและเร็ว หมอสั่งห้ามเขาเล่นเปียโนอีก ทำให้เขาต้องกลับบ้าน อีกครั้งที่ได้เจอพ่อ พ่อยังคงรักเขาเช่นเดิม แต่ยังใจแข็งและไม่ให้เดวิดกลับมาอยู่บ้าน และเพราะอาการป่วยของเดวิด ทำให้เขาต้องอยู่รักษาที่โรงพยาบาล หลายต่อหลายครั้งที่เขามักจะเดินไปยังร้านอาหารร้านหนึ่งเป็นประจำจนเจ้าของร้านเคยชิน เจ้าของร้านนั้นก็คือ ซิลเวีย เธอเป็นคนที่เดวิดเคยรู้จักเมื่อตอนที่ไปแสดงเปียโนเมื่อนานมาแล้ว ซิลเวียแอบชอบเดวิด แต่ตอนนี้เธอแต่งงานและมีครอบครัวแล้ว แต่เดวิดก็ยังเดินมาที่ร้านนี้อีกครั้ง ร้านปิดแล้ว เขาเคาะประตู เจ้าของร้านเปิดประตูรับอย่างคุ้นเคย หนึ่งในนั้นคือซิลเวีย และพวกเขาก็ได้พาเดวิดไปส่งยังที่พักที่เดิม

ภายหลังเดวิดได้พบกับหญิงคนหนึ่ง โดยคนที่ดูแลเขาได้แนะนำให้รู้จัก เธอเป็นหมอดูที่ชื่อว่า กิลเลี่ยน กิลเลี่ยนเข้ามาดูแลเดวิดระยะหนึ่ง แรกทีเดียวเธอต้องปรับตัวหลายอย่างกับพฤติกรรมแปลกๆของเดวิด แต่เธอก็สามารถเข้ากับเดวิดได้เป็นอย่างดี กระทั่งวันหนึ่ง เดวิดได้กลับไปยังร้านๆเดิม ร้านของซิลเวียอีกครั้ง เขาได้พบเปียโนที่ร้านแห่งนั้น ด้วยความเคยชิน เขาจึงลองบรรเลงเปียโนอีกครั้ง และเขาก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม จนเขาได้ทำการแสดงเปียโน ณ ที่แห่งนี้เป็นประจำ

ถึงวันที่กิลเลี่ยนต้องเดินจากไป ในวันนั้น เดวิดได้ทำในสิ่งที่เหนือความคาดคิด แต่นั่นคือสิ่งที่ใจของเขาต้องการ เดวิดขอกิลเลี่ยนแต่งงาน กิลเลี่ยนได้จากไปโดยที่ยังไม่ได้ตอบและได้กลับไปลองดูดวงชะตาชีวิตตามความถนัดของเธอ ท้ายที่สุดเธอก็กลับมาพร้อมคำตอบและทั้งสองก็ได้แต่งงานกัน เดวิดยังคงเล่นเปียโนที่ร้านประจำเรื่อยมา กระทั่งได้เปิดคอนเสิร์ตอีกครั้ง ประหนึ่งความฝันได้เป็นจริง เขาทำได้ และทำได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งกิลเลี่ยน และคนอื่นๆที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตของเดวิดได้มาชมกันพร้อมหน้า ในจำนวนนั้นมีน้องสาวและแม่รวมอยู่ด้วย เดวิดร้องไห้ด้วยความปลื้มปิติ ผู้คนทั้งหมดลุกขึ้นปรบมือให้เขาอย่างชื่นชม เสียดายที่พ่อของเขาไม่ได้มาเห็นวันที่เดวิดประสพความสำเร็จเช่นวันนี้ วันแห่งความภาคภูมิใจ เพราะพ่อ...ได้จากโลกนี้ไปเสียแล้ว

ภาพยนตร์เรื่อง Shine เป็นภาพยนตร์ที่มีหลากหลายแนวรวมกัน แต่โดยหลักแล้วคือภาพยนตร์แนวดราม่าชีวประวัติ เป็นการเล่าชีวิตจริงของชายคนหนึ่งที่ต้องต่อสู้เพื่อให้ประสพความสำเร็จ เสมือนการเดินทางไปสู่เส้นชัย แต่ระหว่างทางที่เดินนั้น ตัวละครก็ได้พบเจอกับสิ่งต่างๆมากมาย ทำให้เรื่องราวมีหลากรสชาติ ทั้งตลกขบขัน โศกเศร้า ผิดหวัง มีทั้งเสียงดนตรี และความรัก การเดินทางของชายคนนี้น่าสนใจเมื่อมีการสร้างความขัดแย้งขึ้นมา ที่เห็นได้ชัดก็คือความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับตัวเอง เพราะตัวละครเอก(เดวิด) มีความผิดปกติทั้งทางการพูดและการกระทำบางอย่าง แต่เขาก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ อาจจะมีความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับสังคมอยู่บ้าง ก็เนื่องมาจากความผิดปกติของเดวิดนี่เอง ที่ทำให้คนอื่นมองเขาแปลกออกไป แต่ท้ายที่สุด ความผิดปกติเหล่านี้ก็ไม่ได้ทำให้เขาแตกต่างจากคนอื่น เมื่อเขาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เขาก็ทำสิ่งที่คนทั่วไปทำได้ และทำได้ดีกว่าอีกด้วย

ผู้กำกับได้ใช้กลวิธีการเล่าเรื่องแบบเล่าตอนกลางก่อนแล้วย้อนมาตอนต้นเรื่อง (In Medias Res) คือ จัดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนกลางของเรื่องมาก่อนแล้วจึงเล่าเรื่องตอนต้นมาบรรจบกันก่อนที่จะดำเนินเรื่องไปสู่ตอนจบ การเปิดเรื่องทำได้อย่างน่าสนใจ เมื่อมีชายคนหนึ่ง(เดวิด)ซึ่งเป็นตัวละครเอกของเรื่อง มาเคาะประตูร้านอาหารแห่งหนึ่ง เขาเคาะอย่างเร่งรีบ คนในร้านเดินมาเปิดประตูให้และพูดคุยกันครู่หนึ่ง การพูดกันนี่เอง ทำให้เราได้ทราบว่า ตัวละครที่มาเคาะประตูพูดรัวอย่างผิดปกติ และฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ถือเป็นการสร้างจุดสงสัยให้ผู้ชมว่า ทำไมเขาจึงเป็นเช่นนี้ เพื่อตอบคำถามของผู้ชม ผู้กำกับได้เล่าเรื่องย้อนกลับไปตั้งแต่เดวิดยังเด็ก และเรื่องราวของเดวิดก็ค่อยๆถูกเปิดเผย และนำไปสู่จุดคลายสงสัย เมื่อรู้ว่าเดวิดเป็นนักเปียโนที่มีความสามารถมาก แต่ชะตากลับพลิกผันเมื่อเขาขึ้นแสดง และเล่นเพลงยากเกินกว่าร่างกายเขาจะรับไหว ทำให้เขาหมดสติ และตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการผิดปกติเหล่านี้ จุดหักเหของเรื่องเกิดขึ้น เมื่อเดวิดเลือกที่ขีดเส้นทางชีวิตด้วยตนเองโดยการเดินทางไปอังกฤษ และเหตุนี้เองที่ชีวิตของเดวิดเปลี่ยนไป การดำเนินเรื่องโดยหลักๆแล้วช่วงแรกจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่บ้านของเดวิดเอง กับพ่อผู้คอยบังคับเดวิดอยู่เสมอ หลังจากนั้นก็จะมีฉากแสดงเปียโน ณ ที่ต่างๆแทรกอยู่บ้าง ก่อนที่เดวิด จะไปใช้ชีวิตเรียนเปียโนที่อังกฤษ จะเห็นได้ว่า ผู้สร้างได้ใช้ฉากทั่วๆไป และตัวละครก็แต่งตัวธรรมดา ทำให้ผู้ชมเห็นว่า เป็นชีวิตของคนธรรมดาคนหนึ่ง และเชื่อได้ว่าเป็นอย่างนั้นจริง

ชีวิตของเดวิด เป็นเหมือนชีวิตที่ต้องอยู่ใต้เงาของพ่อเรื่อยมา เขาปรารถนาที่จะเดินทางไปสู่แสงสว่างที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ แต่ก็ไม่กล้าที่จะก้าวออกไป เพราะพ่อคอยพูดเสมอว่า อย่าให้อะไรต้องมาทำลายครอบครัวเรา และสอนให้เขาเชื่อว่า การก้าวออกไปก็เหมือนการทิ้งครอบครัว และนั่น จะทำให้ครอบครัวต้องพังทลาย “Shine” จึงเป็นชื่อที่เหมาะสมกับเรื่องนี้อย่างยิ่ง สุดแล้วแต่ใครจะตีความไปในทางใด แต่ท้ายที่สุด Shine ก็เป็นจุดหมายที่เดวิดปรารถนา ชีวิตที่ต้องเดินทางและต่อสู้เพื่อไขว่คว้าหาแสงสว่างอย่างยากเย็น ไม่ต่างจากทุกคนที่ต้องการประสพความสำเร็จในชีวิต เดวิดจึงสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้คนปกติ ได้เล็งเห็นว่า “เดวิดต้องพยายามมากเพียงใด และเราผู้มีโอกาสมากกว่า จะไม่พยายามเลยหรือ”

ความภาคภูมิใจที่เดวิดได้รับเมื่อตอนได้แสดงเปียโนที่บ้านเกิด เป็นความภาคภูมิใจภายใต้ความเสียดาย เสียดายที่พ่อไม่ได้มาอยู่ ณ ที่แห่งนั้น มันคือความสำเร็จที่มาช้าไปเพียงนิด แต่ก็เร็วที่สุดเท่าที่เดวิดจะทำได้แล้ว ทำให้ผู้ชมได้ตระหนักอีกว่า “เมื่อเราอยากจะทำอะไร ก็ควรรีบทำให้สำเร็จ ก่อนที่จะสายเกินไป” และเดวิดได้ทำให้เห็นแล้วว่าเขาทำได้

Shine เข้าชิงรางวัลออสการ์ 7 สาขา และหนึ่งในนั้นเป็นผู้ชนะ นั่นคือ เจฟฟรีย์ รัช ชนะในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม เจฟฟรีย์ รัช แสดงเป็นเดวิดในช่วงชีวิตที่เป็นผู้ใหญ่ เขาให้การแสดงที่ยอดเยี่ยมและน่าเชื่อถือ นี่คงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่อง Shine ดูสมจริงและบอกเล่าเรื่องราวของเดวิด เฮลฟ์ก็อทที่แทบจะทุกคนไม่เคยรู้จัก ให้ผู้ชมได้รับรู้ และหลงรักเดวิดได้อย่างน่ามหัศจรรย์

ภายใต้แก่นเรื่องคือความรัก ความรักที่เป็นดังยาวิเศษคอยเยียวยาชีวิตไม่ให้สิ้นหวัง และทำให้เดวิดได้มีวันแห่งความสำเร็จ ทั้งความรักจากพ่อ ครอบครัว กิลเลี่ยน และคนอื่นๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเดวิด ทุกคนรักเขา จึงไม่ใช่เรื่องผิด หากทุกคนจะมอบความรักให้แก่กัน ไม่ใช่ความรักฉันชู้สาว แต่เป็นความรักที่ให้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่รังเกียจ หรือประสงค์ร้ายต่อกัน นั่นแหละ คือความรัก

สิ่งหนึ่งที่ทุกคนย่อมได้รับหลังจากชมภาพยนตร์เรื่องนี้ นั่นคือความอิ่มเอมใจ ภาคภูมิใจไปพร้อมกับเดวิด บุคคลที่เราเพิ่งได้รู้จักมาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง แต่เดวิดก็ทำให้เราได้รู้ว่า ทุกชีวิตย่อมมีสักวันที่จะได้พบกับแสงสว่าง หากเพียงแค่เรายังมีจิตใจที่แน่วแน่ และเข้มแข็ง เพียงแค่นั้นก็ไม่มีอะไรมาปิดกั้นความสำเร็จที่อยู่ข้างหน้าได้ ไม่ว่ามันจะเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มากหรือน้อยเพียงใด แต่นั่นก็คือความสำเร็จที่เราได้สร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเอง และทั้งหมดนี้...ก็คือสิ่งที่ข้าพเจ้าประทับใจ

Shine โชคดีที่สวรรค์ไม่ลำเอียง

อรรถอรองค์

Shine เป็นเรื่องราวของเดวิดนักเปียโนสติแตกคนหนึ่งที่ได้รับความกดดันจากคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นพ่อ ครู และทุก ๆ คน เดวิดเกิดในครอบครัวชาวยิวที่อพยพมายังออสเตรเลีย พ่อของเขาต้องการให้เขาเป็นนักเปียโน และสนับสนุนเดวิดให้เล่นดนตรี แต่ทว่าเมื่อเดวิดได้รับคำเชิญให้ไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา พ่อเขากลับปฏิเสธและไม่ยอมให้เดวิดไปทั้ง ๆ ที่ได้ระดมทุนช่วยเหลือจากสมาคมต่างๆ ความผิดหวังครั้งนี้ของเดวิดทำให้เขาไม่กล้าคาดหวังอะไรอีก

เมื่อเดวิดได้รับทุนให้ไปเรียนดนตรีที่ประเทศอังกฤษอีกครั้ง ครั้งนี้มีทั้งแคทเธอรีน คุณโรเซ่นที่เป็นกำลังใจให้ เดวิดกล้าต่อต้านพ่อเขาเป็นครั้งแรก พ่อเขาถึงกับประกาศว่าถ้าเดวิดไปก็ไม่ต้องเป็นลูก ไม่ต้องกลับมาอีก เพราะกลัวว่าเดวิดจะทิ้งครอบครัวไป แต่เดวิดก็ตัดสินใจไป การไปอังกฤษครั้งนี้ของเดวิดทำให้เขาได้ทำความฝันของพ่อให้เป็นที่สำเร็จ คือการเล่นเพลงของแร็คแมนีนอฟ นักเปียโนที่ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกรุนแรงลงในบทเพลงของเขา จากความตึงเครียดทางอารมณ์ทำให้หลังคอนเสิร์ตใหญ่ เดวิดหมดสติไปกลางเวที

เมื่อเดวิดกลับไปยังบ้านเกิดของเขา เขาโทรไปหาพ่อแต่พ่อไม่รับเข้ากลับเข้ามาในครอบครัว จากนั้นชีวิตของเดวิดก็ต้องไปบำบัดรักษาตัวอยู่ยังโรงพยาบาลทางประสาท เมื่ออายุเข้าล่วงเข้าสู่วัยกลางคน เขาได้พบกับเบอริล แฟนเพลงที่ชอบการแสดงเปียโนของเขาตอนสมัยหนุ่ม ๆ เธอได้พาเขาออกไปจากโรงพยาบาลไปอยู่ด้วย แต่แล้วในที่สุดเธอก็ให้เดวิดออกจากบ้านของเธอไปอยู่ยังที่พักที่เธอจัดไว้ให้ด้วยเหตุผลที่เดวิดยากเกินจะแก้ไข และที่นั่นเองทำให้เดวิดได้พบกับซิลเวียที่ร้านโมบี้ และได้เล่นดนตรีที่นั่นทำให้เขาได้ทำในสิ่งที่เขารักอีกครั้ง พ่อของเดวิดรู้ข่าวและมาหาเดวิด แต่เมื่อเดวิดพยายามปฏิเสธสิ่งที่พ่อเขาอยากให้เดวิดเป็น เดวิดคิด พ่อจึงจากไปอีกครั้ง

เดวิดเล่นเปียโนอยู่ที่ร้านโมบี้และได้รู้จักกับกิลเลียนเพื่อนของซิลเวีย เขาขอเธอแต่งงาน แต่เธอมีคู่หมั้นอยู่แล้ว และด้วยอะไรบางอย่างในตัวเดวิดทำให้เธอตัดสินใจถอนหมั้นและตอบตรงลงแต่งงานกับเขา ชีวิตของเดวิดมีความสุขมากที่เขาได้ทำในสิ่งที่เขารัก ได้เล่นคอนเสิร์ตอีกครั้งและได้อยู่กับคนที่เข้าใจเขาและยอมรับในตัวตนของเขาอย่างแท้จริง

ภาพยนตร์เปิดฉากขี้นที่ชายคนหนึ่งกำลังพูดพล่ามไม่หยุด และคืนที่สายฝนกระหน่ำชายคนเดิมเคาะกระจกร้านโมบี้ เหลือบไปมองเปียโนที่ตั้งอยู่กลางร้านแต่ไม่กล้าเล่น พูดพล่ามถึงชิวิต ถ้อยคำ ข้อความที่ไม่สามารถจับใจความได้เลย เมื่อคนในร้านพาเขาไปส่งที่พัก สายฝนที่กระทบกับบานหน้าต่างทำให้เขานึกย้อนไปถึงตอนเขาเป็นเด็ก

เหตุการณ์พัฒนาเมื่อเขาเล่นดนตรีแพ้แต่คุณโรเซ่นได้เสนอตัวมาเป็นครูให้กับเดวิด และสามารถพาเดวิดไปแข่งขันจนได้รับรางวัลชนะเลิศ
จุดสงสัยเกิดเมื่อเดวิดได้รับคำเชิญไปเรียนที่สหรัฐอเมริกาและได้ร่วมกันระดมหาทุน แต่พ่อของเดวิดมีอาการอิดออดไม่อยากให้เดวิดไปเรียนต่อ และเกิดปมคำถามในใจของผู้ชมว่าเกิดอะไรกับเดวิด เพราะเหตุใดทำให้เดวิดสติไม่ดี

ความขัดแย้งในเรื่องนี้ คือ ความขัดแย้งของมนุษย์กับมนุษย์คือเดวิดกับพ่อ ที่คนหนึ่งอยากให้อีกคนคิด และทำตามอย่างที่ตนต้องการ ในขณะที่อีกคนหนึ่งคิดต่อต้านแต่ไม่กล้าแสดงออกออกมาเลย

จุดวิกฤตเริ่มเมื่อเขาได้ทุนไปเรียนที่อังกฤษอีกครั้ง และครั้งนี้เดวิดตัดสินใจแล้วว่าเขาอยากไปจริงๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับพ่อของเขาอย่างสิ้นเชิง
จุดแตกหักของปัญหาอยู่ที่พ่อของเขาตัดสินใจตัดเดวิดออกจากครอบครัว ถ้าเดวิดออกไปเรียนต่อที่อังกฤษ และเดวิดก็ออกไป
หลังจากจุดไคลแมกซ์แล้วก็ย้อนกลับมาดูเหตุการณ์หลังจากนั้น คือเรื่องก็ดำเนินต่อไป และก้าวไปสู่จุดเปลี่ยนผันของเหตุการณ์เมื่อเดวิดเสียสติ และได้กลับมาเล่นเปียโนอีกครั้งหนึ่ง

เรื่องนี้ปิดเรื่องที่เดวิดยืนอยู่หน้าหลุมศพพ่อ เขาไม่โทษว่าพ่อเขาผิดสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น เขาบอกกับภรรยาเขาว่า “เขาไม่อยู่ให้ผมโทษนี่”
ตัวละครเดวิดเป็นตัวละครที่แสดงออกถึงความกดดัน ความเครียดที่เขามี ตั้งแต่การบังคับของพ่อ ให้เชื่อในสิ่งที่พ่อของเขาบอก เดวิดเป็นความคาดหวังของคนรอบข้างทั้งพ่อ คุณโรเซ่น คุณแคทเธอรีน ศาสตราจารย์เชอริล และทุก ๆ คนที่ผ่านมาในชีวิตของเดวิด ความกดดันถูกแสดงออกมาได้อย่างชัดเจนเมื่อเดวิดสติแตก คำพูดที่เขาพร่ำเพ้อออกมาคือคำพูดที่ทุกคนเคยพูดกับเขา ความเก็บกดในใจได้ถูกเผยออกมา เช่น “สวรรค์ได้ลงทัณฑ์แล้ว” หรือ “ผมโชคดีที่ได้เล่นดนตรี” และคำพูดกดดันที่พ่อเขามักพูดว่า “เราต้องชนะ”

ฉากและบรรยายกาศของเรื่องนี้สอดคล้องกับชื่อเรื่อง คือ shine ที่แปลความได้หลายอย่างเช่น แจ่มใส สุกใส ส่องสว่าง ปราดเปรื่อง หรือแดดออก ชื่อเรื่องสัมพันธ์กับฉากอย่างไร shine อาจหมายความถึงความปราดเปรื่องของเดวิด หรือการส่องประกายอีกครั้งก็ได้ จากที่หนังสือพิมพ์พาดหัวไว้ว่า David Shine หรือถ้ามองในมุมของฉากและบรรยากาศก็จะพบว่า เปิดเรื่องด้วยฉากฝนตก อาจหมายถึงความกดดัน ความผิดหวังของตัวละคร ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เดวิดทะเลาะกับพ่อและอยากไปอังกฤษฝนก็ตก หรือแม้แต่ตอนที่เดวิดกลับมาจากอังกฤษและถูกพ่อปฏิเสธ แต่หลังจากที่เดวิดได้เล่นดนตรีที่ร้านโมบี้ ได้เจอกับกิลเลียนจนไปถึงปิดเรื่อง ไม่มีฝนตกอีกเลย แสดงให้เห็นถึงความสดใส แจ่มใส อาจตรงกับสำนานของฝรั่งที่ว่า After the storm comes the calm หรือที่แปลว่าฟ้าหลังฝน หรือ shine นั่นเอง เป็นอารมณ์ให้กำลังใจของตัวละครเอกที่ได้ผ่านเหตุการณ์ร้ายๆ มามาก แต่เขาก็ต้องยืนหยัดให้ได้วยตัวเอง

Shine

หทัยวรรณ

“Shine” เป็นภาพยนตร์ประเทศ ออสเตรเรีย ที่แต่งโดย Jan Sardi และกำกับโดย
ผู้กำกับที่มีผลงานคุณภาพหลายเรื่อง Scott Hicks โดยสร้างจากเรื่องราวชีวิตจริงของ David Helfgott ผู้ที่มีฝีมือในการเล่นเปียโนเยี่ยมยอด ผู้รับบทนี้คือ เจฟฟรี รัช และภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้รับรางวัลมากมาย อาทิ เช่น Academy Award for Best Actor, และ was nominated for Best Actor in a Supporting Role ,Best music, Original Dramatic Score ,Best picture และ Best writing เป็นต้น

ภาพยนตร์เรื่อง “Shine” เป็นเรื่องราวชีวิตจริงของชายคนหนึ่งชื่อ David Helfgott ที่มีฝีมือในการเล่นเปียโนมากทั้งจากพรสวรรค์และจากการฝึกฝนอย่างเข้มงวดโดยการเคี่ยวเข็ญของพ่อ (Peter Helfgott) ซึ่งอาจเป็นผลมาจากความเก็บกดของพ่อในวัยเด็กที่ไม่สามารถได้เล่นดนตรีที่ตนชอบได้ และพ่อก็ได้สอน Davidอยู่เสมอว่า “ชีวิตน่ะโหดร้าย แต่ดนตรีเป็นมิตรเสมอ”

David เป็นเด็กที่ขาดความมั่นใจตนเองมาก ทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพ่อ จนวันหนึ่งเค้าได้ถูกรับเชิญไปเรียนต่อที่อเมริกาจากการแข่งขันการเล่นเปียโน แต่พ่อของเขาไม่อนุญาต เขาจึงต้องเสียโอกาสนั้นไปทำให้เขารู้สึกเสียใจและโกรธพ่อมาก แล้วเขาก็ได้มีโอกาสรู้จักกับแคทเธอรีน นักเขียนชื่อดัง และได้ไปเล่นดนตรีให้เธอฟังบ่อยๆจนเกิดเป็นความผูกพัน เธอได้เป็นที่ปรึกษาให้กับ เขา ทำให้เขามีความเข้มแข็ง เชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น และด้วยความที่ David มีฝีมืออย่างมากในการเล่นเปียโน วันหนึ่งเมื่อเขาไปแข่งขันเปียโน ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นครั้งสำคัญเพราะทำให้เขาได้รับโอกาสได้ทุนเรียนดนตรีในราชูปถัมภ์ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ แต่ พ่อของเขาก็คัดค้านเพราะไม่อยากให้ครอบครัวแยกจากกัน แต่ในครั้งนี้เขาเลือกที่จะตัดสินใจด้วยตัวเอง จึงทำให้เป็นเหตุที่ต้องตัดพ่อตัดลูกกัน และ David ก็เดินไปตามเส้นทางที่เขาเลือกคือไปเรียนต่อที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ

ขณะที่อยู่ที่ลอนดอนเขาได้ฝึกฝนการเล่นเปียโนอย่างหนัก เพื่อที่จะเล่นเพลง rachmaninoff 3 ให้ได้และนำไปใช้ในการแข่งขันของมหาวิทยาลัย เพราะพ่อของเขาเคยอยากให้เขาเล่นเพลงนี้ได้และเขาหวังว่าจะนำชัยชนะที่ได้ไปฝากพ่อ และเหตุผลอีกอย่างที่เขาตัดสินใจออกมาจากบ้านก็เพื่ออยากที่จะให้พ่อภูมิในตัวเขาด้วย เขาจึงพยายามฝึกซ้อมอย่างหนัก ขณะนั้นเขามีสภาวะเครียดหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น ข่าวร้ายเกี่ยวกับการจากไปของแคทเธอรีน การไม่ตอบจดหมายของพ่อเลย และการซ้อมเพลง rachmaninoff 3 เพราะเพลงนี้เป็นเพลงที่เล่นค่อนข้างอยากพอสมควร น้อยคนที่จะเล่นเพลงนี้ออกมาดี

เมื่อถึงเวลาแข่งขันเขาก็เล่นเพลงนี้ออกมาได้ดีมากๆ เขาชนะการแข่งขัน แต่ด้วยความเครียดและกดดันมากทำให้หลังจากที่เล่นเพลงนี้จบเขาก็เกิดอาการช็อคหมดสติ และกลายเป็นคนควบคุมสติของตัวเองไม่ได้ หมอจึงให้เขาหยุดเล่นเปียโนไปตลอดชีวิตและอยู่ในโรงพยาบาลของผู้ป่วยทางจิต

ต่อมามีผู้รับเขาไปอุปการะโดยหวังว่าสักวันเขาจะหายและกลับมาเล่นเปียโนเหมือนเดิม แต่ก็ไม่มีใครทนเขาได้ เพราะเขามักจะทำให้ผู้ดูแลหนักใจในเรื่องการทำความสะอาดบ้านจนทนไม่ไหว และเปลี่ยนผู้ดูแลบ่อยครั้ง จนสุดท้ายซิลเวีย พนักงานร้านอาหารแห่งหนึ่งที่เห็นความสามารถของ David ก็ได้รับเขาไปอุปการะและให้เขามาเล่นเปียโนที่ร้านอาหาร จนทำให้ลูกค้าชื่นชอบและมีลูกค้าเพิ่มขึ้นด้วย ทำให้เขาเริ่มมีชื่อเสียงลงในหนังสือพิมพ์ และได้พบกับพ่ออีกครั้ง

ในที่สุดวันหนึ่งเขาก็ได้พบกับรักแท้คือกิลเลียนเพื่อนสาวของซิลเวีย กิลเลียนเปรียบเสมือนแสงสว่างในชีวิตของ David เธอเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจดีงาม ยอมรับสภาพของ Davidได้ถึงแม้เขาจะไม่เหมือนคนปกติทั่วไป แต่กิลเลียนก็ดูแล เอาใจใส่ เขาเป็นอย่างดี เขาทั้งสองคนมีความผูกพัน เป็นรักแท้ของกันและกัน ชีวิตของ Davidที่เปรียบเหมือนคนกำลังหลงทางไม่มีที่พึ่งที่ไหน กิลเลียนจึงเป็นสิ่งเดียวในชีวิตของเขา ทั้งคู่อยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวที่มีความสุข แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้ลับมาเล่นเปียโนที่ชอบและมีคอนเสิร์ตเป็นของตนเอง

ตัวละครเอกของเรื่องคือ David เริ่มจากเด็กชายที่ไม่มีความมั่นใจในตนเอง และถูกบังคับกดดันหลายอย่างจากพ่อ ทำให้เขาไม่กล้าที่จะคิดหรือตัดสินใจอะไรด้วยตนเอง และสุดท้ายเขาก็กลายเป็นคนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เพราะความเครียดกับการเล่นเปียโนมากไป และความรู้สึกผิดที่ฝังใจเรื่องที่พ่อดุด่าก่อนที่เขาจะออกจากบ้านมา


พ่อ(Peter) เป็นคนที่มีความคิดยึดติดอยู่กับสิ่งเดิมๆ ไม่เปิดรับความคิดใหม่ๆ หรือยอมรับอะไรง่ายๆ เห็นได้จากสัญลักษณ์ในเรื่อง คือ พ่อใส่แว่นตาเดิมถึงแม้ว่าแว่นนั้นจะแตกแล้วแต่พ่อก็หาเทปกาวมาติด แสดงให้เห็นว่าพ่อเป็นคนที่ยึดติดกับความคิดแบบเดิม ไม่เปลี่ยนมุมมอง
มีการเริ่มเรื่องโดยตัวละครสำคัญ คือ David กำลังพูดพึมพำซ้ำไปซ้ำมาจับใจความไม่ได้ เหมือนคนสติไม่ค่อยดี ซึ่งอาจเป็นวิธีแนะนำตัวละครเอกว่าคนคนนี้ไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไปและอาจมีความผิดปกติทางด้านร่างกายหรือจิตใจด้วยเรื่องอะไรบางอย่าง

ลักษณะการดำเนินเรื่อง จะเป็นการเริ่มเรื่องจากสมัยปัจจุบันก่อน แล้วย้อนกลับไปในอดีตสมัยเป็นเด็ก เหมือนการเล่าเรื่องย้อนกลับจนมาถึงปัจจุบันที่เป็นฉากเริ่มแรก แล้วจึงดำเนินเรื่องต่อไปจนจบ

มีความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ก็คือ David และ Peter (พ่อ) ในตอนที่ David ได้รับทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่พ่อไม่อนุญาต เพราะมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน โดยพ่อไม่ต้องการที่จะให้ลูกออกไปเผชิญกับโลกภายนอกเพียงลำพัง ต้องการที่จะให้คนครอบครัวอยู่ด้วยกัน ไม่จากกันไปไหน จะได้เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ ส่วนลูกชายต้องการที่จะออกไปหาประสบการณ์จากโลกกว้าง และมีความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับจิตใจของมนุษย์ นั่นคือ ตัวDavid ในตอนที่ เขาถูกพ่อคัดค้านเรื่องไปเรียนต่อ ทำให้เขารู้สึกเก็บกดและในขณะที่อาบน้ำในอ่างเขาก็นั่งซึมเศร้าและกดดันจนอุจจาระที่อ่างอาบน้ำ เหมือนกับว่าเขาเครียดจนควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้

สัญลักษณ์ที่น่าสนใจในภาพยนตร์เรื่องนี้ เช่น จะมีฉากหนึ่งเป็นตอนที่ David เลือกตัดสินใจตามความคิดของตนเองและเดินออกจากบ้านไป ทำให้พ่อโกรธมากและได้เผากระดาษผลงานของ David ที่พ่อเคยเก็บสะสมไว้ด้วยความภูมิใจ ทำให้เกิดเป็นไฟลุกขึ้นมา และเงาของไฟได้สะท้อนกับกระจกแว่นตาของพ่อ ทำให้ดูเหมือนว่าตาของพ่อลุกเป็นไฟ แสดงให้เห็นว่าโกรธมาก

ต่อมาคือฉากที่ David กำลังนั่งขดตัวอยู่ในอ่างอาบน้ำ มีน้ำกำลังหยดลงมาที่อ่างทีละหยดๆ กล้องจับไปที่หยดน้ำที่กำลังหยด และจับมาที่ตัวเขา เขาอุจจาระในอ่างอาบน้ำ เป็นนัยที่แสดงให้เห็นถึงสภาพร่างกายของเขาที่มีความกดดันทางจิตใจจนถึงขั้นเก็บกด ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ทำให้อุจจาระออกมาในอ่างอาบน้ำ เหมือนกับก๊อกน้ำ ถึงแม้จะปิดอยู่แต่ก็น้ำก็รั่วออกมาได้

และตอนที่ David ฝึกซ้อมเปียโนเพื่อจะเล่นเพลง rachmaninoff 3 ให้ได้โดยฝึกฝนอย่างหนักมาก เห็นได้จากมีอยู่ช่วงหนึ่งที่กล้องจับไปที่เปียโนที่ David ใช้ฝึกซ้อม ที่ดีดเปียโนดูซึกหรอแสดงให้เห็นถึงการผ่านการใช้งานอย่างหนัก

เรื่องนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ และการเลี้ยงลูกอย่างผิดวิธีของพ่อ ที่ต้องการให้ลูกทำในสิ่งที่ตนเองเคยต้องการอดีต จนไม่คำนึงถึงจิตใจและความสามารถของลูกว่ามีเพียงพอหรือไม่ และการที่ไม่ให้อิสระในการตัดสินกับลูก อาจทำให้ลูกเกิดความเครียดและเก็บกดได้ ดังนั้นควรเป็นข้อคิดให้พ่อแม่ว่า สิ่งที่ตนคิดว่าดีนั้น ดีที่สุดสำหรับลูกแล้วหรือยัง

อีกสิ่งหนึ่งที่ได้รับจากเรื่องนี้คือ คนที่มีความผิดปกติทางร่างกายหรือจิตใจก็สามารถอยู่ร่วมกับคนปกติได้ แค่เพียงเราเข้าใจ ดูแล และมอบความรักให้กับเขา เหมือนอย่างที่กิลเลียนมอบความรัก ดูแล David อย่างเข้าใจซึ่งเธอก็เปรียบเสมือน shine ของ David ที่ทำให้ David กลับมามีชีวิตที่สดใส มีความสุข และอยู่ในสังคมตามปกติได้ เพียงเท่านี้คนที่ผิดปกติไม่ว่าจะทางร่างกายหรือจิตใจก็สามารถอยู่ร่วมกับคนธรรมดาอย่างปกติสุขได้

Shine

สุวีณา

ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดส์ ประจำปี 1997 สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมโดยเจฟฟรี่ รัช ผู้รับบทเป็นเดวิดตอนแก่ และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม ตัดต่อภาพยอดเยี่ยม นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม และภาพยนตร์ยอดเยี่ยมรวม 6 รางวัล

เด็กชายเดวิดเกิดในครอบครัวชาวยิว มีพ่อที่พยายามเคี่ยวเข็ญให้เขาฝึกซ้อมเปียโน เดวิดผ่านการประกวดหลายครั้งและสามารถเอาชนะได้ จนกระทั่งได้รับเชิญให้ไปศึกษาต่อยังสถาบันสอนดนตรีชื่อดังที่อังกฤษตามจดหมายเชิญโดยไม่สนใจคำคัดค้านของพ่อ เพราะพ่อได้ห้ามเขามาตลอดจึงทำให้ทั้งสองตัดพ่อลูกกัน

ระหว่างที่เขาอยู่ที่อังกฤษ เขาต้องพบกับสภาวะเครียดหลายอย่าง คือ การเสียชีวิตของแคทเธอรีนนักเขียนผู้มีพระคุณ การไม่ตอบจดหมายกลับของพ่อ และการได้รับการฝึกสอนจากอาจารย์ชื่อดัง เซซิล พาร์ค ทำให้เขาสามสรถบรรเลงบทเพลงที่ยากที่สุดได้ จนทำให้เขาสามารถครองตำแหน่งชนะเลิศในงานประกวดของมหาวิทยาลัย แต่หลังจากที่เขาบรรเลงจบ เขาล้มลงหมดสติอยู่บนเวที เขาจึงต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชเป็นเวลานาน โดยแพทย์กำชับไม่ให้เขาเล่นเปียโนโดยเด็ดขาด

หลังจากที่เขาออกจากโรงพยาบาลได้ไปอาศัยอยู่กับเบริล แต่เขาไม่สามารถดูแลเดวิดต่อไปได้จึงส่งเดวิดไปอยู่อพาร์ทเมนท์ เดวิดเล่นเปียโนบ่อยเกินไป จนทำให้เจ้าของอพาร์ทเมนท์ล็อคเปียโนไว้ด้วยความรำคาญทำให้เขาต้องเดินทางออกตามหาเปียโนจนพบเปียโนในร้านอาหารโมบาย ซึ่งทำให้เขาได้เล่นเปียโนที่นั้นจนมีชื่อเสียง

เขาพบกับพ่ออีกครั้ง แม้พ่อเขาจะให้กลับบ้าน แต่เดวิดดูเหมือนว่าจะพอใจและมีความสุขกับสิ่งที่เขาทำอยู่ในตอนนี้

เขาได้พบกับกิลเลี่ยนนักดูดวง ซึงได้เห็นความดี ความน่ารัก อารมณ์ขัน และความสามารถทางดนตรี จนเกิดความประทับใจและแปรเปลี่ยนเป็นความรัก จนในที่สุดทั้งสองก็ได้แต่งงานกัน

ด้วยความรักและความเข้าใจจากกิลเลี่ยน ทำให้เดวิดหวนกลับมาเล่นเปียโน และสามารถสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ฟังได้อีกครั้ง เดวิดสามารถเอาชนะใจแม่และน้องสาวของเขาจากคอนเสิร์ตในครั้งนั้นแต่น่าเสียดายที่พ่อเขาจากไปแล้ว


การเปิดเรื่องเป็นเรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในคืนวันฝนตก เดวิดซึ่งมีลักษณะแปลกๆพูดกับตังเองคนเดียว เนื้อหาการพูดนั้นจับใจความไม่ได้ กำลังวิ่งอยู่กลางถนน และได้ไปหยุดยืนอยู่ที่ร้านอาหารชื่อ โมบาย สายตาของเขาหยุดและจับจ้องอยู่ที่เปียโน ที่ตั้งอยู่กลางร้านอาหาร
ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอวิธีการเล่าเรื่องในปัจจุบันแล้วย้อนไปในอดีตเพื่อเป็นการบ่งบอกถึงสาเหตุทั้งหมดที่ทำให้เดวิดมีพฤติกรมจ้องมองเปียโนในฉากเปิดเรื่อง หลังจากนั้นเหตุการณ์เริ่มพัฒนาไปเรื่อยๆ ได้กล่าวถึงช่วงชีวิตวัยเด็กของเดวิดและเป็นจุดสงสัยเช่นเดียวกันที่เดวิดทำไมถึงต้องจ้องดูเปียโน เดวิดเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่มีการใช้อารมณ์ พ่อของเขาจะเข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตของเดวิดมากเกินไป จะตัดสินใจแทนเขาตลอด การกล่าวด้วยวาจาที่รุนแรง บางครั้งมีการใช้กำลัง จึงสร้างความกดดันให้กับเขา จนบางครั้งเขาแสดงพฤติกรรมแปลกๆโดยไม่รู้ตัวและไม่มีความนึกคิดว่าเป็นสิ่งถูกหรือผิด สิ่งที่พ่อเขาสอนนั้นฝังใจเดวิดอยู่ตลอด ชีวิตของเขามีแต่ดนตรี เขามีเพื่อนที่ดีที่สุดคือ เปียโน จึงไม่แปลกที่ชีวิตเขาจึงมีแต่เปียโน

จุดไคลเม็กซ์ของเรื่องคือตอนที่เขาสามารถครองตำแหน่งชนะเลิศในงานประกวดของมหาวิทยาลัย แต่หลังจากที่เขาบรรเลงจบ เขาก็ล้มหมดสติอยู่บนเวที อาจเป็นเพราะเขาต้องเผชิญกับภาวะเครียด คือการเสียชีวิตของผู้มีพระคุณคือ แคทเธอรีน การไม่ตอบจดหมายกลับของพ่อ และการฝึกซ้อมอย่างหนักจนสามารถบรรเลงเพลงที่ยากที่สุดได้ จนทำให้เขาพะวงและหมดสติในที่สุด

ภาพยนตร์เรื่องนี้มีจุดเด่นที่ตัวละคร คือตัวละครเอก “เดวิด” ซึ่งเป็นตัวละครที่มีบทบาทดำเนินเรื่องมาจากวัยเด็กจนถึงวัยกลางคน ทั้งเรื่องล้วนนำเสนอเกี่ยวกับชีวิตของเดวิดทั้งสิ้นเป็นการเล่าประวัติของเดวิด

ฉากภายในเรื่องในช่วงแรกเป็นฉากสลัว มืด ทึบ ไม่สว่างสดใส ซึ่งแสดงว่าเดวิดมีความพะวง กดดัน อยู่ในภาวะเครียดไม่มีทางออก แต่ในช่วงหลังเมื่อเดวิดมีคนเข้าใจและมีความรักให้เขา ฉากในเรื่องจึงมีสีสันสดใสมากขึ้น มีชีวิตชีวา เหมือนกับชีวิตของเขาที่ดีขึ้นและความเครียด ความกดดัน ไม่มมีเหลืออยู่ในจิตใจแล้ว
ความขัดแย้งภายในเรื่องเป็นความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ คือ พ่อของเดวิดขัดขวางการไปเรียนต่ออังกฤษของเดวิด จนทำให้ทั้งงสองทะเลาะเบาะแว้งและลงไม้ลงมือกัน และความขัดแย้งภายในใจตัวเอง คือ การตัดสินใจไปเรียนต่อที่อังกฤษภายในใจนั้นอยากไปแต่กลัวพ่อไม่อนุญาตแต่แล้วเขาจึงตัดสินใจไปโดยไม่ฟังคำคัดค้านของพ่อ

สัญลักษณ์ใน ภาพยนตร์เรื่องนี้คือ

1.ในช่วงวัยเด็กเดวิดอาบน้ำแล้วอุจจาระในอ่างอาบน้ำ แล้วภาพตัดไปที่ก๊อกน้ำกำลังหยด เพื่อเป็นการบอกว่าเดวิดผิดปกติไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เหมือนก๊อกน้ำที่เสียแล้วไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน

2. ตอนที่กรอบแว่นของพ่อของเดวิดแตก แสดงว่าชีวิตที่อยู่ในกรอบ ในขอบเขต ได้พังทลายแล้ว มีแต่ชีวิตที่เป็นอิสระ

3. การสูบบุหรี่ตลอดเวลาของเดวิด ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาติดมาจากแคทเธอลีน อาจเป็นเพราะเขามีความเครียดตลอดเวลา การสูบบุหรี่ตลอดเวลาแสดงว่าเขาอยากผ่อนคลายความเครียด

การปิดเรื่อง เป็นตอนที่เดวิดและแฟนสาวกำลังเดินอยู่ที่หลุมศพของพ่อของเดวิด

แง่คิดจากเรื่อง ครอบครัวเป็นพื้นฐานสำคัญที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของเด็ก การปลูกฝังอบรมเลี้ยงดูของพ่อแม่ อย่างเช่นเดวิดที่สับสนไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกหรือผิดเพราะพ่อจัดการให้ทุกอย่างโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะคิดนอกกรอบ จึงทำให้เขาต้องเก็บกด อยู่ในภาวะเครียดตลอดเวลา จนเก็บสั่งสมไปเรื่อยๆจนทำให้เขาป่วยทางจิต ในเรื่องเสนอว่าผู้ที่ป่วยทางจิตสามารถจะอยู่ร่วมกับสังคมได้ หากผู้ป่วยได้รับการเอาใจใส่และเข้าใจเขา เขาสามารถจะหายจากโรคนั้นได้ เช่น เดวิดที่ได้รับการดูแลอย่างดี ด้วยความรัก ความเข้าใจจากแฟนสาว จนทำให้เดวิดสามารถกลับไปเล่นเปียโนได้อีกครั้ง

Shine ขอบคุณที่สวรรค์ไม่ลำเอียง

สุฤดี


SHINE ภาพยนตร์เชื้อสายออสเตรเลียที่สร้างขึ้นในปี 1996 เล่าถึงเรื่องราวของนักเปียโนชาวออสเตรเลียชื่อ เดวิด แฮล์ฟกอท ผู้ซึ่งต้องประสบกับชะตากรรมอันโหดร้ายและความล้มเหลวในชีวิตหลายต่อหลายครั้ง ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยม จาก Academy Award

SHINE เรื่องราวของ เดวิด ชายผู้ซึ่งเกิดมาเพื่อเล่นเปียโน เปียโนเปรียบเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของเขา เขาฝึกเล่นเปียโนตั้งแต่ยังเด็ก โดยมีพ่อเป็นครูคนแรกของเขา เขาจึงใกล้ชิดกับพ่อมาก และพ่อของเขาก็พยายามปลูกฝังให้เขารักครอบครัวโดยไม่มีข้อแม้ เขาเป็นเด็กที่มีพรสรวรรค์ในการเล่นเปียโนมาก ครั้งหนึ่งเขาเคยประกวดเล่นดนตรี แต่เขาไม่ได้รับรางวัล แต่หนึ่งในกรรมการกลับมาชวนให้เขาไปเรียนเล่นเปียโนด้วย จากนั้นเขาก็เริ่มเล่นและเรียนเปียโนอย่างจริงจัง และไปประกวดดนตรีอีกครั้ง ครั้งนี้เขาได้เป็นแชมป์ที่เด็กที่สุดและได้ทุนไปเรียนต่อที่อเมริกา ระหว่างนั้นเขาได้พบกับนักเขียนหญิงผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นบุคคลที่เขาเคารพรักเปรียบเสมือนแม่คนหนึ่งในเวลาต่อมา แต่ด้วยความที่พ่อของเขากลัวว่าเขาจะลืมครอบครัว พ่อของเขาจึงไม่ยอมให้เขาไปอเมริกา เขารู้สึกเสียใจและเก็บกดมาก ต่อมาเขาได้เข้าแข่งขันเล่นเปียโนอีกครั้งแต่ครั้งนี้เขาได้เพียงรองชนะเลิศ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ได้ทุนไปเรียนต่อที่โรงเรียนดนตรีในลอนดอน ครั้งนี้เขาตัดสินใจขัดคำสั่งของพ่อเพื่อทำตามความต้องการของตนเอง เขาจึงออกจากบ้านไปหลังจากมีปากเสียงกับพ่อและไปเรียนที่โรงเรียนดนตรีแห่งนั้น ที่โรงเรียน มีครูคนหนึ่งมองห็นในความสามารถพิเศษของเขา จึงช่วยสอนให้เป็นพิเศษ เขาบอกกับครูว่าเขาจะเล่นเพลง แรคเมนีนอฟ ซึ่งเป็นเพลงที่ยากมากและเขาอยากเล่นตั้งแต่เด็ก อีกทั้งพ่อของเขาก็ยังอยากให้เขาเล่นเพลงนี้ได้ ครูจึงได้สอนวิธีการเล่นเพลงนี้ให้แก่เขา ก่อนถึงวันประกวดเพียงไม่กี่วัน เขาได้ทราบข่าวร้าย นั่นก็คือ นักเขียนผู้เป็นเสมือนแม่แท้ๆของเขาได้เสียชีวิตลง ถึงวันประกวดดนตรี เขาเล่นเพลงนี้ได้ดีมาก แต่ยังไม่ทันได้ยินเสียงปรบมือ เมื่อจบเพลง เขาก็ช็อคหมดสติไป

หลังจากนั้นเขาก็ไม่เหมือนเดิม เขากลายเป็นเหมือนผู้ป่วยทางจิต ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาโทรศัพท์กลับบ้าน แต่พ่อยังไม่ให้อภัยเขา หลังจากนั้นเขาก็อยู่ที่โรงพยาบาล และเขาได้พบกับหญิงนักดนตรีคนหนึ่งซึ่งรู้จักและชื่นชมในตัวเขา เขาได้สอนเธอเล่นเปียโน ด้วยความถูกชะตาและชอบในสิ่งเดียวกัน ทำให้เธอรับเดวิดไปอยู่ด้วย แต่หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ไม่สามารถรับภาระในการเลี้ยงดูคนป่วยที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้อย่างเดวิดอีกต่อไป เธอจึงส่งเขาไปอยู่กับชายผู้หนึ่ง ต่อมาเดวิดได้พบกับซิลเวีย หญิงสาวเจ้าของร้านอาหาร เขาได้ไปเล่นเปียโนที่ร้านของเธอและอาศัยอยู่กับเธอหลังจากนั้น พ่อของเขากลับมาหาเขาและย้ำคำพูดที่ว่า “ไม่มีใครรักแกเท่าพ่อ” ก่อนเดินจากไป ต่อมาเขาได้พบกับเพื่อนของซิลเวีย เขาและเธอถูกชะตากันมาก เดวิดได้ขอเธอแต่งงาน แต่เธอนั้นมีคู่หมั้นอยู่แล้ว แต่ในท้ายที่สุดเธอก็ตัดสินใจกลับมาแต่งงานและดูแลเดวิด เขาได้ขึ้นคอนเสริตอีกครั้ง ครั้งนี้เขาเรียกเสียงปรบมือจากผู้ชมได้อย่างท่วมท้น และเขาก็ได้ใช้ชีวิตกับคนที่เขารักและสิ่งที่เขารักอย่างมีความสุข

ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดฉากด้วยตัวละคร ซึ่งเมื่อดูต่อมาก็จะรู้ได้ว่าตัวละครนั้นคือเดวิด ตัวละครเอกของเรื่อง ทำให้เป็นที่สังเกตว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้น่าจะให้ความสำคัญกับตัวละครเป็นหลัก การดำเนินเรื่องมีการตัดภาพไปมาระหว่างภาพในอดีตกับปัจจุบัน โดยเริ่มจากการเปิดฉากตัวละครเอกในตอนกลางเรื่องใกล้จะจบ ทำให้ผู้ชมอยากรู้ว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร เหตุใดตัวละครจึงต้องประสบกับชะตากรรมเช่นนั้นอีกทั้งยังต้องลุ้นว่าจะจบอย่างไร หลังจากนั้นก็ย้อนไปเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นว่าเหตุการณ์ในเรื่องนั้นดำเนินมาเช่นไร และให้ผู้ชมคอยติดตามเรื่อง

ฉากต่างๆในเรื่องก็มีความหมายและสัญลักษณ์สอดแทรกอยู่ตลอดทั้งเรื่อง เช่น ฉากเปิดเรื่อง ซึ่งถือว่ามีความสำคัญมาก เปิดด้วยตัวละครบนพื้นสีดำ แสดงให้เห็นถึงความหม่นหมอง ความมืดมิดและการต่อสู้ซึ่งก็สามารถเล่าเรื่องราวได้เป็นอย่างดี อีกฉากหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ ฉากที่เดวิดอยู่ในอ่างอาบน้ำ ก๊อกน้ำที่ปิดไม่สนิทและมีน้ำหยดตลอดเวลานั้น เปรียบได้กับความกดดันของเดวิดที่สามารถปะทุออกมาเมื่อไรก็ได้ และเขาก็ใช้วิธีระบายความกดดันนั้นโดยการถ่ายในอ่างอาบน้ำ ทำให้พ่อของเขาอาบน้ำต่อไม่ได้ แสดงถึงการต่อต้านและการที่เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

พฤติกรรมของตัวละครในเรื่องนี้ถือเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก พ่อของเดวิดซึ่งเป็นผู้ที่ทำให้เขารักในการเล่นดนตรี แต่กลับขัดขวางไม่ให้เขาเดินไปตามความต้องการ ซึ่งสามารถอธิบายได้ว่า พ่อของเขาเพียงต้องการให้เดวิดเป็นตัวแทนของตนเท่านั้น เพราะตนเองไม่สามารถที่จะทำตามความฝันในการเล่นดนตรีได้ เขาจึงฝากความฝันและความหวังทั้งหมดไว้ที่เดวิด แต่เมื่อเดวิดจะต้องจากเขาไปเพื่อทำตามความฝันของตนเองบ้าง เขาก็กลับไม่สนับสนุนอีกทั้งยังขัดขวาง เพราะกลัวว่าเดวิดจะลืมเขา จะเห็นได้ว่าพ่อของเดวิดพยายามปลูกฝังเดวิดอยู่เสมอว่าไม่มีใครรักและจริงใจกับเขาเท่ากับพ่อและครอบครัวอีกแล้ว แสดงให้เห็นว่าความรักที่พ่อมีให้เดวิดนั้น ยังมีความเห็นแก่ตัวซ่อนอยู่ภายใน

เดวิดก็เป็นอีกตัวละครหนึ่งที่มีพฤติกรรมที่น่าสนใจมากทีเดียว เนื่องจากเขาเป็นเด็กที่รับการเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิดจากผู้เป็นพ่ออีกทั้งพ่อยังฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เขา จึงทำให้เขาดูเหมือนเป็นเด็กที่ค่อนข้างอ่อแอ และเก็บกด และความเก็บกดนั้นก็ถูกแสดงออกมาในรูปแบบต่างๆ เช่น การถ่ายในอ่างอาบน้ำและสุดท้ายเขาก็ทนไม่ไหวจนต้องออกจากบ้านมาใช้ชีวิตของตนเอง และหลังจากที่เขาช็อคไป พฤติกรรมของเขาก็แสดงถึงสัญลักษณ์บางอย่าง เช่น จะสังเกตเห็นได้ว่า เขาสูบบุหรี่ตลอดเวลา เนื่องจากเขาหัดสูบบุหรี่ตั้งแต่เขาได้พบกับนักเขียนหญิงซึ่งเขารักเสมือนแม่ การสูบบุหรี่ของเขาจึงอาจแสดงให้เห็นถึงว่า เขายังคิดถึงนักเขียนคนนั้นตลอดเวลา และยังเป็นเสมือนการหาทางออกให้กับชีวิตอันหม่นหมองของเขาอีกด้วย พฤติกรรมอีกอย่างหนึ่งของเขาก็คือ เขามักจะนำโน้ตเพลงไปแช่ในอ่างอาบน้ำ หรือสระว่ายน้ำ ซึ่งอาจแสดงให้เห็นถึงความผูกพันระหว่างเขากับดนตรี และน้ำแสดงถึงสิ่งที่สามารถชำระล้างและระบายความทุกข์ออกไปได้

แก่นเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ที่การประสบความสำเร็จของตัวละครนำ ซึ่งก็คือเดวิด เรื่องนี้ต้องการจะสื่อให้เห็นว่า การประสบความสำเร็จของคนเรานั้นไม่ได้ตัดสินจากคนรอบข้างเสมอไป หากแต่ความสำเร็จนั้นขึ้นอยู่ที่จิตใจของเราเอง ว่าเราพอใจในสิ่งที่เราทำและเป็นอยู่มากน้อยแค่ไหน หากเราพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ นั่นก็ถือว่าเราประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว ซึ่งก็สอดคล้องกับชื่อเรื่อง SHINE แสดงถึงความสดใสในชีวิตของเดวิด ตัวละครเอกของเรื่อง ว่าเขามีชีวิตที่สว่างสดใสหลังจากต้องผ่านอดีตอันหม่นหมองและความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า

Shine

สุพิชญ์

เรื่องจริงของนักเปียโนชาวออสเตรเลียผู้มีพรสวรรค์ที่พิเศษสุด กับการต่อสู้โชคชะตาอันแสนโหดร้ายจนสามารถเอาชนะและกลับมายืนบนจุดสูงสุดของเขาเองได้อีกครั้ง ผลงานภาพยนตร์จากประเทศออสเตรเลียปี ค.ศ. 1996 ผลงานการเขียนและกำกับของ Scott Hicks พ่วงด้วยรางวัลดารานำชายยอดเยี่ยมและอีกมากมาย

เรื่องราวของชายนักเปียโนที่ถูกถ่ายทอดแบบการเล่าเรื่องย้อนอดีต ย้อนกลับไปตั้งแต่เดวิดยังเป็นเด็กอาศัยอยู่ในครอบครัวลักษณะที่พ่อเป็นใหญ่มีสิทธิชี้ขาดและตัดสินใจเรื่องของลูก เดวิดมีพี่สาวและน้องสาวแต่พ่อจะเข้มงวดกับเขามากที่สุด พ่อเป็นผู้สอนเปียโนให้กับเขาและบ้างก็พาไปประกวด จนที่สุดแล้วเดวิดสามารถได้รับทุนไปเรียนต่อด้านดนตรีที่ประเทศอังกฤษ เขาจึงเลือกที่จะไปแม้ว่าจะต้องถูกตัดความเป็นพ่อลูกกันกับพ่อ ที่นั่นเขาได้อาจารย์ที่เห็นพรสวรรค์ในตัวเขาและช่วยสอนเขาในทุกๆเรื่อง ทำให้เขามั่นใจและฝึกฝนอย่างหนักเพื่อขึ้นเวทีคอนเสิร์ต แต่แล้วจากความกดดันและความเครียดอย่างมากทำให้เขาต้องหยุดเล่นดนตรีและเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล เขาใช้เวลาในการต่อสู้กับตัวเองเพื่อจะกลับมาเล่นดนตรีให้ได้อีกครั้งด้วยความมุ่งมั่น และแม้หลังจากเหตุการณ์วันนั้นจะทำให้เขามีสภาพกายที่ไม่สมบูรณ์เท่าเดิมอีกต่อไป แต่ด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจของเขาบวกกับแรงใจจากภรรยาทำให้เขาสามารถกลับขึ้นเวทีคอนเสิร์ตอีกครั้งได้สำเร็จท่ามกลางความปลื้มปรีติยินดี การยอมรับและหยาดน้ำตาแห่งความสุขจากตัวเขาเอง

เรื่องนำเสนอการต่อสู้ชีวิตของเดวิดที่เต็มไปด้วยอุปสรรค แม้เขาจะมีพรสวรรค์ในการเล่นเปียโนและเล่นได้เก่งมาก แต่พ่อของเดวิดคอยจัดการและบงการชีวิตให้เขาอยู่ตลอด ซึ่งการจัดการบางเรื่องก็เป็นการปิดโอกาสและตรงข้ามกับความต้องการของเดวิด เขาจึงต้องกล้าที่จะยืนยันความต้องการของตัวเองแม้จะเป็นการขัดใจพ่อ นอกจากนี้เมื่อเขาได้ไปเรียนโรงเรียนดนตรีต่อที่ประเทศอังกฤษอย่างที่ตั้งใจแล้วเขาก็ต้องพบกับความโชคร้ายของโชคชะตาที่ทำให้เขาต้องสูญเสียความครบถ้วนสมบูรณ์ของร่างกายไปอีก ต้องเข้ารักษาตัวอยู่นานกว่าที่จะสามารถฟื้นตัวกลับมาเล่นเปียโนได้อีกครั้ง เริ่มจากเล่นที่บาร์และสุดท้ายก้าวขึ้นเวทีคอนเสิร์ตอีกครั้งจนเป็นบทพิสูจน์ตัวเขาเองว่า ได้เอาชนะต่อความโหดร้ายของโชคชะตาทั้งหมดได้สำเร็จ

ด้านบรรยากาศและสถานที่นั้นตอนเริ่มเรื่องจะเน้นไปที่ฉากบ้านเป็นห้องต่างๆในบ้าน ห้องครัว ห้องอาหาร ห้องน้ำ ลานหลังบ้านเป็นฉากที่คนในครอบครัวมีการสื่อสารระหว่างกัน โดยเฉพาะหลายฉากที่สำคัญอย่างตอนเดวิดนั่งอึในอ่างอาบน้ำและโดนพ่อตีอย่างแรง และฉากที่เดวิดตัดสินใจออกจากบ้านเพื่อไปเรียนต่อก็ล้วนเป็นฉากที่บ้าน นอกจากฉากบ้านก็จะมีให้เห็นบรรยากาศละแวกบ้านเล็กน้อยเป็นชุมชนที่อาศัยกันอยู่อย่างเงียบสงบ ต่อมาเป็นฉากที่ประเทศอังกฤษที่ๆเดวิดไปเรียนดนตรีต่อ มีบรรยากาศห้องเรียนที่ทันสมัยและเพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์เครื่องเล่น นอกจากนี้ก็จะมีฉากที่โรงพยาบาลพักฟื้นที่ร่มรื่นมีพยาบาลคอยดูแลอย่างใกล้ชิด

ฉากบาร์ที่เมื่อหลังจากพักฟื้นเดวิดก็มาอาศัยพักอยู่ที่บาร์นี้และเล่นเปียโนตอนกลางคืนให้ลูกค้าฟัง เป็นลักษณะบาร์ผสมร้านอาหารเป็นร้านเล็กๆ
แน่นอนว่าเรื่องนี้เดวิดเป็นตัวละครเอกของเรื่องเพราะทั้งหมดเป็นเรื่องราวชีวิตของเดวิด โดยมีตัวละครประกอบสำคัญคือ พ่อ รวมทั้ง แม่ ครูคนแรก ครูที่ประเทศอังกฤษรวมทั้งภรรยา ที่ทั้งหมดล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับเดวิดโดยตรง พ่อผู้ที่เป็นผู้บงการชีวิต แม่ผู้คอยสนับสนุนและให้กำลังใจ ครูคนแรกที่คอยช่วยเหลือและสนับสนุน ครูที่ประเทศอังกฤษที่คอยสอนและให้กำลังใจและภรรยาที่คอยดูแลและอยู่เคียงข้าง

เรื่องนี้ถูกตั้งชื่อว่า Shine แปลว่า ส่องแสง ซึ่งตรงกับเดวิดซึ่งเขาเป็นคนที่เก่งและมีพรสวรรค์และแม้จะถูกอุปสรรคมากมายลายล้อมเข้ามาเขาก็ไม่เคยยอมแพ้ แม้ร่างกายที่ไม่สมบูรณ์เหมือนเดิมแต่เขาก็ยังสามารถประสบความสำเร็จได้ ด้วยการส่องแสงนำทางตัวของเขาเอง และอีกนัยหนึ่งการส่องแสงนี้อาจเป็นการส่องแสงให้ทุกคนรอบข้างได้เห็นความเป็นตัวตนของเขา ผู้ที่มีแสงสว่างอยู่ในตัวเองผู้ที่ส่องแสงโดดเด่นและสวยงามอยู่เสมอท่ามกลางความโหดร้ายบนโลกใบนี้
หลังจากชมภาพยนตร์เรื่องนี้จบแล้วรู้สึกอิ่ม อิ่มกับความสุขและความสำเร็จของเดวิด เขาต้องพบผ่านอุปสรรคในชีวิตมามากมายเหลือเกินตั้งแต่พ่อ ไปจนถึงสุขภาพร่างกายของตัวเขาเอง แต่เขาก็ไม่เคยได้ย่อท้อเลย มีเพียงแรงใจที่เข้มแข็งต่อสู้กับทุกสิ่ง และความมีชีวิตชีวาในตัวของเขาเองทำให้ทุกคนที่พบเห็นจะต้องตกหลุมรักเขา อย่างฉากที่ไปเที่ยวที่ชายหาดกับภรรยาตอนเพิ่งรู้จักกัน ที่เดวิดวิ่งตัวเปลือยเปล่าลงทะเลอย่างมีความสุข และฉากที่เขาขอภรรยาแต่งงาน เขาแค่พูดตรงๆว่า แต่งงานกับผมนะ แต่รู้สึกว่าเขาจริงใจและตั้งใจพูดคำนั้นออกมาจริงๆ

ส่วนพ่อของเดวิดแม้ว่าตลอดทั้งเรื่องจะดูว่าเขาเกรี้ยวกราดกับเดวิดมากแต่ความรู้สึกส่วนตัวเมื่อชม รู้สึกว่าจริงๆแล้วเขารักเดวิดมากจึงอยากจะคอยดูแลและไม่ต้องการให้ไปไหนไกล จริงอยู่ที่เขาอาจทำเกินไปทั้งตีและดุด่า แต่หลายฉากที่แสดงถึงความรักที่เขามีต่อเดวิด อย่างฉากตอนที่เดวิดแสดงคอนเสิร์ตอยู่ที่ประเทศอังกฤษ พ่ออยู่ที่บ้านก็ฟังวิทยุและตอนนั้นก็เห็นว่าเขาน้ำตาไหล รวมถึงฉากที่เขาอ่านเจอในหนังสือพิมพ์คอลัมน์ Remember who? ลงเรื่องของเดวิดซึ่งกลับมาเล่นเปียโนอีกครั้งที่บาร์ เขาจึงเดินทางมาเพื่อนำเหรียญมาคล้องคอเดวิดในคืนหนึ่ง และแม้ฉากนั้นพ่อจะบังคับให้เขาพูดประโยคเดิมตั้งแต่เด็กๆว่า เขาเป็นโชคดีมากๆ แต่ความรู้สึกคือครั้งนี้เขาไม่ได้พยายามจะบังคับให้เดวิดพูดเพราะนิสัยเผด็จการเหมือนครั้งก่อน แต่รู้สึกว่าเป็นไปพื่อแก้เขินและตัดบทมากกว่า และเขายังดึงเดวิดมากอดและพูดว่า ไม่มีใครรักลูกเท่าพ่อ จากนั้นเมื่อเดวิดหันหลังกลับมาอีกครั้งพ่อก็กลับไปแล้ว

ส่วนตัวรู้สึกชอบภาพยนตร์เรื่องนี้เพราะอย่างน้อยแม้ว่าเกือบตลอดทั้งเรื่องตัวละครเอกจะต้องพบกับอุปสรรคมากมายแต่สุดท้ายด้วยแรงใจทำให้เขาฟันฝ่าทุกอย่างไปได้ และฉากสุดท้ายที่สุสานภรรยาถามคำถามและเขาตอบว่า ไม่รู้สึกเพราะพ่อตายเองไม่อยู่รอให้ขอโทษ....ภรรยาเขาหัวเราะและทั้งสองก็เดินไปด้วยกันอย่างมีความสุข ฉากสุดท้ายนี้สีของท้องฟ้าก็ดูสดใสอย่างมากให้ความรู้สึกปลอดโปร่ง ทำให้รู้สึกดีใจไปด้วยที่ว่าสุดท้ายเขาก็ได้มีความสุขเสียที

Shine โชคดีที่สวรรค์ไม่ลำเอียง

สุกานดา

Shine เป็นเรื่องราวเหตุการณ์ของนักเปียโนชื่อดัง เดวิด เฮลฟ์ก็อทท์ ที่มีอาการป่วยทางจิตเป็นโรคจิตเภท

หนังเปิดเรื่องด้วยชายวัยกลางคนคนหนึ่งพูดกับตัวเองคนเดียว จับใจความเนื้อหาการพูดไม่ได้ เรื่องเปลี่ยนไปรวดเร็วตัดมาเป็นภาพชายคนนี้กำลังวิ่งอยู่กลางถนนท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมา และได้ไปหยุดยืนอยู่ที่หน้าร้านอาหารชื่อโมบี้ สายตาของเขาหยุดและจับจ้องอยู่ที่เปียโนที่ตั้งอยู่กลางร้านอาหารแห่งนั้น

ทำไมอยู่ดีๆชายคนนี้จึงหยุดวิ่งและจ้องมองเปียโนหลังนั้น

หนังได้เล่าย้อนกลับไปยังเรื่องราวในอดีตของเด็กชายเดวิด เดวิดเกิดในครอบครัวของชาวยิว ปีเตอร์พ่อของเดวิดพยายามเคี่ยวเข็ญให้เดวิดฝึกเล่นเปียโน เพื่อจะได้ประสบความสำเร็จในการแข่งขันรายการต่างๆ โดยไม่สนใจว่าเดวิดจะสามารถเล่นเพลงยากๆได้หรือไม่ และเมื่อไปแข่งครั้งแรกนั้นพ่อของเขาก็ไม่ได้รอฟังคำตัดสิน แต่กลับพูดกับเดวิดว่า “แกแพ้อีกแล้ว คราวหน้าต้องชนะจำเอาไว้” ซึ่งเป็นการกดดันเด็กทั้งที่การแข่งขันครั้งแรกเดวิดได้รับรางวัลและเล่นได้ดีมากสำหรับเด็กอายุแค่นั้น แต่พ่อก็ไม่เคยชื่นชมเขาเลย

ปีเตอร์พาเดวิดไปเรียนเปียโนกับโรเซ่น เพื่อจะให้โรเซ่นสอนเพลงแร็คแมนินอฟให้เดวิด ซึ่งเป็นเพลงที่ยากมาก โรเซ่นได้คัดค้าน “อย่ายัดเยียดให้เขาเล่นแร็คแมนินอฟ”เพราะว่ามันเป็นเพลงที่ยากเกินไปสำหรับเดวิดซึ่งยังเด็กอยู่ แต่พ่อของเขาก็ยังยืนยันความตั้งใจเดิม เดวิดผ่านการประกวดหลายครั้งและสามารถเอาชนะมาได้กลายเป็นนักแข่งเปียโนที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับเชิญให้ไปเรียนต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่พ่อไม่ให้ไปและได้พูดว่า “ฉันรู้ว่าอะไรควรไม่ควร เพราะฉันเป็นพ่อแก” พร้อมกับเผาจดหมายเชิญฉบับนั้น ทำให้เดวิดเสียใจ เขากดดันมากไม่สามารถควบคุมตัวเองได้จนอุจจาระในอ่างน้ำ ทำให้ถูกพ่อตี เพราะวัฒนธรรมของชาวยิวนั้นจะใช้น้ำอาบต่อๆกันในครอบครัว เพื่อเป็นการประหยัดน้ำ ทำให้เดวิดต้องใช้ชีวิตแบบเดิมๆต่อไป

ในช่วงเวลานี้เองที่เดวิดได้พบกับนักเขียนชื่อดัง แคทเธอรีน พริทชาร์ต เดวิดได้เป็นเล่นเปียโนให้เธอฟังบ่อยๆ คุณพริทชาร์ตเป็นเหมือนที่พักพิงทางใจของเดวิด ซึ่งทำให้เจามีความเข้มแข็งมากขึ้น และตัดสินใจไปเรียนต่อที่อังกฤษ เพราะเขาได้ทุนไปเรียนโรงเรียนการดนตรีในพระราชูปถัมภ์ พ่อของเดวิดไม่ยอมให้ไป “นึกว่าจะทำอะไรได้ตามใจงั้นหรือ ถ้าแกไปแกจะถูกลงทัณฑ์ชั่วชีวิต” แต่เขาก็เลือกที่จะไป ทำให้ถูกตัดพ่อตัดลูก และไม่สามารถกลับบ้านได้อีก

ระหว่างที่อยู่อังกฤษ เดวิดต้องเผชิญกับความเครียดจากการที่พ่อไม่เคยตอบจดหมายกลับ และข่าวการเสียชีวิตของแคทเธอรีน

เดวิดได้เข้าร่วมวงดนตรีออแคสตราของโรงเรียน และได้รับการฝึกสอนจากอาจารย์ชื่อดัง “ซีซิล พาร์ค” ซึ่งทำให้เขาสามารถเล่นเพลงที่ได้ชื่อว่ายากที่สุด “แร็ค 3” ซึ่งเป็นเพลงที่พ่อเคยบังคับให้เล่นเมื่อตอนเด็กๆนั่นเอง

เขาได้ฝึกซ้อมอย่างหนัก อาจารย์ซีซิลได้พูดกับเขาว่า “เธอต้องเล่นให้เหมือนกับไม่มีวันพรุ่งนี้ เอาเลยเดวิดอย่าทำให้ฉันผิดหวัง” เดวิดสามารถคว้าชัยชนะจากการประกวดได้ แต่หลังจากที่เขาเล่นเปียโนจบ เขาก็ล้มลงและหมดสติอยู่บนเวที

ฉากตัดมาที่เดวิดกำลังรักษาตัวด้วยการช็อตไฟฟ้า เขาต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชเป็นเวลานาน โดยหมอได้ห้ามไม่ให้เขาเล่นเปียโน

หลังจากออกจากโรงพยาบาลก็ได้ไปพักกับเบริล แต่ด้วยพฤติกรรมของเดวิด ทำให้เบริลลำบากใจและไม่สามารถดูแลเดวิดต่อไปได้ จึงพาเดวิดไปอยู่ที่อพาร์ทเมนท์แห่งหนึ่ง เดวิดเล่นเปียโนบ่อยเกินไป จนทำให้เจ้าของอพาร์ทเมนท์รำคาญและได้ล็อคเปียโนไว้ เป็นเหตุให้เดวิดต้องวิ่งไปท่ามกลางสายฝนเพื่อออกตามหาเปียโนตัวใหม่ จนมาพบกับเปียโนที่อยู่ในร้านโมบี้ และเขาก็ได้เล่นเปียโนอยู่ที่ร้านอาหารแห่งนี้จนมีชื่อเลียงอีกครั้ง มีรูปลงหนังสือพิมพ์พาดหัว “David Shine Remember Who? ”

เดวิดได้พบกับพ่ออีกครั้ง พ่อได้เปิดโอกาสให้เขาได้กลับบ้าน แต่ดูเหมือนเดวิดจะพอใจและมีความสุขกับสิ่งที่เขาทำอยู่ในตอนนี้ แต่พ่อของเขากลับรับไม่ได้ถึงพฤติกรรมและความเปลี่ยนแปลงของเดวิด จึงทิ้งเดวิดให้เดวิดอยู่คนเดียวและเดินจากไป

ต่อมาเดวิดได้พบกับกิลเลียนซึ่งเป็นนักดูดวงและเป็นเพื่อนของซิลเวียพนักงานที่ทำงานอยู่ในร้านโมบี้ กิลเลียนได้เห็นถึงความน่ารัก อารมณ์ขันและความสามารถทางดนตรีของเดวิดจนเกิดความประทับใจและแปรเปลี่ยนกลายเป็นความรัก เดวิและกิลเลียนจึงได้แต่งงานกัน

จากความรักและความเข้าใจจากกิลเลียนและครอบครัวทำให้เดวิดหวนสู่เวทีเปียโนอีกครั้ง และเขาสามารถสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ชมได้อีกครั้ง แม่และน้องสาวของเขา รวมทั้งโรเซ่นซึ่งเป็นครูสอนเปียโนเมื่อตอนเด็กได้มาดูการเล่นเปียโนครั้งนี้ด้วย ทุกคนปลาบปลื้มใจไปกับความสำเร็จของเดวิด แต่น่าเสียดายที่พ่อของเขาไม่มีโอกาสได้เห็น

ปิดเรื่องด้วยเดวิดและกิลเลียนไปเยี่ยมพ่อที่สุสาน

Shine เป็นหนังที่นำเสนอเรื่องของผู้ป่วยทางจิตซึ่งสื่อผ่านตัวละครเดวิด สาเหตุที่ทำให้ตัวละครตัวนี้ต้องกลายมาเป็นผู้ป่วยทางจิตอาจพิจารณาได้ดังนี้

1. เดวิด เติบโตมาในครอบครัวที่มีการใช้อารมณ์ คือ การที่พ่อเข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตของเดวิดมากเกินไป เช่น การตัดสินใจแทนในทุกๆเรื่อง โดยไม่รับฟังเดวิดและคนรอบข้างเลย ซึ่งส่งผลให้เดวิดไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง ไม่กล้าทำอะไรที่นอกเหนือคำสั่งพ่อ ไม่เป็นตัวของตัวเอง มีชีวิตเหมือนหุ่นยนต์ การว่ากล่าวอย่างรุนแรงรวมไปถึงการใช้กำลังทุบตีสลับกับการแสดงออกถึงความอบอุ่นของตัวพ่อเอง ซึ่งทั้งนี้อาจเกิดจาก ชีวิตในวัยเด็กของพ่อที่ไม่ได้รับการตอบสนองความสนใจทางด้านดนตรีจากปู่ของเดวิด จึงทำให้เขาต้องส่งเสริมเดวิดทางด้านดนตรีมากเกินไปเหมือนกับการทนแทนความต้องการของตัวเองในอดีต ส่งผลให้เดวิดเกิดความสับสน ไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกหรือสิ่งที่ผิด เพราะพ่อเป็นคนจัดการทุกอย่างให้หมด จนทำให้ขาดความเชื่อมั่นไปด้วย

2. รูปแบบของครอบครัว มีส่วนส่งเสริมผู้ที่มีแนวโน้มว่าน่าจะเป็นโรคจิตเภทอยู่แล้วเกิดอาการได้ง่ายขึ้น ต่อมาเดวิดเริ่มมีพฤติกรรมหมกหมุ่นกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษซึ่งในนี้คือ การเล่นเปียโน ทำให้การสนใจดูแลตัวเองลดลง เช่น ลืมใส่กางเกง ซึ่งเป็นอาการของโรคจิตเภท

3. การคาดหวังจากคนรอบข้าง ทุกคนจะตั้งความหวังกับเดวิดมากโดยเฉพาะพ่อของเดวิด ซึ่งจะพูดอยู่เสมอว่า “แกแพ้อีกแล้ว คราวหน้าต้องชนะจำไว้” หรือ “วันหนึ่งลูกจะทำได้ ลูกจะทำความภาคภูมิใจให้พ่อ” หรือคำพูดของอาจารย์ซีซิล “เอาเลยเดวิด อย่าทำให้ฉันผิดหวัง” ซึ่งกลายเป็นแรงกดดันให้เดวิดโดยไม่รู้ตัว

4. พ่อของเดวิดจะคอยป้อนข้อมูลต่างๆให้เดวิดซึ่งพ่อไม่เคยเปิดโอกาสให้เขาได้คิด แต่กลับสอนและย้ำให้เขาพูดตาม เช่น “ชีวิตมันโหดร้าย ลูกต้องเอาตัวให้รอด พูดซี” หรือการฝังความเชื่อที่ผิดๆ เช่น “ถ้าแกไป แกจะถูกลงทัณฑ์ชั่วชีวิต” ซึ่งมันเหมือนเป็นการตอกย้ำให้เดวิดจำและคิดอยู่เสมอว่าตนเองทำผิดและเป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่องเลวร้าย


Shine โชคดีที่สวรรค์ไม่ลำเอียง เป็นการบอกให้รู้ว่า แม้เดวิด เฮลฟ์ก็อทท์ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นนักเปียโนชื่อเสียงโด่งดังแต่โชคร้ายต้องกลายเป็นผู้ป่วยทางจิต แต่ในความโชคร้ายของเขานั้นก็ยังมีโชคดี เขาได้พบกับกิลเลียนภรรยาของเขา ซึ่งมีความเข้าอกเข้าใจ และไม่คิดรังเกียจผู้ป่วยทางจิตอย่างเขา แต่กลับคอยเป็นกำลังใจและช่วยเหลือดูแลเดวิดเป็นอย่างดี จนชีวิตของเขากลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง

Shine

สิทธิเดช

Shine ภาพยนตร์ที่ถ่ายทอดเรื่องราวชีวประวัติของนักเปียโนชื่อดังแห่งออสเตรเลียที่ชื่อว่าเดวิด เฮลฟท์กอทท์ เปิดฉากที่ เดวิด กำลังพึมพำอย่างไม่เป็นภาษาอยู่พร้อมกับสายฝนที่โปรยปรายลงมาแล้วเขาก็วิ่งไปในร้านอาหารที่กำลังปิดบริการ เขาได้พูดคุยกับคนในร้าน แล้วภาพยนตร์ก็ย้อนไปในวัยเด็กของเขาขณะที่กำลังประกวดเปียโนแล้วกลับมาที่บ้าน จุดสงสัยเริ่มขึ้นเมื่อ ปีเตอร์ พ่อของเขาพยายามบอกเดวิดเสมอว่า “เดวิดเป็นเด็กโชคดี” ทั้งยังให้เดวิดพูดประโยคเดียวกันกับเขาเพื่อเป็นการย้ำเตือนว่าเดวิดคิดเช่นนั้น พ่อของเดวิดมีปมเรื่องดนตรีจากวัยเด็กที่เขาได้อดออมเงินซื้อไวโอลิน แต่พ่อของเขา ( ปู่ของเดวิด ) ได้ทำลายมันลงต่อหน้าต่อตา ปีเตอร์จึงพยายามส่งเสริมเดวิดให้เรียนเปียโนโดยที่เขาเป็นครูสอนเอง ภายหลังเขาจึงหาครูดนตรีมาสอนเดวิด แต่ก็มิวายที่จะพยายามเจ้ากี้เจ้าการให้ครูสอนเพลงยากๆตามที่ต้องการทั้งที่ครูเองก็บอกว่ามันยากเกินไปสำหรับเด็กและควรจะเล่นเพลงอื่นเป็นลำดับขั้น เหตุการณ์จึงพัฒนาจนในที่สุดครูก็สอนเดวิดจนสามารถประกวดชนะรางวัล

ครั้งหนึ่งเขาชนะการประกวดแล้วได้ทุนไปเรียนต่อทางด้านดนตรีที่สหรัฐอเมริกา แต่ความฝันของเขาก็ต้องดับวูบลงเพราะการขัดขวางพ่อของเขาที่อ้างรู้ว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร จนกระทั่งเดวิดได้มาพบกับแคทเธอรีนในงานเลี้ยงสังสรรค์ เธอจึงวานให้เดวิดไปเล่นเปียโนที่บ้านเธอ ทั้งคู่สนิทสนมกัน แคทเธอรีน สนับสนุนเรื่องที่เดวิดได้ทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ ทั้งยังสร้างกำลังใจให้เดวิดกล้าที่จะไปพูดกับพ่อเรื่องการรับทุน แต่ผลไม่เป็นอย่างที่คิด เพราะเมื่อเดวิดมาบอกพ่อก็กลับถูกทำร้ายร่างกาย และข่มขู่ให้เลือกระหว่างการไปเรียนต่อที่อังกฤษกับครอบครัว แต่เดวิดก็เลือกที่จะตามทางฝันของตนเองต่อไป สายสัมพันธ์ของ ปีเตอร์ และเดวิด ก็ได้ขาดสะบั้นลงนับแต่นั้นเป็นต้นมา

เหตุการณ์พัฒนาขึ้นอีกเมื่อมาถึงอังกฤษเดวิดได้เรียนเปียโนกับ เซซิล อาจารย์ผู้เห็นแววอัจฉริยะของเขาได้ฝึกปรือเปียโนอย่างมุ่งมั่นและเข้าถึงชีวิตจิตใจมากกว่าที่เคยฝึกมา เทคนิคต่างๆเซซิลก็ถ่ายทอดให้เดวิดตามกำลังที่คิดว่าจะรับได้ จนกระทั่งเขาได้ฝึกเพลง “ แรคโรมานินอฟ ” ซึ่งตอนแรกครูก็ไม่อยากให้ฝึก แต่แล้วเดวิดก็ฝึกจนสำเร็จและนำไปประกวดจนได้รับรางวัลชนะเลิศ จนมาถึงจุดไคลแมกซ์ที่ประจวบเหมาะกับเวลาที่ชีวิตของเขาเริ่มหักเหทันที เมื่อเขาหมดสติหลังการแข่งขันจนต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล

เมื่อออกจากโรงพยาบาลแล้วเดวิดพยายามติดต่อหาพ่อของเขา แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับจากผู้ที่เขาเฝ้าคิดถึง แถมก่อนหน้านี้เขายังได้รับจดหมายซึ่งบรรจุพัสดุภัณฑ์และจดหมายที่เขาบรรจงเขียนติดต่อไปให้พ่อโดยที่ยังไม่มีร่องรอยของการรับรู้เนื้อความกลับคืนมาอีกด้วย ท้ายที่สุดเขาจึงต้องเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลผู้ป่วยจิตเวช จนวันหนึ่งเขาได้พบกับ เบริล แฟนเพลงของเขาที่นั่งเล่นเปียโนอยู่ เดวิดได้เล่นเปียโนกับเบริลทั้งๆที่เค้ารู้อยู่ว่าเป็นสิ่งที่หมอห้าม จนกระทั่งทั้งคู่ตกลงที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน แต่ในที่สุดเบริลก็ทนกับพฤติกรรมวิกลจริตหลายอย่างของเดวิดไม่ได้ เธอจึงให้เดวิดไปอยู่ที่อพาร์ทเมนท์แห่งหนึ่ง เดวิดมิวายที่จะสร้างเสียงรบกวนจากเปียโนของเขาให้ผู้ร่วมชายคาเสมอ จนกระทั่งเปียโนเขาถูกล็อค เขาจึงได้วิ่งไปตามถนนจนกระทั่งมาหยุดที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งที่มีเปียโนอยู่ด้วย เขาได้แสดงฝีมือการพรมนิ้วบนเปียโนให้ประจักษ์แก่สายตาของผู้คนที่อยู่ในร้าน จนกลายเป็นข่าวถึงการกลับมาของอดีตศิลปินดัง ข่าวนี้แพร่ไปจนถึงหนังสือพิมพ์ที่ปีเตอร์ พ่อบังเกิดเกล้าของเขาได้ทราบข่าว แล้วเขาก็ออกตามหาลูกชายจนพบ แล้วพยายามสื่อสารกับเดวิดด้วยวิธีการแบบเดิมที่เคยใช้มาตั้งแต่เด็ก แต่ปีเตอร์รับไม่ได้ถึงพฤติกรรมและความคิดที่เปลี่ยนไปของลูกชาย และเดวิดก็ต้องการจะอยู่กับความฝันของตัวเอง

เรื่องราวได้คลี่คลายลงตอนที่เดวิดได้พบกับกิลเลียน โหรที่เพื่อนของเขาแนะนำให้รู้จัก ทั้งคู่ได้ใช้ชีวิตในวันหยุดสัปดาห์ด้วยกันจนกระทั่งตกลงปลงใจแต่งงานกันในที่สุด ทั้งคู่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข กิลเลียนคอยอยู่เคียงข้างเดวิดเสมอ จนถึงวันที่เดวิดได้กลับมาสร้างความประทับใจจากการเล่นเปียโนของเขาอีกครั้ง เดวิดตื้นตันใจจนน้ำตานองเต็มหน้า แล้วในฉากสุดท้ายเดวิดก็ไปที่หลุมศพของพ่อเขาเอง

เมื่อพิจารณาดูแล้วจากเรื่อง Shine นี้จะเห็นสัญลักษณ์มากมายที่ปรากฏในภาพยนตร์ เริ่มจากที่ตัวละครเอกทั้ง 2 คือ ปีเตอร์ และ เดวิด นั่นเอง

ปีเตอร์ มีลักษณะเด่นที่เห็นได้ชัดคือ เขาจะสวม แว่นเลนส์แคบ ๆ ซึ่งสอดคล้องกับความเป็นอัตตาในตัวเขาอย่างยิ่ง กรอบแว่นนี้จึงเปรียบเสมือนโลกทัศน์ของเขาที่คับแคบเสียเหลือเกิน มีฉากหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงอารมณ์ความรู้สึกของเขาผ่านแว่นตา เมื่อเขาตัดขาดกับเดวิดลูกชายแล้วจัดการเผาภาพรวมข่าวเดวิดในหนังสือพิมพ์หนังสือพิมพ์ที่เขาทำขึ้นด้วยความภาคภูมิใจในตัวลูกชายทิ้งเสีย แล้วภาพกองไฟแห่งความเคียดแค้นก็ปรากฏขึ้นบนเลนส์แว่นทั้งสองข้างของเขา ในตอนท้ายเรื่องจะเห็นว่าแม้เลนส์แว่นจะแตกร้าวแล้ว แต่เขาก็ยังใช้เทปกาวมาซ่อมแซมเพื่อใช้งานต่อ แสดงถึงโลกทัศน์ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปรของเขานั่นเอง

ส่วนเดวิด พระเอกของเรื่องก็ใส่แว่นรูปทรงลักษณะเดียวกับพ่อของเขา อาจเป็นสิ่งที่พ่อยัดเยียดให้เขา จะเห็นได้ว่าแว่นนี้เองก็เป็นสัญลักษณ์สื่อถึงโลกทัศน์ของเดวิดเช่นกัน เพราะเมื่อเขาได้ตัดสินใจมาเรียนต่อที่อังกฤษนั้นเดวิดได้เปลี่ยน แว่นใหม่ เป็นรูปทรงที่กว้างใหญ่ขึ้นกว่าเดิม แสดงให้เห็นถึงโลกทัศน์ใหม่ที่เขาได้รับรู้จากการตัดสินใจของเขาเองครั้งนี้ นอกจากนี้พฤติกรรมของเดวิดที่หน้าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็ คือ การเดินที่ภาษาบ้านเราอาจเรียกว่า “เขย่งก้าวกระโดด” ซึ่งในตอนเขามักจะทำเมื่อเดินอยู่หลังพ่อ อาจเป็นเพราะการเล่นประเภทนี้ต้องเล่นกับเพื่อนหลายคนจึงจะสนุกสนาน จึงเป็นสิ่งที่เดวิดโหยหาและปรารถนาอย่างยิ่ง เขาจึงได้แต่กระโดดเมื่ออยู่หลังพ่อขณะที่เดินกลับบ้านหลังจากแข่งเปียโนเสร็จ แต่เมื่อโตขึ้นแล้ว เขาก็ยังเขย่งก้าวกระโดดเมื่ออยู่ในโรงพยาบาล แต่คราวนี้จะเห็นได้ว่าเขาไม่ได้กระโดดเมื่ออยู่หลังใคร แต่เขากระโดดเมื่อใจเขาปรารถนาที่จะกระโดด ซึ่ง ซูซี่ น้องสาวของเขาก็เคยมีพฤติกรรมเช่นนี้เหมือนกันเมื่อเดินผ่านกลุ่มเด็ก

นอกจากตัวละครนั้น ฉากและอุปกรณ์ประกอบนั้นก็เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อความได้อย่างมากจากภาพยนตร์เรื่องนี้ ดังที่จะยกมาอ้างคือ

* ในตอนเด็กหลังจากที่แข่งเปียโนเสร็จกลับมาถึงบ้านแล้ว เดวิดชวนพ่อมาเล่น หมากรุก
หมากรุกสื่อความถึงการดำเนินชีวิต การวางแผนจัดการต่างๆ หมากรุกจึงเป็นสื่อที่หมายถึงชีวิตของเดวิดที่ยินยอมให้พ่อเป็นผู้จัดการอย่างไม่มีทางขัดขืนได้

* ผ้าขาว ที่รายล้อมเดวิดอยู่ในขณะที่เขาคุยกับน้องเรื่องที่ได้รับทุนนั้นเปรียบเสมือนความฝันของเขาที่สามารถจะแต่งแต้มขึ้นมาได้ในอนาคต แต่เมื่อพ่อของเขาขัดขวางการรับทุนนั้นความฝันก็ไม่ได้รับการแต่งแต้มสีสันขึ้นมาและก็ยังคงเป็นผ้าขาวที่ดูว่างเปล่าอยู่เช่นเดิม

* ประตูสีน้ำเงิน ที่บ้านของครูสอนเปียโน เปรียบเสมือนประตูที่จะนำไปสู่ความร่มเย็นสงบสุข
ประตูที่จะนำไปสู่หนทางแห่งท้องฟ้า ซึ่งสีน้ำเงินเป็นสีผสมระหว่างสีฟ้าอันสดใสกับสีดำอันสุดโศก จึงสื่อความถึงความหวังที่จะไปตามฝันของเดวิดว่าถึงแม้จะดูสดใสแต่ก็ยังมีความมืดมนครอบงำอยู่

* ถุงมือสีแดง ที่แคทเธอรีนมอบให้เดวิดเมื่อเธอรู้ว่าเดวิดจะได้ทุนไปเรียนต่อนั้น เป็นสิ่งที่แสดงถึงความกล้าหาญที่เธอมอบให้เดวิด มืออันเป็นอวัยวะที่สำคัญในการสร้างสรรค์ทุกสิ่ง ทรงพลังด้วยสีแดงฉาน เป็นอาวุธชั้นเลิศที่จะทำให้ผู้ครอบครองนั้นเปี่ยมล้นไปด้วยโชคอย่างแน่นอน

* ฉากที่เดวิดอาบน้ำหลังจากที่พ่อเขาเผาจดหมายเรื่องทุนนั้น หากดูให้ดีกล้องจะฉายไปที่ก๊อกน้ำที่ปิดอยู่แต่ก็ยังมีน้ำไหลรั่วออกมา ก๊อกน้ำนั้นถูกปิดโดยไม่สมควร เปรียบเสมือนการดูแลจัดการของพ่ออย่างผิดวิธี ฉะนั้นก็ย่อมไม่เกิดผลดีดังเช่นที่น้ำรั่วออกมานั่นเอง และอีกอย่างหนึ่งที่เห็นก็คือเมื่อเดวิดอาบน้ำอยู่ในอ่าง แล้วพ่อฟาดผ้าขนหนูจนน้ำกระเซ็นไปทั่วแล้วติดอยู่กับกำแพงนั้น หากเปรียบเดวิดเป็นน้ำที่มีวิถีการพุ่งอย่างอิสระก็คงจะไปไหนไม่ได้ไกล หากเพราะมีผนังห้องอย่างพ่อของเขาคอยกักกันอยู่

* นกพิราบ อันเป็นสัญลักษณ์แห่งเสรีภาพก็ได้ปรากฏในฉากหลังจากที่เดวิดได้มาเที่ยวผับแห่งหนึ่งในประเทศอังกฤษแล้วนอนหลับอยู่บริเวณอนุสาวรีย์นั้นนั้นนับเป็นสื่อที่แสดงว่าอิสรภาพได้มาอยู่เบื้องหน้าของเขาแล้ว

เมื่อได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว ก็ทำให้เรามองเห็นอะไรหลายสิ่ง กว่าศิลปินคนหนึ่งจะมีชื่อเสียงขึ้นมาได้นั้นเขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่บุคคลผู้มีชื่อเสียงส่วนมากประสบมาทั้งสิ้น แต่ที่แตกต่างไปกว่านั้น เรื่อง Shine ได้นำเสนอแง่มุมใหม่ของผู้ป่วยอาการทางจิต ซึ่งเป็นไปในแนวทางที่สร้างสรรค์และจรรโลงสังคม ให้เห็นความสามารถของคนพิการจนกระทั่งมีชื่อเสียง ทั้งยังสอดแทรกเรื่องราวของสภาวะจิตใจมนุษย์ ซึ่งเห็นได้ชัดจากตัวละครเอกทั้งสองอย่าง เดวิด และ ปีเตอร์ สภาพสังคมครอบครัวทั้งที่เหมาะสมและไม่เหมาะสมเพื่อให้ดูเป็นเยี่ยง และเอาเป็นอย่าง นับได้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เปรียบ
เสมือนต้นกล้วยที่ให้ประโยชน์เราได้ทุกอย่างตามแต่ส่วนของมันตั้งแต่ต้นจนจบเลยทีเดียว ไม่แปลกเลยที่รางวัลมากมายต่างเข้าแถวรอเพื่อเป็นการตอบแทนคุณค่าของภาพยนตร์เรื่องนี้

Shine

สิทธิชัย

Shine ภาพยนตร์สัญชาติออสเตรเลีย ผลงานการกำกับโดย Scott Hicks และเขาเองเป็นผู้เขียนบทละครร่วมกับ Jan Sardi โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกสร้างเมื่อปี ค.ศ. 1996 และเป็นเรื่องที่อ้างอิงประวัตินักเปียโน ชื่อดังผู้มีพรสวรรค์อย่างมากในการเล่นเปียโนในประเทศออสเตรเลีย
การกระทำอันใดที่มาจากการฝืน บังคับหรือมุ่งมั่นจนเกินไป อาจก่อให้เกิดผลร้ายได้แม้จะประสบความสำเร็จ แต่หากวันใดที่การนั้นเกิดออกมาจากใจอันบริสุทธิ์ย่อมก่อให้เกิดผลสำเร็จอย่างไร้มลทิน

เรื่องย่อ

เดวิด เฮลพก็อต เด็กชายที่อาศัยอยู่ในครอบครัวที่มีฐานะค่อนข้างยากจน เขาถูกกดดันและบังคับจากพ่อของเขาเอง พ่อของเขาพยายามให้เขาเล่นเปียโนให้เก่ง ดังนั้นเขาจึงฝึก และสอนเดวิดให้เล่นเพลงที่ยากๆ นอกจากนี้เขาเองก็พาเดวิดไปแข่งขันการเล่นเปียโนอยู่บ่อยครั้งด้วย หลังจากการแข่งเขาแพ้ มีครูผู้หนึ่งซึ่งเป็นหนึ่งในกรรมการตัดสินการแข่งขัน มายื่นขอเสนอที่จะสอนเปียโนให้กับเดวิด แต่ครั้งแรกพ่อเขาปฏิเสธที่รับ แต่เขากลับยอมรับได้และพาเดวิดไปเรียนกับครูผู้นั้น จากนั้น เดวิดก็ได้รับรางวัลชนะในการแข่งขันพร้อมกับทุนเรียนต่อที่ประเทศอเมริกา แต่พ่อของเขาก็ไม่ยอมให้เดวิดรับทุนนั้น ทำให้เดวิดเสียใจและเปลี่ยนพฤติกรรมไปมาก

ต่อมาเดวิดได้รู้จักกับนักเขียนผู้หนึ่งทำให้ขากลับมามีความสดชื่นในการเล่นเปียโนอีกครั้ง จากนั้นเขาได้เข้าแข่งขันการเล่นเปียโนอีกครั้ง แต่การแข่งครั้งนี้เขาได้รองชนะเท่านั้น พร้อมกับจดหมายทุนไปเรียนที่โรงเรียนสอนดนตรีในเมืองลอนดอน โดยมีนักเขียนผู้นั้นคอยเป็นกำลังใจ และส่งเสริมให้เขารับทุนไปเรียนที่นี่ ทำให้ตัดสินใจได้ถึงแม้พ่อของเขาจะห้ามปรามไว้ก็ตาม ก่อให้เกิดความแตกแยกระหว่างเขากับพ่อ ระหว่างที่เขาเรียนอยู่ มีอาจารย์ที่เห็นความสามารถและพรสวรรค์ของเขา อาจารย์ผู้นั้นจึงได้สอนและฝึกฝนเดวิดจนชำนาญขึ้น เมื่อมีการแข่งขันการแสดงเปียโนเขาเลือกที่จะเล่นเพลงแร็คสาม ซึ่งเป็นเพลงที่พ่อของเขาต้องการให้เล่นตั้งแต่เด็ก เขาฝึกฝนจนสำเร็จ เมื่อถึงการแสดงจริง เขาสามารถทำได้ดั่งที่ตั้งใจ แต่หลังจากการแสดงของเขาจบลงเขาสามารถแข่งชนะและต้องเข้ารักษาตัวด้วยไฟฟ้าในโรงพยาบาลด้วยเช่นกัน เมื่อหายเป็นปกติแล้วเขากลับมายังบ้านแต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากผู้เป็นพ่อ ทำให้เขาไปอาศัยอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช แต่เขาก็ออกไปจากโรงพยาบาลเพราะผู้หญิงผู้หนึ่งเป็นผู้พาเขาไปอยู่ด้วย แต่ผู้หญิงคนนี้รับการกระทำของเดวิดไม่ได้จึงให้เขาไปอยู่ที่อพาร์ตเมนท์ ต่อมาเขาได้พบกับซิลเวียในร้านอาหาร และเขาก็ได้เล่นเปียโนอีกครั้งในร้านอาหารเป็นประจำ นอกจากนี้เขายังได้พบหญิงที่เขารัก เขาขอผู้หญิงที่เป็นเพื่อนของซิลเวียแต่งงาน ทำให้เขามีกำลังใจและได้โอกาสในการเล่นแสดงเปียโนอีกครั้ง ทำให้มีผู้ชื่นชมเขาอีกครั้ง

การเปิดเรื่องของเรื่องนี้ เปิดด้วยตัวละครหลักยืนอยู่หน้าร้านอาหารท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมา ทำให้เขาตัวเปียกปอน ซึ่งเป็นการนำเหตุการณ์ที่น่าจะเป็นช่วงกลางของเรื่องมาเปิดปมปัญหา เพื่อให้เกิดความรู้สึกน่าสนใจ น่าติดตามชีวิตของบุคคลผู้นี้ว่าเป็นมาอย่างไร อีกทั้งมีการใช้ฝนเป็นสื่อให้เห็นถึงอารมณ์ และวิกฤติของตัวละคร ที่มีแต่ความมืดมนไร้ความสดใส รวมทั้งมีปัญหาเข้ามารุมล้อม พยายามหาผู้มาช่วยเปิดทางและช่วยเหลือเขา

การปิดเรื่องปิดด้วยการแสดงเปียโนของเขาหลังจากที่เขาได้แต่งงานมีครอบครัวแล้ว เมื่อการแสดงจบลงมีผู้ปรบมือแสดงความชื่นชม และชื่นชอบในการแสดงของเขาเป็นอย่างมาก และต้องการให้เขาแสดงอีกหนึ่งบทเพลง ทำให้ขารู้สึกตื้นตันใจจนน้ำตาเอ่อล้นออกมา แสดงให้เห็นถึงการประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงในการเล่นเปียโนของเขา ถึงแม้เขาจะเคยผ่านเวทีการประกวด และรางวัลชนะเลิศมาแล้วก็ตาม แต่ไม่มีครั้งไหนที่เขาดีใจมากเท่าครั้งนี้ ยิ่งสื่อให้เห็นความสำเร็จจากการกระทำที่เกิดขึ้นจากภายในตัวเอง เป็นสิ่งที่มีค่าและมีความสุข มากกว่าการกระทำที่เกิดจากการบังคับให้กระทำ นอกจากนี้ยังฉายให้เห็นแว่นตาที่เขาใส่ สื่อให้เห็นถึงสิ่งใหม่ๆที่เขาเปลี่ยนแปลงได้ มีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ยึดติดกับสิ่งเก่าๆ

จากเนื้อเรื่องของภาพยนตร์นี้ ได้สะท้อนให้เห็นมุมมอง และแง่มุมต่างๆมากมาย ทั้งทางด้านบวกและด้านลบ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นคนตรี ชีวิตความเป็นอยู่ที่มีตั้งแต่รากฐานทางสังคม อย่างครอบครัว ที่มีส่วนก่อให้เกิดการสั่งสมทางความคิดและการกระทำที่ส่งผลไปยังอนาคต นอกจากนี้ยังรวมไปถึงกาลเวลาที่คอยช่วยขัดเกลาและเปลี่ยนแปลงให้ตัวละครมีวิวัฒนาการที่น่าสนใจขึ้นด้วย ซึ่งแง่มุมและข้อคิดที่ได้มีอยู่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น

ความใฝ่ฝันของพ่อที่ถูกทำลายไปทำให้เกิดความหวังอย่างรุนแรง จึงบังคับให้ลูกทำในสิ่งที่ต้องการ ดังฉากที่พ่อบอกเดวิดว่า พ่อเคยซื้อไวโอลีนแต่กลับถูกปู่ของเดวิดทำลายทิ้งและห้ามพ่อเล่นดนตรี จากนั้นพ่อจึงพยายามสอนและขีดเส้นทางเดินในการเล่นเปียโนให้กับเขา อีกทั้งพ่อได้ขีดเส้นความคิดให้กับเดวิดอีกด้วย อย่างเช่นในฉากที่พ่อบอกเดวิดว่าเขาเป็นเด็กที่โชคดี และให้เดวิดพูดตาม และเชื่อตามนั้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นการปลูกฝังความคิด และความฝันของผู้เป็นพ่อแก่ลูก โดยที่ไม่คำนึงถึงความต้องการของลูก

ความอิจฉาริษยาของพ่อที่มีต่อลูก เนื่องจากพ่อถูกปิดกั้นความฝันและไม่ได้ทำในสิ่งที่ต้องการ อีกทั้งการเล่นดนตรีก็ไม่เป็นที่ยอมรับจากคนรอบข้าง แต่เมื่อเดวิดสามารถเล่นดนตรีประสบความสำเร็จ และเป็นที่ยอมรับของคนหมู่มาก อีกทั้งยังได้ทุนไปศึกษาต่อยังประเทศอื่น ทำให้พ่อไม่พอใจ นอกจากนี้การออกไปศึกษา ณ ที่อื่นทำให้พ่อไม่ได้รับการยกย่องไปด้วย ซึ่งจะเห็นได้จากฉากที่เดวิดแข่งขนชนะ หรือไปแสดงที่ใด พ่อมักออกตัวมายืนข้างลูกอยู่เสมอ และการไปอยู่ที่อื่นทำให้พ่อควบคุมดูแลให้เขาทำในสิ่งที่พ่อต้องการได้ยาก

การยึดติดกับสิ่งเดิมๆ โดยเห็นได้จากพฤติกรรมของพ่อ ทั้งความคิด การกระทำและความต้องการ ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ พ่อก็ยังคงยึดติดอยู่กับสิ่งเดิมๆ เช่นฉากที่เดวิดประสบความสำเร็จ และพ่อได้เข้ามาหาพร้อมกับเหรียญรางวัล แต่พ่อก็ยังคงพูดถึงเรื่องเดิมๆ ตั้งแต่เดวิดยังเป็นเด็ก รวมไปถึงสัญลักษณ์อย่างแว่นตาที่เป็นของเดิมถึงแม้จะแตกหักแล้วเขาก็ยังคงใช้มันอยู่

การขาดความรักความอบอุ่นในครอบครัว เนื่องจากเดวิดอยู่ในครอบครัวที่ถูกบังคับให้ทำในสิ่งต่างๆ โดยที่การกระทำนั้นอาจไม่เป็นที่ต้องการของเขา นอกจากนี้เดวิดยังขาดอิสรภาพในการที่เลือกขาดความมั่นใจ ความรักที่พ่อมีให้แก่เขานั้นก็เป็นความรักที่สามารถทำร้ายตัวเขาได้ อีกทั้งความรักที่ได้จากแม่นั้นมีไม่มาก เพราะส่วนใหญ่พ่อมักเป็นผู้สั่งสอนเขา ทำให้เขาต้องการความรักที่ไม่ทำร้ายเขา ยอมรับในการกระทำ และพฤติกรรมของเขาแม้การกระทำนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สมควรก็ตาม ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้อาจเป็นสิ่งที่เขาควบคุมไม่ได้

การกระทำที่เกิดจากความต้องการให้เป็นไปของผู้อื่น หรือการกระทำที่มุ่งมั่นโดยไม่ใส่ใจกับความรู้สึกของตัวเอง และสิ่งนั้นไม่ใช่ตัวเรา อาจก่อให้เกิดผลกระทบในด้านลบแก่ตัวเราเองได้ เนื่องจากสิ่งเหล่านั้นเกิดจากความคาดหวัง และบังคับให้กระทำ ทำให้เกิดความกดดัน ไม่ใช่ความรักความสนใจของตัวเอง ดังเช่น ฉากที่เดวิดนำเพลงที่พ่อของเขาต้องการให้เขาเล่นตั้งแต่เด็กๆมาใช้ในการแข่งขัน ทำให้เขาต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล เนื่องจากตัวเขาเองยังไม่มีความพร้อมที่แท้จริงที่จะเล่น และเขาทำไปเพื่อให้พ่อยอมรับในตัวเขาเท่านั้น

มุมมองด้านความรักที่มีการนำเรื่องความเชื่อทางด้านโหราศาสตร์มาเป็นตัวกำหนดแนวทาง ซึ่งสังเกตได้จากฉาก เพื่อนของซิลเวียที่มีคู่หมั่นอยู่ก่อนแล้ว แต่เมื่อมาพบกับเดวิดก็เกิดความประทับใจในตัวเขา ทำให้เธอใช้ความรู้ทางโหราศาสตร์มาเทียบคู่ชื่อระหว่างเขากับเธอ จนทำให้เธอยอมละทิ้งคู่หมั้นเดิม มาแต่งงานกับเดวิด ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเธอเชื่อในโหราศาสตร์นั้น นอกจากนี้ความรักที่แท้จริงไม่มีความประสงค์มุ่งร้ายแอบแฝงยังมีส่วนในการสร้างสรรค์บุคคล ให้เกิดกำลังใจ และแรงผลักดันให้สามารถทำในสิ่งต่างๆ ได้ประสบผลสำเร็จ ดังเช่นในฉากสุดท้ายที่หลังจากเดวิดได้แต่งงานแล้ว ภรรยาของเขาได้คอยเป็นกำลังใจ ช่วยเหลือเขา และยอมรับพฤติกรรมของเขาได้ นอกจากนี้เธอยังเป็นกำลังใจและดูแลเขาในทุกเรื่องอย่างมีความสุข ทำให้เดวิดสามารถกลับมาแสดงเปียโนได้อีกครั้ง และเป็นที่ชื่นชมของคนอื่นอีกด้วย ทำให้เขากลับมามีชื่อเสียงอีกครั้ง

นอกจากแง่มุมที่ได้แล้ว เรื่องนี้มีการสื่อแนวความขัดแย้งให้เห็นอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งระหว่างตัวละคร เช่นฉากที่พ่อทำร้ายลูกเพราะลูกต้องการไปเรียนต่อเนื่องจากได้รับทุน ซึ่งต่างไปจากความคิดของพ่อที่ไม่ต้องการให้เดวิดไป อีกทั้งยังมีความขัดแย้ง ภายในตัวเอง เนื่องจากเดวิดถูกบังคับให้ทำในสิ่งๆ ซึ่งภายในตัวเขาไม่ต้องการที่จะทำ หรือทำไปด้วยความไม่ยินยอม

จากเรื่องนี้สามารถมอง และสะท้อนให้เห็นแง่มุมที่แตกต่างกันออกไป ให้เห็นคุณค่าของการเล่นคนตรีกับความพร้อมทางจิตใจ หากเล่นด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์ ชื่นชอบ และรักด้วยความจริงใจก็ย่อมก่อให้เกิดผลสำเร็จ แต่หากเป็นสิ่งที่มาจากการบังคับ มุ่งมั่นเกิดขีดจำกัดของตนเองความสำเร็จอาจไม่ใช่สิ่งที่สำเร็จอีกต่อไป

Shine

สริญลา

เดวิด เฮลฟ์กอทท์ ลูกชายคนรองของปีเตอร์ เฮลฟ์กอทท์ พ่อที่อบรมเลี้ยงดูลูกๆด้วยความเข้มงวด และทัศนคติที่คับแคบ สอนให้ลูกชายของเขาชนะในทุกการแข่งขัน ซึ่งสร้างความกดดันแก่เดวิดเป็นอย่างมาก แรคมานีนอฟ 3 เป็นบทเพลงคอนแชร์โตที่ยากมาก หากทว่าปีเตอร์ ต้องการให้ลูกของเขาเล่นเพลงนี้ให้ได้ จึงพาลูกไปให้คุณครูที่ชื่อ เบน โรเซ่น สอนให้ โดยทางครูได้ปฏิเสธ อ้างว่ามันเป็นเพลงที่ยาก และอยากให้เดวิดโตกว่านี้และรู้สึกว่าอยากเล่นเพลงนี้จริงๆไม่ใช่ถูกยัดเยียดให้ชอบ แต่พ่อก็ไมได้สนใจคำพูดของครู เดวิดจึงได้เรียนกับครูโรเซ่น

ในงานเลี้ยงแห่งหนึ่ง เดวิดในวัยหนุ่มได้ทุนไปเรียนต่อที่อเมริกา เขานั่งคุยกับน้องถึงครอบครัวชาวยิวที่จะดูแลเขาเมื่ออยู่ที่นั่น เขาพูดอย่างมีหวังและเต็มไปด้วยความสุข แต่ทว่าพ่อไม่ให้เขาไป เพราะกลัวว่าการไปของเขาจะเป็นการทำลายครอบครัว ต่อมาเดวิดได้รู้จักกับหญิงสูงวัยชาวรัสเซีย เขาไปเล่นเปียโนและนั่งพูดคุยที่บ้านของเธอ จนกลายเป็นเพื่อนต่างวัย วันหนึ่งเดวิดไปแข่งเปียโนแล้วแพ้คู่แข่งคือ โรเจอร์ วุ๊ดเวิร์ด พ่อผิดหวังอีกครั้งกับเดวิด ต่อมาเดวิดได้ทุนไปเรียนต่อทางด้านดนตรีที่ลอนดอน เป็นอีกครั้งที่พ่อไม่ให้เขาไป และเป็นครั้งแรกที่เขากล้าที่จะแสดงความคิดเห็น กล้าแสดงความต้องการของเขาออกมาว่าเขาต้องการไปเรียนต่อทางด้านนี้ พ่อพูดกับเขาว่า ถ้าหากเขาไปเขาจะถูกตัดขาดจากพ่อ แม่ และครอบครัว แต่เขาก็ตัดสินใจไป เดินตามทางที่ตัวเองต้องการ

เมื่อเขาไปอยู่ที่ลอนดอน เขาเขียนจดหมายถึงพ่อ แต่พ่อไม่เคยเขียนตอบกลับมาเลยสักฉบับเดียว แต่กลับส่งจดหมายที่ยังไม่ได้เปิดกลับมาทั้งหมด เขาเสียใจที่พ่อไม่สนใจเขาเลย และที่ลอนดอนเขาได้เรียนเพลงคอนแชร์โต้แรคมานีนอฟ 3 ต่อ เดวิดเล่นเพลงนี้ได้ดีบนคอนเสริ์ต แต่ด้วยความที่เขาเคร่งเครียดและความกดดันทำให้หลังจบการแสดงเขาก็หมดสติไปและกลายเป็นคนที่สติไม่ดี เขาต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลทางจิต คืนหนึ่งเขาเดินท่ามเตร็ดเตร่ท่ามกลางสายฝนโปรยปรายมาถึงร้านอาหาร เขาเห็นเปียโนจึงเดินเข้าไปเล่น ทุกคนที่ได้ฟังล้วนประทับใจ ทำให้เขาดีใจมาก เจ้าของร้านจึงจ้างเขามาเล่นดนตรี ไม่นานชื่อเสียงของเขาก็โด่งดังอีกครั้งหนึ่ง ได้กลับไปเล่นบนเวที และได้พบกับจิลเลียน นักโหราศาสตร์ ผู้ที่เยียวยาชีวิตทอันหม่นหมองของเดวิดให้กลับมามีชีวิตชีวา

การเปิดเรื่อง เริ่มด้วยเดวิด ที่ออกมาเดินเตร็ดเตร่ท่ามกลางสายฝนในคืนวันหนึ่งแล้วมาหยุดที่ร้านอาหาร พูดพึมพำคล้ายๆกับว่ามีความรู้สึกนับร้อยอยู่ข้างใน จนต้องรีบพูดมันออกมา ฉันคิดว่าการเปิดเรื่องของภาพยนตร์นี้น่าสนใจ คือสร้างความน่าสงสัยว่าทำไม ชายคนนี้จึงมีลักษณะการพูดเช่นนี้ และ ผู้ชายคนนี้เป็นใคร? เหตุการณ์เริ่มพัฒนา เมื่อเดวิดได้ทุนไปเรียนต่อทางด้านดนตรีที่อเมริกา แต่พ่อไม่ให้ไป ทำให้เดวิดเกิดความรู้สึกกดกัน และเริ่มไม่พอใจพ่อ ซึ่งเป็นความขัดแย้งของมนุษย์กับมนุษย์ จุดวิกฤติ คือตอนที่เดวิดได้ทุนไปเรียนต่อที่ลอนดอนแล้วพ่อไม่ให้ไป เพราะบอกว่าการจากไปจะทำลายครอบครัวของเรา โดยยื่นคำขาดว่า หากก้าวเท้าออกจากบ้านไป เขาจะไม่มีวันได้กลับมา และเขาจะไม่มีพ่อ แม่ พี่น้องอีกต่อไป คนในครอบครัวคนอื่นๆสงสารและเข้าใจเดวิด ช่วยกันห้ามไม่ให้พ่อทำร้าย แล้วเดวิดจึงตัดสินใจที่จะขัดแย้งกับพ่อแล้วเลือกทางเดินของตัวเอง

จุดไคล์แมกซ์ คือ เมื่อเขาไปถึงที่ลอนดอน เขาได้เรียนเพลงแรคมานีนอฟ 3 เมื่อเขาได้เล่นเพลงนี้อย่างไพเราะ พริ้วไหว บนเวที ผู้คนตั้งใจฟังเขาบรรเลงและทึ่งในความสามารถอันยอดเยี่ยม แต่เขาเกิดความเครียดและกดดัน ที่สะสมมายาวนาน ทำให้เขาทรุดลงไปบนเวที ศรีษะกระแทกกับเปียโนกลายเป็นคนที่สติไม่ดี ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทางจิตเวช การปิดเรื่อง เป็นการจบแบบสุขนาฏกรรม จิลเลียน นักโหราศาสตร์คนหนึ่งได้รู้จักกับเดวิด ต่อมาเขาทั้งสองได้กลายมาเป็นคู่รักกัน จิลเลี่ยนดูแลเดวิดอย่างดีและใจเย็น แม้ว่าเดวิดอาจสร้างเรื่องปวดหัวให้เธออยู่บ่อยๆ แต่เธอก็มีความสุขที่ได้อยู่ดูแลเขา สุดท้ายเดวิดและจิลเลี่ยนได้ไปเยี่ยมหลุมศพของพ่อของเดวิด ด้วยกันอย่างมีความสุข

Shine เป็นภาพยนตร์ที่น่าชมมากเรื่องหนึ่ง แฝงไปด้วยข้อคิดที่ดี มีการใช้สัญลักษณ์ ซึ่งสร้างความน่าสนมจให้กับภาพยนตร์ เนิ้อเรื่องเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน ตัวละครแต่ละตัวแสดงได้สมบทบาท ทำให้เราเชื่อและรู้สึกร่วมไปด้วยตลอดทั้งเรื่อง เมื่อชมแล้วรู้สึกสงสาร เห็นใจเดวิดและคนในครอบครัวของเขาเป็นอย่างมาก เพราะพ่อสอนลูกด้วยความรักแบบผิดๆ ทัศนคติที่คับแคบ กดดันให้เป็นในสิ่งที่ตนต้องการ คำว่าชนะและแข็งแกร่งถูกฝังอยู่ในหัวของลูก ซึ่งส่งผลกระทบต่อทุกๆคนในบ้าน โดยเฉพาะเดวิด ที่ภายหลังต้องกลายเป็นคนสติไม่ดี พูดจาเพ้อเจ้อ ทำให้บ้านไม่มีความสุข

ข้าพเจ้ามีความรู้สึกกดดันมากในฉากที่เดวิดเล่นเพลงแรคมานีนอฟ 3 บนเวที บทเพลงที่ไพเราะแต่แฝงไปด้วยความกดดันของผู้เล่น รู้สึกสงสาร เห็นใจ และชื่นชมในความพยายามของเขาในการฝึกฝนที่จะเล่นบทเพลงนี้มาโดยตลอด อีกฉากหนึ่งที่ข้าพเจ้ารู้สึกสะเทือนใจคือ ฉากที่เดวิดลงไปนั่งในอ่างน้ำแล้วอุจจาระลงในนั้น เมื่อเห็นสีหน้าของพ่อแล้วรู้สึกว่า นี่หรือคือคนที่บอกว่ารักลูกมาก คนที่ดูเหมือนจะทำให้ครอบครัวอบอุ่น ส่วนฉากที่ข้าพเจ้าประทับใจมีหลายฉากแต่ฉากที่ทำให้ข้าพเจ้ายิ้มออกได้ในหนังเรื่องนี้คือ ฉากที่เดวิดลงไปว่ายน้ำในสระแล้วเอาโน๊ตเพลงลงไปด้วย จิลเลี่ยนเอาสวิงช้อนกระดาษโน๊ตเพลงขึ้นมา เอาไดร์เป่า เอาเตารีดมานาบให้แห้ง ช่วยกันหลายคน นั่นแสดงให้เห็นว่ามีคนรักเดวิดอีกมากมาย

จากข้อคิดที่ได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้ ฉันรู้สึกว่าเป็นคนที่ถือว่าโชคดี เพราะมีคนในครอบครัวที่เข้าใจในทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เคยกดดันและเป็นกำลังใจให้ฉันเสมอมา
สมัชญ์

ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากชีวิตจริงของ David Helfgott นักเปียโนอัจฉริยะชาวออสเตรเลีย ผู้ที่มารับบทเป็นตัวละครเอกของเรื่องนั้นจะแบ่งออกมาเป็น 3 ช่วงด้วยกัน

ตอนเป็นเด็ก

พ่อของเดวิดรักลูก รักเมีย แต่เป็นรักชนิด ทำลายล้าง เพราะไม่มีเหตุผล เขาอ้างความรักเพื่อดูแลปกป้องครอบครัวแบบเผด็จการ ทุบตีอย่างรุนแรง ตลอดจนยัดเยียดความต้องการของตนเองให้กับลูก ปลดปล่อยความกดดันที่ตนเคยได้รับเมื่อวัยเด็กที่เคยอยากเรียนดนตรี ออมเงินไว้ซื้อไวโอลินเอง แต่โดนพ่อขัดขวางทุบไวโอลินทิ้ง....เขายกความฝันเหล่านั้นมาไว้ที่เดวิด "ลูกต้องชนะ" โดยการสอนดนตรีเอง ให้เดวิดเล่นอะไรยากๆเกินตัว จนในที่สุดต้องไปหาครูดนตรีจริงๆมาสอนลูก
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ตัวละครที่เป็นเดวิดนั้นก็ถ่ายทอดลักษณะของความขัดแย้งภายในระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ซึ่งก็คือระหว่าง พ่อของเขาที่ต้องการให้เขาทำตามคำสั่งทุกอย่างกับตัวของเขาเองที่ไม่เคยได้ใช้ช่วงเวลาของความเป็นเด็กกับเพื่อนๆเพราะเขาถูกการคาดหวังของพ่อตีกรอบไว้อย่างแน่นหนา

ตอนเป็นวัยรุ่น

เขาได้รับการเสนอทุนฯไปเรียนต่อที่สหรัฐฯ โดยไอแซก สเติร์น นักไวโอลินผู้ยิ่งใหญ่แต่....พ่อแม่ไม่ยอม ให้ไป ซึ่งต่อมาได้รับทุนไปเรียนที่ Royal College of Music ที่กรุงลอนดอน เดวิดตัดสินใจไปแบบขืนใจพ่อ...ผู้ประกาศตัดลูกตัดพ่อตั้งแต่บัดนั้น.....เขาเรียนเปียโนกับเซซิล ปาร์ก นักเปียโนชื่อดังชาวอังกฤษ ผู้ที่เจียระไนเพชรเม็ดนี้ให้สุกสว่างขึ้นมา เดวิดเล่นเปียโนคอนแชร์โตหมายเลข 3 ของ Rachmaninoff ได้อย่างยอดเยี่ยมจนได้รับการบันทึกว่า เป็นสุดยอดแสดง Rach 3 (ซึ่งเขาว่ากันไว้ว่าเป็นบททดสอบสุดท้ายที่ยากที่สุดของความเป็นเลิศทางเปียโน!!) ใน Alber Hall ตั้งแต่นั้นมา ในช่วงนี้เดวิดมีความขัดแย้งขึ้นภายในจิตใจอย่างมากเพราะการที่เขาอยากที่จะไปเรียนต่อแต่ก็กลัวพ่อของเขาจะโกรธและเสียใจทั้งๆที่เขารู้มาก่อนมาถึงยังไงเขาก็จะต้องถูกปฏิเสธจากพ่อของเขาอย่างแน่นอนแต่ยังมีอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เดวิดกล้าที่จะเลือกทางเดินที่ตนเองต้องการซึ่งก็คือ สตรีผู้สูงศักดิ์เชื้อสายรัสเซียผู้ที่เหมือนกับคนที่เดวิดสามารถคุยได้และสามารถให้คำปรึกษาได้

ตอนช่วงหลังจากการล้มหมดสติ

หนังฉายภาพการกลับมาของเดวิดแบบสนุกสนาน พูดจาเร็ว ฟังไม่ได้ศัพท์ ยิ้มและเริงร่าหัวเราะตลอดเวลา เหมือนเป็นการชดเชยที่ไม่เคยทำแบบนั้นมาหลายสิบปีเดวิดเหมือนหลุดพ้นจากสิ่งที่ผูกรัดเขามาตลอดทั้งชีวิตแต่มีอยู่ฉากหนึ่งที่เขาได้โทรศัพท์กลับไปหาพ่อเขาเหมือนกลับว่าเขาไม่เหลืออะไรแล้วหมดทุกอย่างแต่พ่อของเขาก็กลับใจแข็งไม่ยอมพูดด้วยและตอนจบพ่อของเขาก็ได้ไปหาเขาเองและยอมที่จะอภัยให้แต่ก็เหมือนว่าลูกของตัวเองได้กลายเป็นคนที่สติไม่ดีไปแล้ว

Plot (โครงเรื่อง)

การเปิดเรื่อง เริ่มจากฉากที่เดวิดออกมาวิ่งไปตามถนนที่ฝนตกลงมาพูดจากับคนที่อยู่ในร้านอาหารกลุ่มหนึ่งอย่างไร้สติและเร็วไปมาตลก สนุกสนาน

เหตุการณ์เริ่มพัฒนา ตอนเด็กเคยชนะการแข่งขันมากมาย จนได้รับการเสนอทุนฯไปเรียนต่อที่สหรัฐฯ โดยไอแซก สเติร์น นักไวโอลินผู้ยิ่งใหญ่แต่พ่อแม่ไม่ยอมให้ไป ซึ่งต่อมาได้รับทุนไปเรียนที่ Royal College of Music ที่กรุงลอนดอน

จุดสงสัยคือ เดวิดไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อของเขาจึงต้องห้ามไม่ให้เขาไปเรียนต่อ
เหตุผล (พ่อแม่ของเดวิดเป็นยิวจากโปแลนด์ (อีกแล้ว) อพยพหนีภัยสงครามและการคุกคามของนาซี ฯลฯ ความเจ็บปวดที่ได้รับเป็นเหตุให้เขาต้องการให้ลูกๆอยู่พร้อมหน้ากันตลอดไป เขาประกาศว่าจะไม่ยอมให้ใคร ทำลายครอบครัวของเขาได้ นั่นคงเป็นเหตุผลที่เขาไม่ยอมให้ลูกชายอัจฉริยะรับทุนไปเรียนต่อที่สหรัฐฯ และอังกฤษ)

ความขัดแย้ง ในภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ให้ตัวละครมีความขัดแย้งหลายประเภทมากเช่น
- เดวิดนั้นจะมีความขัดแย้งกับพ่อของเขาก่อนตอนสมันที่เขายังเป็นเด็กจากนั้นเมื่อเขาไม่สามารถที่จะหาคำตอบหรือได้รับฟังเหตุผลที่พอที่จะทำให้เขายอมรับได้เขาก็เริ่มเกิดความขัดแย้งขึ้นภายในจิตใจที่จะพยายามไม่ฟังคำสั่งพ่อตัดสินใจที่จะเลือกทางเดินของตนเองโดยการไปเรียนต่อ
- พ่อของเขาก็ขัดแย้งภายในจิตใจจากการที่เขาห้ามลูกไม่ให้ทำในสิ่งที่ตัวเขาชอบ แต่ก็เก็บผลงานลูกไว้มากมายหนังสือพิมพ์รางวัลต่างๆ

จุดวิกฤติ เดวิดกับพ่อของเขาทะเลาะกันครั้งใหญ่มากจนพ่อของเขายื่นคำขาดที่จะตัดพ่อลูกกันถ้าเดวิดไปเรียนต่อ
จุดไคลแม็กซ์ เขาตัดสินใจเลือกทางเดินที่ตนเองต้องการและตัดสินใจไปเรียนต่อ
การปิดเรื่อง เขาได้แต่งงานกับหญิงสาวผู้ที่พึ่งเจอเดวิดและยอมถอนหมั้นกลับมาแต่งานกับเขา แต่ก่อนหน้านี้พ่อของเดวิดได้กลับไปหาเดวิดเหมือนเป็นการให้อภัยแล้ว

Shine

ศศิกานต์

เรื่องย่อ

เป็นภาพยนตร์ที่สร้างมาจากเรื่องจริงของนักเปียโนคนหนึ่ง ชื่อ เดวิด เฮลกอต ซึ่งเป็นผู้ป่วยโรคจิตเภท เดวิดเกิดในครอบครัวชาวยิว มีพ่อเป็นคนเข้มงวดและจริงจัง โดยบังคับให้เขาเรียนเปียโนและจะต้องเล่นให้ชนะเท่านั้น และเดวิดก็ชนะการประกวดมาเรื่อยๆ จนเขาได้รับเชิญให้ไปเรียนเปียโนที่สหรัฐอเมริกา แต่พ่อของเขาไม่ยอม ต่อมาเดวิดได้พบกับนักเขียนคนหนึ่ง ชื่อ แคทเธอรีน เธอเป็นคนพาเดวิดไปเรียนต่อที่อังกฤษ และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้พ่อของเดวิดตัดพ่อตัดลูกกับเขา

เมื่อไปอยู่ประเทศอังกฤษ แคทเธอรีนได้เสียชีวิตลง ทำให้เดวิดเกิดความเครียดและว้าเหว่ ประกอบกับพ่อของเขาก็ไม่ได้ตอบจดหมายเลย แต่กระนั้นเขาก็ยังฝึกซ้อมเปียโนอย่าจริงจังกับอาจารย์ชื่อดังคนหนึ่ง จนเขาได้รับตำแหน่งชนะเลิศ แต่หลังจากที่เพลงจบเขาก็ล้มลงหมดสติกลางเวทีนั่นเอง เขาได้รับการรักษาพยาบาลด้านโรคจิตเภท และหมอได้สั่งห้ามเล่นเปียโนอย่างเด็ดขาด เมื่อเขาออกจากโรงพยาบาลก็ได้ไปอาศัยกับเบริล แต่อยู่ได้ไม่นาน เดวิทก็ถูกส่งตัวไปอยู่อพาร์ทเมนท์เพียงลำพัง เขายังคงเล่นเปียโรซึ่งเป็นสิ่งที่เขารัก แต่เขาเล่นบ่อยเกินไปจนเจ้าของอพาร์ทเมนท์รำคาญจึงล็อคเปียไว้ เดวิดจึงออกตามหาเปียโนและพบในร้านอาหารชื่อ โมบาย และเขาได้เล่นดนตรีจนมีชื่อเสียงอยู่ที่นั่น ต่อมาเขาก็ได้พบกับพ่ออีกครั้ง แต่พ่อกลับรับไม่ได้กับความเปลี่ยนแปลงของเขา และจากเขาไปอีกครั้ง แต่โชคก็ยังเข้าข้างเขาอยู่ เมื่อเขาได้เจอกับกิลลเลี่ยนซึ่งเป็นหมอดู ทั้งสองได้แต่งงานกัน เดวิดกลับมาเล่นเปียโนและขึ้นคอนเสิร์ตอีกครั้ง เขาหวังจะให้พ่อเห็นความสำเร็จครั้งนี้ แต่มันก็สายไป เมื่อพ่อของเดวิดได้เสียชีวิตแล้ว

วิจารณ์

ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้การเล่าเรื่องแบบย้อนหลังกลับไปสู่อดีต เป็นการนำเสนอชีวิตบุคคล คือ เดวิด เฮลกอต เป็นตัวเด่นและตัวดำเนินเรื่อง โดยเนื้อเรื่องเป็นการนำเสนอให้เห็นถึงการต่อสู้ของชายหนุ่มที่เป็นโรคจิตเภท แต่มีใจรักและมีความสามารถในทางดนตรี

เรื่องเปิดฉากในคืนที่ฝนตก ซึ่งสายฝนในยามค่ำคืนก็แสดงให้เห็นถึงความหนาวเหน็บ เหว่ว้า ซึ่งเปรียบเสมือนจิตใจซึ่งสับสน ขาดที่พึ่งของตัวละครเอกในเรื่อง ตั้งแต่เด็กเดวิดเกิดมาในครอบครัวที่เคร่งครัด พ่อเป็นคนบงการทุกอย่างของชีวิต ทำให้เขาเริ่มเกิดความเครียด และเริ่มเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคจิตเภท ในที่สุดเขาเริ่มแยกตัวออกมาจากความกดดันนั้น และเริ่มที่จะไม่ใส่ใจกับตนเองและโลกแห่งความเป็นจริง หลายๆครั้ง การรักษาพยาบาลไม่สามารถบรรเทาอาการของเขาได้ แต่เขาก็มีเปียโนและคนรอบข้างเป็นที่พึ่งแทน นั่นก็แสดงให้เห็นว่า บางครั้งโรคนั้นไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยา แต่เป็นกำลังใจจากคนรอบข้างของผู้ป่วย โดยเฉพาะครอบครัวนั้นมีส่วนสำคัญในการดูแลผู้ป่วยเป็นอย่างมาก ดังนั้นภาพยนตร์เรื่องนี้จึงต้องการที่จะแสดงให้เห็นความสำคัญของคนรอบข้างต่อการดูแลผู้ป่วยให้มีอาการดีขึ้น