วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2551

สไปรัล พันธุ์อาถรรพ์



สไปรัล พันธุ์อาถรรพ์
ซุสุกิ โคจิ
ผู้แปล:น้ำทิพย์ เมธเศรษฐ
พิมพ์ครั้งที่ 3
สำนักพิมพ์อิมเมจ
326 หน้า
190 บาท






สไปรัล พันธุ์อาถรรพ์ หรือ ราเซ็น นวนิยายแนวสยองขวัญภาคสองของ ริง คำสาปมรณะ ผลงานจากนักเขียนชื่อดังซุสุกิ โคจิ ผู้ที่มีผลงานการเขียนมากมาย ชีวิตการเป็นนักเขียนของเขาเริ่มรุ่งโรจน์เมื่อ ระคุเอ็น (สรวงสวรรค์) นิยายเรื่องแรกที่ได้รับการตีพิมพ์ของเขาเปิดตัวได้อย่างงดงามและเรื่องต่อมาที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขาก็คือ นิยายสยองขวัญ ริง คำสาปมรณะจนกระทั่งภาคสองของ ริงคำสาปมรณะ นั่นก็คือ สไปรัล พันธุ์อาถรรพ์ทำให้เขาได้รับรางวัลนักเขียนหน้าใหม่โยชิกาวา เออิจิครั้งที่ 17 และสร้างปรากฏการณ์สร้างยอดขายพิมพ์ซ้ำถึง 15 ครั้งภายใน 8 เดือน สร้างกระแสนิยมใหม่ในวงการวรรณกรรมญี่ปุ่นที่มีสำนวนภาษาที่เป็นเอกลักษณ์ และความสนใจเฉพาะด้านโดยเฉพาะปรัชญาวิทยาศาสตร์ ทำให้ซุสุกิ โคจิ เป็นนักเขียนที่มีคุณภาพคนหนึ่ง


เปิดฉากต่อจากเรื่อง ริง คำสาปมรณะ ด้วยการชันสูตรศพทาคายามะ ริวจิ มิตรแท้ผู้ช่วยอาซาคาวาค้นหาวิธีแก้เคล็ดคำสาปจนตัวเองต้องสิ้นชีวิต นายแพทย์นิติเวชนามอันโด หลังจากที่เขาได้สูญเสียลูกชายและเลิกรากับภรรยา เขาเป็นคนแรกที่พบเนื้อเยื่อประหลาดในตัวริวจิ และเห็นกระดาษหนังสือพิมพ์ซึ่งมีตัวเลขโผล่ออกมาจากศพ ตัวเลขเหล่านั้นเมื่อนำมาเรียงถอดรหัส จะได้คำว่า RING อันโดติดตามปริศนานี้จนได้พบกับทาคาโนะ ไม แฟนสาวของริวจิ เธอเป็นเครื่องมือของการกำเนิดเรื่องราวที่นำไปสู่การเกิดใหม่ของสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว นั่นก็คือ การฟื้นคืนชีพซึ่งมาจาก คำสาปที่ซับซ้อนเหนือความคาดหมาย จากการวางแผนอันแยบยลของทาคายามะ ริวจิ ผู้ซึ่งทิ้งปริศนา RINGให้แก่อันโดนั่นเอง และมีปลายทางเดียวที่อันโดต้องเผชิญนั่นกันคือความตาย หากเขาไม่สามารถคลี่คลายปัญหาได้ เขาจึงทำทุกวิถีทางเพื่อไขปมปริศนาซึ่งทำให้เขาต้องเลือกระหว่างความถูกต้องกับชีวิตใหม่ของลูกชาย


สไปรัล พันธุ์อาถรรพ์ แม้จะเป็นนิยายสยองขวัญลึกลับแต่ก็ยังมีกลิ่นอายของนิยายวิทยาศาสตร์เพิ่มเติมมาด้วย ทำให้เรื่องที่น่าเหลือเชื่อกลายเป็นเรื่องที่น่าเชื่อถือ จึงทำให้ผู้อ่านเกิดความคิด จินตนาการและยอมรับความสมจริงที่มีความสมบูรณ์ไร้ที่ติ จนต้องยอมรับว่าเป็นการ “โกหกที่สมบูรณ์แบบ”เนื่องจากมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เข้ามาผูกเรื่องอย่างละเอียดแน่นหนา จึงทำให้ต้องกลับมาอ่านหลายครั้งเพราะมีเนื้อหาที่ค่อนข้างซับซ้อนและเต็มเปี่ยมไปด้วยปมปริศนามากมาย รวมทั้งมีการผูกเงื่อนงำได้อย่างเหนือชั้นพลิกความคาดหมายชวนให้คิดอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่บรรทัดแรกจวบจนถึงบรรทัดสุดท้าย


ภายในหนังสือมีการแบ่งเนื้อหาออกเป็นบท เริ่มจากบทนำ ผ่าชันสูตร สาบสูญ ถอดรหัส วิวัฒนาการ ลางร้ายและบทส่งท้าย ปกของหนังสือมีภาพประกอบเป็นผู้หญิงผมยาว ลักษณะน่ากลัวทำให้ทราบได้ว่าต้องเป็นนิยายแนวสยองขวัญแน่นอน และยังมีข้อความต่างๆที่บอกถึงชื่อเรื่อง ผู้เขียน ผู้แปลและคุณสมบัติความสยองขวัญของหนังสือเล่มนี้ที่เป็นเครื่องการันตีคุณภาพชั้นดีอีกด้วย

นวนิยายเรื่องนี้นอกจากจะให้ความระทึก ตื่นเต้น และความสนุกสนานแล้วยังให้ข้อคิดสอดแทรก ในแง่เนื้อแท้ของมนุษย์ที่ยังมีรัก โลภ โกรธ หลง สิ่งเหล่านี้นำมาซึ่งความหายนะสู่ตนเองและผู้อื่น จากเรื่องที่ต้นตอของทุกสิ่งทุกอย่างมาจากความโกรธแค้นจนนำไปสู่ความอาฆาตพยาบาทที่น่าสะพรึงกลัว หากในโลกของความเป็นจริงก็เปรียบเสมือนกับคนที่มีความอาฆาตพยาบาทในเพื่อนมนุษย์ด้วยกันจนนำไปสู่การปองร้าย เข่นฆ่า ดังเช่นที่เกิดขึ้นในสังคมทุกวันนี้ซึ่งเป็นสิ่งที่โหดร้ายทารุณมากสำหรับการที่มนุษย์ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสริฐเข่นฆ่ากันเอง หนังสือเล่มนี้จึงเปรียบเสมือนกับตัวแทนของมนุษย์ที่ยังกระทำสิ่งที่โหดร้ายเช่นนี้อยู่ในสังคมปัจจุบัน

กล่าวได้ว่าสไปรัล พันธุ์อาถรรพ์ ได้กลายมาเป็นหนังสือแนวสยองขวัญพันธุ์ใหม่ของคนยุคนี้ เพราะได้เพิ่มบทบาทจากหนังสือแนวสยองขวัญทั่วไปทำให้ผู้อ่านเกิดอรรถรสมากขึ้นจึงไม่น่าแปลกใจที่นิยายลึกลับสยองขวัญ รางวัลโยชิคาวา เออิจิ ภาคต่อของ ริง คำสาปมรณะ จะสามารถสั่นสะเทือนอาณาจักรแห่งความกลัวด้วยยอดขายกว่า 3,000,000 เล่ม และเป็นภาคต่อที่ทำให้ภาคแรกคือ ริง คำสาปมรณะ โด่งดังและมียอดขายถล่มทลายอย่างเป็นปรากฏการณ์ และนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ จนทำให้เกิดกระแส “ซุสุกิ เฮอร์เรอ” ทั่วเอเชีย ด้วยความแปลกใหม่และมีลีลาการแต่งที่ไม่ซ้ำแบบใคร สไปรัล พันธุ์อาถรรพ์ จึงเป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ผู้รักการอ่านหนังสือไม่ควรพลาด




บายศรี

นกสีฟ้า (THE CHILDREN'S BLUE BIRD)


นกสีฟ้า (THE CHILDREN’S BLUE BIRD)
มาดาม โมริซ เมเตอร์ลิงก์ เขียน
น้ำค้าง แปลและเรียบเรียง
พิมพ์ครั้งแรก : 2549
สำนักพิมพ์เรือนปัญญา
252 หน้า ภาพประกอบ
195 บาท




“ไม่มีอะไรเริ่มต้น ไม่มีอะไรสูญสิ้นไป จะมีก็แต่เพียงความเปลี่ยนแปลง เราต่างเป็นนักเดินทาง ความสุขของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับการบรรลุจุดมุ่งหมาย หากแต่เกิดขึ้นได้ตลอดเส้นทาง เมื่อเรารู้จักให้ เราก็จะมีความสุข...” ข้อความตอนหนึ่งจากวรรณกรรมเยาวชนเรื่อง นกสีฟ้า


เรื่อง THE CHILDREN’S BLUE BIRD หรือฉบับภาษาไทยคือ นกสีฟ้า นี้ ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในรูปแบบของบทละครภาษาฝรั่งเศสชื่อ L’OISEAU BLEU แต่งโดย เคานต์ โมริซ เมเตอร์ลิงก์ ผู้ได้รับฉายาว่าเช็กสเปียร์แห่งเบลเยียม และได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ในปี พ.ศ. 2454 ต่อมา มาดาม โมริซ เมเตอร์ลิงก์ (จอร์เจ็ต เลบลอง) ได้ดัดแปลงบทละครนกสีฟ้าให้เป็นวรรณกรรมสำหรับเด็ก


งานเขียนเล่มนี้มีรูปแบบแฟนตาซี ซึ่งผู้เขียนนำเราไปสู่ดินแดนเหนือจริง มีเวทมนตร์ที่บันดาลให้สิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบกาย ไม่ว่าจะเป็น แมว หมา ขนมปัง ไฟ น้ำ น้ำนม น้ำตาล กลายร่างเป็นมนุษย์ แม้หมาจะมีลักษณะนิสัยและหน้าตาของหมา แมวจะมีลักษณะนิสัยและหน้าตาของแมว แต่พวกมันโตขึ้น สามารถเดินสองขาและพูดได้ วรรณกรรมเรื่องนี้จึงเปี่ยมไปด้วยความสนุกสนานจากการผจญภัยในดินแดนแห่งจินตนาการของสองตัวละครเด็กผู้กล้าหาญ


ทิลทิลและมิททิลสองพี่น้องอาศัยอยู่ที่กระท่อมเก่าๆ กับพ่อและแม่ “มันดูโกโรโกโสเข้าไปใหญ่เมื่อตั้งอยู่ท่ามกลางคฤหาสน์งามโอ่อ่า ซึ่งมีเด็ก ๆ ผู้ร่ำรวยอาศัยอยู่” แต่เด็กทั้งสองไม่เคยอิจฉาเด็ก ๆ เหล่านั้น แม้ตนจะไม่เคยมีวันฉลองคริสมาสต์เลยก็ตาม และด้วยหัวใจอันเปี่ยมด้วยความรัก ความโอบอ้อมอารีของเด็กทั้งสอง นางฟ้าเบรีลูนผู้ใจดีจึงมอบหมวกใบเล็กประดับเพชรกายสิทธิ์แก่ทิลทิล ซึ่งเพชรกายสิทธิ์มีพลังทำให้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวนั้นมีชีวิตขึ้นมา “ทันทีที่เด็กชายสวมหมวกลงบนหัว มนตราแห่งความเปลี่ยนแปลงก็เข้าครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง” จากนั้นการเดินทางตามหานกสีฟ้าแห่งความสุขจึงเริ่มต้นขึ้นพร้อมกับความตื่นเต้นและหัวใจอันเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นของเด็กๆ ทิลทิลเที่ยวตามหานกสีฟ้าไปทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นปราสาทเทพธิดา ดินแดนแห่งความทรงจำ ปราสาทราตรี อาณาจักรแห่งอนาคต วิหารแสงสว่าง สุสาน และในป่า ซึ่งทุกสถานที่ล้วนมีอุปสรรคเพื่อเป็นการทดสอบความกล้าหาญ และความอดทนของทิลทิล


นกสีฟ้า เป็นงานเขียนเชิงสัญลักษณ์ที่ผู้เขียนนำเราไปสู่คำถามและคำตอบของชีวิต โดยไม่รู้ตัวว่าเราได้กลายเป็นนักฝันและนักคิดในเวลาเดียวกัน นกสีฟ้าเป็นตัวแทนแห่งความสุข ในเรื่องจะมีทั้งนกสีฟ้าจริงและนกสีฟ้าปลอม เหมือนกับในชีวิตจริงของคนเราที่มักจะไขว้เขว หลงผิดไปกับวิถีในการแสวงหาความสุขจอมปลอม และยังมีสิ่งแวดล้อมที่คอยบิดเบือนสายตาของเราอยู่มากมาย


จากท่วงทำนองการเขียนที่ได้สร้างบรรยากาศของโลกแห่งความฝันขึ้นพร้อมๆ กับจินตนาการผ่านรูปวาด ประกอบกับคำพูดของตัวละครที่ถูกถ่ายทอดออกมาด้วยวิธีการอันเรียบง่าย ชัดเจน ทำให้งานเขียนเล่มนี้เรียกได้ว่าเป็น ‘เสียงดนตรีแห่งถ้อยคำ สีสันอันเจิดจ้าห้าวหาญ และความรื่นรมย์อันบริสุทธิ์ของชีวิต’
นอกจากนี้ความงามทางวรรณศิลป์ที่มาพร้อมกับข้อคิดเตือนใจ ทำให้ผู้อ่านซาบซึ้งได้กับทุกๆ ตอนในเรื่อง ดังคำพูดของแสงสว่างตอนหนึ่งว่า “อย่าร้องไห้เลยหนูน้อยที่รัก...เราไม่มีเสียงเหมือนสายน้ำ มีแต่ความสว่างไสวซึ่งมนุษย์ไม่อาจเข้าใจ...แต่เราคอยระวังภัยให้พวกเจ้าเสมอตราบจนวันสุดท้ายของชีวิต... อย่าลืมว่าเรากำลังพูดกับเจ้าอยู่ในแสงจันทร์ที่ส่องฉาย ในแสงกะพริบของดวงดาว ในแสงอรุณรุ่งของทุกวัน ในตะเกียงทุกดวงที่มีคนจุด และในทุกความคิดอันดีงามใสสว่างในจิตใจของพวกเจ้า...”


นกสีฟ้าจะเปิดมุมมองแห่งจินตนาการที่สวยงาม เปิดโลกของความคิดในแง่บวก และจะเป็นคำตอบให้กับทุกคนที่กำลังท้อแท้สิ้นหวัง เรื่องราวมหัศจรรย์ ณ ดินแดนแห่งความฝันจะทำให้เรามองโลกในมุมที่สวยขึ้น เพราะโลกสมมุติที่เกิดจากจินตนาการอันไร้ขอบเขตนั้นไม่มีถูกหรือผิด มีเพียงดินแดนแห่งความทรงจำในจิตใจ ขอเพียงเราได้ค้นหาความสุขเล็ก ๆ ใกล้ตัวให้เจอ เพื่อรับรู้และสัมผัสกับ ‘นกสีฟ้า’ แห่งความสุขได้อย่างแท้จริง ดังคำที่แสงสว่างบอกไว้ว่า “เราอยู่ใกล้ความสุขไปทุกขณะ”


ความสุขภายในเป็นสิ่งที่สามารถพบได้ในทุกอณูแห่งชีวิต เวลาใดที่ตั้งใจจะหาความสุข เมื่อนั้นเราจะไม่พบความสุข แต่เมื่อใดที่เราใช้ชีวิตอย่างตระหนักในความสุข เมื่อนั้นความสุขก็จะอบอวลอยู่รอบกาย มนุษย์เราล้วนใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งสัญลักษณ์ สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าเราจะทำอย่างไรกับ ‘นกสีฟ้า’ ที่พบเห็นตามรายทางของชีวิต หาคำตอบได้ในวรรณกรรมเยาวชนเรื่อง นกสีฟ้า แล้วคุณจะรู้ว่าความลับของชีวิตที่เปี่ยมด้วยความสุขนั้น อยู่ใกล้แค่เอื้อม...




นิชา

ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน (The Alchemist)


ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน (The Alchemist)
ผู้แปล : ชัยวัฒน์ สถาอานันท์
ครั้งที่พิมพ์ : พิมพ์ครั้งที่ ๒
สำนักพิมพ์ : โครงการจัดพิมพ์คบไฟ
จำนวนหน้า : ๑๖๐ หน้า
ราคา : ๑๑๐

“ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน” เป็นหนังสือสัญชาติสเปน ถูกแต่งขึ้นเมื่อ ๒๐ กว่าปีก่อน โดยนักเขียนชาวบราซิล ผู้ซึ่งเคยถูกกล่าวหาว่าเป็นคนบ้า เปลโล โคเอลโย เรื่องราวชีวิตของนักเขียนคนนี้ล้วนเต็มไปด้วยความหลากหลายที่ทำให้แนวความคิดของเขานั้นถูกผสมผสานจนก่อให้เกิดการหล่อหลอมกลายเป็นผลงานที่มีคุณภาพและเปี่ยมล้นไปด้วยคุณค่า เรื่องราวที่โคเอลโย นำเสนอผ่านงานเขียนของเขาในแต่ละเล่มนั้น มักข้ามสู่มิติที่นักเขียนทั่วไปแทบไม่เคยพูดถึง ทุกครั้งที่ได้อ่านงานเขียนของเขาเปรียบเสมือนเป็นการเสพอารมณ์ศักดิ์สิทธิ์ประหลาด จนทำให้นึกชอบและคิดว่านักเขียนผู้นี้แท้จริงเขาไม่ใช่นักเขียน แต่เขาน่าจะเป็น “ครูทางจิตวิญญาณ” ที่แฝงมาในรูปแบบนักเขียนมากกว่า

“ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน” ถูกนำเข้ามาในประเทศไทยโดยโครงการคบไฟ ซึ่งเป็นโครงการที่จัดขึ้นเพื่อพิมพ์เผยแพร่หนังสือวิชาการทั้งในและนอกประเทศ รวมทั้งวรรณกรรมชั้นดีจากต่างประเทศอีกด้วย หนังสือเล่มนี้แปลโดย ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ผู้ที่มีตำแหน่งกรรมการและคณะทำงานคนสำคัญของโครงการคบไฟ มีผลงานการเขียนบทความและงานทางวิชาการมากมาย อีกทั้งยังได้รับรางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติสาขารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ ความสามารถและเกียริติคุณของผู้แปลคนนี้น่าจะเป็นเครื่องการันตีถึงคุณภาพการคัดเลือกงานมาแปลได้เป็นอย่างดี จึงไม่น่าสงสัยถ้าหากหนังสือเล่มนี้จะเป็นเล่มที่น่าอ่านให้ชีวิตของคุณได้ลองฟังดูสักครั้ง

“ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน” เป็นเรื่องราวการเดินทางออกค้นหาขุมทรัพย์ของเด็กหนุ่มผู้มีชื่อว่า ซานติเอโก เด็กหนุ่มผู้นี้รักการอ่านและการเดินทางเพื่อแสวงหาสิ่งใหม่ ๆ ให้กับชีวิต ด้วยเหตุผลนี้เขาจึงทำอาชีพเลี้ยงแกะ แต่แล้วก็ได้เกิดปมปัญหาให้กับชีวิตของเขา เมื่อเด็กหนุ่มเกิดมีความฝันประหลาดติดต่อกันถึงสองครั้ง เขาเป็นกังวลกับภาพความฝันที่เขาได้พบ เขาจึงได้นำความฝันไปให้หญิงแก่ผู้ทำอาชีพทำนายฝันแปล เธอบอกกับเขาว่าเขามีขุมทรัพย์อยู่ที่ปิรามิด และเขาก็ควรออกไปค้นหาขุมทรัพย์ของเขา เด็กหนุ่มเป็นกังวล เพราะเขารู้ว่าการเดินทางไปปิรามิดนั้นมันแสนยากลำบาก จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้พบกับราชาผู้ซึ่งปลอมตัวเป็นชายชรามาพบกับเขา เพื่อมอบความเชื่อมั่นและทำให้เขากล้าที่จะออกเดินทางไปค้นหาขุมทรัพย์

ในการเดินทางเพื่อไปให้ถึงปิรามิดของเด็กหนุ่มนั้นล้วนเต็มไปด้วยอุปสรรคและการทดสอบมากมาย แต่ด้วยความเชื่อมั่นที่เขาได้รับมาจากชายชราผู้นั้น ได้ทำให้เขายังคงมั่นคงต่อการเดินไปให้ถึงปลายฝัน และระหว่างการเดินทางเด็กหนุ่มได้หัดเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิตและไม่ลืมที่จะหันกลับไปเรียนรู้กับสิ่งเก่า ๆ ที่เคยผ่านพบมาเช่นกัน แต่แล้วเขาก็ต้องสะดุดเมื่อเขาได้พบกับฟาตีมา หญิงสาวผู้มีนัยน์ตาคมสีดำ ณ ดินแดนกลางทะเลทรายระหว่างทางที่จะไปยังปิรามิด เขาคิดว่าเธอคือขุมทรัพย์อันเลอค่าของเขา แต่เธอก็ยังไม่ใช่ขุมทรัพย์ที่เขาออกค้นหามาตั้งแต่แรก เขาจึงต้องยอมข่มใจทิ้งขุมทรัพย์นี้ไว้ และออกเดินทางค้นหาขุมทรัพย์ที่แท้จริงต่อไป

การเดินทางของเขาในช่วงปลายทางนี้ เขาได้พบกับนักแปรธาตุผู้ที่ช่วยให้เขารู้จักฟังหัวใจตัวเอง รู้จักนำทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเขามาผันแปรเปลี่ยนเป็นพลังให้เขามีแรงในการเดินทางต่อไป แม้ว่าจะต้องเจอกับอุปสรรคที่ยากเข็ญสักเพียงใดก็ตาม และแล้วเขาก็สามารถเดินทางไปจนถึงสุดปลายทางของความฝันและค้นพบขุมทรัพย์ของเขาได้สำเร็จ

ขุมทรัพย์ของเขามีอยู่จริง มีอยู่ ณ ที่ที่เขาเคยเห็นในความฝัน สุดท้าย เขาได้ครอบครองขุมทรัพย์ของเขาและเขาก็กำลังจะกลับไปหาขุมทรัพย์อันเลอค่าของเขาที่เขาได้จากมา

การบรรยายเหตุการณ์และเรื่องราวต่าง ๆ ภายในเรื่องที่เด็กหนุ่มต้องเผชิญ ล้วนเป็นสิ่งที่ตรงกับหลักการ “การเรียนรู้ ที่จะเข้าใจชีวิตอย่างไม่มีเงื่อนไข” ซึ่งเป็นการการฟังเสียงภายในของตนเองว่าต้องการอะไร เราก็จะค่อย ๆ เรียนรู้และค้นพบว่าเราสามารถที่จะไว้ใจเสียงที่ได้ยินเหล่านั้นได้ หลักการความคิดเช่นนี้ตรงกับเรื่องของ “ญาณทัศนะ” ซึ่งเป็นการฝึกการใช้สมองชั้นที่สี่ และถือได้ว่ากระบวนการเรียนรู้นี้เป็น “วิธีการสร้างคน” ที่เริ่มจากการสร้างความมั่นคงภายในก่อน

จากการสังเกตการออกเดินทางค้นหาขุมทรัพย์ของตัวละครเอกของเรื่องในทุก ๆ ครั้งจะมีคนคอยคุ้มครองและให้คำแนะนำให้เขาก้าวไปได้ในทิศทางที่ควรจะเป็นไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเป็นการเรียนรู้ ส่วนความไม่พอเหมาะหรือขัดสนบางประการนั้นไม่ใช่ความผิดพลาด หากแต่เป็นสัญญาณหรือลางที่บอกอะไรบางอย่างให้กับชีวิต ตัวเอกของเรื่องจึงสามารถเดินทางไปจนถึงปลายทางแห่งความฝันและได้ค้นพบกับขุมทรัพย์ของตนเองได้สำเร็จ

“ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน” หากมองลงไปให้ลึกและเข้าใจในความเป็นมาและเป็นไปของตัวละครแต่ละตัว เราสามารถรับรู้ได้ว่าแท้จริงแล้วเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ล้วนเป็นเรื่องราวที่มีเค้าความเป็นจริงในชีวิตและตัวตนของผู้เขียนเอง เพราะผู้เขียนก็เคยฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อไปให้ถึงความฝันด้วยพลังอันกล้าแกร่งภายในจิตใจ และเรื่องราวและเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่สอดแทรกอยู่ตลอดทั้งเรื่องนั้น ก็ล้วนเป็นความจริงของสิ่งที่มีและเป็นอยู่ในชีวิตของมนุษย์ทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์ผู้ที่มีความฝัน แต่มนุษย์ทุกคนต่างก็มีแนวทางและจุดจบของความฝันที่แตกต่างกัน และที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะจิตใจของแต่ละคนที่มีต่อความฝันนั่นเอง

การเล่าเรื่องเป็นไปในรูปแบบที่เรียบง่าย แต่ในความเรียบง่ายนั้นได้แฝงข้อคิดและความเป็นจริงอยู่อย่างแยบยลโดยตลอด เรียกว่าอ่านแล้วทำให้เราได้มานั่งคุยอยู่กับความคิดและหัวใจของตัวเอง อีกทั้งยังทำให้เราเข้าใจผู้อื่นที่มีความฝันเช่นเดียวกันกับเราแต่ใช่ว่าจะดำเนินตามวิถีเช่นเดียวกับเราเสมอไป

หนังสือเล่มนี้จึงเป็นหนังสือที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับทุกคนที่มีความฝัน แต่ยังคงไปไม่ถึงฝัน หนังสือเล่มนี้ก็จะบอกกับคุณว่าคุณควรวางตัวอย่างไร และหนังสือเล่มนี้ยังเหมาะอย่างมากสำหรับผู้ที่เคยละทิ้งความฝัน เพราะหนังสือเล่มนี้จะทำให้คุณมีพลังในการกลับมาเดินทางออกตามหาความฝันอีกครั้ง นอกจากนี้ผู้ที่เคยพบปลายทางของความฝันแล้ว หากได้อ่านหนังสือเล่มนี้คุณจะรู้สึกภาคภูมิใจและรู้คุณค่ากับขุมทรัพย์ที่ได้มาอย่างแน่นอน

“จงศรัทธาและไว้ใจในตัวเอง...แล้วคุณจะไม่ต้องเกรงหากพบอุปสรรคและไม่ต้องกลัวว่าจะไปไม่ถึงปลายฝัน”

ฮานาน

ปลูกฝันไว้ในแผ่นดิน


ปลูกฝันไว้ในแผ่นดิน
ลูเซีย บาเกดาโน่ เขียน
รัศมี กฤษณมิษ แปล
พิมพ์ครั้งที่ 6 2548
สำนักพิมพ์ฟ้าอภัย
167 หน้า ภาพประกอบ
80 บาท

“ผู้คนมากมายในโลกนี้ เลือกประกอบอาชีพแตกต่างกันออกไป บางคนเลือกเพราะเงินเป็นแรงจูงใจ บางคนเลือกเพราะอยากได้ชื่อเสียงเกียรติยศ ในขณะที่บางคนเลือกเพราะความพอใจ แต่จะมีการเลือกใดที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าการเลือกที่จะรักชีวิตทุกชีวิต จะมีความคิดใดที่งดงามไปกว่าความฝัน จะมีการกระทำใดที่น่ายกย่องไปกว่าการให้และการแบ่งปัน จะมีก็แต่ผู้ที่เคยให้และเคยแบ่งปันเท่านั้น ที่มีโอกาสลิ้มรสความสุขอันประณีตอย่างแท้จริง” เพียงแค่ได้อ่านบันทึกผู้แปลฉันก็ตัดสินใจซื้อ ปลูกฝันไว้ในแผ่นดิน มาครอบครองทันที

หลายคนแนะนำให้ฉันอ่านหนังสือเล่มนี้ เพราะเป็นหนังสือที่สมาพันธ์องค์กรเพื่อพัฒนาหนังสือและการอ่านคัดสรรให้เป็นหนังสือดีสำหรับเด็กและเยาวชน อีกทั้งผลกำไรที่ได้จากการขายหนังสือนำไปช่วยเหลือเด็กยากจนในชนบท

ในเล่มเป็นเรื่องราวของ“มูริเอล” สาวสเปนชาวเมืองวัย 21 ปี เพิ่งสำเร็จวิชาการศึกษา สอบได้คะแนนยอดเยี่ยม เปี่ยมล้นด้วยพลังใจและมุ่งมั่นจะเป็นครูที่ดี แต่กลับได้รับคำสั่งบรรจุให้เป็นครู ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ ท่ามกลางขุนเขาอันไกลลิบนามว่า “เบอิเรเชอา” หมู่บ้านที่ไม่ปรากฏในสารานุกรม เธอเดินทางไปหมู่บ้านกันดารด้วยรถเก่าปุเลง ๆ อำลาชีวิตสุขสบายแบบเด็กในเมืองเพื่อมาเป็นครูบ้านนอก ครั้งแรกที่เธอเห็นโรงเรียน เธอถึงกับ “อยากจะกรีดร้องให้สมใจอยาก” เพราะสภาพโรงเรียนเหมือนกับ “เล้าไก่พัง ๆ” ซ้ำร้ายผู้คนในหมู่บ้านที่มีธรรมชาติสวยงาม กลับแข็งกระด้าง แล้งน้ำใจไร้การศึกษา ช่างเป็นความจริงที่สวนทางกับความฝันอันงดงามอย่างสิ้นเชิง

มูริเอลพบว่าเด็ก และผู้ปกครองไม่เห็นความสำคัญของการเรียนเพราะ “หนูไม่เห็นว่าจำเป็นต้องเรียนเรื่องภาคประธานกับภาคแสดงของประโยคเพื่อจะไปรีดนมวัว” เธอจึงพยายามทำให้เด็กอ่านหนังสือให้ได้ และคิดเสมอว่า “ไม่ว่าจะทำอะไร หากรู้หนังสือ ก็จะทำได้ดีกว่าเสมอ” มูริเอลไม่ยอมแพ้ เธอพยายามเอาชนะอุปสรรค ความท้อแท้สิ้นหวังด้วยวิธีการของเธอเอง จนสามารถค้นพบภารกิจแท้จริงของเธอเอง ทั้งยังได้เรียนรู้ว่าชาวเบอิเรเชอาควรค่าแก่การนับถือ อคติที่มีต่อชาวบ้านในตอนแรกนั้นก็หายไปพร้อมกับการปฏิเสธโรงเรียนที่อยู่ในระดับดีกว่าและตัดสินใจสอนต่อที่นี่ โรงเรียนที่ทั้งเก่าและโทรม ทว่าเต็มไปด้วย
เด็ก ๆ ที่เธอทุ่มเทพลังและความรักให้ และฆาเบียร์ ชายหนุ่มที่ดูเสมือนว่าเป็นคนถือดี แปลกประหลาดที่สุดในหมู่บ้าน กลับกลายเป็นคนสุภาพอ่อนโยน อีกทั้งยังได้ช่วยแต่งเติมความฝันและชีวิตของเธอให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

ปลูกฝันไว้ในแผ่นดิน อ่านแล้วเข้าใจได้ทันที เป็นเรื่องสามัญแต่มีเสน่ห์ชวนติดตามจนวางไม่ลง รู้ตัวอีกทีก็ถึงบรรทัดสุดท้ายเสียแล้ว เพราะถ้อยคำและภาษาที่ผู้แปลสรรมาใช้ในการบรรยายและพรรณนาเรื่องราวนั้นทำให้เพลิดเพลินและรู้สึกอิ่มเอมใจไปกับตัวละคร

ฉันว่าหนังสือเล่มนี้เหมาะกับคนหนุ่มสาว หรือผู้ที่ยังกรุ่นไฟฝันและผู้ที่ต้องการเติมพลังความฝันให้กับตัวเองมากทีเดียว เพื่อร่วมกันเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมไปในทางที่ถูกที่ควร หนังสือเล่มนี้จะช่วยเติมเต็มและย้ำเตือนบางอย่างที่เรากำลังหลงลืมไป อย่าลืมว่าเก่งอย่างเดียวไม่เกิดประโยชน์ เก่งแล้วต้องเข้าใจผู้อื่นด้วยอย่างที่ “มูริเอล” เรียนรู้จากชาวบ้านและบาทหลวง เพราะไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แต่ละคนต่างมีข้อดีและข้อเสียอยู่ในตัว เมื่อความ “เข้าใจ” ควบคู่ไปกับ “ไฟฝัน” ไม่ว่าสิ่งใดก็สำเร็จได้ดังใจหมาย


ฉันวางหนังสือลงพร้อมกับความคิดที่วาบขึ้นมา ว่าต้องลงมือทำตามความฝันหรือทำอะไรสักอย่างที่เป็นประโยชน์แก่สังคมอย่าง “มูริเอล”บ้างเสียแล้ว...เลิกนอนหนุนฝันแล้วลงมือปลูกฝันกันเถอะ


เอื้อบุญ

กว่าจะเป็นกบ


กว่าจะเป็นกบ
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล
ปีที่พิมพ์ พ.ศ.2548
สำนักพิมพ์พิมพ์บูรพา
222 หน้า
170 บาท



กว่าจะเป็นกบ(นอกกะลา) หนังสือที่บอกเล่าวิถีของรายการกบนอกกะลาตั้งแต่จุดเริ่มต้น ก่อนที่จะถือกำเนิดมาเป็นรายการโทรทัศน์ที่ได้รับความนิยมเช่นปัจจุบัน ผ่านปลายปากกาของคนเบื้องหลังอย่าง กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล ผู้เปี่ยมไปด้วยความคิดอันสร้างสรรค์ที่สรรค์สร้างถ้อยคำมาเรียงร้อยเรื่องราวได้อย่างน่าสนใจ กลายเป็นหนังสือสารคดีที่ให้ความบันเทิงได้เฉกเช่นรายการกบนอกกะลา รายการที่สามารถลบล้างความคิดที่ว่า “รายการสารคดีไม่มีคนดู” ได้อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง

“ความรู้ที่แท้จริงไม่ได้มาจากการท่องจำ แต่ความรู้และปัญญาที่แท้จริงมาจากการเชื่อมโยงความรู้กับชีวิต และเชื่อมโยงชีวิตเข้ากับโลก” คำโปรยหนังสือบนปกหลังที่คัดลอกมาจากตอนหนึ่งในหนังสือถือเป็นข้อความที่น่าสนใจ สามารถสะท้อนแนวความคิดของผู้เขียนที่ต้องการแนะแนวทางให้ผู้อ่านได้รับความรู้ที่แท้จริงจากสิ่งที่ผู้เขียนเองได้ถ่ายทอดลงในหนังสือเล่มนี้ หนังสือที่เต็มไปด้วยแง่คิด รวมไปถึงประสบการณ์จริง แต่ก็ยังไม่ละทิ้งสาระและความสนุกสนาน ที่อ่านจบได้โดยไม่รู้ตัว

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่กบตัวนี้ยังไม่ได้ก่อตัวเป็นรูปธรรม ยังคงเป็นเพียงความเชื่อของกบ โดยผู้เขียนได้เปิดเรื่องโดยการยกนิทานที่นักอ่านหนังสือทุกคนคงจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี คือ เรื่องกบผู้ไม่เคยยอมแพ้ เรื่องของกบ 2 ตัวตกลงไปในถังครีม ต่างดิ้นรนเอาชีวิตรอด ตัวหนึ่งยอมแพ้ต่อโชคชะตา แต่อีกตัวดิ้นรนไม่หยุดหย่อน ว่ายอยู่ในถังครีมด้วยความเชื่ออยู่นาน จนพบว่ามันได้มายืนอยู่บนเนยที่ทำขึ้นมาเองอย่างไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งนั่นทำให้มันกระโดดออกจากถังและมีชีวิตรอดอย่างน่ามหัศจรรย์ ความเชื่อนี้เองที่ทำให้กบตัวหนึ่งได้ถือกำเนิดขึ้นจากแรงบันดาลใจและได้เจาะกำแพงความเชื่อเดิมๆ กบตัวนี้ก็คือ รายการกบนอกกะลา

ผู้เขียนได้เรียงลำดับพัฒนาการของรายการกบนอกกะลาโดยการใช้สัญลักษณ์แทนความเปลี่ยนแปลงที่รายการนี้ค่อยๆก้าวขึ้นไปทีละขั้น โดยการแทนรายการกบนอกกะลาเป็นเหมือนกบตัวหนึ่งที่นับวันก็ยิ่งเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ดังจะเห็นได้จากชื่อของแต่ละบททั้ง 17 บท ตั้งแต่บทแรกที่รายการยังไม่เกิดขึ้นยังคงเป็นเพียงแค่ความคิด ผู้เขียนก็ใช้ชื่อบทว่า ความเชื่อของกบ จากนั้นก็กลายเป็นไข่กบ และฟักตัว เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนโตเต็มวัย กลายไปเป็นกบย่าง และจบด้วยการฝากข้อคิดในบทสุดท้ายคือ แด่...กบตัวอื่นๆ จะเห็นได้ว่าเพียงชื่อบทผู้เขียนก็แสดงออกถึงความคิดอันสร้างสรรค์ได้อย่างน่าสนใจ และที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือการแทรกวิธีการคิดและวิธีการทำงาน กว่าจะมาเป็นรายการกบนอกกะลาไว้ในทุกบท จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วจะได้แนวทางในการทำงานให้ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับการทำรายการกบนอกกะลาอย่างน้อย 17 ประการ

เหตุผลอีกประการหนึ่งที่ทำให้หนังสือเล่มนี้น่าสนใจนั่นก็เป็นเพราะ ผู้เขียนได้ค่อยๆอธิบายไปทีละขั้น บอกเล่าเส้นทางของรายการกบนอกกะลาตั้งแต่เริ่มต้น ไปเรื่อยๆตามลำดับเวลากระทั่งปัจจุบัน ทำให้อ่านง่ายและน่าติดตาม โดยเริ่มเล่าความเป็นไปตั้งแต่การเกิดขึ้นของรายการกบนอกกะลาที่เกิดขึ้นจากกระแสความสำเร็จของรายการคนค้นคน เป็นการเปิดเส้นทางสายใหม่ภายใต้คำจำกัดความที่ว่า “ความรู้จะไม่ใช่สิ่งที่น่าเบื่ออีกต่อไป” ส่วนหนึ่งที่ทำให้รายการกบนอกกะลาแตกต่างจากรายการสารคดีอื่นๆนั่นก็เพราะผู้สร้างได้ลงไปสัมผัสกับข้อมูลต่างๆด้วยตัวเอง ไม่ได้ใช้เอกสารหรือสื่อต่างๆเป็นตัวกลาง ประกอบกับการถ่ายทอดที่เข้าใจได้ง่ายดังคำกล่าวของผู้เขียนที่ว่า “การตัดต่อของกบนอกกะลาจะไม่สลับซับซ้อนเท่าไหร่ มันจะเหมือนโบกี้รถไฟเป็นตู้ๆต่อไปเรื่อยๆ แต่ละตู้ก็เป็นแต่ละประเด็นของมัน มีการเชื่อมโยงขยับไปทีละประเด็น” นี่เองเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รายการกบนอกกะลาน่าสนใจ แต่เข้าถึงผู้ชมได้ง่าย เพราะการนำเสนอที่เป็นไปอย่างมีขั้นตอนนี่เอง

คำพูดหนึ่งที่ผู้เขียนได้ยกมาใช้ในตอนต้นเรื่องและในตอนท้ายที่ว่า “เนื้องานพิสูจน์เนื้อแท้ของคน” ถือเป็นอีกหนึ่งแง่คิด ทำให้ผู้อ่านได้ตระหนักถึงความเป็นไปของสังคมในปัจจุบันที่มุมมองการมองโลกของคนได้เปลี่ยนไป การมองเพียงแค่ภายนอกก็สามารถตัดสินเนื้อแท้ของคนได้โดยที่ยังไม่ได้เห็นเนื้องาน เช่นเดียวกัน หนังสือ กว่าจะเป็นกบ เล่มนี้ก็มีมุมมองที่น่าสนใจให้ค้นหา และมีข้อคิดดีๆที่มีประโยชน์ให้นำไปใช้ รวมไปถึงสาระดีๆที่รอคอยให้ผู้อ่านได้ค้นหา อย่างเพิ่งตัดสินเพียงรูปเล่มภายนอกเพราะยังมีแก่นและความรู้ที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยสายตาได้อย่างชัดเจ แต่จะมองเห็นได้อย่างแจ่มแจ้งเมื่อเปิดใจอ่าน

รายการกบนอกกะลาเกิดขึ้นได้ด้วยความกล้าที่จะเจาะกำแพงความเชื่อแบบเดิมไปสู่ความเชื่อที่แตกต่าง กว่าจะเป็นกบ หนังสือเล่มเล็กๆเล่มนี้ก็เกิดขึ้นได้ด้วยความกล้าที่จะนำเสนอสาระความรู้ที่หลายคนมองเป็นเรื่องน่าเบื่อได้อย่างน่าสนใจและน่าติดตาม ภายใต้ความเชื่อที่ซ้ำซากในสังคมที่ยังคงยืนย่ำอยู่บนจุดเดิม หลายคนคงไม่ทันคิดว่า จริงๆแล้วสังคมอาจกำลังต้องการสิ่งใหม่ๆ เพียงแต่ผู้คนยังคงลังเลและไม่กล้าเปิดประตูความเชื่อนั้น หากประตูยังคงปิด ทุกอย่างก็จะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง หากประตูถูกเปิดออก สิ่งที่รออยู่ก็คือความท้าทายให้ค้นพบสิ่งที่ดีกว่า การหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านจึงเป็นเหมือนก้าวแรกแห่งการเปิดรับแนวคิดใหม่ แล้วคุณกล้าที่จะเปิดประตูความเชื่อนั้นแล้วหรือยัง?
เอกพันธุ์

เรื่องลับที่ดราก้อน คาเฟ่


เรื่องลับที่ดราก้อน คาเฟ่
จูดี้ ฟอง เบทส เขียน
คำเมือง แปล
ปีที่พิมพ์ ๒๕๕๐
สำนักพิมพ์สันสกฤต
๒๗๕ หน้า
๒๒๕ บาท

เรื่องลับที่ดราก้อน คาเฟ่ หรือ midnight at the Dragon Café เป็นผลงานของจูดี้ ฟอง เบทส ผู้ซึ่งย้ายมาจากประเทศจีนมายังแคนาดาตั้งยังเป็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ แถบออนแทรีโอหลายเมือ ผลงานของเธอได้นำไปออกอากาศใน CBC Radio และตีพิมพ์ในวารสารด้านการประพันธ์รวมกับผลงานของนักเขียนคนอื่น ๆ หลายครั้ง ดังนั้นผู้เขียนจึงใช้ถ้อยคำสำนวน และสามารถบรรยายสภาพครอบครัวชาวจีนได้เป็นอย่างดี

เรื่องลับที่ดราก้อน คาเฟ่ ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของเด็กหญิงชาวจีนที่ได้อพยพมายังแคนาดาในค.ศ. ๑๙๗๖ ชื่อ ซูเจิ้น เธอมายังแคนาดาพร้อมกับแม่ของเธอเพื่อมาหาพ่อ และเพื่อชีวิตที่ดีกว่าในประเทศที่ไม่มีคอมมิวนิสต์ ซูเจิ้นและแม่ต้องปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมใหม่ ๆของพวก โหลฟาน หรือ ฝรั่งในคำเรียกของชาวจีน ในขณะที่เธอต้องเป็นซูเจิ้นของครอบครัวเมื่ออยู่ที่บ้าน และเธอจะต้องเป็นแอนนี่เมื่ออยู่ข้างนอก เธอต้องปรับตัวให้เข้ากับสองวัฒนธรรม คือวัฒนธรรมตะวันออกและวัฒนธรรมตะวันตก ในขณะที่แม่ของเธอไม่สามารถรับหรือแม้แต่ปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมตะวันตกได้เลย ซูเจิ้นต้องรับรู้ถึงความขมขื่นและความอดทนอดกลั้นของทั้งพ่อและแม่ สิ่งที่แม่พร่ำบอกเธอมาตลอดคือ แม่มาที่นี่เพื่อเธอ ชีวิตของแม่สิ้นสุดลงนับจากวินาทีที่ก้าวลงจากเครื่องบิน

ซูเจิ้นมีเพื่อนที่สนิทที่สุดชื่อ ชาร์ล็อต่พร่ำบอกเธอมามขื่นและอดกลั้นของทั้งพ่อและแม่ สิ่ไม่สามารถรับหรือแม้แต่ปรับตต์ สำหรับซูเจิ้นแล้วเธอเป็นคนที่กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว เชื่อมั่นในตัวเอง และฉลาด ซูเจิ้นและชาร์ล็อตต์มักจะอยู่ด้วยกันแทบทุกที่ ในขณะที่ซูเจิ้นมีความสุขที่เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ รอบด้าน หุ้นส่วนของพ่อเธอก็ตัดสินใจขายหุ้นให้กับพี่ชายคนละแม่ของเธอที่ชื่อ หลี่กัง เมื่อเขาก้าวเข้ามาในบ้าน แม่ของเธอก็ดูมีความสุขขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ความสัมพันธ์ของพ่อและแม่เธอได้แย่ลงเรื่อย ๆ และในไม่ช้าเธอก็ได้รู้ความลับของครอบครัวที่หนักอึ้งและไม่อาจจะเอ่ยปากบอกใครได้ ทั้งชาร์ล็อตต์ พ่อของเธอ หรือแม้แต่แม่ของเธอ ว่าเธอรู้ว่าแม่ของเธอกับพี่ชายได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน

ซูเจิ้นต้องรู้จักสุภาษิตจีนที่ว่า เหง่ฮั่ย คือ การเก็บกดความคิดด้านไม่ดีเอาไว้ และ เฮ็กฝู่ คือ การกล้ำกลืนความขมขื่นไว้ ด้วยวัยเพียงสิบกว่าขวบซูเจิ้นต้องแบกรับทุกอย่างเอาไว้ เธอรักแม่และพี่ชาย แม้จะรังเกียจในการกระทำของพวกเขา เธอรู้สึกสงสารพ่อของเธอ และรับรู้ว่าพ่อของเธอก็ต้องรับผิดชอบ และอดทนกล้ำกลืนความขมขื่นไว้มากเพียงไร สถานการณ์ยิ่งบีบคั้นเมื่อแม่เธอตั้งครรภ์ขึ้นมาทั้ง ๆ ที่พ่อของเธอแก่มากแล้ว

เหตุการณ์มาถึงจุดพลิกผันเมื่อชาร์ล็อตต์เพื่อนรักของเธอได้ตกลงไปในสระน้ำแข็งและเสียชีวิตลง ความอดทนอดกลั้นของเธอมาถึงขีดสุดและเธอก็ระเบิดมันออกมา สิ่งที่ไม่มีใครพูดออกมา สิ่งที่ทุกคนจะต้องเหง่ฮั่ย และ เฮ็กฝู่ ทำให้ทั้งแม่และพี่ชายของเธอรู้ว่าเรื่องที่เป็นความลับที่สุดไม่ได้เป็นความลับอีกต่อไป ความสัมพันธ์ในครอบครัวชาวตะวันออกอย่างชาวจีนที่แสนจะเคร่งครัดจะดำเนินต่อไปอย่างไร กับความรู้สึกกระอักกระอ่วนนี้

หนังสือเล่มนี้ได้ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ต้องดำเนินชีวิตผ่านสองวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ต้องแบกรับเรื่องราวที่หนักอึ้งมากกว่าตัวเธอ ทำให้ชีวิตในวัยเด็กที่ควรจะสดใสมีรอยเปื้อนแต้มไว้ทำให้ซูเจิ้นต่างจากเด็กที่เติบโตในสังคมตะวันตกทั่ว ๆ ไป ผู้เขียนได้ถ่ายทอดวิถีชีวิตและคติสังคมของคนจีนแม้จะอยู่ในสังคมตะวันตกอย่างลึกซึ้ง ได้สะท้อนถึงวัฒนธรรมของจีนที่ต้องสั่งสอนให้ผู้หญิงรู้จักอดทนอดกลั้น และเก็บความขมขื่นไว้ สอนให้รู้จักความสำคัญของครอบครัว รวมถึงความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวอีกด้วย ในเรื่องนี้ยังบ่งบอกถึงค่านิยมของและวิถีของชาวบ้านของสังคมจีนในยุคหนึ่ง ที่ทำให้ผู้หญิงต้องรู้จักเหง่ฮั่ย และ เฮ็กฝู่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นมา เพราะมิฉะนั้นแล้วหญิงที่ตั้งครรภ์ในขณะที่สามีไม่อยู่อาจต้องฆ่าตัวตายเพราะไม่สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้ตามปกติที่ต้องถูกนินทา

นอกจากนี้จูดี้ ฟอง เบทสได้จงใจสื่อสารถึงผู้ปกครองที่ควรตระหนักถึงบุตรหลานให้มาก เด็กเปรียบเสมือนผ้าขาวที่เราจะแต่งเติมสีอะไรลงไปในผ้าก็ย่อมได้ บางครั้งหากขาดความระมัดระวังสีที่เราไม่ได้ตั้งใจแต้มลงไปอาจเปื้อนติดผ้าจนยากจะแก้ไข หากเป็นเด็กที่พอมีวุฒิภาวะเพียงพออาจจะเข้าใจโดยง่ายและสามารถรับกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างเข้าใจ แต่ถ้าเด็กไม่สามารถรับได้ก็อาจเกิดเป็นปมขึ้นมาทำให้ติดตัวเด็กไปจนโตก็เป็นได้

แม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่ดำเนินเรื่องแบบเรียบ ๆ ไม่หวือหวาแต่ตลอดทั้งเรื่องเราต่างก็เอาใจช่วยและลุ้นระทึกไปกับซูเจิ้นว่าจะทำอย่างไรกับความลับที่รู้มาโดยบังเอิญ พร้อมทั้งสิ่งที่ผู้เขียนพยายามถ่ายทอดเสี้ยวหนึ่งของความจริงที่ถูกละเลยไปของผู้หญิง เรื่องราวของการฝ่าฝืนขนบธรรมเนียมประเพณีอย่างร้ายแรง เมื่อแม่เลี้ยงที่สามียังคงนอนอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน และอีกฝ่ายหนึ่งคือลูกเลี้ยงที่พ่อ สามีของผู้หญิงที่เขามีความสัมพันธ์ด้วยนั้นยังคงเห็นหน้ากันอยู่ทุกวัน นอนอยู่ห้องข้าง ๆ โดยมีเพียงฝากั้น ความสัมพันธ์นี้จะยอมรับได้มากน้อยเพียงใดและยิ่งเมื่อคนคู่นั้นเกิดมีลูกด้วยกัน โดยถ่ายทอดผ่านตัวละครเด็กผู้หญิงผู้เป็นลูกของผู้หญิงคนนั้น และน้องสาวของผู้ชาย ปมที่ยุ่งยากนี้จะได้รับการคลี่คลายได้อย่างไร คงต้องพิสูจน์และร่วมเอาใจช่วยซูเจิ้นให้ผ่านเรื่องราวต่างๆ ไปได้ด้วยดี


อรรถอรองค์

ครอบครัวอบอุ่น


ครอบครัวอบอุ่น
ส.ผ่องสวัสดิ์
พิมพ์ครั้งที่ 2
สำนักพิมพ์ดวงกมล
373 หน้า ภาพประกอบ
179 บาท


ความรัก ... กำลังสร้างบ้าน
ความผูกพัน ... กำลังสร้างความอบอุ่น
ความสุข ... จะอบอวนในครอบครัวของคุณตลอด 24 ชั่วโมง
หนังสือเล่มนี้บอกเล่าเรื่องราวดีๆที่คุณอาจไม่เคยทราบมาก่อน
(บทความตอนหนึ่งในคำนำของผู้เขียน)

หนังสือครอบครัวอบอุ่น เป็นผลงานร่วมกันของชมรมนักคิด นักเขียนเพื่อสันติภาพโลกและมูลนิธิพัฒนาเยาวชนต้นแบบศีลธรรม โดยมีคุณ ส. ผ่องสวัสดิ์ เป็นผู้เขียนและเรียบเรียง ได้ใช้ความมานะพยายามในการรวบรวมความรู้สำคัญเกี่ยวกับการแก้ไข พัฒนาและปลูกฝัง เจตคติ ค่านิยม และหลักคุณธรรมเพื่อพัฒนาครอบครัวให้อบอุ่นและเป็นสุขในช่วงเวลาต่างๆของชีวิตครอบครัว

หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับทุกๆคนที่รักครอบครัว เนื้อหาในหนังสือกล่าวถึงพัฒนาการของมนุษย์ในแต่ละช่วงวัย ตั้งแต่วัยแรกเกิดจนถึงช่วงบั้นปลายของชีวิตล้วนสอดแทรกด้วยธรรมะและปลูกฝังศีลธรรมในแต่ละช่วงวัยที่สามารถปฏิบัติได้ เนื้อหาของหนังสือเริ่มตั้งแต่การสร้างรากฐานของครอบครัว การเลี้ยงดูบุตรอย่างถูกวิธี การสร้างความสามัคคีในครอบครัว ตลอดจนการเตรียมตัวสู่บั้นปลายชีวิตอย่างมีคุณค่า ชี้แนะแนวทางในการปฏิบัติในทางที่ดีในแต่ละช่วงวัย อีกทั้งยกกรณีศึกษามาประกอบเพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนใจแก่ผู้อ่านตลอดทั้งเรื่อง

หนังสือเล่มนี้เป็นผลงานสร้างสรรค์สังคมที่สำคัญยิ่ง และมีคุณค่าต่อความต้องการของสังคมยุคปัจจุบัน ครอบครัวยุคใหม่ที่กำลังเผชิญปัญหาที่ซับซ้อนกว่าในอดีตมาก แนวทางการแก้ไขพัฒนาได้ใช้หลักธรรมมาเป็นที่ยึดเหนียวปฏิบัติ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ปฏิบัติยากสำหรับครอบครัวปกติทั่วไป นักเขียนจึงได้รวบรวมหลักคำสอน หลักธรรม หลักปฏิบัติหลากหลาย รวมทั้งพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่องคุณธรรม 4 ประการคือ ความซื่อสัตย์ ความข่มใจ ความอดทน และความเสียสละ ล้วนเป็นหลักธรรมในการปฏิบัติตนที่ควรน้อมนำมาปรับใช้ ในการปฏิบัติเพื่อพัฒนาดูแลครอบครัวได้อย่างดี และได้รวบรวมความรู้ ประสบการณ์ แนวทางปฏิบัติสำหรับการสร้างครอบครัวให้อบอุ่นบนหลักพื้นฐาน 3 ประการ คือ

1.ควบคุมกิเลสในตัวไม่ให้แพร่เชื้อร้ายหรือนิสัยไม่ดีออกไปติดต่อคนอื่น

2.นำความรู้ ความสามารถ และความดีที่ตนเองมีอยู่ถ่ายทอดให้ผู้อื่น


3.ซึมซับความดีที่ผู้อื่นมี นำมาฝึกฝน และพัฒนาเพิ่มพูนนิสัยดีๆให้ตัวเอง

แต่อย่างไรก็ตามถึงเนื้อหาจะเน้นหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา แต่ไม่ได้สร้างความน่าเบื่อให้แก่ผู้อ่าน เนื่องจากเนื้อหาอันทันสมัย สอดแทรกข้อคิดคติสอนใจ และมีภาพประกอบ ทำให้เนื้อหาน่าสนใจและน่าติดตามมากขึ้น ภาษาที่ใช้เป็นภาษากะทัดรัด เข้าใจง่ายเหมาะสำหรับทุกช่วงวัย ข้อความที่สำคัญที่สามารถสอนใจผู้อ่านได้ ผู้เขียนจะนำมาเขียนซ้ำ เพิ่มความหนาของตัวอักษรไว้ในกรอบสี่เหลี่ยม เพื่อสร้างจุดสนใจ เป็นจุดเด่นกระตุ้นให้น่าสนใจ ทุกข้อความในหนังสือจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้หลายท่านได้พบแสงสว่างในการสร้างครอบครัวให้อบอุ่น ครองรักได้ยั่งยืน ครองเรือนร่วมกันด้วยความเข้าอกเข้าใจ และสามารถวางรากฐานครอบครัวให้มั่นคงต่อไปได้

วันนี้เราเตรียมพร้อมแค่ไหนกับการดูแลครอบครัวให้ดีที่สุด ทำอย่างไรครอบรากฐานของครอบครัวจึงมั่นคง มีวิธีอย่างไรจะสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นในบ้าน คำสอนใดที่ทำให้รู้จักคุณค่าชีวิตที่ถูกต้อง และจะวางตนอย่างไรให้เป็นที่รักและเคารพ คำถามเหล่านี้คือชีวิตจริงที่ต้องเผชิญต่อไปข้างหน้า แล้วคุณเตรียมพร้อมกับสิ่งเหล่านี้มากน้อยแค่ไหน

หนังสือ ครอบครัวอบอุ่น คือคำตอบที่คุณกำลังต้องการ


สุวีณา

เกาะโลมาสีน้ำเงิน (Island of the Blue Dolphins)


เกาะโลมาสีน้ำเงิน (Island of the Blue Dolphins)
ผู้แปล : วิลาวัณย์ ฤดีศานต์
ปีพิมพ์ : 6 / 2551
สำนักพิมพ์ : มติชน
จำนวนหน้า : 192 หน้า
ราคา : 140 บาท


เมื่อเราเดินเข้าไปในร้านหนังสือ คงคาดเดายากว่าใครจะไปหยุดตรงชั้นหนังสือหมวดใด สำหรับฉัน คนไม่ชอบอ่านหนังสือแต่ชอบทะเล เกิดสะดุดตาหนังสือเล่มหนึ่งเรื่อง เกาะโลมาสีน้ำเงิน ฉันไม่ชอบอ่านหนังสือแต่ทะเลทำให้ฉันอยากอ่านหนังสือเล่มนี้ และเมื่อเปิดอ่านตั้งแต่ต้นจนจบฉันกลับค้นพบหลายสิ่งที่มากกว่าแค่เรื่องราวของทะเลจากหนังสือเล่มนี้


เกาะโลมาสีน้ำเงิน หรือ Island of the Blue Dolphins เป็นวรรณกรรมอิงประวัติศาสตร์ ผลงานการเขียนของสก๊อตต์ โอ เดลล์ และผลงานการแปลจาก วิลาวัณย์ ฤดีศานต์ ได้รับการการันตีมากมายจากหลายรางวัลที่ได้รับกว่า 12 รางวัลรวมถึงได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 10 วรรณกรรมเยาวชนที่ดีที่สุดในรอบ 200 ปีจากสมาคมวรรณกรรมเยาวชนของสหรัฐอเมริกาอีกด้วย

การานา เด็กหญิงคนหนึ่งเคยมีทั้งพ่อ พี่น้อง และเพื่อนบ้าน เคยมีชีวิตปกติร่วมกับผู้คนเช่นเดียวกับมนุษย์ในสังคมอื่นๆ แต่วันหนึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด นักล่าหนังสัตว์ขึ้นมาที่เกาะของเธอ เกิดการต่อสู้และคนในหมู่บ้านของเธอต้องเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมากรวมถึงพ่อของเธอด้วย จากนั้นหัวหน้าหมู่บ้านได้ล่องเรือออกไปตามคนมาอพยพพวกเธอ กระทั่งมีเรือมารับที่เกาะ ทุกคนรีบไปที่เรือจนครบยกเว้นน้องชาย 6 ขวบของเธอที่ย้อนกลับไปเอาหอกแทงปลาในบ้าน เธอบอกให้เรือย้อนกลับไปรับน้องชายของเธอแต่ทุกคนปฏิเสธและบอกว่าจะกลับมารับภายหลัง เธอจึงตัดสินใจกระโดดลงน้ำและว่ายกลับไปที่เกาะ เธอและน้องชายอยู่ด้วยกันบนเกาะได้ไม่ถึงสัปดาห์ น้องชายของเธอก็ถูกหมาป่ากัดตาย นับตั้งแต่นั้นเธอจึงต้องใช้ชีวิตอยู่บนเกาะโลมาสีน้ำเงินเพียงคนเดียวเป็นเวลาถึง 18 ปี กระทั่งมีเรือมาพบเธอ

การานา ทำให้ฉันรู้สึกว่า ฉันควรพอใจกับชีวิตที่ฉันมีอยู่ในตอนนี้ เพราะหากเทียบกับเธอแล้ว ฉันอาจกลายเป็นคนที่โชคดีที่สุดก็ว่าได้ ฉันมีพ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อนๆ และสังคม ฉันมีคนให้คุยด้วย มีคนคอยรับฟัง และมีสังคมให้ฉันได้เป็นส่วนหนึ่งและร่วมดำเนินชีวิตไปด้วยกัน ฉันคิดไม่ออกว่าหากเป็นฉัน ฉันควรจะทำอย่างไรกับชีวิตที่เคยมีครอบครัว แต่วันหนึ่งฉันต้องอยู่คนเดียว ต้องช่วยเหลือตัวเอง สร้างบ้าน หาอาหารเพียงลำพัง แย่ที่สุดคือไม่ได้พูดคุยกับใครเลย

เห็นได้ว่าการใช้ชีวิตของเธอไม่ใช่แค่หาที่หลบฝนและหาอาหารประทังชีวิตไปวันๆเพียงเท่านั้น แต่เธอแสดงให้เห็นถึงการปรับตัว การให้อภัยและยอมรับ เพราะจากเรื่องมีเหตุการณ์ตอนที่เธอพบน้องชายนอนเสียชีวิตอยู่ท่ามกลางฝูงหมาป่าที่ยืนล้อมอยู่ ตั้งแต่นั้นเธอจึงให้สัญญากับตัวเองว่า เธอจะฆ่าหมาป่าให้หมดเพื่อแก้แค้นให้กับน้องชายของเธอ แต่เมื่อเธอสบโอกาสเธอกลับเปลี่ยนใจไม่ทำ และยังอุ้มหมาป่าที่บาดเจ็บตัวนั้นกลับมาที่บ้าน ช่วยทำแผลรวมถึงหาอาหารให้หมาป่าจนแข็งแรงดี และกลายมาเป็นเพื่อนของเธอ เห็นได้ว่าเธอเปิดใจที่จะยอมรับศัตรูที่เธอเรียกในตอนแรกให้กลายมาเป็นมิตร เธอรู้จักให้อภัยและเริ่มต้นปรับตัวกับสิ่งใหม่
โชคชะตาของ การานา นั้นโหดร้ายเป็นที่สุด เธอเองก็เป็นเด็กหญิงที่น่าสงสารสุดใจ แต่เพราะเธอเข้มแข็ง สิ่งตรงหน้าจึงแลดูไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเธอ เห็นได้จากในเรื่องที่เธอยังคงมีชีวิตอยู่ได้ ไม่ได้คิดฆ่าตัวตายตรงกันข้ามเธอรักชีวิตของเธอ ทุกวันที่เธอเดินหาอาหาร และง่วนอยู่กับการเย็บชุดกระโปรงของเธอ เธอหาอะไรทำ และพยายามปรับตัวให้มีความสุขกับสิ่งที่เธอมีอยู่แม้ว่าจะไม่ใช่สิ่งที่เธอปรารถนาและพอใจ

สก๊อตต์ โอ เดลล์เขียนเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี อ่านแล้วฉันรู้สึกได้ถึงภาพบรรยากาศและอารมณ์นึกคิดของตัวละครในทุกฉากเหตุการณ์ เขาเล่าเรื่องได้อย่างประณีตและแฝงแง่คิดไว้มากมาย เช่น “...สิ่งที่มีพลังยิ่งกว่านั้น คือความปรารถนาที่จะได้อยู่ในที่ที่ผู้คนอาศัยอยู่ ความปรารถนาที่จะได้ยินเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะของพวกเขา” ข้อความนี้ทำให้ฉันรู้สึกว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคมอย่างปฏิเสธไม่ได้ แม้บางครั้งเราอาจต้องการอยู่คนเดียว แต่คงไม่มีใครสามารถอยู่ตัวคนเดียวไปได้ตลอดชีวิต มีข้อความที่ฉันประทับใจอีกคือ “ฉันไม่คิดถึงอดีต ไม่คิดถึงฤดูร้อน ฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิมากมายที่ผ่านไป ฉันไม่เห็นความแตกต่างของแต่ละฤดู ฤดูกาลทั้งหมดรวมเป็นหนึ่งเดียว เป็นความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในอก และไม่มีอะไรมากกว่านั้น” อ่านข้อความนี้จบ ฉันสัมผัสได้ถึงความทุกข์ทรมานที่คล้ายว่า ทุกสิ่งที่ผ่านข้ามาในชีวิตดูไม่ต่างกัน ไม่มีค่าอะไร เพราะการที่เรากำลังเป็นทุกข์ ไม่มีความสุข เราจะไม่มีความต้องการที่จะรับรู้อะไรทั้งสิ้น

ฉันอยากให้หลายคนได้อ่านเรื่องนี้โดยเฉพาะคนที่กำลังรู้สึกทุกข์ใจ เพราะเมื่อคนคนนั้นได้อ่านเรื่องราวของ การานา ใน เกาะโลมาสีน้ำเงิน เล่มนี้แล้ว ความทุกข์ของเขาเหล่านั้นอาจบรรเทาลงได้บ้างและอีกหลายคนที่ไม่ได้กำลังทุกข์ใจ ฉันก็ยังคงอยากให้พวกเขาได้อ่านอยู่ดี เพื่อลองรับฟังมุมมองใหม่ๆจากการใช้ชีวิต ได้มีข้อคิดดีๆ ไว้ใช้ในวันต่อๆไป

สุพิชญ์

ชีวิตไม่ได้มีไว้ให้ยอมแพ้


ชีวิตไม่ได้มีไว้ให้ยอมแพ้
ลูกปัด ปัทมสุคนธ์
พิมพ์ครั้งที่ 12
สำนักพิมพ์ใยไหม
172 หน้า ภาพประกอบ
159 บาท


คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ทุกครั้งที่ต้องเผชิญกับปัญหาแล้วไม่เคยร้องไห้ ไม่เคยเสียใจ ไม่เคยสิ้นหวัง และไม่เคยหมดกำลังใจ ฉันก็เป็นคนหนึ่งที่เคยร้องไห้เสียใจอย่างมากมายกับการเผชิญกับปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปพึ่งใคร หมดสิ้นกำลังใจที่จะต่อสู้ เอาแต่ร้องไห้และเก็บตัวอยู่ในห้อง มีเพียงหนังสือเท่านั้นที่เป็นเพื่อน แล้ววันหนึ่งฉันก็พบทางออก หนังสือเล่มหนึ่งที่ฉันเคยมองข้ามและไม่เห็นค่าความสำคัญ กลับเป็นดั่งมือที่ฉุดฉันให้ขึ้นมาจากความทุกข์เศร้า ให้ลุกขึ้นยืนพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างผู้ชนะ และไม่หันกลับไปมองความพ่ายแพ้ของวันวาน ชีวิตไม่ได้มีไว้ให้ยอมแพ้

ในโลกของการใช้ชีวิต ทุกคนถูกผลักให้ต้องต่อสู้ ถูกผลักให้ต้องแข่งขัน ถูกผลักให้ขึ้นไปสู่ “ไฟล์ทบังคับ” ที่ทำให้หลายคนหวาดหวั่น ท้อแท้ ใจฝ่อ จนอยากจะยกธงขาวยอมแพ้ แต่ติดอยู่ที่ว่าในเวทีชีวิตนั้น เราไม่สามารถยอมแพ้ทุกอย่างได้ “บนเส้นทางชีวิต เราจะแพ้ตลอดไปไม่ได้ ถ้าเราแพ้เราจะไปอยู่ตรงไหนของโลก”

ชีวิตไม่ได้มีไว้ให้ยอมแพ้ เป็นหนังสือเกี่ยวกับข้อคิด ชีวิต และกำลังใจ ที่ ‘ลูกปัด’ ได้ถ่ายทอดมุมมองของชีวิตโดยผ่านประสบการณ์ของตัวเอง ถ่ายทอดข้อคิดดีๆด้วยการใช้คำที่สวยงามและอ่อนโยน คำที่เลือกมาใช้นั้นแม้จะเป็นคำธรรมดาแต่กลับเป็นคำที่เต็มไปด้วยพลัง บางถ้อยคำมีมิติที่ลึกและกินใจ ‘ลูกปัด’ไม่ได้ปิดและบังคับให้ผู้อ่านต้องเชื่อและทำตาม แต่เธอได้เปิดโอกาสให้ผู้อ่านได้ต่อยอดความคิดเอาเอง เพื่อแก้ไขปัญหาตามประสบการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง เช่นเรื่อง “สนามชีวิต” ที่ว่า “คนฉลาดต้องรู้ว่าเมื่อไหร่ควรรุก เมื่อไหร่ควรถอย กับคนแต่ละคน สนามรบแต่ละสนาม ไม่จำเป็นต้องรบด้วยยุทธวิธีเดียวกันหรืออาวุธเดียวกัน กับข้าศึกบางจำพวก บางทีนักรบก็ชนะได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ดาบ” ลูกปัดได้เปิดโอกาสให้ผู้อ่านได้คิด และมีส่วนร่วมในการตีความว่าดาบนั้นหมายถึงอะไร เพราะทุกคนล้วนมีดาบหรืออาวุธในการแก้ปัญหาไม่เหมือนกัน

หนังสือเล่มนี้มีทั้งหมด 48 เรื่องย่อย แต่ละเรื่อคือแง่คิดดีๆที่นำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ เป็นกำลังใจที่ดีในยามที่ต้องเผชิญกับปัญหา ทำให้เราเข้มแข็งและสามารถยืนหยัดต่อสู้กับปัญหาอยู่ได้โดยไม่ย่อท้อ ในวันที่ฉันเจอกับปัญหา หนังสือเล่มนี้คือกุญแจที่ไขประตูให้ฉันได้เจอกับแสงสว่างอีกครั้งหนึ่ง 48 เรื่องย่อยมีเรื่องหนึ่งที่ฉันชอบและประทับใจมาก เพราะตรงตรงกับความรู้สึกของฉันในขณะนั้น อ่านแล้วทำให้ฉันมีกำลังใจและสามารถยิ้มออกมาได้ คือเรื่อง “ที่ยืนยังมีอยู่” ที่ว่า “วันที่อุปสรรคและปัญหาถาโถมมาสู่ชีวิต ได้กลายเป็นวันที่ความหวังอับแสงและเหมือนชีวิตมืดมน หลายคนเฝ้าตัดพ้อและคร่ำครวญว่าชีวิตไม่มีหนทางไป โลกไม่มีที่ให้อยู่ เหมือนไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า แค่ผลักประตูออกไปก็มีถนนมากมายรอยอยู่ตรงหน้า มีสิ่งใหม่ๆในชีวิตอีกร้อยพันอย่างให้เรียนรู้ มีความหวัง ความฝันมากมายรอให้ไขว่คว้า มีมือใครต่อใครอีกมากมายที่ยื่นมาให้เราเกาะเพื่อลุกขึ้น มีดวงตะวันดวงใหญ่ที่ฉายแสงอยู่ในทุกๆเช้า อย่างนี้แล้วโลกจะมืดมนตรงไหน จะไม่มีทางไปตรงไหน โลกไม่มีที่ให้อยู่ตรงไหน หรือถ้าโลกไม่มีที่ให้อยู่จริงๆ ไม่มีที่จะอยู่จริงๆ ก็อยู่ไปก่อนตรงที่เท้ายืน...”

จุดเด่นของหนังสืออีกประการหนึ่งก็คือ ทุกหัวข้อจะพูดถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาทุกครั้ง แล้วจึงค่อยแนะนำวิธีการแก้ปัญหาอย่างเปิดกว้าง โดยมีเหตุผลมาสนับสนุนวิธีคิดในทุกๆข้อ และก็มีภาพประกอบที่สวยงาม แต่ละภาพมีความสัมพันธ์กับเรื่องที่เขียน ซึ่งเป็นการสื่ออารมณ์โดยผ่านภาพ ทำให้ผู้อ่านรู้สึกผ่อนคลาย และสามารถปล่อยอารมณ์ให้โลดแล่นไปกับเรื่องที่อ่านได้อย่าง
เพลิดเพลิน

ชีวิตไม่ได้มีไว้ให้ยอมแพ้เปรียบชีวิตเหมือนกับการเดินทาง และโลกใบนี้ก็เป็นเหมือนถนนที่ทอดสายให้เราเลือกและทดลองเดิน ซึ่งถนนแต่ละสายก็มีความแตกต่างกัน บางสายก็ราบเรียบ บางสายก็ขรุขระ แต่ไม่ว่าถนนข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวมากกว่าที่เป็น เพราะโลกไม่ได้แย่ขนาดนั้นและชีวิตก็ไม่ได้โหดร้ายจนไม่ทิ้งแผนที่และเข็มทิศไว้ให้เรา “ไม่มีถนนสายไหนที่ไม่ให้บทเรียน และไม่มีถนนสายไหน ทำให้เราตกลงไปในหุบเหวจนปีนขึ้นมาไม่ได้”

ณ วันหนึ่งที่ชีวิตมีปัญหาเข้ามาถึง หนังสือเล่มนี้จะเป็นเหมือนกุญแจที่สามารถช่วยให้เราแก้ปัญหาด้วยสติปัญญาและกำลังใจที่ไม่ยอมแพ้ตัวเอง

“ในวันหนึ่งที่ร้องไห้....
หากทำได้เพียงแค่สะอึกสะอื้นและคร่ำครวญ
จะฝัน จะเฝ้ารอคอยให้ใครเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาให้
หากมือของตัวเองแนบอยู่ข้างลำตัว
แล้วยังปล่อยให้น้ำตาตัวเองไหลริน”

Weak Today, Strong Tomorrow.

สุกานดา

เที่ยวบินยามเช้า เรียนรู้โลกภายในด้วยหัวใจแสวงหา


เที่ยวบินยามเช้า เรียนรู้โลกภายในด้วยหัวใจแสวงหา
ชมัยภร แสงกระจ่าง
สำนักพิมพ์คมบาง
๒๑๖ หน้า ภาพประกอบ
๘๐ บาท


คงไม่มีนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากร คณะอักษรศาสตร์ชั้นปีที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๔๙ คนใดที่ผ่านชีวิตน้องใหม่มาได้โดยไม่รู้จักนิยายเรื่อง กุหลาบในสวนเล็กๆ ของคุณชมัยภร แสงกระจ่าง เป็นแน่ เหตุเพราะเป็นหนังสือบังคับอ่านนอกเวลาในรายวิชา การใช้ภาษาไทย เนื้อเรื่องนั้นเกี่ยวกับชีวิตนักศึกษาที่ชื่อ “เพลิน” ผู้ค้นพบแนวคิดใหม่ๆ จากบุคคลรอบกายและจากหนังสือหลายเล่มที่ได้รับการเอ่ยนามใน นวนิยายเรื่องนี้ ซึ่งทำให้ผู้อ่านได้เรียนรู้ไปพร้อมๆ กับเพลินด้วย ไม่นานผมก็รับหนังสืองานเขียนของ คุณชมัยภร เรื่อง “เที่ยวบินยามเช้าฯ” มาครอบครองโดยบังเอิญอีกเล่มหนึ่ง จากการประกวดอ่านบทละครของภาควิชาภาษาไทย ประจำปี ๒๕๔๙

หนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในหนังสือเล่มจำนวน ๑๕ เล่ม ที่จัดทำขึ้นในโครงการวรรณกรรมเพื่อสร้างภูมิคุ้มใจเยาวชน เนื่องในวาระเฉลิมฉลองครบ ๑๐๐ ปี ชาตกาลท่านพุทธทาสภิกขุ ในวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๔๙ โดยมีเป้าหมายที่จะปลูกฝังธรรมะของพระพุทธองค์แก่เยาวชนไทยเพื่อให้มีจิตสำนึกทางพุทธธรรมและภูมิคุ้มกันทางใจที่จะทำให้ชีวิตมีคุณค่ากับตัวเองและสังคมโดยรวม ซึ่งนับเป็นวรรณกรรมคู่มือการเรียนรู้ชีวิตที่เหมาะยิ่งกับวัยรุ่นไทยสมัยนี้

เรื่องราวถ่ายทอดผ่านตัวละครชื่อ “นก” หนุ่มน้อยวัย ๑๕ ปี ที่ไม่พอใจกับข่าวการแต่งงานใหม่ของแม่ที่จะมีขึ้นในไม่ช้าหลังจากที่พ่อของเขาได้จากไปเป็นเวลา ๕ ปี เขาคิดว่าตำแหน่งคนสำคัญที่สุดของแม่นั้นคงไม่ใช่เขาต่อไปแน่ หากแต่จะเป็นพ่อเลี้ยงใหม่ของเขา จึงได้วางแผนหนีออกจากบ้านโดยยังไม่รู้จุดหมายปลายทาง ไม่นานขาก็เลือกที่หมายได้ด้วยเหตุผลที่เป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตของเขามากที่สุด

ระหว่างทางนั้นนกได้พบชีวิตหลากหลายผ่านหน้าต่างรถไฟ เขาเพิ่งได้เจาะไข่ในหินออกมาดูโลกกว้างโดยลำพังก็วันนี้นี่เอง แล้วเขาก็ได้พบหญิงสาวท่าทางมอมแมมผู้เป็นเพื่อนใหม่ในการเดินทางครั้งนี้ ทั้งคู่ลงรถไฟที่ชลบุรีแล้วเดินทางไปที่อำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี หมายที่จะตามหายายของ “สอยดาว” อันเป็นชื่อเพื่อนร่วมทางที่นกเพิ่งทราบหลังจากซักไซ้ไล่เลียงอยู่หลายหน วี่แววที่จะพบยายของสอยดาวนั้นช่างลำบากเสียยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร จนกระทั่งได้มาอยู่ในป่า ได้มาใช้ชีวิตกับปู่ผมยาวในป่า นก ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตและข้อขบคิดแห่งการเป็นมนุษย์อย่างที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนในชีวิตเด็กเมือง จนทำให้เขาเข้าใจโลกมากขึ้นและคิดที่จะกลับบ้านไปอยู่กับแม่ผู้ที่รักเขามากที่สุด

เหตุที่ผมเกริ่นถึงเรื่อง กุหลาบในสวนเล็กๆ ในตอนต้นนั้น ก็เพราะทำให้ผมเห็นลักษณะงานเขียนของคุณชมัยพรที่คล้ายคลึงกัน ทั้งกุหลาบในสวนเล็กๆ และเที่ยวบินยามเช้านั้นเสมือนวรรณกรรมต่อยอด คือ ไม่เพียงถ่ายทอดเรื่องราวของหนังสือนั้นๆ เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีการยกชื่อหนังสือต่างๆ มาเป็นคติ
สอดแทรกในเรื่อง ดังที่จะเห็นว่าเรื่องนี้มีการกล่าวถึงผลงานของ Antoione De Saint Exupery กวีชาวฝรั่งเศส เรื่อง “เจ้าชายน้อย” ที่พ่อให้นกอ่านในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่ และ “เที่ยวบินกลางคืน” ที่นกอ่านเองเมื่อโตขึ้นมาแล้ว และกล่าวถึงตัวละครที่เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตอย่าง “คุณปู่ฟูกุโอกะ” ในเรื่องปลูกต้นไม้ของญี่ปุ่น หรือ “ดุสิต โตมิกรณ์” จากเรื่องสงครามแห่งชีวิต เป็นต้น รวมถึง “หนังสือเล่มใน”ของท่านพุทธทาส เสมือนการบูรณาการวรรณกรรมหลากหลายมาไว้ในหนังสือเล่มเดียวกัน

การดำเนินเรื่องยังแสดงให้เห็นการพัฒนาของมนุษย์ตามหลักอริยสัจ ๔ โดยเริ่มต้นจากปัญหา (ทุกข์) แล้วนำไปสู่การเล็งเห็นแล้วคิดที่จะแก้ปัญหา (สมุทัย) เมื่อคิดได้ก็ปฏิบัติ (นิโรธ) แล้วก็พบกับความสำเร็จ (มรรค) บางครั้งอาจผิดถูกคละเคล้ากันไปบ้าง นั่นก็สอดคล้องกลับชื่อเรื่องรองที่ว่า “เรียนรู้โลกภายในด้วยหัวใจแสวงหา” ส่วน “เที่ยวบินยามเช้า” นั้นก็เป็นการตั้งชื่อเปรียบกับ “เที่ยวบินกลางคืน” ที่มีความเหมือนกันในด้านการเผชิญปัญหา แต่แตกต่างกันที่ปัญหาของนกเป็นเรื่องของเที่ยวบินยามเช้าที่ทัศนวิสัยนั้นไม่มืดมนเท่าไร แต่ “ฟาเบียง” ในเที่ยวบินกลางคืนนั้นเป็นปัญหาที่หนักหนาถึงกับต้องหลุดพ้นด้วยชีวิต ทำให้นกเข้าใจว่าคนที่ทนทุกข์กับปัญหานั้นไม่ใช่แค่นกเท่านั้น แต่ยังมีคนอีกมากมายที่ลำบากเสียยิ่งกว่าเขาอีก

ผมคงเสียดายแย่หากเพียงเทิดทูนรางวัลชิ้นนี้เพียงไว้บนชั้นหนังสือโดยไม่เปิดอ่าน เที่ยวบินยามเช้าผู้โดยสารให้เพลินเพลินพร้อมกับข้อขบคิดมากมาย ทั้งยังกระตุ้นให้ผู้อ่านอยากอ่านหนังสือเล่มอื่นๆ ต่อไปเรื่อยๆ อีก เที่ยวบินเที่ยวนี้ยังรอให้ผู้โดยสารมาใช้บริการโดยไม่จำกัดจำนวน
“ขโณ โว มา อุปจฺจคา อย่าปล่อยกาลเวลาให้ล่วงไปโดยเปล่าประโยชน์” ลองใช้เวลาเพียงเล็กนเรียนรู้ชีวิตที่แท้จริงดูจากหนังสือเล่มนี้ เพื่อคุณจะได้เข้าใจวิถีแห่งมนุษย์มากขึ้น

สิทธิเดช

ขอเพียงได้รัก


เรื่อง ขอเพียงได้รักผู้เขียน อิชิคาวะ ทาคุจิแปล สมเกียรติ เชวงกิจวณิช
ปีพิมพ์ 2/2549
จำนวนหน้า ปกอ่อน/ 172 หน้า
ราคาปกติ 155 บาทISBN 974-9966-60-0


"มาโคโตะ" หนุ่มมาดขรึม รูปร่างสูง ผอมบาง ความลับของเขาคือเป็นโรคเกี่ยวกับผิวหนัง มักจะคันตลอดเวลา เขาจึงต้องทายาจากอิสราเอลที่มีกลิ่นฉุน คล้ายยีสต์ผสมกับเครื่องสำอางค์ ด้วยความกลัวเพื่อนรังเกียจ เขาจึงหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้อื่น โดยเต็มใจจะเป็นผู้ที่ยืนใต้ลม และเขาตั้งปณิธานว่าจะไม่ใช้มือถือตลอดชีวิตอีกด้วย มาโคโตะรักการถ่ายภาพ เขามีความใฝ่ฝันว่าอยากจะทำงานในสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง เขียนเรื่องท่องเที่ยว รวมทั้งถ่ายภาพประกอบ เหนือสิ่งอื่นใด มาโคโตะไม่เคยรู้จักคำว่า “รัก” มาก่อน จนมาพบกับมิยูกิและชิสึรุ เมื่อเขาเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย

"มิยูกิ" สาวสวยที่อาจเรียกได้ว่าเป็นดาวคณะ เธอเป็นคนอ่อนหวานและจิตใจงดงาม เป็นที่รักของเพื่อนๆ เรียกว่าคุณสมบัติเธอเพียบพร้อมไปเสียทุกอย่าง แต่เธอกลับตกหลุมรักมาโคโตะ หนุ่มทึ่ม และสุดแสนจะซื่อบื้อในหมู่เพื่อนๆ


"ชิสึรุ" เด็กสาววัยรุ่นที่ดูไม่เหมือนวัยรุ่น เนื่องจาก ฟันน้ำนมยังหักไม่หมด และหน้าอกกเธอยังไม่ขึ้น เธอมักชอบสวมเสื้อสม็อกสีเทาๆ นี่เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เธอยังดูเด็กอยู่เสมอ ร่างกายของเธอไม่เติบโตเท่าเพื่อนสาววัยเดียวกัน เพราะไม่ชอบกินอะไรนอกจากโดนัทบิสกิตเท่านั้น เธอไม่ชอบใช้มือถือเหมือนมาโคโตะ เธอไม่ค่อยมีเพื่อน แต่อย่างน้อยก็มีสาวหน้ากว้าง สาวร่างโย่ง และมาโคโตะเพียงสามคนเท่านั้น ที่สำคัญเธอยังชอบโกหก เพราะว่าเธอมีความลับบางอย่างที่บอกใครในโลกนี้ก็คงไม่เข้าใจ คงเป็นเพราะแม่และน้องชายของเธอต้องเสียชีวิตด้วยโรคประหลาด และมันจะเกิดขึ้นหลังจากที่พวกเขารู้จักคำว่า "รัก"

ความรักวุ่นๆของคนสามคนเกิดขึ้น เพราะมาโคโตะตกหลุมรักมิยูกิ โดยไม่รู้ว่ามิยูกิก็แอบชอบมาโคโตะอยู่เช่นกัน ในขณะที่ชิสึรุก็รักมาโคโตะ และในขณะเดียวกันชิสึรุไม่อยากทำร้ายความรัก(ข้างเดียว)ของมาโคโตะที่มีต่อมิยูกิ เธอจึงให้ความช่วยเหลือมาโคโตะในทุกๆเรื่องที่เธอสามารถทำได้ แม้จะช่วยทั้งน้ำตาแต่ก็เต็มใจที่จะทำ เรื่องราวผ่านไปหลายปีจนพวกเขาเรียนจบ ต่างแยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง เวลาทำให้ทุกคนรู้ใจตัวเอง เวลาก็ไม่เคยนั่งคอยใคร เวลาเดินไปเรื่อยๆ และความสูญเสีย ทำให้พวกเขารู้ค่าของคำว่า “เวลา” แต่ความรักและความผูกพันธ์ยังคงประทับอยู่ในหัวใจของพวกเขาตลอดไป....

ขอเพียงได้รัก เป็นวรรณกรรมแปลจากประเทศญี่ปุ่น ผู้เขียนคืออิชิคาวะ ทาคุจิ ผลงานการเขียนของเขา เคยสร้างความประทับใจมาแล้วใน แล้วฉันจะกลับมา Be with You (Ima, ai ni yukimasu) ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ สามารถสร้างความเศร้าสะเทือนใจเกี่ยวกับความรักของวัยรุ่น เรียกน้ำตามาแล้วทั้งในและนอกประเทศญี่ปุ่น ผู้แปลคืออาจารย์มสมเกียรติ เชวงกิจวณิช อาจารย์คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประจำสาขาวิชาญี่ปุ่นศึกษา

หน้าปก ขอเพียงได้รัก ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังยืนอยู่ในฉากหลังสีเขียวสด รูปๆนี้เป็นฉากหนึ่งในเนื้อเรื่อง สาเหตุที่ใช้รูปนี้เพราะว่าเป็นเหตุการณ์ที่น่าจดจำของมาโคโตะและชิสึรุ เป็นจุดเริ่มต้นของเขา และเป็นบทสรุปของเธอ


เนื้อเรื่องดำเนินไปไม่สลับซับซ้อน เดินเรื่องตามลำดับเวลา เกี่ยวกับความรักของชายหนุ่มคนหนึ่งและหญิงสาวสองคนที่แอบรักเพื่อน ทั้งที่บางคนไม่รู้ตัว แล้วเพิ่งมารู้ใจตัวเองภายหลังและบางคนที่รู้อยู่เต็มอก แต่ไม่ใส่ใจ การผูกเรื่องเป็นไปอย่างน่าสนใจ โดยให้ตัวละครมีบุคลิกและลักษณะที่แปลก อย่างเช่นชิสึรุ มีความลึกลับ น่าค้นหา ว่าตัวเธอนั้นมีสิ่งใดซ่อนไว้ เธอชอบโกหกเพราะอะไร สาเหตุที่แม่และน้องชายเสียชีวิตเชื่อมโยงกับเธออย่างไร นอกจากนี้ฉากและบรรยากาศของเรื่องจะเป็นฉากในมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นภาพของมิตรภาพ และความสดใส ความผูกพันธ์ระหว่างเพื่อนๆ ทำให้ไม่น่าเบื่อ ภาษาที่ใช้เป็นระดับภาษาสนทนาและระดับกันเอง

คุณค่าของคำว่า “เวลา” เป็นข้อคิดที่ได้จากวรรณกรรมเรื่อง ขอเพียงได้รัก การทำอะไรเพื่อคนที่เรารัก ควรรีบทำก่อนที่จะสายเกินไป ความเสียสละเป็นอีกข้อคิดหนึ่งที่น่าประทับใจ ความรักที่บริสุทธิ์ ไม่หวังผลประโยชน์ใดเคลือบแคลงของชิสึรุ เป็นสิ่งที่น่ายกย่อง นอกจากนี้ยังเห็นถึงความผูกพันธ์ของกลุ่มเพื่อนที่แม้จะแยกย้ายกันเดินไปตามทางของตัวเอง แต่ยังติดต่อหากัน ถามไถ่กันเสมอ อาจกล่าวได้ว่า ขอเพียงได้รัก คือเรื่องราวของความรักที่บริสุทธ์อย่างแท้จริง

ขอเพียงได้รัก เป็นวรรณกรรมแปลเล่มหนึ่งที่น่าสนใจ ด้วยเนื้อหาที่เข้าใจง่าย ตัวละครน่าติดตาม และข้อคิดที่ดี ที่ทำให้ผู้อ่านซาบซึ้งใจไปกับความผูกพันธ์และและความรักอันบริสุทธิ์ของพวกเขา แล้วคุณจะรู้ว่า ขอเพียงได้รัก ก็เพียงพอแล้ว


สริญลา

ติสตู นักปลูกต้นไม้


ชื่อหนังสือ : ติสตู นักปลูกต้นไม้
ผู้แต่ง : โมรีส ดรูองผู้แปล: อำพรรณ โอตระกูลปีที่พิมพ์: กรกฎาคม 2544จำนวนหน้า: 164 หน้า
สำนักพิมพ์ : ผีเสื้อ

ผู้ที่เคยประทับใจกับเรื่อง 'เจ้าชายน้อย' วรรณกรรมอมตะของนักเขียนชาวฝรั่งเศส แซง เตกซูเปรี เรื่อง 'ติสตู นักปลูกต้นไม้' เรื่องนี้ก็สามารถเชื่อว่าน่าจะทำให้ ผู้อ่านประทับใจได้ไม่แพ้กัน ทั้ง 'เจ้าชายน้อย' และ 'ติสตู นักปลูกต้นไม้' ถ่ายทอดเป็นภาษาไทยโดย อำพรรณ โอตระกูล ซึ่งได้รับยกย่องเป็นดั่งทูตวรรณกรรมฝรั่งเศสแห่งประเทศไทย ด้วยความเชี่ยวชาญในภาษาฝรั่งเศสอันเป็นที่ยอมรับ


ติสสตู นักปลูกต้นไม้ เป็นเรื่องของเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ผู้ซึ่งไม่ยอมให้พวกผู้ใหญ่อธิบายความเป็นไปในโลกโดยใช้ความคิดสำเร็จรูป ติสตูจะนอนหลับในห้องเรียนทุกครั้งที่ผู้ใหญ่จะใส่ความคิดสำเร็จให้แก่เขา ติสตู ทำให้เราเห็นว่าเด็กๆนั้นมีดวงตาคู่พิเศษ มองสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะป็นคนหรือสิ่งของแตกต่างไปจากผู้ใหญ่ ที่ถูกความเคยชินครอบงำ เมื่อ ติสตู เรียนถึงบทเรียนว่าด้วยเมืองและระเบียบเขาเห็นสถานที่หนึ่งมีกำแพงมหึมาไม่มีหน้าต่างแม้แต่บานและบนกำแพงก็มีเหล็กปลายแหลมเสียบไว้โดยรอบ 'ถ้าคุกน่าเกลียดน้อยกว่านี้' ติสตูพูด 'บางทีนักโทษคงไม่อยากหนีเท่าไหร่นัก' ติสตูไม่ใช่เด็กเล็กๆ ธรรมดา ความพิเศษของเขาอยู่ที่พรสวรรค์ในการปลูกต้นไม้ ไม่ว่าติสตูจะนำหัวแม่มือปักลงไปที่ใด ดอกไม้ก็จะผลิบานสวยงาม ติสตูค้นพบว่าดอกไม้สามารถสกัดกั้นความชั่วร้ายได้ พรสวรรค์ของเขาจึงไม่เพียงนำความสวยงามให้โลก แต่ยังนำความหวังมาสู่ผู้ที่ไร้กำลังใจ นำความรักมาในที่ๆ มีความเกลียดชังนำบ้านมาสู่ผู้ร้างเรือนนอนแล้วภารกิจของติสตูก็เริ่มขึ้น เขาลงมือปลูกต้นไม้ ทำให้คุก โรงพยาบาล ชุมชนแออัด เป็นสถานที่น่าอยู่ด้วยต้นไม้ ดอกไม้ ติสตูค้นพบสิ่งที่วิเศษอย่างหนึ่งสิ่งนั้นคือ ดอกไม้ เป็นสิ่งที่สามารถสกัดกั้นความชั่วร้ายได้โดยปกติแล้วเด็กทุกคนกระตือรือร้นที่จะปฏิบัติตนเพื่อสาธารณประโยชน์เมื่อตอนเขาเป็นผู้ใหญ่เพื่อกระทำการนั้นแต่สำหรับติสตูแล้ว เขาลงมือกระทำการโดยไม่ต้องรอเป็นผู้ใหญ่เพื่อที่จะไม่ลืมความตั้งใจนั้น


'ติสตู นักปลูกต้นไม้' แฝงทั้งแง่คิด ปรัชญา ความคิดที่สวยงามผ่านดวงตาพิเศษของเด็กชายตัวน้อยนาม ติสตู ซึ่งคุณจะเอ็นดูเขาไม่แพ้ 'เจ้าชายน้อย' เลย
เรื่องราวนี้พิเศษกว่าวรรณกรรมเยาวชนธรรมดา เพราะมิได้เสนอแต่เนื้อหาบันเทิงที่เคลือบด้วยน้ำตาลบอกให้เราทราบถึงความคิดยิ่งใหญ่และลึกซึ้งกว่านั้น โดยเฉพาะเกี่ยวกับความคิดสำเร็จรูปของผู้ใหญ่ในเรื่องต่างๆ ที่มักเกิดขึ้นโดยขาดการไตร่ตรอง เพียงแต่มีขึ้นตามๆ กัน เพราะเป็นระบบความคิดที่มีมานานแล้ว แต่โลกทัศน์ของติสตูมิได้เป็นเช่นนั้น เขาเป็นเด็กเล็กๆ ไร้เดียงสา ความคิดของติสตูจึงทำให้ผู้ใหญ่บางคนส่ายหัว เพียงเพราะว่าติสตูคิดต่างออกไปเท่านั้นเอง


นิทานส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องของเจ้าชายที่ร่ำรวยทรัพย์และเพชรนิลจินดา โดยไม่มีคำอธิบายว่าทรัพย์สินนั้นมาจากไหน ผู้ฅนในเมืองล้วนแต่สุขแจ่มใส หากจะมีความทุกข์บ้าง ก็มักเป็นเรื่องที่แก้ไขให้หมดไปโดยง่าย เช่นคิดถึงลูกที่อยู่เมืองไกล หรือเศร้าสร้อยใจร้ายเพราะอยู่ตัวฅนเดียว แต่นิทานมักไม่บอกถึงชาวนาที่ถูกนายทุนยึดที่ดินทำกิน หรือฅนที่ต้องเจ็บป่วยอนาถาเพราะไร้เงินรักษาพยาบาล หากนิทานจะกล่าวถึงสงคราม ก็มักละเลยที่จะเล่าว่าสงครามทำให้บางฅนต้องสูญเสียแขนขาหรือชีวิต ทำให้บ้านเมืองถูกเผาทำลาย และคนจำนวนมากไร้บ้าน ทำให้หญิงบางคนเป็นม่าย และทำให้เด็กส่วนหนึ่งกำพร้าพ่อ หากนิทานจะกล่าวถึงคุกและสลัม ก็มักแตะต้องแต่เพียงผิวเผิน ไม่ให้ความดิ้นรนนั้นชัดเจนเป็นชีวิตชีวานัก เพราะนิทานมักบอกเรื่องราวสวยงามและความสุขใจมากกว่าจะกล่าวถึงชีวิตจริง และนิทานที่บอกเรื่องราวจริงในโลกก็อาจโหดร้ายเกินไปสำหรับเด็กแต่ติสตูไม่ใช่นิทานเด็กที่มีแต่สีสวยงามจำพวกนั้น เมื่อเราได้รู้จักติสตู เราจะรู้ว่าพ่อแม่ของเขาร่ำรวยมาก อาศัยในบ้านหรูหรา มีรถยนต์จำนวนมากที่ต่างแวววับจนดูเหมือนพระราชวังกระจก มีม้างามเอาไว้ประดับทัศนียภาพในสนาม พ่อแม่ของติสตูหล่อและสวย ติสตูเป็นเด็กที่เกิดมาพรั่งพร้อมบริบูรณ์ แต่เราก็ได้รู้เช่นกันว่าความมั่งคั่งนี้ เป็นเพราะบิดาของติสตูเป็นพ่อค้าอาวุธสงคราม ติสตูค่อยๆ เรียนรู้โลก และพบว่าคุณพ่อผู้ใจดีและอ่อนโยนที่รักเขาอย่างยิ่ง กลับไม่ได้นึกถึงเด็กฅนอื่นๆ ที่อาจเป็นกำพร้าเพราะอาวุธของพ่อเลย


เนื้อหาที่ฟังดูหนักแน่นกว่านิทานเด็กธรรมดานี้ไม่ได้ทำให้เรื่องนี้สาหัสหรือหม่นหมองเกินกว่าจะให้เด็กอ่าน ผู้เขียนเล่าเรื่องได้น่ารักและไร้เดียงสา ไม่ได้แฝงแววบีบคั้นให้เราต้องหดหู่ในความโหดร้ายของโลก เพียงแต่เล่าเรื่องราวไปด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ ซ่อนร่องรอยของเนื้อหาหนักนี้แนบเนียน นำเสนอได้อย่างบริสุทธิ์สดใส ในเนื้อเรื่องนั้นสวยงามรื่นรมย์ คลี่คลายด้วยความสุข นิทานเยาวชนเรื่องนี้จึงน่าประทับใจ เพราะนอกจากจะให้ความบันเทิง ยังมีแง่คิดที่ดีหลายประการ หนังสือเล่มนี้ยังน่าจะเป็นที่รักสำหรับทุกฅนที่มีความเป็นเด็กหลงเหลือในตัวอีกด้วย


เมื่อได้รู้จักติสตู เราอาจจะสนใจ โมรีส ดรูอง ผู้แต่งขึ้นบ้างแล้ว ว่าเหตุใดเขาจึงเขียนนิทานเด็กได้พิเศษไปกว่านิทานทั่วๆ ไปเช่นนี้ ติสตูเป็นนิทานเด็กเรื่องเดียวที่เขาเขียน เขาสร้าง ติสตู เป็นตัวละครเด็กผู้แปลกไปกว่าเด็กอื่นๆ เพราะติสตูไม่ยอมให้ผู้ใหญ่อธิบายเรื่องราวของโลกโดยใช้ความคิดสำเร็จรูปทื่อๆ ของผู้ใหญ่ เขาบอกว่า


"ในชีวิตประจำวัน ข้าพเจ้าไม่เคยเลยที่จะพูดกับเด็กๆ ด้วยเสียงและสำนวนแบบเด็ก ข้าพเจ้าไม่คิดว่าเด็กจะโง่เขลาเสียจนกระทั่งข้าพเจ้าต้องทำเป็นโง่ไปด้วย เพื่อจะได้เข้าใจกัน สมัยที่ข้าพเจ้าเป็นเด็ก เมื่อมีคนมาใช้วิธีไม่ดีนี้กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะโกรธฉุนเฉียวมาก และแน่ละ ข้าพเจ้ามักคิดโดยไม่กล้าพูดออกมาว่า 'ดูซิ นายคนนี้โง่จริงๆ ที่รู้สึกว่าต้องนั่งยองๆ เพื่อจะได้ดูเหมือนว่าตัวขนาดเดียวกับฉัน'

คงไม่ต้องบอกว่าเนื้อหาอย่างสมบูรณ์ในหนังสือเล่มนี้จะเป็นที่ประทับใจยิ่งกว่าแนวคิดของผู้เขียนที่ได้หยิบยกมาข้างต้นพอที่จะทำให้ผู้อ่านหลายท่านเกิดความสนใจได้มากเพียงใดหรือเป็นการถ่ายทอดความนึกคิดและปรัชญาที่เต็มไปด้วยอีกแง่มุมหนึ่งของเด็กที่เราไม่เคยประสบมากหรือมองผ่านมาก่อนเพี่ยงแต่รอให้ผู้อ่านทุกท่านพิสูจน์และพบความเป็นหนังสือที่ขายความเป็นตัวตนของโลกปรัชญาอย่างง่ายๆผ่านความบริสุทธิ์ของพฤติกรรมเด็กที่เป็นตัวถ่ายทอดได้อย่างไร้เดียงสาและพร้อมที่เข้าไปอยู่ในหัวใจของผ็อ่านทุกเมื่อเพียงหยิบและพลิกอ่าน ติสตู นักปลูกต้นไม้

สมัชญ์

ซอยเดียวกัน


รวมเรื่องสั้น ซอยเดียวกัน
ผู้เขียน วาณิช จรุงกิจอนันต์
ปีที่พิมพ์ ๒๕๔๓
สำนักพิมพ์ บูรพาสาส์น จำกัด


รวมเรื่องสั้น “ ซอยเดียวกัน ” เป็นผลงานของ วาณิช จรุงกิจอนันต์ ก่อนได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ของประเทศไทยประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๗ นั้น เรื่องสั้นที่รวบรวมอยู่ในหนังสือเล่มนี้ล้วนแล้วแต่ถูกตีพิมพ์ในว่ารสารต่างๆ เช่น นิตยสารสตรีสาร นิตยสารผู้หญิง นิตยสารลลนา นิตยสารชาวกรุง นิตยสารเอ็กซ์คลูซิฟ เป็นต้น

ในด้านรูปแบบคำประพันธ์นั้นมีถึง ๒ แบบด้วยกัน คือเป็นเรื่องสั้น ๑๕ เรื่อง และบทกวีนิพนธ์ ๑ ชุด มีจำนวน ๕ เรื่องย่อย ส่วนในด้านเนื้อหานั้นก็มีมากมายหลายรูปแบบ เรียกได้ว่า หนังสือเพียงเล่มเดียว แต่ทำให้ผู้อ่านรู้สึกได้เลยว่า “ครบรส” อีกทั้งราคาก็สบายๆกระเป๋า เพียง ๘๐ บาท แต่คุณค่าภายในเล่มนั้นคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม

เรื่องราวที่ผู้เขียนได้ถ่ายทอดลงในหนังสือเล่มนี้นั้น มีหลากหลายแนวดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นแนวการเขียนที่แสดงให้เห็นถึงความคิดเห็นทางการเมืองที่นักเขียนมีจุดยืนของตนเองอย่างมั่นคง ซึ่งเห็นได้ชัดในเรื่องโนรี เรื่องซ้ายล่าสุด และ เรื่อง ๑๒๕ ผีและมวลชนผู้ทุกข์ยาก รวมถึงบทกวีนิพนธ์ ชุด คืนรัง แนวการเขียนที่แสดงให้เห็นถึงสภาพสังคมเมือง รวมถึงผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองซึ่งถูกสังคมบริโภคนิยมครอบงำ เช่น เรื่องเมืองหลวง เรื่องเวลานัด เรื่องมิชิแกนเทสต์ และ เรื่องบ้านเราอยู่ในนี้....ซอยเดียวกัน แนวการเขียนที่แสดงให้เห็นถึงการดิ้นรนต่อสู้ของคนชนชั้นล่างของสังคมที่ถุกเอารัดเอาเปรียบจากชนชั้นนายทุน เช่น เรื่องสี่สิบห้าบาท เรื่องครกกับสาก แนวการเขียนที่แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมดั้งเดิม ความลี้ลับ รวมไปถึงเรื่องของ บาป บุญ คุณ โทษ ดังที่เห็นใน เรื่องกา เรื่องเพลงใบไม้ เรื่องผาติกรรม เรื่องภาพเขียนที่หายไป และแนวการเขียนเกี่ยวกับการวิจารณ์การศึกษารวมถึงบุคลากรทางการศึกษาที่ไม่มีคุณภาพ ซึ่งจะเห็นได้ในเรื่อง ที่นี่...มหาวิทยาลัย

จะเห็นได้ว่า วาณิช จรุงกิจอนันต์ นั้น เป็นนักเขียนที่มีความสามารถมากจนหาตัวจับได้ยากเลยทีเดียว เนื่องจากเขาสามารถถ่ายทอดเรื่องราวรอบๆตัวออกมาเป็นงานขียน เช่น ในเรื่องเวลานัด ที่ผู้เขียนสามารถที่จะเก็บเอาเรื่องราวบนรถโดยสารประจำทางที่เกิดขึ้นจริงมาเล่าผ่านตัวหนังสือ จนทำให้ผู้อ่านรู้สึกประหนึ่งว่าตนร่วมอยู่ในรถคันเดียวกับเขาด้วย อีกทั้งจะเห็นว่าผู้เขียนนั้นมีความคิดทั้งด้านอนุรักษ์นิยม ความเชื่อดั้งเดิม และด้านความคิดสมัยใหม่รวมอยู่ในคนๆเดียว จะเห็นได้จากเรื่อง กา ที่เล่าถึงเรื่องของบาปกรรม ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมากกับเรื่องโนรี ซึ่งเป็นแนวความคิดทางการเมืองสมัยใหม่ของยุคนั้น

ในด้านของการใช้ภาษานั้น วาณิช จรุงกิจอนันต์ นั้นสามารถถ่ายทอดออกมาได้ดีในด้านของการบรรยายให้เห็นภาพตาม เสมือนว่าเราอยู่ในเรื่องด้วย ไม่ว่าจะเป็นการบรรยายฉากของชนบท ในเรื่อง เพลงใบไม้ หรือ ฉากในตัวเมือง ซึ่งเกิดในเรื่องเมืองหลวง หรือการใช้คำเปรียบแบบบุคลาธิษฐาน แบบอุปมาอุปมัย ซึ่งจะเห็นได้ชัดในเรื่องบ้านเราอยู่ที่นี่...ซอยเดียวกัน

ไม่น่าเชื่อเลยว่าหนังสือเล็กๆที่มีความหนาเพียง ๑ เซนติเมตรเล่มนี้ จะอัดแน่นไปด้วยคุณภาพจนคับเล่ม เหมาะสำหรับทุกท่านที่ต้องการความบันเทิงแต่ไม่ไร้สาระ หากใครได้ลองอ่านหนังสือเล่มนี้เพียงแค่ ๔- ๕ หน้า รับรองว่าท่านจะวาง “ รวมเรื่องสั้น...ซอยเดียวกัน” ไม่ลงเลยทีเดียว หรืออาจจะติดอกติดใจจนกลายเป็นหนังสือข้างหมอนไปได้ในที่สุด


ศศิกานต์

เหยียบโลกไว้ ไม่ต้องเครียด


เหยียบโลกไว้ ไม่ต้องเครียด
หนุ่มเมืองจันท์
พิมพ์ครั้งที่ 4
สำนักพิมพ์มติชน
195 หน้า
130 บาท


ดิฉันเชื่อว่าทุกคนคงต้องเคยประสบกับภาวะตึงเครียดทางอารมณ์ ไม่ว่าจะมีสาเหตุมาจากเรื่องส่วนตัว เรื่องงาน หรือแม้แต่เรื่องสังคมการเมืองที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่ดิฉันเชื่อยิ่งกว่าว่าหนังสือเรื่อง เหยียบโลกไว้ ไม่ต้องเครียด ของ หนุ่มเมืองจันท์ จะสามารถเปลี่ยนความเครียดเหล่านั้นให้กลายเป็นรอยยิ้มได้

เหยียบโลกไว้ ไม่ต้องเครียด เป็นหนังสือลำดับที่ 7 ในหนังสือชุด “ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ” เป็นการรวมเล่มจากคอลัมน์ “ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ” ในหนังสือพิมพ์มติชนสุดสัปดาห์ ซึ่งแต่ละเล่มจะมีชื่อเรื่องแตกต่างกันออกไป แต่มีจุดเด่นที่เหมือนกันคือเป็นหนังสือที่ให้สาระความรู้เกี่ยวกับแวดวงธุรกิจ กลยุทธ์การตลาดจากเจ้าของธุรกิจต่างๆ ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริงในชีวิตประจำวัน พร้อมกับสอดแทรกเรื่องราวสนุกขบขันเอาไว้ตลอดทั้งเล่ม ทำให้ผู้อ่านนอกจากจะได้รับความรู้แล้ว ยังเกิดรอยยิ้มและเสียงหัวเราะทุกครั้งที่หยิบขึ้นมาอ่านอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นหนังสือให้ความรู้เชิงธุรกิจที่ไม่มีความเครียดปรากฏให้เห็นในเนื้อหาเลย แม้แต่คนที่ไม่ใสในเรื่องการทำธุรกิจได้ลองมาอ่านดูสักครั้ง ก็จะต้องติดใจจนวางไม่ลง เพราะติดหนึบในภาษาของหนุ่มเมืองจันท์ ที่ขยันหยอดมุขตลกขำขันแซวคนใกล้ตัวได้อย่างน่ารักน่าชัง “จนมีบางคนให้คำนิยามหนังสือชุดฟาสต์ฟู้ดธุรกิจของ “หนุ่มเมืองจันท์” ว่าเป็นหนังสือประเภทธุรบันเทิง ที่มาจากคำว่า ธุรกิจ + สาระบันเทิง ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ลงตัวในหนังสือชุดฟาสต์ฟู้ดธุรกิจนั่นเอง”

ธุรกิจต่างๆที่เขานำมาเสนอเป็นธุรกิจหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจใหญ่โตของเครือโออิชิกรุ๊ป หลักการขายบ้านสร้างเสร็จก่อนขายของแลนด์แอนเฮาส์ นิสชินคัพนู้ดเดิ้ล ผู้บุกเบิกบะหมี่ถ้วยรายแรกของโลก ที่มาของตู้แช่ที่มี 2 ประตู คือด้านหน้าและด้านหลังของเซเว่นอีเลฟเว่น ไปจนถึงธุรกิจขนาดเล็ก เช่น ร้านขายข้าวขาหมูที่ไม่มีแม้แต่ชื่อร้าน แต่กลับมีลูกค้าแน่นขนัดทุกวัน และลูกค้าก็พร้อมใจกันเรียกว่า “ขาหมูแม่จ๋า” เพราะเป็นคำพูดติดปากของลูกชายตัวโตหนวดเฟิ้ม ที่ตะโกนบอกแม่เมื่อมีลูกค้าสั่งอาหาร ทำให้ลูกค้าที่เข้ามาอดอมยิ้มไม่ได้กับรูปร่าง และคำพูดที่ดูแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หรือร้านขายผัดไทยที่มีวิธีการถามนำเรื่องการใส่ไข่กับลูกค้าว่า “ใส่ไข่ฟองเดียว หรือสองฟอง” แทนที่จะถามว่า “ใส่ไข่รึเปล่า” ทำให้ผัดไทยของเขาแทบทุกจานจะต้องใส่ไข่ ซึ่งเป็นการสร้างกำไรให้แก่เขามากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ยังมีธุรกิจต่างๆที่มีวิธีการขาย และวิธีการนำเสนอสินค้าที่น่าสนใจอีกมากมาย ที่หนุ่มเมืองจันท์ นำมาเสนอไว้เป็นตอนๆ ทำให้สามารถอ่านได้ง่าย และในแต่ละตอนก็จะมีข้อคิดแฝงเอาไว้ตลอด เหมาะสมอย่างยิ่งแก่ผู้ที่สนใจทำธุรกิจ หรือกำลังหาแนวทางในการสร้างความแปลกใหม่ให้แก่ธุรกิจของตน

นอกจากนี้ หนุ่มเมืองจันท์ ยังเป็นนักเขียนที่เข้าใจดีว่า “ปัญหา” เป็นเรื่องปกติของชีวิตที่ทุกคนต้องมี ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม แม้แต่ตัวเขาเองก็มีปัญหาเป็นของตัวเอง คือ มีโรคประจำตัวเป็นโรคเก๊าต์ และโรคภูมิแพ้ แต่เขาไม่เคยมองว่าเป็นปัญหาในชีวิตเลย แต่เขากลับพยายามทำความเข้าใจ จนในที่สุด “ปัญหา” ก็กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาของชีวิต ด้วยแนวคิดนี้เองจึงกลายเป็นที่มาของชื่อหนังสือเล่มนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อไปยังผู้อ่านว่า “แม้ปัญหาจะทำให้เกิดความเครียดจนรู้สึกเหมือนแบกโลกหนักๆเอาไว้ ทั้งที่ในความจริงตามธรรมชาติแล้วโลกต่างหากที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเรา โลกมีไว้เหยียบ ไม่ได้มีไว้แบก” และปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางออก ถ้าเราเห็นว่าเป็นเรื่องปกติของชีวิต

เมื่อดิฉันได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ก็พบว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อชิ้นส่วนของโลกที่แบกเอาไว้บนบ่าค่อยๆหลุดออกไปทีละชิ้นทุกครั้งที่พลิกหน้ากระดาษผ่านไปแต่ละบท และหลุดออกไปจนหมดเมื่อหน้าสุดท้ายถูกพลิกผ่านไป พร้อมกับรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า และความสบายตัวที่เกิดขึ้นอย่างบอกไม่ถูก หากใครอยากจะรู้ว่าความรู้สึกแบบนี้เป็นเช่นไร ก็คงจะต้องลองหาหนังสือเรื่อง “เหยียบโลกไว้ ไม่ต้องเครียด” มาอ่านดูกันเอาเอง แล้วท่านจะพบว่า “ปัญหา” เป็นแค่ความท้าทายของชีวิตเท่านั้นเอง

ลักษมณ

นางนวลกับมวลแมวผู้สอนให้นกบิน


นางนวลกับมวลแมวผู้สอนให้นกบิน
ผู้แต่ง : หลุยส์ เซปุล์เบดา
ผู้แปล : สถาพร ทิพยศักดิ์
ปีที่พิมพ์ : 1/2551
สำนักพิมพ์ผีเสื้อ
ปกอ่อน 176 หน้า
ราคาปกติ : 153.50 บาท

วัฏจักรห่วงโซ่อาหารเปรียบเสมือนกลไกในการควบคุมและสร้างความสมดุลให้แก่ธรรมชาติโดยอุปกรณ์ชิ้นสำคัญของห่วงโซ่ห่วงนี้คงหนีไม่พ้นนักล่าและผู้ถูกล่า และเมื่อกล่าวถึงแมวและลูกนกนางนวลย่อมเป็นที่ชัดเจนว่าแมวคือนักล่า และลูกนกนางนวลก็ต้องเป็นผู้ถูกล่า แต่ความเป็นจริงของธรรมชาติเช่นนี้ถูกลบล้างความโหดร้ายด้วยจินตนาการอันแสนน่ารักที่ผูกเรื่องราวให้สัตว์ต่างสายพันธุ์มาเป็นมิตรกันในวรรณกรรมแปลเยาวชนเรื่อง นกนางนวลกับมวลแมวผู้สอนให้นกบิน
เรื่องราวมิตรภาพระหว่างแมวกับลูกนกนางนวลเริ่มต้นจากการที่แมวดำตัวใหญ่ชื่อว่าซอร์บาสได้ให้สัญญากับแม่นกนางนวลผู้โชคร้าย ที่ถูกคราบน้ำมันดิบโถมใส่ทั้งตัวชื่อเคงกาฮ์ไว้ 3 ข้อ คือ จะไม่กินไข่ที่ตนกำลังจะออก,ต้องฟักไข่รวมทั้งดูแลเป็นอย่างดี และต้องสอนให้ลูกนกบินให้ได้ เมื่อแม่นกสิ้นลมภารกิจของซอร์บาสก็เริ่มขึ้น


ซอร์บาสมิได้สักแต่ว่ารับปาก ทว่าได้รับผิดชอบในสิ่งที่ตนให้สัญญาไว้กับแม่นกเป็นอย่างดี เฝ้าฟูมฟักกกไข่ เมื่อไข่ฟักเป็นตัวแล้วก็คอยปกป้องให้ลูกนกพ้นจากอันตรายทั้งปวงโดยมีเพื่อนแมวท่าเรือเป็นผู้ร่วมพิชิตภารกิจในครั้งนี้ สิ่งที่ยากที่สุดในสัญญาทั้ง 3 ข้อสำหรับซอร์บาสเห็นจะเป็นข้อสุดท้าย นั่นคือการสอนให้ลูกนกบินได้

ผลงานเรื่องนี้สร้างสรรค์โดยหลุยส์ เซปุล์เบดา นักเขียนชาวละตินอเมริกันผู้มีผลงานออกสู่สายตานักอ่านชาวยุโรปอย่างนับไม่ถ้วน และได้รับรางวัลวรรณกรรมมากมาย ถ่ายทอดเป็นภาษาไทยโดยสถาพร ทิพยศักดิ์ ซึ่งแปลจากภาษาสเปน ผู้อ่านไม่จำเป็นต้องตีความจากเนื้อเรื่องเฉกเช่นวรรณกรรมส่วนใหญ่ เนื่องจากทั้งผู้เขียนและผู้แปลต่างถ่ายทอดด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายและชัดเจน ผู้อ่านยังเพลิดเพลินกับการใช้จินตนาการในพฤติกรรมที่น่ารักของเจ้าซอร์บาส เช่น
แมวตัวผู้กกไข่,เลี้ยงลูกนก และโดนเรียกว่าแม่ เป็นต้น

นอกจากเนื้อเรื่องที่น่าประทับใจแล้ว ความรู้สึกแทรกขึ้นมาคือการเปรียบเทียบระหว่างพฤติกรรมของสัตว์กับมนุษย์เช่น เรื่องของการให้คำสัญญา,ความซาบซึ้งในน้ำใจของเจ้าซอร์บาสที่ไม่ต้องการอะไรตอบแทนซึ่งถือว่าเป็นมิตรภาพอย่างแท้จริง และยังรู้สึกได้ถึงความมักง่ายของมนุษย์ที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดปัญหามลพิษต่าง ๆ มากมาย ส่งผลกระทบให้สิ่งมีชีวิตร่วมโลกอื่น ๆต้องเดือดร้อนไปตาม ๆ กัน ดังที่ปรากฏในเรื่องคือการที่มนุษย์ปล่อยคราบน้ำมันดิบและสิ่งสกปรกลงสู่ทะเลจึงทำให้แม่นกนางนวลเคงกาฮ์ต้องติดคราบน้ำมันดิบและตายในที่สุด

เรื่องราวอันน่ารักน่าชังเรื่องนี้พิมพ์ลงบนกระดาษถนอมสายตา และดึงดูดความสนใจด้วยหน้าปกที่มีภาพประกอบและสีสันสวยงาม ผ่านการเข้าเล่มด้วยการเย็บกี่ ( ร้อยเส้นด้าย )ตั้งแต่เนื้อหาตลอดจนกระบวนการผลิตแสดงถึงความใส่ใจในทุก ๆ รายละเอียดของสำนักพิมพ์ผีเสื้อ การเลือกรูปเล่มให้มีขนาดกะทัดรัดของหนังสือ ทำให้ผู้อ่านสามารถพกพาไปทุกที่ได้อย่างสะดวก และสามารถอ่านได้ทุกเพศทุกวัยเนื่องจากเป็นวรรณกรรมสร้างสรรค์ที่ไม่มีพิษมีภัยต่อใครทั้งสิ้น
หากคุณกำลังมองหาหนังสือดี ๆ ไว้อ่านเพื่อผ่อนคลายสมอง หรือต้องการหาหนังสือเพื่อให้เยาวชนอ่านเพื่อกระตุ้นจินตนาการในการเรียนรู้ และสร้างจิตสำนึกที่ดีต่อสังคม

นกนางนวลกับมวลแมวผู้สอนให้นกบิน จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ทำให้คุณได้พบกับสิ่งที่คุณต้องการ

รุ่งรัตน์

สุดปลายสะพาน


สุดปลายสะพาน
สุริศร วัฒนอุดมศิลป์
สำนักพิมพ์อรุณ
๒๔๗ หน้า
๑๗๙ บาท

การเข้ารอบสุดท้ายรางวัล “นายอินทร์ อะวอร์ด” ประจำปี ๒๕๔๙ ย่อมการันตีถึงความยอดเยี่ยมของนวนิยายเรื่อง “สุดปลายสะพาน” ได้เป็นอย่างดี แม้หนังสือเล่มนี้ จะไม่ได้รับรางวัลชนะเลิศมารับรอง หากเนื้อหาที่ถูกถ่ายทอดออกมาด้วยความตั้งใจ ทั้งสำนวนภาษาที่ขัดเกลาจนลึกซึ้งกินใจ ย่อมทำให้ผู้อ่านตกอยู่ในห้วงความคิดคำนึงได้ไม่ยาก “สะพานที่ไม่อาจข้าม” คือชื่อที่ใช้ในการประกวดครั้งแรกของ “สุริศร วัฒนอุดมศิลป์” นักเขียนหน้าใหม่ที่ได้รับการตอบรับอย่างคาดไม่ถึงจากผลงานชิ้นแรก หากแท้จริงแล้วเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องส่งเพื่อเรียนจบวิชา “การเขียนเรื่องสั้นเบื้องต้น” ในปีสุดท้ายของการเรียนมหาวิทยาลัยเท่านั้น เนื้อหาเพียงไม่กี่หน้ากระดาษในวันนั้น ได้ถูกแต้มเติมจนสมบูรณ์ในวันนี้...

“สุดปลายสะพาน” เป็นเรื่องราวของ “ปรเมษฐ์” นายแพทย์หนุ่ม ผู้กำลังศึกษาโครงการ ”Mercy Killing” หรือ “กรุณยฆาต” เรียกว่าการเสนอทางเลือกสุดท้ายแก่ผู้ป่วย ในขณะที่ผู้ป่วยไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ โดยผู้ป่วยมีสิทธิ์ที่จะเลือก “ตาย” ด้วยความสมัครใจของตนเอง ทว่าเมื่อเรื่องถูกนำเสนอต่อคณะกรรมการ เขากลับไม่มีกรณีศึกษา เพื่อยืนยันความน่าเชื่อถือในโครงการดังกล่าว ปรเมษฐ์ได้พบกับ “เนรัญ” เด็กหนุ่มนักดนตรีที่เล่นเล่นกีตาร์อย่างเดียวดายอยู่บน “สะพานขาว” ในสวนสาธารณะข้างโรงพยาบาลเพียงลำพัง “A time for us” คือเพลงแรกที่ได้ยินจากกีตาร์สีแดง และนิ้วที่พรมลงบนเครื่องดนตรีชิ้นโปรดของเด็กหนุ่ม มิตรภาพครั้งแรกจึงเกิดขึ้นนับแต่นั้น เมื่อได้อยู่กับเนรัญ ปรเมษฐ์สามารถพูดคุยกับเด็กหนุ่มได้ทุกเรื่อง เขารู้สึกสบายใจ เข้มแข็ง และความมั่นใจในตัวเองที่สูญหายไปกลับคืนมา เนรัญคอยเป็นกำลังใจให้เขายามที่ท้อแท้สิ้นหวังและต้องการกำลังใจ จากความรู้สึกดีๆ ที่เรียกว่าเพื่อน จึงพัฒนาความสัมพันธ์จนกลายเป็น “ความรัก”

หากทุกอย่างกลับเลวร้าย เมื่อปรเมษฐ์ ถูกครอบครัวบังคับให้แต่งงานกับหญิงสาวที่บิดาเลือกให้ ด้วยความบาดหมางในใจของปรเมษฐ์กับบิดาอยู่ก่อนแล้ว เขาอยากปฏิเสธออกไป แต่การอาการป่วย ของมารดา ทำให้เขาอยู่ในอาการน้ำท่วมปาก เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้อาการผนังหัวใจรั่วจากพันธุกรรม ของเนรัญที่เขาไม่เคยทราบกำเริบขึ้นมา ซ้ำร้ายแฟนหนุ่มยังเสนอตัวเป็นกรณีตัวอย่างให้เขาเสนอโครงการ ที่กำลังทำอยู่อีกครั้ง การต่อสู้ระหว่างหน้าตาทางสังคม การคลุมถุงชนที่ถูกบังคับโดยผู้มีพระคุณ กับ ความรักที่ตนเองเป็นฝ่ายเลือก สุดท้ายแล้ว...โศกนาฏกรรมที่ใครก็คาดไม่ถึงจึงเกิดขึ้น...

“สุดปลายสะพาน” เป็นนวนิยายขนาดยาว รูปเล่มขนาดเหมาะมือ ปกหน้าเป็นรูปท้องฟ้าสีคราม เมฆสีขาวปุย มีแมกไม้สีเขียวสองฟากฝั่งสายน้ำ กลางของภาพเป็นสะพานลายฉลุสีขาวทอดยาวมองเห็นเพียงครึ่งเดียว “สะพานขาว” สถานที่สำคัญที่สุดของเรื่อง ปกหลังเป็นภาพเดียวกัน ฉาบทาด้วยสีเขียวน้ำทะเลลึกจนภาพทั้งหมดเห็นเพียงลางเลือน มีกรอบไม้สีน้ำตาลเข้ม ภายในเป็นรูปเช่นเดียวกับหน้าปก มีคำโปรยน่าสนใจไม่ยาวนักบนปกหลัง ข้อความบางส่วนกล่าวไว้ว่า “...หัวใจจะพองโตทุกครั้งที่เขาอยู่ใกล้ แต่พอเราแยกกัน ความรู้สึกสับสนจะประดังประเดเข้ามาแทนที่ ... นี่ นี่ผมเป็นเกย์ไปแล้วหรือ ถ้าผมเป็นเกย์จริงๆ ชีวิตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร...” เพิ่มความน่าสนใจให้หนังสือเล่มนี้ไม่น้อยทีเดียว

ชื่อเรื่อง “สุดปลายสะพาน” สื่อถึงอารมณ์ตัวละครได้เป็นอย่างดี ความคาดหวังของตัวละครที่ จะได้ข้ามไปยังอีกฝั่งของสะพาน ชีวิตอีกฟากที่มีคนซึ่งพวกเขารักคอยอยู่ ทั้งเนรัญและแม่ของเขา ดูเหมือนทั้งสองคนจะรอคอยเพียงเวลาเท่านั้น สอดคล้องกับทั้งรูปภาพปก สะพานเพียงครึ่ง ที่อีกส่วนหนึ่งถูกบดบังด้วยไม้ใหญ่น้อยสีเขียวครึ้ม ก่อให้เกิดความสงสัยในรูปลักษณ์ของสะพาน และใครหลายๆ คน คงอยากทราบ...ที่สิ้นสุดของปลายของสะพานอีกด้านเป็นแน่...
แม้ “สุดปลายสะพาน” จะมิใช่วรรณกรรมยอดเยี่ยมแห่งปีในสาขารางวัลใด หากเนื้อเรื่องและถ้อยคำที่ผู้เขียนเลือกสรรมาใช้ภายในกลับทำให้วางไม่ลง สถานที่ต่างๆ ในเรื่องล้วนให้ความรู้สึก “จริง” อย่าง ประหลาด การบรรยายทำให้เกิดมโนภาพชัดเจนเหมือนผู้อ่านกำลังเดินร่วมทางไปกับตัวละคร บรรยากาศและฉากของเรื่องชวนให้รู้สึกอบอุ่น นุ่มลึก ก่อให้เกิดความรู้สึกอยาก “ตามรอย” ไปยังสถานที่ต่างๆที่ตัวละครใช้ชีวิต และเดินทางผ่าน

เนื้อเรื่องสอดแทรกข้อคิดหลากหลาย ทั้งความรักหลายประเภท ความรักของบิดามารดา ที่มีการแสดงออกที่แตกต่างกัน ความรักของเพื่อนอันเป็นมิตรภาพที่ยิ่งใหญ่ และสำคัญที่สุด...ความรักของคนรัก ที่เหมือนพลังให้ใครหลายคน ต่อสู้ฝ่าฟันอุปสรรคอย่างไม่ท้อถอยเช่นปรเมษฐ์ โดยมีความเชื่อมั่นจากเนรัญเป็นแรงผลักดัน “มือที่เปื้อนเลือด” ของคนรัก ที่เขามักย้ำกับตัวเองเสมอๆ ยังคงมีประโยชน์ต่อชีวิตใครอีกหลายคน และแท้จริงแล้ว...ผู้อ่านจะได้ทราบว่า “ชีวิต” มีค่าควรแก่การรักษามากกว่า “ทำลาย” เพราะ อย่างน้อย ไม่ใช่การดำรงอยู่เพื่อ “ตัวเอง” แต่กลับเพื่อ “คนที่รัก” ต่างหาก

เชื่อว่า “สุดปลายสะพาน” คงจะเรียก “รอยยิ้ม” บน “ใบหน้าเปื้อนน้ำตา” จากผู้อ่านได้ไม่ยาก รอยยิ้มน้อยๆ กับความรู้สึกเต็มตื้นในความสมบูรณ์ของเรื่องราวที่ถูกร้อยเรียงอย่างตั้งใจ แม้วรรณกรรมเล่มนี้อาจไม่ได้จบแบบสุขนาฏกรรมอย่างที่ใครหลายคนคาดหวัง แต่...รอยยิ้มที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับคราบน้ำตา กลับลบเลือนความโศกเศร้าที่ตัวละครถ่ายทอดให้กับผู้อ่านได้อย่างหมดสิ้น เมื่อปิดกระดาษหน้าสุดท้ายลงแล้ว จึงเหลือเพียง “ความใจหาย” เท่านั้นเอง
ที่สุด...หลังจากวางหนังสือเล่มนี้ลง เราคงต้องทบทวนตัวเองอย่างถ้วนถี่ว่า... ชีวิตที่มีอยู่นั้น เราใช้มันอย่างคุ้มค่า เพื่อตัวเองและคนที่รักแล้วหรือยัง?

มนตรี

กุหลาบในสวนเล็กๆ


กุหลาบในสวนเล็กๆ
“คืออิสสรชนคือคนดีคือศรีบูรพา” ชมัยภร แสงกระจ่าง
รวมเล่มครั้งที่ ๑ / ๒๕๔๙
สำนักพิมพ์คมบาง
๓๒๔ หน้า
๒๔๐ บาท


หลายคนทราบว่า กุหลาบ เป็นดอกไม้ที่สวยงาม มีกลิ่นหอมเย้ายวนและดึงดูดสิ่งรอบข้างให้มาเชยชม ด้วยเหตุนี้ ชมัยภร แสงกระจ่าง นักเขียนชั้นครูของวงการวรรณกรรมไทย จึงไม่มอง ข้ามและนำความงดงามเหล่านี้มาเผยแพร่ให้แก่นักอ่านอย่างเราได้อ่านกัน

กุหลาบที่ ชมัยภร สื่อถึงนั้นมีคุณค่าและงดงามกว่าดอกกุหลาบทั่วไป เนื่องจากเป็นนามแฝงของนักเขียนที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองอย่างแรงกล้า นั่นคือ กุหลาบ สายประดิษฐ์ หรือนามปากกาที่คนทั่วไปรู้จักคือ ศรีบูรพา โดยผลงานที่ ชมัยภร สร้างสรรค์เพื่อร้อยเรียงเรื่องราว คือหนังสือที่มีชื่อว่า กุหลาบในสวนเล็กๆ

ผู้แต่งมีกลวิธีการเขียนที่สอดแทรกความรู้เกี่ยวกับประวัติและผลงานต่างๆของ ศรีบูรพา ได้อย่างน่าสนใจ เพราะใช้ตัวละครเป็นผู้ส่งสารเหล่านี้ให้แก่ผู้อ่าน ตัวละครในเรื่องที่สำคัญเป็นเด็กรุ่นใหม่ผู้มีความคิดแตกต่างกัน คือ เพลิน และอิสระ เรื่องราวทั้งหลายได้เริ่มต้นจาก เพลิน เด็กหนุ่มวัยนักศึกษาที่ไม่ใส่ใจการเรียนทำให้เขาเดินทางเข้าไปใกล้การพ้นสภาพนักศึกษา ทว่าได้รับความเมตตาจากอาจารย์ มอบหมายรายงานชิ้นใหญ่แก่นักศึกษานิเทศศาสตร์คนนี้ นั่นคือ รายงานหัวข้อ “ร้อยปี กุหลาบ สายประดิษฐ์” แต่เพลินกลับไม่มีความรู้ใดๆ เกี่ยวกับ กุหลาบ สายประดิษฐ์ เลย จึงขอความช่วยเหลือผ่านอินเทอร์เน็ตและโชคดีที่เขาได้พบกับ นักข่าวสาวจบใหม่ไฟแรงผู้เฉลียวฉลาด ชื่อว่า อิสระ เขาทั้งคู่จึงได้ร่วมกันทำรายงายชิ้นนี้จนสำเร็จ

การค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อทำรายงานของเพลิน ค่อยๆคลี่คลายเรื่องให้ผู้อ่านได้รู้จักกับศรีบูรพา มากขึ้น โดยการใช้ฉากที่เป็นงานนิทรรศการร้อยปีกุหลาบ สายประดิษฐ์ เป็นฉากที่ตัวละครที่ได้อ่านผลงานของ ศรีบูรพา และฉากที่ดำเนินไปตามแหล่งเรียนรู้ต่างๆ เพื่อให้ผู้อ่านได้เก็บรายละเอียดเกี่ยวกับ ศรีบูรพา ไปพร้อมๆกับตัวละครทั้งสอง

นวนิยายเล่มนี้ พิเศษกว่าเรื่องอื่นๆ ตรงที่ว่า เมื่อได้อ่าน นอกจากอรรถรสที่ทำให้เราเพลิดเพลินแล้ว ยังทำให้เรารู้สึกว่ากำลังอ่านบรรณานิทรรศน์แนะนำหนังสือ เพียงแต่ว่าเป็นการแนะนำหนังสือที่เป็นผลงานของ ศรีบูรพา และการถ่ายทอดเรื่องราวของ ชมัยภร นั้นยังแฝงเร้นไปด้วยอุดมการณ์ ประหนึ่งว่ากำลังสอนให้ผู้อ่านเรียนรู้ที่จะทำประโยชน์เพื่อสังคมมากกว่าความเห็นแก่ตัว

ผลงานของ ศรีบูรพา ที่ปรากฏอยู่ใน กุหลาบในสวนเล็กๆ เป็นวรรณกรรมที่ปลุกเร้าอุดมการณ์ มนุษยธรรมและจริยธรรม เช่น ลูกผู้ชาย สงครามชีวิต แลไปข้างหน้า เป็นต้น แต่ละเรื่องล้วนสะท้อนสภาพสังคม ในน้ำเสียงที่กำลังประชดประชันสังคมที่เต็มไปด้วย ชนชั้นและศักดินา ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคม เกิดการเลือกปฏิบัติ ความรู้สึกในด้านลบเหล่านี้เป็นแรงบันดาลใจสร้างสรรค์ผลงานให้แก่ กุหลาบ สายประดิษฐ์ เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ กุหลาบในสวนเล็กๆ ยังเปรียบเสมือนกาวเชื่อมรอยต่อระหว่างคนสองรุ่น ซึ่งได้แก่ คนรุ่นอุดมการณ์ ดังเช่นคนในสมัย ๑๔ ตุลาฯ และคนในรุ่นปัจจุบัน เนื่องจากสารที่ได้รับ คืออุดมการณ์ที่มุ่งสร้างสรรค์สังคม ซึ่งคนในยุคปัจจุบันดูจะห่างเหินจากอุดมการณ์ดังกล่าว หากคนรุ่นใหม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ผ่านตาสักครั้ง อุดมการณ์ที่มีอยู่ในมโนสำนึกของมนุษย์ทุกคน อาจลุกโชนขึ้นมาบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพสังคมที่กำลังวุ่นวายอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน กุหลาบดอกนี้ยังคงรอที่จะเบ่งบานในหัวใจของคนรุ่นใหม่ เพื่อปลุกอุดมการณ์และความรับผิดชอบต่อสังคมของเรา

ภาวิณี

ความน่าจะเป็น


ชื่อหนังสือ: ความน่าจะเป็น
ผู้แต่ง: ปราบดา หยุ่น
ปีที่พิมพ์: 2551
จำนวนหน้า: ปกอ่อน/176 หน้า
ราคา: 135 บาท

"ความน่าจะเป็น" เรื่องสั้นที่ได้รับรางวัล ซีไรต์ ประจำปี พ.ศ.2545 ของปราบดา หยุ่น คนรุ่นใหม่ที่มีมุมมองความคิดแตกต่างจากบุคคลทั่วไป จากประสบการณ์ที่เขาได้เคยสร้างสรรค์ผลงานทางด้านศิลปะ ประกอบกับความคิดที่เขามีต่อสังคมในมุมกลับ ทำให้เขาสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่นำเสนอด้วยกลวิธีแปลกใหม่กว่าเรื่องอื่นๆ และด้วยความแปลกใหม่ของกลวิธีในการนำเสนอ จึงทำให้เราได้เข้าใจแนวคิดที่สะท้อนถึงสังคมยุคหลัง อย่างยุคที่เรียกว่า postmodern


เรื่องสั้นทั้ง 13 เรื่อง ที่ปราบดา นำมารวมเล่มเป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นชุดความน่าจะเป็นมีดังนี้คือ ความน่าจะเป็น ด้วยตาเปล่า ตามตาต้องใจ อะไรในอากาศ นักเว้นวรรค เหตุการณ์กรรมซ้ำเล่า กรมอุตุนิยมวิทยา บรรยากาศเป็นกันเอง อุปกรณ์ประกอบฉาก ตื้น-ลึก-หนา-บาง คนนอนคม มารุตมองทะเล และเจอ แต่ละเรื่องสะท้อนแนวคิดให้เห็นถึงความเป็นจริงของมนุษย์ ในจำนวนเรื่องสั้นทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นมีเรื่องที่นำเสนอ แนวคิดได้เด่นชัดคือความน่าจะเป็น เป็นเรื่องของชายหนุ่มกำพร้าที่วิถีชีวิตถูกเลี้ยงดูอยู่กับตาและยาย ชายหนุ่มคนนี้มีความคิดที่แตกต่างจากบุคคลทั่วไป เขามักจะมีคำถามต่างๆอยู่ในใจเสมอ แต่ละคำถามมักจะเป็นคำถามที่บุคคลทั่วไปไม่เคยคิด ไม่เคยจะค้นหาคำตอบ การที่เขาได้อยู่ในสภาพสังคมที่ตากับยายเลี้ยงดูนั้น ทำให้เขาได้ซึมซับบางอย่างไว้ในใจ เมื่อเขาโตขึ้นได้ทำงานตามสิ่งที่เรียนมา คืองานที่เกี่ยวข้องกับศิลปะและงานโฆษณา เขาก็ได้นำความทรงจำเดิมๆขณะที่อยู่กับตาและยาย มาสร้างเป็นผลงานโฆษณาจน กลายเป็นที่ยอมรับและรู้จักของคนทั่วไป

ด้วยตาเปล่า เรื่องของชายหนุ่มชื่อปราชญ์ วันหนึ่งขณะที่เขาตั้งใจจะไปออกกำลังกายที่สวนลุมพินี เขาก็ได้พบกับชายชื่อปลง ชายคนนี้มีลักษณะแปลกและน่าสนใจ เพราะเขามักจะมานั่งสังเกตพฤติกรรมของคนที่มาเดินในสวนสาธารณะแห่งนี้ ปราชญ์ได้พบกับปลงทุกครั้งที่มาออกกำลังกาย แต่ละครั้งทั้งสองได้พูดคุยกัน ปลงได้แสดงความคิดว่า “คนเราไม่ควรตัดสินอะไรจากสิ่งที่เรามองเห็นโดยไม่พิจารณา เพราะนั่นอาจจะทำให้เราไม่ได้พบกับความเป็นจริงได้”

ตามตาต้องใจ เรื่องของเด็กหญิงต้องใจ นักเรียนชั้นปีที่ 4 เธอเป็นเด็กที่มีความคิดต่างจากเพื่อนๆ เธอไม่ชอบเรียนวิชาคณิตศาสตร์เพราะเธอไม่เข้าใจว่าทำไมหนึ่งบวกหนึ่งต้องเท่ากับสอง เพราะในความเข้าใจของเธอหนึ่งบวกหนึ่งน่าจะเท่ากับสามหรือมากกว่าสาม ทุกครั้งที่เธอตอบคำถามเธอจะตอบตามเพื่อน แต่ในความคิดของเธอนั้นขัดแย้งอยู่เสมอ การที่เธอต้องตอบตามความคิดของครูและเพื่อนๆนั้น เพียงเพราะเธอคิดว่าสิ่งนั้นจะทำให้เธออยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข ไม่แปลกไปจากสังคมเท่านั้นเอง

ตื้น-ลึก-หนา-บาง เรื่องของนักเดินทางคนหนึ่ง เขามักจะเดินทางไปท่องเที่ยว และได้พบเห็นสิ่งต่างๆมากมาย วันหนึ่งเขาได้พูดว่าตัวเขาพบของที่เป็นความลับ แต่ไม่ได้เปิดเผยให้ใครรู้ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ ในที่สุดเขาก็ได้ตกลงจะเปิดเผยความลับของเขา ขณะที่เขาจะเปิดเผย เขาก็ได้คิดว่า ทำไมทุกคนถึงไม่ถามถึงสิ่งที่เขาได้ไปพบขณะที่ท่องเที่ยว ซึ่งน่าสนใจกว่าความลับที่เขาเก็บไว้ แต่ในที่สุดขณะที่เขาให้สัมภาษณ์ในรายการ เขาได้บอกพิธีกรและผู้ชมว่า ตัวเขาจำไม่ได้แล้วว่าความลับคืออะไร เพราะ “ความลับไม่มีในโลก”

“ความน่าจะเป็น” วรรณกรรมที่น่าจะถือได้ว่าเป็นตัวแทนความคิดของคนรุ่นใหม่ ปราบดาเป็นนักเขียนที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ช่างสังเกตชีวิตและพฤติกรรมมนุษย์ วิพากษ์วิจารณ์สังคมและค่านิยมของงยุคสมัย แล้วนำมาล้อเลียนเสียดสีด้วยอารมณ์ขันอย่างเฉียบคม ซึ่งได้แสดงความสามารถของผู้เขียนในการนำเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องมาเขียนให้เป็นเรื่องที่น่าขบคิดหรือตั้งคำถามโดยไม่ให้คำตอบ ทำให้เรื่องสั้นในหนังสือรวมเรื่องสั้นชุดนี้มีลีลา และกลวิธีการเขียนเฉพาะตัว และมีความหลากหลาย แปลกใหม่ในด้านกลวิธีและขนบวรรณศิลป์ นอกจากนี้ยังมีความโดดเด่นในด้านการเล่นกับภาษาอย่างมีรากฐานทางวัฒนธรรม อีกทั้งเป็นคำถามปลายเปิดให้ผู้อ่านมีส่วนร่วมด้วย

ในแต่ละเรื่อง ปราบดา แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมของมนุษย์ได้อย่างชัดเจน ทั้งในด้านความคิด ความอยากรู้อยากเห็น ความกลัว สิ่งเหล่านี้อยู่ในตัวของมนุษย์ทุกๆคน ดังนั้นแต่ละเรื่องที่เขานำมาเสนอในรูปแบบของเรื่องสั้นนั้น ได้แสดงให้เห็นถึงความคิดของตัวเขาในอีกมุมมองหนึ่งที่แตกต่างไปจากมุมมองของคนทั่วไปในสังคม

เรื่องสั้นทั้ง 13 เรื่องได้สะท้อนให้เห็นว่า สังคมของเรากำลังอ่อนแอลงอย่างมากโดยเฉพาะความอ่อนแอทางด้านความคิด ความเป็นอัตลักษณ์ของแต่ละคนกำลังถูกทำลายลง เพราะจุดที่แต่ละคนยืนอยู่นั้นมาพร้อมกับคำว่าอิทธิพล ซึ่งมาคู่กับคำว่าอำนาจ ชนิดที่แยกจากกันไม่ได้ คิดแต่เพียงว่าหากขัดขืนก็ตาย เชื่อตามก็รอด ทั้งๆที่บางครั้ง เชื่ออาจตาย ขัดขืนอาจรอดก็เป็นได้ และใครจะให้คำตอบได้ดีไปกว่าตัวของตัวเอง เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้น กับปัญหาที่กำลังจะขยายแผ่กว้างออกไป ความคิดที่อ่อนแอลง กับทางออกที่ควรจะเป็นก็คือ ตัวมนุษย์เอง เพราะ “มนุษย์ควรมีความเป็นตัวของตัวเอง มากกว่าจะถูกครอบงำจากความคิดของบุคคลอื่น”
ดังนั้น “ความน่าจะเป็น” นับเป็นเรื่องสั้นอีกเรื่องหนึ่งที่จะนำพาความคิดของท่านได้ให้ได้โลดแล่น และขุดคุ้ยความเป็นจริงภายในตัวตนของมนุษย์ ให้หลุดออกมาจากมุมมืดทางความคิดที่หมกตัวอยู่ในสังคมพร้อมด้วยปัญหามากมาย ผ่านท่วงทำนองที่เรียบเรียงเป็นตัวหนังสือ ของชายหนุ่มคนนี้ ปราบดา หยุ่น


ภัสวดี

นางนวลกับมวลแมวผู้สอนให้นกบิน


นางนวลกับมวลแมวผู้สอนให้นกบิน
ผู้เขียน:หลุยส์ เซปุล์เบดา
ผู้แปล :สถาพร ทิพยศักดิ์
สำนักพิมพ์ผีเสื้อ
ปีที่พิมพ์ 2551
176 หน้า ภาพประกอบ
249.50 บาท

นางนวลกับมวลแมวผู้สอนให้นกบิน เป็นเรื่องของซอร์บาส แมวดำอ้วนพีที่อาศัยอยู่ ณ หอคอยของโบสถ์ในเมืองฮัมบูร์กและผองเพื่อนท่าเรือ กับเจ้านกนางนวลที่บินมาตกที่หอคอยพร้อมร่างที่เปื้อนไปด้วยคราบน้ำมันจนไม่สามารถขยับปีกและบินต่อไปได้ เมื่อซอร์บาสเห็นดังนั้นก็พยายามที่จะช่วยเหลือ แต่สายไปเสียแล้ว นกนางนวลเคงกาฮ์อ่อนแรงจนใกล้จะสิ้นลม ทั้งสองจึงได้ให้สัญญากันที่จะช่วยดูแลลูกนกนางนวลหลังจากที่แม่นกตายไปแล้ว นี่จึงเกิดเป็นมิตรภาพเล็กๆของสัตว์ที่มีความเอื้ออาทรต่อกัน ซึ่งไม่ว่าใครได้อ่านก็คงจะอดทราบซึ้งกับความน่ารักนี้ไม่ได้

นางนวลกับมวลแมวผู้สอนให้นกบิน วรรณกรรมที่เสนอแง่มุมชวนคิดให้กับสังคมนี้ เป็นผลงานของ หลุยส์ เซปุล์เบดา นักเขียนชาวชิลีที่เป็นที่รู้จักและยอมรับในยุโรปและอเมริกา ด้วยฝีไม้ลายมือที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆได้อย่างละเมียดละไม และยังแฝงข้อคิดให้กับผู้อ่านได้อย่างแนบเนียน เขายังเป็นทั้งนักเล่านิทาน นักเขียนนวนิยาย นักสร้างภาพยนตร์ และนักเดินทางอีกด้วย งานเขียนของเขาจึงมีหลากหลายแนวแตกต่างกันไป จึงไม่แปลกที่เขาจะได้การ
ยกย่องว่าเป็นนักเขียนที่ยิ่งใหญ่อีกคนหนึ่งของศตวรรษรองจาก กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ นักเขียนที่ครองใจชาวยุโรป ดังนั้นผลงานวรรณกรรมของเขาจึงได้รับรางวัลอย่างมากมาย

หลุยส์ เซปุล์เบดา ใช้ภาษาที่เรียบง่ายชัดเจน ผู้อ่านจึงสามารถเข้าใจได้ง่าย ไม่ต้องตีความความหมายให้ซับซ้อน แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้ทำให้วรรณกรรมเรื่องนี้ด้อยค่าลงกว่าเดิมแม้แต่น้อย และยังคงเสน่ห์ที่น่ารักของแนวคิดที่ไม่ซ้ำแบบใคร รวมถึงบรรยากาศการเล่าเรื่องท่ามกลางสภาพความเป็นจริงก็ยิ่งทำให้วรรณกรรมเรื่องนี้สามารถเข้าไปอยู่ในใจผู้อ่านได้โดยไม่รู้ตัว

“ ฟังฉันนะ ฉันอยากช่วยเธอ แต่ไม่รู้จะช่วยยังไง ต้องพยายามพักผ่อนนะ ฉันจะไปปรึกษาว่า ช่วยนกนางนวลไม่สบายได้ยังไง” จากคำกล่าวของซอร์บาสแมวผู้มีเมตตาบอกกับนกนางนวลที่กำลังจะสิ้นลม เราจึงได้เห็นน้ำใจของผองสัตว์ที่เกื้อกูลต่อกัน และการรักษาสัญญาที่ให้ไว้ต่อกัน รวมถึงการพึ่งพาอาศัยและช่วยเหลือกัน โดยที่ไม่แยกว่าใครมาจากไหน เป็นพวกเดียวกันหรือไม่ ซึ่งถ้าเปรียบกับสังคมในปัจจุบันแล้วก็คงจะหาได้ยากที่จะมีใครเคร่งครัดกับคำพูดของตนเองและช่วยเหลือผู้อื่นอย่างสุดความสามารถเช่นนี้

วิธีการดำเนินเรื่องของวรรณกรรมเรื่องนี้ เป็นไปอย่างเรียบง่ายแต่ก็แฝงประเด็นชวนคิดต่างๆ ไว้ให้ผู้อ่านได้คิดหาคำตอบว่า มวลแมวทั้งหลายจะมีวิธีการแก้ไขปัญหาอย่างไร ไม่ใช่เพียงแค่รักษาสัญญาว่าจะไม่จับลูกนกกินเท่านั้น แต่พวกเขายังต้องดูแลลูกนกให้เติบโตขึ้น ซึ่งปัญหาที่สำคัญที่สุดก็คือ พวกเขาต้องสอนให้ลูกนกนั้น “บิน” ทั้งๆที่พวกเขาก็ไม่เคยบินมาก่อน “...เธอเป็นนกนางนวล เธอจะบินได้ ถ้าบินได้เมื่อใด โชคดี ฉันแน่ใจว่าเธอจะมีความสุขและในตอนนั้น ความรู้สึกของเธอที่มีต่อพวกเรา และความรู้สึกของเราที่มีจะยิ่งทรงพลังและงดงามยิ่งขึ้น เพราะเป็นความรักระหว่างสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง” ในเรื่องการบินแม้จะถือเป็นเรื่องยากที่แมวอย่างพวกเขาจะทำได้ แต่ด้วยพยายามบวกกับปฏิภาณไหวพริบ พวกเขาก็สามารถทำได้สำเร็จ

หากใครกำลังมองหาหนังสืออ่านสบายๆ ที่เต็มไปด้วยข้อคิดดีๆ ก็คงจะต้องลองเปิดใจให้กับวรรณกรรมเรื่องเยี่ยมอย่าง นางนวลกับมวลแมวผู้สอนให้นกบิน ได้เข้าไปสร้างความเบิกบานที่โอบล้อมด้วยมิตรภาพอันแสนอบอุ่นสักครั้ง และด้วยความน่ารักของวรรณกรรมเรื่องนี้ที่อ่านได้ทุกเพศทุกวัย จึงไม่แปลกที่ผู้เขียนจะกล่าวไว้อย่างขำขันว่าเป็น “ วรรณกรรมสำหรับผู้อ่านอายุ 8-88 ปี ”

“ฉันเคยได้ยินเขาอ่าน สิ่งที่เขาเขียนเป็นถ้อยคำไพเราะทำให้รู้สึกยินดี บางครั้งก็ให้เศร้าใจ แต่มักทำให้หัวใจเป็นสุขและอยากฟังต่อ”


ภัทราภรณ์

เข็มทิศชีวิต


เข็มทิศชีวิต
ฐิตินาถ ณ พัทลุง
พิมพ์ครั้งที่ 53 พ.ศ. 2551
สำนักพิมพ์วงกลม
206 หน้า ภาพประกอบ
180 บาท


ปัจจุบันในยุคที่สังคมให้ความสำคัญกับวัตถุนิยม เงินเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิต ดิฉันเชื่อว่าคงมีคนจำนวนไม่น้อยที่ต้องประสบปัญหาและหาทางออกไม่ได้จนในที่สุดต้องฆ่าตัวตาย ทั้งที่ปัญหาเหล่านั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลย แต่สำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งที่ต้องแบกรับหนี้เกือบร้อยล้าน อีกทั้งสามีก็ยังด่วนจากไป ทิ้งให้เธอต้องเลี้ยงลูกเพียงลำพังแล้ว เธอฝ่าฟันอุปสรรคเหล่านั้นมาได้อย่างไร และอะไรคือสิ่งที่ทำให้เธอสามารถลุกขึ้นมาต่อสู้กับปัญหาได้ “เข็มทิศชีวิต” เป็นหนังสือที่จะให้คำตอบแก่ทุกๆคนที่ยังหาทางออกให้กับปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ไม่ได้

ฐิตินาถ ณ พัทลุง จบการศึกษาระดับปริญญาโทจากประเทศอังกฤษ มีธุรกิจส่วนตัว มีชีวิตที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์เพียบพร้อมอย่างที่หลายๆคนพึงปรารถนา แต่แล้ววันหนึ่งชีวิตของเธอก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ มีหนี้สินท่วมตัว แต่ด้วยการที่เธอสามารถหาเข็มทิศในชีวิตของตนเองเจอ จึงทำให้เธอกลับมามีชีวิตที่เป็นสุขอีกครั้งและยังได้นำเอาประสบการณ์ความทุกข์เหล่านั้นมาจุดประกายความหวังให้แก่ผู้คนที่กำลังจ่อมจมอยู่ในห้วงความทุกข์จากการใช้ชีวิตโดยไม่มีเข็มทิศที่จะนำทางไปสู่ความสุข

เข็มทิศชีวิตนอกจากจะเล่าถึงประสบการณ์ที่ผู้เขียนได้เผชิญมาแล้ว ยังให้แง่มุมเกี่ยวกับการใช้ชีวิตอีกมากมาย ผู้เขียนได้เล่าเรื่องราวของตนสลับกับการสอดแทรกแง่คิดและมุมมองใหม่ๆที่เป็นประโยชน์ นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าประกอบอีกมากมาย อีกทั้งยังใช้สำนวนการเขียนที่ทำให้รู้สึกราวกับว่าผู้เขียนกำลังสนทนาอยู่กับผู้อ่าน เป็นกันเองและเข้าใจได้ง่าย

ผู้เขียนได้ชี้ให้เห็นว่าการที่มนุษย์เราเป็นทุกข์นั้น สาเหตุไม่ได้มาจากสิ่งอื่นใดเลยนอกจากใจของเราเอง มนุษย์เราไม่เคยหยุดทบทวนจิตใจตนเอง ปล่อยใจให้ยืดไปยึดติดกับสิ่งอื่นตลอดเวลา ผู้คนในปัจจุบันมากมายที่ยึดติดกับสิ่งนอกกายและเป็นทุกข์กับสิ่งเหล่านั้นโดยไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้ว ใจของเราเองที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์ โดยผู้เขียนได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับลิงตัวหนึ่งซึ่งมีคนแกล้งเอากะปิมาป้าย เจ้าลิงเกลียดกะปิที่สุดในชีวิตเมื่อเอามือมาสูดดมแล้วก็ถูมือไปกับสิ่งต่างๆจนเลือดไหลท่วมมือ ก็เหมือนมนุษย์เราเมื่อเวลามีทุกข์ก็มักจะเก็บเอาความทุกข์เหล่านั้นมาทิ่มแทงตัวเองเสมอ หากเราเพียงแค่ปล่อยความทุกข์นั้นไปและไม่เก็บมาคิด เราก็จะไม่ต้องเจ็บปวดกับสิ่งเหล่านั้นอีก

และสิ่งที่ดิฉันประทับใจมากที่สุดคือเรื่องแก้วที่ไม่เคยพอ คนเรามักจะหาสิ่งต่างๆมาเติมเต็มให้ชีวิตเสมอ โดยที่ไม่ได้มองดูว่าตนได้กำหนดขอบเขตความพอเพียงไว้แค่ไหน หากเปรียบความต้องการเป็นเหมือนแก้วหนึ่งใบ เราก็มักจะคิดว่าต้องหาน้ำมาเติมให้เต็ม แต่ความจริงแล้วน้ำในแก้วนั้นจะไม่มีวันเต็มได้เพราะความอยากในใจเราไม่เคยหยุด หากเราจะลองหยุดทบทวนสักนิดแล้วเลือกที่จะปรับขนาดแก้วซึ่งก็คือความอยากในใจของเราให้ลดน้อยลงแล้ว ใจเราก็จะมีความสุขไม่ต้องไขว่คว้าสิ่งอื่นใดมาเติมเต็มอีก อย่างเช่นผู้คนในปัจจุบันที่มักจะยึดติดกับสิ่งนอกกาย เมื่อจะซื้อรถยนต์สักคันก็ต้องเลือกแบบที่โก้หรูเพื่ออวดความมั่งมีของตน แต่เมื่อเห็นคนอื่นมีรถที่โก้หรูกว่า ก็พยายามไขว่คว้ามาเป็นของตนเองบ้าง หากผู้คนเหล่านี้ไม่ยึดติดความสวยงามแล้วหันมาเลือกรถที่ให้ประโยชน์การใช้งานมากที่สุดแล้ว ก็คงจะไม่ต้องทุกข์ใจกับการที่ตนไม่มีรถยนต์โก้หรูเหมือนคนอื่น

นอกจากเรื่องราวสนุกๆเหล่านี้แล้ว ยังมีสาระและแง่คิดอีกมากมายที่คอยให้ผู้อ่านได้เข้าไปสัมผัส ผู้เขียนได้แนะนำทางออกง่ายๆในการแก้ปัญหาซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินความสามารถของเราเลย แต่หลายๆคนกลับมองไม่เห็น โดยเริ่มจากการหยุดทบทวนตนเอง รู้จักที่ธรรมชาติของจิตใจ นำไปสู่การกำหนดเป้าหมายของชีวิตและการปฏิบัติตนเพื่อให้ชีวิตเป็นสุข เรียกได้ว่าเป็นหนังสือ How to ที่กลั่นมาจากประสบการณ์ชีวิต บอกทุกขั้นตอนอย่างละเอียดเลยทีเดียว
ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยที่ “เข็มทิศชีวิต”ผลงานเล่มแรกในชีวิตของผู้หญิงที่ชื่อ ฐิตินาถ ณ พัทลุง เล่มนี้จะไต่อันดับหนังสือขายดีอย่างรวดเร็วและได้ตีพิมพ์ถึง 53 ครั้งภายในเวลาเพียง 4ปีเท่านั้น

สำหรับตัวดิฉันเองแล้ว “เข็มทิศชีวิต” เป็นหนังสือที่ไม่เพียงแต่ให้ความรู้และแง่คิดดีๆเท่านั้น หากแต่ยังทำให้ดิฉันหันกลับมามองตัวเองและหยุดทบทวนการกระทำที่ผ่านมา และได้พบว่าตัวเองให้ความสำคัญกับสิ่งนอกกายมากกว่าจิตใจเสียอีก บางครั้งถึงกับละเลยสิ่งรอบตัว มองไม่เห็นความรัก ความปรารถนาดีจากคนที่หวังดีกับเราอย่างครอบครัวหรือเพื่อนฝูง เพราะได้แต่เอาเวลาไปทุ่มเทกับสิ่งที่จะให้ความสุขเพียงชั่วครู่ชั่วยาม และจมอยู่กับความทุกข์เมื่อไม่ได้สิ่งเหล่านั้นสมดังปรารถนา ต้องขอบคุณ “เข็มทิศชีวิต” ที่เป็นเหมือนแว่นตา ทำให้คนสายตาสั้นไม่เคยมองเห็นสิ่งอื่นใดนอกจากความสุขจอมปลอมอย่างดิฉัน ได้เห็นว่าความสุขที่แท้จริงคืออะไร

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ไม่พอใจในสิ่งที่ตนมี มีเท่าไรก็ไม่พอ หรือรู้สึกว่าปัญหาที่เผชิญอยู่ดูเหมือนจะไม่มีทางออก ไม่รู้ว่าจะหาความสุขในชีวิตได้ที่ไหนแล้วละก็ “เข็มทิศชีวิต” เป็นหนังสือที่จะให้คำตอบแก่ทุกๆคำถามของคุณด้วยเนื้อหาที่กลั่นมาจากประสบการณ์จริง และลีลาการเขียนที่ทำให้เพลิดเพลินราวกับได้ฟังเรื่องราวจากปากของผู้เขียนเอง สำหรับใครที่ยังหาเข็มทิศในชีวิตของตนไม่เจอ หนังสือเล่มนี้อาจจะเป็นเข็มทิศที่ช่วยชี้คำตอบที่แท้จริงให้แก่ชีวิตคุณก็เป็นได้

ภัทราพร

ช่างสำราญ


ช่างสำราญ
เดือนวาด พิมวนา
พิมพ์ครั้งที่ ๑๓
สำนักพิมพ์สามัญชน
๒๔๐ หน้า
๑๗๕ บาท



ในปี พ.ศ. ๒๕๔๖ ช่วงชีวิตที่เรียกได้ว่าช่างสำราญของเดือนวาด พิมวนาได้เกิดขึ้น จากนวนิยายเล่มแรกไปสู่รางวัลที่เป็นความภูมิใจยิ่งในด้านวรรณกรรม นวนิยายเรื่องช่างสำราญของเดือนวาด พิมวนาได้รับรางวัลซีไรต์ในปี พ.ศ. ๒๕๔๖ นี้เอง พลังงานในการสร้างสรรค์

นวนิยายเล่มนี้ได้สร้างงานเขียนที่สื่อให้เห็นถึงความแปลกใหม่ในแง่มุมการนำเสนอเรื่องราวของชีวิตที่แสนเศร้าออกมาด้วยอารมณ์ขันและการมองโลกในแง่ดี
ช่างสำราญ นวนิยายที่ทำให้ผู้อ่านมองสภาพสังคมที่มีแต่ความทุกข์ยากของมนุษย์ด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำใจของเพื่อนร่วมโลก นี่คือนวนิยายอันเรียบง่ายที่แสดงให้เห็นถึงระบบความสัมพันธ์ทางสังคมที่ผู้เขียนต้องการเสนอในเชิงบวก เพื่อให้ชีวิตที่ถูกละเลยในมุมหนึ่งของสังคมได้สลายหายไปในสักวันหนึ่ง ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีต่างๆบนโลกใบนี้จะก้าวหน้าไปเพียงใดก็ตาม แต่ความรู้สึกและการดำเนินชีวิตของมนุษย์จำนวนหนึ่งก็ยังคงหาความสงบสุขได้ยากเช่นเดิม ดังคำกล่าวที่ว่า “มนุษย์ตะกายฝันไปสู่ดวงดาวจนมองไม่เห็นรอยราวบนฐานราก”

“กำพล” ช่างสำราญ เด็กชายวัย ๕ ปี ซึ่งอาศัยอยู่บริเวณห้องแถวของคุณแม่ทองจันทร์ โดยอยู่กับพ่อแม่และน้องชายของเขาอีกหนึ่งคน และในเวลาต่อมาแม่ของเขาไปมีชู้ พ่อและแม่จึงตัดสินใจแยกทางกัน พ่อจึงพาน้องของกำพลไปหาที่อยู่ใหม่และบอกให้กำพลรออยู่ที่เดิมก่อน แล้วสัญญาว่าจะมารับ ข่าวกำพลถูกทิ้งทำให้ชาวบ้านในละแวกนั้นเกิดความสงสารจึงให้ความช่วยเหลือกำพลทั้งในด้านที่อยู่อาศัยและอาหาร ด้วยน้ำใจของชาวบ้านจึงช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตของกำพลไว้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามกำพลก็ยังหวังว่าในสักวันหนึ่งครอบครัวของเขาจะกลับมาอยู่ด้วยกันเช่นเดิม

ตัวละครต่างๆในเรื่องช่างสำราญนี้ คงจะพบเห็นได้ในสังคมสมัยก่อนที่จะให้ความช่วยเหลือต่อผู้ยากไร้ด้วยหัวใจที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำใจที่แสนงดงาม ถึงแม้ว่าจะได้พบเห็นบุคคลเช่นนี้ในสังคมปัจจุบันก็คงจะเหลือน้อยลงเต็มที แต่เรื่องราวชีวิตของ“กำพล” ซึ่งเป็นตัวละครเอกของเรื่องนั้นกลับพบเห็นได้ง่ายยิ่งกว่า เพราะสะท้อนให้เห็นถึงความทุกข์ยากในการดำเนินชีวิตที่ต้องดิ้นรนต่อสู้และฝากความสุขของชีวิตไว้กับความหวังอันเลื่อนลอยที่ยังคงมาไม่ถึงสักที แต่ถึงอย่างไรก็ตาม “สายพานแห่งวันเวลา” ของคนเหล่านี้ก็ยังคงเคลื่อนที่ต่อไปอย่างสม่ำเสมอในสังคม

ข้าพเจ้าคิดว่าเรื่องราวชีวิตที่เกิดขึ้นในแต่ละตอนในเรื่องช่างสำราญนั้น สามารถประสบพบเห็นได้โดยทั่วไป เป็นเรื่องราวที่แสนจะธรรมดาสามัญสำหรับชีวิตของมนุษย์ แต่ละตอนของช่างสำราญจึงไม่ลืมที่จะแฝงข้อคิดหรือการเย้ยหยันสังคมเล็กๆน้อยๆของผู้เขียนไปหากแต่ผู้อ่านได้พินิจพิจารณาแต่ละตอนอย่างถี่ถ้วนแล้วก็คงจะรับสารที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อได้อย่างดีทีเดียว เช่น ตอน “เด็กโชคดี” เมื่ออ่านแล้วเกิดรอยยิ้มบนใบหน้าและเกิดการทำงานของเส้นความคิดในสมองแล้ว สารของผู้เขียนในตอนนี้ก็คงจะสื่อมาถึงผู้อ่านได้อย่างสมบูรณ์แบบแต่ในบางตอนของเรื่องนั้น สารที่ผู้เขียนต้องการเสนอกลับทำให้ผู้อ่านหัวเราะไม่ออกได้เช่นกัน จึงทำให้ความแปลกและแตกต่างของหนังสือเล่มนี้ดึงดูดความสนใจยิ่งขึ้น

ปกสีครีมเข้มที่มีภาพเด็กผู้ชายยืนหันหลังไปมองการจากไปของรถบรรทุกสีฟ้า ประกอบกับชื่อเรื่องที่ขัดแย้งกับภาพแล้ว น่าจะทำให้ผู้ที่เดินเลือกหนังสืออยู่เอื่อมมือไปหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาดูด้วยแรงดึงดูดของความสงสัยภายในใจ ว่าหนังสือที่มีสัญลักษณ์ของรางวัล ซีไรต์อยู่บนปกเล่มนี้มีความน่าสนใจเพียงใดถึงได้ครอบครองรางวัลนี้ไปในปี ๒๕๔๖

ข้าพเจ้าเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีความหวังที่จะมองเห็นเพื่อนร่วมสายพันธุ์เดียวกันอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข นวนิยายเรื่องช่างสำราญเล่มนี้ก็เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่จะช่วยแต่งเติมความฝันและสานความหวังไว้ในใจของผู้อ่านได้เป็นอย่างดี รวมทั้งการใช้ภาษาที่สละสลวย ข้อคิดที่สอดแทรกไว้ในแต่ละตอนที่จะช่วยปลุกจิตใจของมนุษย์ให้ตื่นขึ้นเพื่อโลกที่สงบสุขและสันติ ดังนั้นหากคุณกำลังมองหาหนังสือสักเล่มหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงขอแนะนำหนังสือที่สามารถทำให้หัวใจสำราญด้วยช่างสำราญเล่มนี้


ภัทรา