วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

Unfortunate Events อยากให้เรื่องนี้ไม่มีโชคร้าย


นางสาวภัสวดี อิฐรัตน์
05490292

เรื่องย่อ

เรื่องราวเกี่ยวกับเด็กๆบ้านโบตแลนด์ที่ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า เพราะพ่อและแม่ของพวกเขาเสียชีวิตด้วยสาเหตุที่ยังลึกลับและเป็นปริศนา โดยบ้านโบตแลนด์เกิดเพลิงไหม้โดยสาเหตุเกิดมาจากหารหักเหของแสง ซึ่งมากจากที่ไกลมากๆ ด้วยเหตุนี้เองเด็กทั้งสามคนจึงต้องย้ายไปอยู่กับบ้านของคนต่างๆโดยที่ โพล นายธนาคาร ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้จัดการมรดกของเด็กๆ เรียกว่าเป็นญาติของพวกเธอ ทั้งๆที่ความเป็นจริงนั้น บ้านที่พวกเขาไปอยู่ด้วยกลับไม่ใช่ญาติของพวกเขาเลยแม้แต่คนเดียว บ้านหลังแรกที่พวกเขาได้ไปอยู่นั้นก็คือ บ้านของ เคานท์ โอลาฟ ชายวัยกลางคน ที่มีหน้าตาอัปลักษณ์ แถมยังจิตใจสกปรกอีกด้วย เขารับเลี้ยงดูเด็กๆทั้งสามโดยเสแสร้งว่ารักและเอ็นดู ทั้งที่จริงๆแล้วเขาใช้งานเด็กทั้งสามอย่างหนักและหลังจากเด็กๆทำงานเสร็จทุกวันเขาก็จะเข้าไปยังหอคอยบนชั้นบนสุดของบ้าน ซึ่งที่เป็นห้องที่เด็กๆทั้งสามไม่สามารถเข้าได้


ท่านเคานท์นั้นแท้จริงแล้วต้องการเพียงสมบัติของเด็กๆที่พ่อและแม่ทิ้งไว้ให้ แต่จะได้ก็ต่อเมื่อไวโอเลต ลูกสาวคนโตอายุครบสิบแปดปี ปีแล้วเท่านั้น วันหนึ่งเขาพยายามจะฆ่าเด็กทั้งสามโดยการทิ้งไว้บนรถซึ่งจอดอยู่บนรางรถไฟ แต่ด้วยความที่เป็นนักประดิษฐ์ของพี่สาวและการรักการอ่านของลูกชายคนกลาง รวมทั้งการเป็นนักกัดของลูกคนเล็ก ก็ทำให้ทั้งสามรอดพ้นจากการตายมาได้ หลังจากนั้น ทั้งสามได้ย้ายไปอยู่กับคุณลุงมอลโกเมอร์รี่ นักวิทยาศาสตร์ที่หลงใหลเรื่องต่างๆเกี่ยวกับสัตว์เลื้อยคลาน โดยเฉพาะงู เด็กทั้งสามรู้สึกดีกับการที่ได้อยู่ที่นี่ แต่ไม่นานนัก เคานท์ โอลาฟ ก็ปลอมตัวมาและก็ฆ่าลุงของเด็กๆทั้งสามได้สำเร็จ

จากนั้นเด็กๆทั้งสามก็ต้องย้ายไปอยู่กับป้าโจโซฟิน ผู้ที่รักไวยากรณ์เป็นชีวิตจิตใจ เธอบอกว่า ไวยากรณ์คือความสุขของเธอ แต่สิ่งที่เด็กๆทั้งสามสงสัยมาตลอดนั้นก็คือ กล้องส่องทางไกล ที่ไม่ว่าเด็กทั้งสามจะไปอยู่ที่บ้านหลังใดก็จะพบว่าคนเหล่านั้นมีกล้องส่องทางไกล แบบเดียวกันกับที่พ่อและแม่ของเธอมี จนมาพบกับรูปที่ป้าเอาให้ดู พวกเขาเห็นพ่อกับแม่และคนอีกหลายคนที่เขาย้ายไปพักอาศัยด้วย แต่ก็ไม่ได้คำตอบอะไร จนวันหนึ่ง เคานท์ โอลาฟ ก็ปลอมตัวมาอีกครั้ง จนที่สุด ป้าก็ทิ้งเบาะแสไว้ ด้วยความสาวมารถของเคล้า นักอ่านก็สามารถแล่นเรื่อไปยังที่ที่ป้าซ่อนตัวอยู่ได้ แต่สุดท้ายป้าก็ตาย และเด็กๆทั้งสามก็ต้องกลับไปอยู่กับเคานท์ โอลาฟอีกครั้ง

แต่เรื่องก็พลิกผันเมื่อเคานท์ โอลาฟทราบว่าเขาจะไม่ได้อะไรเลยหากเด็กๆทั้งสามเป็นอะไรไป แต่เขาจะได้สมบัติหากเขาแต่งงานกับไวโอเลต ดังนั้นเขาจึงจัดละครขึ้นเพื่อบังหน้าที่จะแต่งกับไวโอเลต โดยจับซันนี่น้องสาวคนเล็กไว้เป็นตัวประกัน แต่พี่ชายคนกลางก็สามารถช่วยน้องได้สำเร็จและค้นพบความจริงบนห้องใต้หลังคาที่โดนปิดบังมาตลอดคือ การฆาตกรรมพ่อและแม่ของพวกเขานั้นเอง เขาได้พบว่า ดวงตา บนหอคอยที่หักเหแสงไปยังบ้านของพวกเขาจนเกิดเหตุหารณ์น่าสลดนั้นก็คือ เคานท์ โอลาฟ ชายหน้าตาน่าเกลียดคนนี้นี่เอง แม้สุดท้ายนั้นเคานท์ โอลาฟจะพ้นข้อหา โดยการช่วยเหลือจากเพื่อนอัยการของเขาแต่ทางการก็ยังพยายามจับกุมเขาอยู่ สุดท้ายแล้วเด็กๆก็กลับไปที่บ้านและพบว่าพ่อแม่และได้ส่งจดหมายมาให้ เป็นเชิงคำสั่งเสียที่บอกให้ทั้งสามคนรักกันและดูแลกันให้ดีอย่างที่เป็นมาตลอด และทิ้งสิ่งที่น่าฉงนไว้ให้เด็กๆนั้นก็คือ กล้องส่องทางไกล แต่สิ่งที่เด็กๆได้รู้คือ ไม่ว่าพ่อแม่จะอยู่หรือไม่ พวกเขาก็ต้องก้าวต่อไปและดูแลกันและกันอย่างดีที่สุดตลอดไป

ตัวละคร

ไวโอเลต โบตแลนด์

พี่สาวคนโตของบ้าน เธอเป็นสาวน้อยนักประดิษฐ์ที่เก่งจนน่าแปลกใจ เธอสามารถนำสิ่งของต่างๆที่ไม่ใช่แล้วมาทำเป็นของต่างๆที่มีประโยชน์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

เคล้า โบตแลนด์

ลูกชายคนกลาง นักอ่านตัวยง บ้านโบตแลนด์แม้มีหนังสือมากมายเพียงแต่ แต่เขาก็อ่านมานจนหมดและสามารถจำทั้งหมดนั้นได้ ด้วยการอ่านเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

ซันนี่ โบตแลนด์

ลูกสาวคนสุดท้อง วัยเพียงสี่ขวบ ฟันเพียงสี่ซี่ที่กัดไปทุกอย่างที่มีในโลก

มิสเตอร์ โพล

นายธนาคารที่มีหน้าที่จัดการมรดกของเด็กๆทั้งสาม

เคานท์ โอลาฟ

ชายวัยกลางคน หน้าตาอัปลักษณ์ และท่าทางที่ออกจะไม่ค่อยสมประกอบ แต่งตัวประหลาด และอาชีพของเขานั้นก็คือ นักแสดง

ด๊อกเตอร์ มอลโกเมอร์รี่

ชายวัยกลางคนที่เด็กๆเรียกว่าลุง เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่หลงใหลในสัตว์เลื้อยคลาน โดยเฉพาะงู
เป็นชายใจดี แลดูแลเด็กๆด้วยความรักและเอ็นดูอย่างแท้จริง

ป้าโจโซฟีน

หญิงแก่ที่อยู่บ้านคนเดียวหลังจากที่สามีของเธอตายไป เมื่อก่อนเธอเป็นนักผจญภัยที่ยิ่งใหญ่แต่ปัจจุบันหลังจากที่สามีของเธอตายไป เธอกลายเป็นคนที่หวาดระแวงสิ่งต่างๆเกินเหตุตลอดเวลา และเป็นคนที่เก็บความลับเกี่ยวกับชมรมลับที่พ่อและแม่ของเด็กทั้งสามนั้นเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

ความสำคัญของเรื่อง

คนเราทุกคนย่อมต้องพบเจอเรื่องต่างๆที่เป็นอุปสรรคที่ผ่านเข้ามาในทุกช่วงเวลาของชีวิต และไม่ว่าอย่างไร เราต้องผ่านพ้นมันไปให้ได้ เช่นเดียวกับเด็กๆบ้านโบตแลนด์ทั้งสามคนที่ดูแลกันและกันอย่างดีด้วยความรักและความอดทนอย่างที่เคยเป็นมาเสมอ และเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นนั้น พวกเขาจะไม่สามารถผ่านพ้นมันไปได้เลยหากพวกเขาไม่มีความสามารถที่ตัวเองมีและฝึกฝนมาตลอดชีวิต ดังเช่นที่ ไวโอเลต เด็กนักประดิษฐ์ตัวน้อยที่สุดท้ายก็หาทางออกได้เสมอไม่ว่าจะเจอเรื่องร้ายแรงเพียงใด เคล้า น้องคนกลาง ที่รักการอ่านและอ่านทุกอย่างที่มี และสำคัญคือสามารถจำได้และนำมาใช้ได้อย่างถูกต้องอีกด้วย เพราะเขาเองจึงหาทางออกได้อยู่เสมอๆ แม้บางครั้งจะเป็นเพียงแค่ทฤษฏีเท่านั้น แต่ก็เป็นสิ่งที่สามารถทำให้พวกเขารอดพ้นจากเรื่องร้ายๆได้ และสุดท้ายน้องคนเล็ก ซันนี่ เด็กสี่ขวบกับฟันสี่ซี่ที่กัดทุกอย่างที่ขวางหน้า และไม่น้อยเลยที่หนูน้อยคนนี้ใช้ความสามารถของเธอช่วยพี่ๆให้ผ่านเรื่องต่างๆไปได้ ดังนั้น แม้เรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นของเด็กๆบ้านโบตแลนด์นั้นมีแต่เรื่องโชคร้ายมาตลอด แต่ความเป็นจริงแล้วอาจจะเรียกว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้ายก็ได้ที่เด็กๆทั้งสามคนนั้นเก่งในเรื่องที่ต่างๆกันออกไปและสามารถเอาความสามารถนั้นมาใช้ได้อย่างถูกที่ถูกเวลาอีกด้วย

Me myself ขอให้รักจงเจริญ


นางสาวจิราภรณ์ บุญจันทร์

05490066


“ผิดไหม หากใจฉันจะรักเธอ” หลายคนให้คำนิยามคำว่า “รัก” ในมุมมองที่ต่างกัน ดิฉันเป็นอีกคนหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับความรัก มองว่าความรักเป็นสิ่งสวยงาม และชอบปล่อยอารมณ์ให้อยู่ในห้วงแห่งความรัก โดยเฉพาะกับการชมภาพยนตร์แนวรักโรแมนติก มันทำให้เราได้เข้าใจมุมมองใหม่ๆของผู้อื่นที่เราอาจไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน

คำถามข้างต้นได้เกิดขึ้นในใจของดิฉัน หลังจากที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่อง Me myself ขอให้รักจงเจริญ เขียนบทโดย คงเดช จาตุรันต์รัศมี และกำกับโดย พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง เป็นเรื่องราวของอุ้ม หญิงที่เพิ่งอกหักจากกริช คนรักคนแรกของเธอ คืนหนึ่งเธอขับรถไปชนแทน ชายแปลกหน้า จนความจำเสื่อม เธอจึงต้องรับภาระดูแลแทนจนเวลาผ่านไป แทนเริ่มเข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตเธอมากขึ้น คอยเป็นกำลังใจเธอในเรื่องต่างๆ และทำให้ชีวิตเธอดีขึ้น ในขณะเดียวกัน ชีวิตที่แสนจะว่างเปล่าของแทน กลับค่อยๆถูกเติมเต็มจากอุ้ม จนในที่สุดทั้งคู่ก็ตกหลุมรักกัน แทนจึงไม่คิดจะตามหาอดีตของตัวเองอีกต่อไป เมื่อความทรงจำของแทนกลับคืนมา ทุกคนจึงได้ทราบความจริงว่าแทนเป็นสาวประเภทสอง แต่อุ้มและแทนก็ตัดสินใจที่จะรักกันต่อไป โดยไม่สนใจอดีต และเสียงสะท้อนใดๆจากสังคม

ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องราวความรักโดยการสื่อออกมาด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ตรงไปตรงมา แต่สามารถสร้างความสะเทือนอารมณ์และความประทับใจให้ผู้ชมได้ โดยเริ่มเรื่องจากอุ้มและแทน คนที่ไม่เคยรู้จักกัน กำลังมีปัญหาชีวิตเหมือนกัน เพราะอุบัติเหตุทำให้เขาได้รู้จักกันและได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน

ต่อมา ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ได้พัฒนาจากคนไม่รู้จักกันกลายเป็นคนรักกัน โดยทิ้งข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตในอดีตของแทนไว้ ทำให้เรื่องน่าติดตาม

หลังจากที่อุ้มและกริชได้มาพบกันในงานเลี้ยง ทำให้แทนคิดว่า อุ้มอาจจะกลับไปคืนดีกับกริช แทนจึงตัดสินใจตามหาอดีตของตัวเอง เป็นเหตุให้นำไปสู่จุดไคลแม็กซ์ของเรื่องคือ ความจริงได้ปรากฏว่าแทนเป็นสาวประเภทสอง ความรักของทั้งคู่จึงเกิดเป็นความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับสังคม

อย่างไรก็ตาม เขาทั้งสอง ก็เลือกที่จะรักกันต่อไป โดยไม่สนใจว่าอดีตของแทนเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นฉากปิดเรื่องที่ซึ้งและกินใจอย่างยิ่ง คงไม่มีเหตุผลใดที่ทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจเช่นนั้น นอกจากความรัก ความเข้าใจที่เขาทั้งสองมีต่อกัน

ดิฉันอาจตอบคำถามในใจไม่ได้ว่า ผิดไหม หากอุ้มจะรักแทน แต่ดิฉันคิดว่า สิ่งเดียวที่จะยึดเหนี่ยวจิตใจคนทั้งสองได้ก็คือ “รัก ” ขอเพียงยังรักกัน ต่อให้มีอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ ก็ยินดีทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ความรักจงเจริญอยู่ในหัวใจของคนทั้งสองตราบชั่วนิรันดร

Across the Universe


นส.สุฤดี ทองมอญ

05490436


เป็นเรื่องราวของ ความรัก สงครามและความขัดแย้ง เมื่อจู๊ด เด็กหนุ่มผู้รักศิลปะจากเมืองลิเวอร์พูลประเทศอังกฤษ ต้องการที่จะหลีกหนีจากความซ้ำซากจำเจ และการต้องเป็นกรรมกรท่าเรือ ไปสู่ดินแดนที่มีสิทธิเสรีภาพ เขาจึงตัดสินใจเดินทางไปอเมริกา ซึ่งไกลจากบ้านเกิดของเขาคนละซีกโลกอย่างผิดกฎหมาย และที่นั่น เขาได้พบกับหญิงสาวที่เพียบพร้อมทุกอย่าง ทั้งรูปร่างหน้าตาและฐานะทางสังคมผู้เปี่ยมไปด้วยความเข้มแข็งและอุดมการณ์ ลูซี่เป็นสาวน้อยที่ต้องสูญเสียคนรักจากสงคราม


หลังจากที่เดเนียลคนรักของเธอถูกส่งไปเป็นทหารในสงครามเวียดนาม จู๊ดได้ทำความรู้จักกับลูซี่ผ่านลูกพี่ลูกน้องของเธอซึ่งเป็นเพื่อนของเขา แม็กซ์ ซึ่งเป็นอีกคนที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม เขาเป็นอีกคนในชีวิตของลูซี่ที่ถูกส่งไปเป็นทหาร หลังจากนั้นจู๊ดกับลูซี่ก็เริ่มคบหากัน ด้วยเหตุที่ลูซี่รู้สึกว่าเธอได้รับผลกระทบโดยตรงจากสงคราม เธอจึงรู้สึกหวาดกลัวและต่อต้านสงคราม โดยเธอเข้าร่วมกับกลุ่มผู้ประท้วงเพื่อต่อต้านสงคราม การเข้าร่วมประท้วงของเธอในครั้งนี้ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเธอกับจู๊ด และหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ลูซี่หนีไปเพื่อทำตามอุดมการณ์ของเธอ และจู๊ดก็ได้พบเธอโดยบังเอิญขณะที่เธอกำลังร่วมกับกลุ่มผู้นำชุมนุมประท้วงอย่างรุนแรง และถูกกำลังตำรวจเข้าจับกุม เขาพยายามจะเข้าไปช่วยเธอ แต่นั่นกลับทำให้เขาถูกจับและส่งกลับประเทศอังกฤษ หลังจากที่เขากลับไปเขาก็ไม่เคยมีความสุข ลูซี่ก็เช่นกัน จู๊ดจึงตัดสินใจกลับมาหาเธออีกครั้งโดยเดินทางอย่างถูกกฎหมาย และเขากับเธอก็ได้พบกันในที่สุด

ดิฉันคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่ใช้ภาพและเพลงประกอบที่ให้ความรู้สึกได้ดี ด้วยเหตุที่ว่าเป็นภาพยนตร์เพลง การใช้เพลงเป็นสื่ออาจทำให้ผู้ชมได้รับรู้ถึงความรู้สึกของตัวละครได้ดีกว่าการใช้บทพูดทั่วไป เพราะภาษาที่ใช้ในบทเพลงเป็นภาษาที่มีความสละสลวยอยู่แล้ว อีกทั้งในภาพยนตร์เรื่องนี้ยังมีการใช้สัญลักษณ์ให้ผู้ชมได้ตีความกันอยู่ตลอดทั้งเรื่อง แต่หากผู้ชมดูเพียงเพื่อความบันเทิงแต่ไม่ได้สนใจในสัญลักษณ์เหล่านั้น ก็จะไม่ได้รับรู้ถึงรสของภาพยนตร์อย่างลึกซึ้งอย่างที่ผู้ทำภาพยนตร์ต้องการจะสื่อ


แต่การที่มีสัญลักษณ์ให้ตีความก็ทำให้ภาพยนตร์มีเรื่องราวและสาระมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ตอนเปิดเรื่อง เปิดด้วยฉากริมทะเลที่มีคลื่นซัดสาดอย่างรุนแรง ซ้อนด้วยภาพเรื่องราวต่างๆของเรื่อง ทั้งความรัก สงครามและการต่อสู้ ดิฉันคิดว่าที่เปิดฉากอย่างนี้เพราะ บ้านเกิดของพระเอกของเรื่องอยู่ติดท่าเรือ และคลื่นที่ถาโถมเข้ามาก็เปรียบกับการที่ต้องต่อสู้อย่างดุเดือดและรุนแรงเพื่อเสรีภาพ และฉากที่พระเอกของเรื่องใช้สตรอเบอรี่เพื่อทำงานศิลปะ แสดงถึงความรุนแรงและเลือดเนื้อที่ต้องเสียไปจากสงคราม การแสดงสัญลักษณ์เหล่านี้ทำให้ผู้ชมต้องติดตามและคิดตามตลอดทั้งเรื่อง


นอกจากการใช้สัญลักษณ์เป็นภาพแล้ว เพลงก็เป็นสื่อสัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้ชมได้มีอารมณ์ร่วมไปกับภาพยนตร์มากขึ้น บางครั้งก็ใช้เพลงเดียวกันแต่ใช้เล่าเรื่องในหลายอารมณ์ ทั้งอารมณ์รุนแรง เข้มแข็งและอ่อนไหว ใช้เพลงเล่าเรื่องได้อย่างลื่นไหลโดยที่ผู้ชมไม่รู้สึกขัดหูขัดตา

เมื่อพิจารณาจากชื่อเรื่อง Across the Universe ดิฉันสามารถวิเคราะห์ได้ว่า ไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลกันเพียงใด ทั้งในเรื่องระยะทาง ฐานะทางสังคม และความแตกต่างทางวัฒนธรรม แต่เมื่อคนสองคนมีความรักและความเข้าใจซึ่งกันและกัน แม้อยู่ไกลกันคนละจักรวาลก็สามารถที่จะมาพบและรักกันได้

จากนี้จะรักเธอตลอดไป (Now and Forever)


นส.ปิยะนุช กล่อมบรรจง

05490236


เนื้อเรื่องย่อ

มินซูชายหนุ่มผู้ผ่านความสัมพันธ์กับหญิงสาวแบบไร้ความหมายมากมายเพราะเขาคิดว่าความรักเป็นเพียงแค่เกมส์ แต่เมื่อวันหนึ่งมินซูพบกับแฮวอน หญิงสาวผู้มีความสุขมองโลกในแง่ดีและใสซื่อ แต่มีเวลาในชีวิตเหลืออีกไม่มากเนื่องจากป่วยเป็นโรคความดันในช่องอก มินซูพยายามทุกวิถีทางที่จะชนะใจแฮวอนให้ได้ โดยเข้ามาตรวจร่างกายในโรงพยาบาลที่แฮวอนพักรักษาตัวอยู่ เธออยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลานานแล้วเพราะต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด แต่ด้วยความเป็นคนร่าเริง รักสนุกของเธอทำให้ชอบหนีออกไปเที่ยวข้างนอกอยู่เสมอ มินซูจึงกลายเป็นเพื่อนร่วมเดินทางของเธอ ความรู้สึกของมินซูเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมเมื่อเขายิ่งใกล้ชิดกับแฮวอนมากขึ้น จนกระทั่งเขาบอกกับตัวเองและแฮวอนว่านี่คือความรัก รักที่ดูเหมือนกำลังดำเนินไปได้ด้วยดีก็กลับสะดุดลงเมื่ออาการของแฮวอนทรุดหนัก ในอีกด้านหนึ่งผลการตรวจร่างกายของมินซูแสดงว่าเขาเป็นเนื้องอกในสมองไม่มีทางรักษาหาย ทั้งคู่ต่างปกปิดอาการของตนโดยที่ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายทราบข่าวร้ายของกันและกันแล้ว แฮวอนขอออกจากโรงพยาบาลเพื่อใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายอย่างมีความสุขกับคนที่เธอรัก มินซูพาเธอไปทุกที่ที่เธอต้องการ ช่วงเวลาสุดท้ายจึงเป็นช่วงที่ดีที่สุดสำหรับทั้งคู่ ได้ใช้เวลาร่วมกันและต่างบอกความรู้สึกของกันและกัน เพราะกลัวว่าจะไม่มีโอกาศได้บอกอีกต่อไป สุดท้ายแฮวอนก็จากไปเหลือไว้แต่ความรักที่มีอยู่เต็มหัวใจในร่างกายที่อ่อนแอเต็มทีของมินซู

ชื่อเรื่อง

ชื่อนี้เป็นชื่อเรื่องที่ดูแล้วสอดคล้องกับเนื้อหาของภาพยนตร์ เนื่องจากเป็นการสะท้อนให้เห็นประเด็นสำคัญของตัวละครเอก คือเมื่อตัวละครเอกทั้งสองได้รักกันก็พร้อมที่จะมั่นคงกับความรู้สึกนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ถึงแม้ว่าจะผ่านอดีตที่ไร้จุดหมายและมองไปเห็นอนาคตที่ไม่แน่นอน ทั้งคู่ก็คิดจะเป็นคนสุดท้ายของกันและกันเหมือนเป็นคำมั่นว่าจากนี้จะไม่เปลี่ยนใจ
ประเด็นสำคัญ
ความรักที่ตัวละครเอกทั้งสองมีต่อกัน

ฉาก

ภาพยนตร์เรื่องนี้มีการเปิดเรื่องด้วยฉากที่บอกความเป็นตัวตนของตัวละครเอกฝ่ายชายเป็นฉากที่เขาพยายามทจะสลัดความสัมพันธ์กับหญิงสาวที่เขามีความสัมพันธ์ด้วยคนหนึ่ง ฉากนี้ทำให้ผู้ชมทราบว่าเขามีลักษณะเป็นเพลบอย เมื่อเรื่องดำเนินไปจนถึงพบรักกับตัวละครเอกฝ่ายหญิงและยอมที่จะเปลี่ยนตัวเองเพื่อความรัก จากชายรักสนุกมาอยู่กับหญิงขี้โรคใกล้ตาย เมื่อแฮวอนตาย ภาพลักษณ์การเป็นเพลบอยของมินซูก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ช่วยดึงอารมณ์ผู้ชมให้สงสารเห็นใจและมีอารมณ์เศร้าคล้อยตามมินซูไปด้วย

ปิดเรื่องด้วยฉากที่มินซูนั่งร้องไห้ดู VDO message ของแฮวอนที่ถ่ายไว้ก่อนตายและบอกเล่าความรู้สึกที่เธอมีต่อคนรัก เบื้องหลังเป็นฉากต้นไม้สองต้นที่โน้มกิ่งเข้าหากัน จนผู้ที่มองจากไกลๆจะคิดว่าเป็นต้นไม้ต้นเดียวกัน สถานที่และต้นไม้คู่นี้เป็นที่ที่แฮวอนชอบมาก ฉากนี้มีต้นไม้เป็นสัญลักษณ์ที่ตอกย้ำให้ผู้ชมรู้ว่าความรักของทั้งสองจะยังคงอยู่และค้ำจุนกันและกันเหมือนต้นไม้สองต้นนี้ ถึงแม้ว่าเขาและเธอจะไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกแล้วก็ตาม

ตัวละคร

ตัวละครหลักมี 2 ตัวคือ

มินซู (ชาย) เป็นเพลบอยคนหนึ่งที่ไม่เคยจริงจังกับความรักและผู้หญิงที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แต่ก็ต้องแพ้ให้กับความรักที่มีต่อแฮวอน เขาพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อเธอ ตัวอย่างเช่นแฮวอนขอให้เขาไปขอโทษผู้หญิงทุกคนที่เคยทำให้เสียใจก่อนที่จะคบกันเป็นแฟน มินซูก็ยอมทำตามทั้งถูกตบ ถูกด่าจากผู้หญิงพวกนั้น เขาก็ยอมทนหรือจะเป็นตอนที่เพื่อนสนิทของเขาบอกให้ไปผ่าตัดเนื้องอกในสมองที่ต่างประเทศ มินซูกลับบอกว่าถ้าเขาผ่าตัดแล้วเสียความทรงจำที่มีต่อแฮวอนคงจะทรมานกว่าอาการเจ็บปวดในตอนนี้แน่นอน เขาจึงไม่ยอมผ่าตัด แสดงให้เห็นถึงความมั่นคงของชายที่เคยขึ้นชื่อว่าเพลบอยแต่กลับมาทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อผู้หญิงคนนี้

แฮวอน (หญิง) ร่าเริง มองโลกในแง่ดีถึงแม้จะรู้ว่าตัวเองเหลือเวลาอีกไม่นานนัก เอก็ไม่จมปรักอยู่กับความเจ็บป่วยของโรคร้าย มักหาโอกาศหนีออกไปเที่ยวนอกโรงพยาบาลเสมอ เธอปฏิเสธที่จะสานความสัมพันธ์กับมินซูเมื่อครั้งแรกที่พบกัน เพราะไม่อยากให้ใครต้องมาเสียใจเมื่อคบกับเธอแล้วเธอตายไป แต่เมื่อมินซูเข้ามาในชีวิตแฮวอนก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารักเขามาก เช่น ตอนที่รู้ว่ามินซูเป็นเนื้องอกในสมองไม่มีทางรักษา แต่มินซูสบายใจที่จะปิดบังเธอไว้ เธอก็ทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร เพื่อใช้เวลาที่เหลืออยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขไม่จมไปกับความเศร้า แฮวอนเป็นผู้ป่วยที่มีกำลังใจดีมากเพราะเธอพยายามลืมความเจ็บป่วยและพยายามใช้เวลาที่มีทั้งหมดอย่างมีความสุข

สัตว์ประหลาด ( Monster)


กนกกาญจน์ สุประดิษฐ์

05490003


สัตว์ประหลาดเป็นผลงานการกำกับของอภิชาติพงษ์ วีระเศษฐพงษ์ ซึ่งเป็นหนังที่ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมากจากทั้งในและต่างประเทศถึงเนื้อหาที่ค่อนข้างเข้าใจยาก เป็นหนังไทยเรื่องแรกที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าฉายในเทศกาลหนังเมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส สร้างความฮือฮาอย่างมากให้กับวงการหนังไทย และยิ่งฮือฮาเข้าไปอีกเมื่อหนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จ ได้รับรางวัล Jury prize สร้างเกียรติประวัติให้แก่ชาติไทยเป็นอย่างมาก
แต่อย่างไรก็ตาม จากเนื้อหาของภาพยนตร์ที่ว่า ถ้าจะดูให้ง่ายก็ง่าย ถ้าจะดูให้ยากก็ยากนั้น ได้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาพยนตร์หลายท่านออกมาวิพากษ์วิจารณ์ แตกออกเป็นสองฝ่าย บ้างวิจารณ์ว่า เป็นหนังที่เข้าใจยาก ดูยาก เนื้อเรื่องชวนให้หลับ บ้างถึงกับหลงใหลและชื่นชมในความสามารถของผู้กำกับที่สามารถสร้างหนังที่เป็นเอกลักษณ์ได้ถึงเพียงนี้


เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สร้างชื่อเสียงให้กับอภิชาติพงษ์เป็นอย่างมาก แต่เรื่องนี้อาจไม่ใช่เรื่องที่หลายๆคนชอบ เพราะเรื่องที่เขาสร้างนั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก มีนักวิจารณ์หนังหลายคนพูดว่า “ หนังเรื่องนี้ต้องเอาหัวใจมาดู อย่าเอาสมองมาดู “ ถ้าจะถามว่าทำไมหนังเรื่องนี้ถึงดูยาก นั่นอาจเป็นเพราะว่าหนังส่วนใหญ่มีรูปแบบที่เป็นพล็อตเรื่องมาแล้ว แต่หนังของอภิชาติพงษ์นั่นต้องใช้จิตนาการสูง ต้องคิดตามจึงเข้าใจยาก ซึ่งหากให้ผู้เชี่ยวชาญทั้งที่เป็นคนไทยและที่เป็นต่างชาติดูก็คงจะทำให้งงได้เหมือนกัน เพราะหนังเรื่องนี้มีลักษณะพิเศษ มีภาษาและรหัสที่เป็นไปในแบบฉบับของมันเอง

อภิชาตพงษ์ได้นำเสนอรูปแบบของหนังเรื่องสัตว์ประหลาดในลักษณะของหนังผ่าครึ่ง หลายคนอาจจะสงสัยว่าหนังผ่าครึ่งคืออะไร หนังผ่าครึ่ง คือหนังที่มีสองเรื่องในเรื่องเดียวนั่นเอง

เรื่องแรกเขาตั้งชื่อเรื่องว่า Tropical Malady ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษ แปลเป็นไทยได้ว่า ไข้มาลาเรีย เป็นเรื่องที่เน้นตัวละครเป็นหลัก นั่นคือนายทหารชื่อเก่งและโต้ง เน้นความรักระหว่างชายด้วยกัน หากแต่สามารถแสดงความรักต่อกันได้โดยปกติ ตัวพ่อแม่โต้งเองก็รู้ ชาวบ้านที่ถือว่าเป็นชาวชนบทจริงๆ ก็รับได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ กลายเป็นความรักปกติสามัญ แต่ในที่สุดแล้วหนังเรื่องนี้ก็ทำให้ผู้ชมได้ตั้งคำถามว่า แล้วตกลงมันเป็นเรื่องปกติธรรมดาจริงหรือ? หรือคนจำพวกเก่งและโต้งจะต้องอยู่ในฐานะที่เป็นสัตว์ประหลาดของสังคมกันแน่

ส่วนเรื่องที่สองได้รับอิทธิพลมาจากเรื่องล่องไพรของน้อย อินทนนท์ ซึ่งอภิชาตพงษ์ ได้ตั้งชื่อตอนนี้เป็นภาษาไทยว่า สัตว์ประหลาด เรื่องของตอนนี้ได้เน้นเอาสถานที่เป็นหลัก นั่นก็คือป่า เรื่องได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อเก่งเดินทางเข้าไปในป่า ตามล่าเสือที่คาบวัวชาวบ้านไป จนนำไปสู่การที่เก่งได้กลายร่างของเป็นเสือสมิงเสียเอง หนังตอนนี้จะเป็นหนังเงียบ มีบทพูดเพียงไม่กี่บท ซึ่งนี้อาจจะเป็นหนังเรื่องเดียวกระมังที่ให้ความรู้สึกเกี่ยวกับป่าที่ช่างเงียบเหลือเกิน และเราอาจจะไม่เคยดูหนังเรื่องไหนที่พูดถึงป่าได้ลึกซึ้งขนาดนี้ ตอนนี้เป็นตอนที่แปลก เพราะเราจะได้ยินเสียงของความเงียบดังมากๆ ในขณะที่ดูจะทำให้เรานึกย้อนไปถึงบรรยากาศการไปตั้งแคมป์ในป่าเลยทีเดียว

เรื่องแรกจะมีบทพูดมากกว่า ส่วนเรื่องหลังเงียบ บทพูดน้อย เป็นเรื่องของการเดินป่าเป็นส่วนใหญ่ ถ้าจะถามว่าเรื่องไหนดูยากกว่ากัน หลายคนที่ได้ดูจะตอบว่าเรื่องหลังจะดูยากกว่า เพราะเป็นหนังเงียบ นั่นเพราะความเงียบไม่มีเสียงจึงทำให้ผู้ชมภาพยนตร์ต้องใช้จินตนาการของตัวเองค่อนข้างสูง
เราจะเห็นได้ว่า ในเรื่องแรก อภิชาตพงษ์ มีวิธีการนำเสนอที่เป็นเหมือนจริงมากๆ เหมือนในชีวิตประจำวันเลยทีเดียวก็ว่าได้ แต่เรื่องที่สองกลับใช้กลวิธีการนำเสนอแบบเหนือธรรมชาติมากๆด้วยเช่นกัน มีคนเปลี่ยนร่างได้ ลิงพูดได้ การที่เขาใช้วิธีการสองเรื่องแตกต่างกันนั้น เพราะเรื่องแรกเป็นเรื่องทางกายภาพ เป็นเรื่องของความเป็นจริงในปัจจุบัน จึงนำเสนอผ่านรูปแบบที่เป็นปกติสามัญ แต่ในเรื่องที่สองเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับภายในจิตใจของมนุษย์ จึงใช้การนำเสนอแบบเหนือจริง เรื่องนี้ได้พยายามบอกลักษณะภายนอกและภายในของมนุษย์ โดยอีกนัยหนึ่งของเรื่องนี้พยายามที่จะบอกถึงสัญชาตญาณความรุนแรง โดยประเด็นของเรื่องที่อภิชาตพงษ์ต้องการนำเสนอนั่นก็คือ สัญชาตญาณความรุนแรงภายในใจของมนุษย์และเรื่องของ Homosexual นั่นเอง
แต่กระนั้นแล้ว ก็ยังมีผู้ชมอีกหลายคนด้วยเช่นกันที่เกิดข้อสงสัยว่าแล้วสองเรื่องนี้เกี่ยวพันกันได้อย่างไร และมีความเกี่ยวโยงกันตรงไหน ซึ่งหากจะมองทางกายภาพแล้ว หนังสองเรื่องนี้ใช้ตัวแสดงชุดเดียวกัน แล้วการที่เอาเรื่องสองเรื่องมาวางใกล้เคียงกัน ไม่ทางใดทางหนึ่งก็ต้องเชื่อมกันอยู่แล้วเป็นธรรมดา อีกทั้งใน


เรื่องแรกตอนที่นายทหารซึ่งก็คือเก่งกำลังดูรูปของโต้ง ก็มีเสียงของชาวบ้านตะโกนขึ้นมาว่า วัวถูกเสือคาบไป แล้วก็ตัดไปเรื่องที่สองโดยทันที มีภาพของเก่งเดินเข้าไปในป่า นั่นแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมต่อของเรื่องทั้งสอง
สังเกตได้ว่า ตอนต้นเรื่องก่อนที่จะขึ้นตัวเรื่องของหนัง มีบทกลอนเกี่ยวกับสัญชาตญาณ สันดานดิบของมนุษย์ว่า เรามีหน้าที่ที่จะควบคุมมันให้เชื่องเท่านั้นเอง ส่วน

ในเรื่องที่สองจะพูดว่า we are not animal or human นั่นก็คือ เรามิใช่ทั้งคนและมิใช่ทั้งสัตว์ นี่ถือเป็นคีย์เวิร์ดของเรื่องเลยก็ว่าได้ เพราะการที่อภิชาตพงษ์ ได้นำเอาเรื่องของเสือสมิงมาใช้นั่นก็เพราะ มันได้แสดงถึงสัตว์ที่สามารถกลายร่างเป็นคนได้ เสือสมิงจึงไม่ใช่ทั้งสัตว์และมิใช่ทั้งคน และในท้ายที่สุด เก่งจะต้องเลือกวิธีการควบคุมสัญชาตญาณดิบนั่นคือเสือสมิงให้ได้ และวิธีการที่เก่งจะอยู่กับมันได้นั่นก็คือ เก่งจะต้องฆ่ามันและจะต้องปลดปล่อยมัน หรือไม่ก็จะต้องยอมให้มันกินแล้วกลายเป็นตัวมันซะเลย เมื่อเรานำเรื่องแรกกับเรื่องที่สองมาประกอบกัน ก็จะทำให้เราได้เห็นความหมายของเรื่องนี้ชัดเจนขึ้น ว่าอะไรคือสัญชาตญาณ และอะไรคือสันดานดิบที่เราจะต้องควบคุมมันให้ได้

หนังเรื่องสัตว์ประหลาดได้ทำลายโครงสร้างเดิมๆอย่างที่เราคุ้นเคยทิ้งไป ไม่มีฮีโร่ ไม่มีพระเอก ไม่มีนางเอก และเป็นหนังผ่าครึ่ง ซึ่งทำทีท่าว่าจะไม่มีความสัมพันธ์กันเลยระหว่างสองเรื่อง เวลาเรื่องที่สองขึ้นก็ขึ้นฉากใหม่เลย ทำให้เรารู้สึกว่าหนังได้ถูกแบ่งครึ่งเป็นคนละเรื่อง แต่มันก็ได้สร้างจุดที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงความเกี่ยวโยงกันระหว่างสองเรื่อง สร้างความสับสนไม่น้อยเลยทีเดียว

นอกจากนี้แล้ว ว่ากันว่าผู้กำกับที่ดีนั้นก็จะต้องเลือกเฟ้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้าไปอยู่ในหนังของเขานั้นให้มีความหมายที่สุด แม้ว่ามันจะแกล้งพรางตัวว่าไม่มีก็ตาม อภิชาตพงษ์ได้สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ให้มีเอกภาพในการนำเสนอเป็นอย่างมาก ซึ่งอาจจะดูเหมือนว่ามันไม่มีอะไรเลย แต่ว่ามันกลับมีการเชื่อมโยงกันอยู่ตลอดเวลา เขาได้เลือกเฟ้นตัวแสดงอย่างเข้าถึงบุคลิกภาพของคนๆนั้นจริง โดยใช้บุคลิกของคนๆนั้นมาเป็นตัวดำเนินเรื่องเลย การแสดงที่ไม่เหมือนการแสดง ใช้ความเป็นจริงและลักษณะที่เป็นลักษณะของตัวเขาจริงๆมาใช้ ไม่มีการแอคติ้ง ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงดูเป็นธรรมชาติมากๆ

ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว อภิชาตพงษ์ยังได้ทำลายสิ่งที่เราคุ้นเคย เขาสร้างรูปลักษณ์ใหม่ๆ ไวยากรณ์ใหม่ๆ ขึ้นมา ฉะนั้นหากเราใช้ความคุ้นเคยเดิมๆดูก็คงจะลำบากสักหน่อย แต่ถ้าหากเราต้องการจะดูหนังเรื่องนี้ให้ถึงศาสตร์ของมันแล้วนั้น เราจะต้องพยายามที่จะเข้าใจมันก่อน เพราะมันเรียกร้องความคิดมาก อีกทั้งหนังได้พยายามผลักระยะให้กับคนดู โดยเขาจะมีกลวิธีคือ การใช้ภาพระยะไกลและลักษณะของการแอคชั่นนั่นจะมีน้อยมาก นั่นเป็นการเรียกร้องให้คนดูเป็นผู้เดินเข้าไปหามันเอง แล้วตัวคนดูเองก็จะถามว่าทำไม ทำไม ทำไม อยู่ตลอดเวลา ผิดกับหนังเรื่องอื่นๆที่คนดูจะถูกดึงเข้าไปมีส่วนร่วมโดยอัตโนมัติ และดูเหมือนว่าในแต่ละฉากของ

หนังเรื่องนี้ คนดูจะถูกโยนคำถามอยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งจบเรื่อง เป็นความรู้สึกที่เสมือนว่า หนังจบ แต่อารมณ์ไม่จบ นั่นเอง

A.I. (Artificial Intelligence) จักรกลอัจฉริยะ


ตวงพร แสนเสนาะ

05490145


เมื่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก้าวล้ำไปถึงจุดสูงสุด มนุษย์ได้ประดิษฐ์หุ่นยนต์ขึ้นมาเพื่อตอบสนองทุกความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ ยกเว้นการมอบความรักให้กับเจ้าของ บริษัทผู้ผลิตไม่ติดตั้งโปรแกรมความรักให้หุ่นยนต์เพื่อแสดงให้เห็นว่าหุ่นยนต์ไม่มีวันเหมือนมนุษย์ได้ แต่ในที่สุดเดวิด หุ่นยนต์เด็กตัวแรกที่ถูกติดตั้งโปรแกรมมาให้รักเป็นได้ถูกสร้างขึ้นมา เพื่อเอาใจคู่สมรสที่ไม่สามารถมีลูกได้ เฮนรี่และโมนิกาภรรยาของเขาซึ่งลูกชายป่วยหนักจนต้องแช่แข็งไว้รอการรักษา พวกเขารับเดวิดเข้ามาทดแทนความรักจากลูกชาย จนเดวิดค่อยๆกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว แต่แล้ววันหนึ่งลูกชายของพวกเขาก็ฟื้นและกลับมาอยู่ในครอบครัว เขาอิจฉาเดวิดจึงสอนให้เดวิดประพฤติเลวร้าย สุดท้ายโมนิกาก็พาเดวิดไปทิ้งในป่า เดวิดไม่สามารถเข้ากันได้กับคนและก็ไม่ได้รับการยอมรับจากเหล่าเพื่อนจักกลเพราะเขามีความรู้สึกและรักเป็น ด้วยแรงบันดาลใจจากนิทานเรื่องพิน็อคคิโอ เดวิดจึงตัดสินใจออกเดินทางค้นหานางฟ้าเพื่อขอพรให้กลายเป็นคนได้ การออกสู่โลกกว้างของเดวิดได้ทำให้เขาเข้าใจถึงกำแพงที่แบ่งกั้นระหว่างมนุษย์และหุ่นยนต์ รวมทั้งความโหดร้ายของโลกแห่งความจริงที่ว่ามนุษย์ได้ย่ำยีเพื่อนผู้ต่ำต้อยของเขาอย่างเลือดเย็น


เมื่อชมภาพยนตร์เรื่องนี้จบ ความรู้สึกแรกที่เกิดคือความสะเทือนใจ สะเทือนใจในความรักอันบริสุทธิ์ของเดวิดที่พยายามทำทุกอย่างให้ได้กลายเป็นเด็กปกติ เดวิดไม่มีอารมณ์ที่สลับซับซ้อนเฉกเช่นมนุษย์ เขาจึงไม่เข้าใจว่าสาเหตุที่เขาถูกทิ้งไม่ใช่เพราะเขาเป็นหุ่นยนต์ แต่เป็นความอิจฉา ความหวาดระแวงจากมนุษย์เอง ทั้งๆที่มนุษย์เป็นผู้สร้างเดวิดมาให้รักเจ้าของอย่างบริสุทธิ์ใจ แต่มนุษย์ไม่ได้รับผิดชอบการกระทำของตนเลย มนุษย์ไม่ได้ให้ความรักต่อหุ่นยนต์มากอย่างที่หุ่นยนต์รักพวกเขา แล้วสุดท้ายเดวิดก็เป็นฝ่ายถูกทอดทิ้ง

สิ่งที่สำคัญที่สุดในเรื่องคือเดวิด ซึ่งเป็นตัวแทนของความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับหุ่นยนต์ ถึงแม้เดวิดจะถูกสร้างขึ้นมาให้มีความแตกต่างจากหุ่นยนต์ทั่วไปคือมีความรักเป็น แต่เดวิดก็รู้จักแต่เพียงอารมณ์รักของมนุษย์ เขาไม่เข้าใจอารมณ์อื่นๆ ที่มนุษย์มี ทั้งความเมตตาสงสาร ความโกรธ ความหวาดระแวง ความอิจฉาริษยา ความรักที่บริสุทธิ์ของเดวิดจึงถูกทำลายด้วยน้ำมือของมนุษย์จากโลกแห่งความจริง มนุษย์มีความเชื่อที่มาจากอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ จากสัญชาติญาณ โดยไม่ต้องถูกติดตั้งโปรแกรมอย่างเดวิด ดูจากตอนที่เดวิดถูกส่งไปทำลาย แต่เขากลับร้องขอชีวิต มนุษย์ที่เชื่อว่าหุ่นยนต์ไร้ความรู้สึก ไม่สามารถร้องขอชีวิตได้จึงลุกขึ้นต่อต้านการทำลายหุ่นยนต์ทันที

เนื้อเรื่องจักรกลอัจฉริยะนี้ถูกแบ่งออกเป็น 3 บทสรุปแรกคือเดวิดถูกแม่ตอบแทนความรักของเขาด้วยการนำไปทิ้งในป่า ปัญหาของมนุษย์ก็สิ้นสุดลง แต่ปัญหาของหุ่นยนต์ได้เริ่มต้นขึ้นด้วยการออกตามหานางฟ้าเพื่อขอพรให้กลายเป็นคน บทสรุปตอนที่ 2 คือ นางฟ้าไม่มีจริง เดวิดเฝ้าคอยขอพรจนโลกถึงวันอวสาน สุดท้ายถ่านของเดวิดก็หมดไปทั้งๆ ที่ตายังจ้องไปที่รูปปั้นนางฟ้า บทสรุปสุดท้ายคือเดวิดได้อยู่กับแม่ของเขาอย่างที่เขาเฝ้าฝันตลอดมา

ประเด็นสำคัญของเรื่องคือความขัดแย้งระหว่างวิทยาศาสตร์กับความเชื่อ เดวิดซึ่งเป็นผลิตผลจากความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์กลับมีความเชื่อที่จะกลายเป็นมนุษย์ได้จากนิทานเรื่องพิน็อคคิโอที่แม่เคยเล่าให้ฟัง เขาจึงออกตามหานางฟ้าบลูแฟร์รี่เพื่อขอพร และในบทสรุปที่ 3 หลังจากที่ความจริงประจักษ์แล้วว่านางฟ้าไม่มีจริง ตอนนี้ผู้ชมทุกคนต่างคิดว่าเรื่องคงจบแค่นี้ แต่ทางผู้สร้างกลับเติมความหวัง ใส่ความอบอุ่นลงไปโดยการให้มีเหล่าเอเลี่ยนเนรมิตให้แม่กลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่ เดวิดจึงสมหวัง ซึ่งความเชื่อทางวิทยาศาสตร์ได้ปฏิเสธเรื่องปาฏิหาริย์และความอัศจรรย์มาตลอด แต่ในเรื่องนี้เดวิดได้เป็นตัวเชื่อมให้ความขัดแย้งทั้งสองนี้ค่อยๆผสมกลมกลืนกันได้

ผลงานชิ้นนี้ของสปีลเบอร์กเป็นผลงานที่ข้าพเจ้าชอบที่สุด เขาได้นำเสนอจินตนาการแห่งโลกอนาคตไว้ได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ การดำเนินเรื่องเข้าใจง่าย ไม่สลับซับซ้อน ความยอดเยี่ยมของเรื่องอยู่ที่การให้แง่คิดและมุมมองของความรักในหลายๆ รูปแบบ ทั้งความรักของหุ่นยนต์ที่รักอย่างบริสุทธิ์ ขาดอารมณ์อื่นๆมาเป็นองค์ประกอบ ทำให้กลายเป็นจุดหักเหของเรื่อง ส่วนความรักของมนุษย์นั้น มีการเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลาและเหตุผล มีอารมณ์และสิ่งแวดล้อมมาเป็นองค์ประกอบต่อความรัก หลายฉากได้สื่อถึงความปรารถนาในส่วนลึกของมนุษย์ที่ซ่อนอยู่ สิ่งที่ทิ้งไว้เป็นบทสรุป แปลกแต่น่าสนใจ สะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่มนุษย์จะได้รับจากการที่คอยขวนขวายเพื่อให้ตนเองได้อยู่อย่างสุขสบายจนมากเกินไป และความหลงระเริงคิดว่าสามารถควบคุมทุกอย่างได้

บางทีภาพยนตร์เรื่องนี้อาจดูด้วยสายตาไม่พอ แต่ต้องเปิดใจสัมผัสด้วย คำถามในตอนท้ายเรื่อง ผู้ชมต้องตีความเอาเองตามความเข้าใจและมุมมองของตนว่าเรื่องจะลงเอยอย่างไร เพราะเราเป็นมนุษย์ซึ่งต่างจากหุ่นยนต์ จึงต้องลองค้นหาคำตอบของคำถามด้วยตนเอง

The Sixth Sense


กนกวรรณ ตระการชวกุล

05490006


เนื้อเรื่องย่อ ดร.มัลคอล์ม โคร์ว จิตแพทย์เด็กผู้มีชื่อเสียง ถูกรบกวนด้วยความทรงจำอันปวดร้าว เมื่อเขาไม่สามารถช่วยเหลือคนไข้หนุ่มผู้ทนทุกข์ทรมานได้ ดังนั้น เมื่อเขาได้พบกับโคล เด็กชายผู้มีอาการทางจิตคล้ายเด็กหนุ่มคนนั้น ดร.โคร์ว จึงทำทุกอย่างเพื่อไถ่ถอนความผิดพลาดในอดีต เขาจึงมาชดเชยให้โคล แต่ ดร.โคร์ว ไม่ได้เตรียมตัวที่จะรู้ความจริงว่า สิ่งที่คอยรบกวนโคล มาโดยตลอดนั้น คือวิญญาณที่ไม่ได้ไปสู่สุคติ เขาสอนให้ โคล เผชิญหน้า และเขาก็รักษาโคล ได้ในที่สุดและสัมผัสที่ 6 ของโคลนี้เอง เป็นเครื่องที่บอก ดร.โคร์ว ในภายหลังว่า แท้ที่จริงแล้ว ตัว ดร.โคร์ว เองนั้น ได้ตายจากโลกนี้ไปนานแล้ว ด้วยฝีมือของเด็กหนุ่มรายแรก ที่ตัวเขาเองไม่สามารถช่วยรักษาอาการทางจิตของเด็กหนุ่มคนนั้นได้

ความรู้สึกที่มีต่อภาพนตร์เรื่องนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่ดูแล้วทำให้เกิดความรู้สึกหลากหลาย ทั้งความรัก ความเศร้า ความดีใจ และเสียใจไปพร้อมๆกับความหดหู่ ความรู้สึกรักนั้น แสดงออกทั้งความรักของแม่ที่มีต่อลูก คือ แม่พยายามทำความเข้าใจลูกตนเอง ตัวแม่นั้นคิดถึงลูกอยู่ตลอดเวลา เห็นได้จาก แม้กระทั่งตอนหลับ แม่ยังเพ้อถึงลูกชายที่ชื่อโคล ว่า ลูกเป็นอะไร อีกทั้งยังมีความรักของคู่รักที่แสดงต่อกัน จะเห็นได้จากการที่ภรรยาของ ดร.โคร์ว คิดถึงสามีของตนเองอยู่ตลอดเวลา โดยที่เธอนั้น เอาวิดิโอ เทปงานแต่งงานของเขาทั้ง 2 มาเปิดดู และตอนหลับก็ยังเพ้อถึงสามีตนว่าทิ้งเธอไปทำไม


แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ไม่ได้ปิดตายหัวใจของเธอเอง เธอยังพร้อมมีรักใหม่ได้เสมอ เห็นได้จากการที่เธอแสดงความรู้สึกที่มีต่อชายคนใหม่ที่เข้ามาในชีวิตเธอ ด้วยการซื้อของขวัญวันเกิดให้เขา และกอดกัน แสดงว่าตัวเธอนั้นว้าเหว่ จึงพร้อมที่จะมีรักใหม่ แต่คนรักเก่าก็ยังคงอยู่ในใจเธอเสมอ ส่วนความรักที่ ดร.โคร์ว มีต่อภรรยานั้น ก็ทำให้เขาตัดสินใจเลือกภรรยามากกว่าที่ตะรักษาโคลต่อ เพราะตัวเขาเองคิดว่าเขาและภรรยาห่างกันเกินไป และคิดว่าภรรยาไปมีคนอื่นทั้งๆที่จริงแล้ว เขามารู้ภายหลังว่าตัวเขาเองนั้นได้ตายจากโลกนี้ไปนานแล้ว


และความรักที่ดร.โคร์ว มีต่อโคลนั้น เห็นได้จาก ตอนที่เขาบอกว่าไม่สามารถรักษาโคลได้ เพราะเขาเลือกภรรยานั้น แต่พอกลับถึงบ้าน เขาก็เอาเทปที่รักษาเด็กคนเก่ามาเปิดฟัง แล้วก็สามารถเข้าใจว่าแท้ที่จริงแล้ว โคลนั้นมีสัมผัสที่6 แสดงว่า แม้เขาจะไม่รักษา แต่เขาก็คิดถึงโคล อยู่ตลอดเวลา มันเป็นความรักที่แฝงไปด้วยความรู้สึกผิด และต้องการจะชดเชยให้โคล แทนเด็กชายคนแรกที่เขาเป็นสาเหตุให้เด็กคนนั้นต้องตาย ทุกตอนของเรื่องนี้แฝงไปด้วยความเศร้า ความเศร้าที่ไม่สามารถรักษาเด็กคนก่อนได้ยังติดตัว ความเศร้าที่แม่ไม่เข้าใจว่าลูกตนเป็นอะไร และความเศร้าที่เกิดมาพร้อมกับความกลัวและหดหู่ของ โคล นั่นเอง

ภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับ ความรู้สึกเป็นอย่างมาก คือ ความรู้สึกผิดในตัวของดร.โคร์ว เองว่าสาเหตุให้เด็กชายคนก่อนหน้านั้นตาย จึงหันมาให้ความสำคัญกับ โคลเพื่อเป็นการชดเชย อีกทั้งยังมีความรู้สึกของโคล คือกลัวที่ต้องเผชิญหน้ากับวิญญาณที่มาขอความช่วยเหลือ เห็นจากที่ โคลนั้นต้องแอบหยิบ หุ่นพระแม่มารี พระเยซูในโบสถ์มาไว้ที่เต็นท์ที่เขาใช้ผ้ามาคลุมเพื่อที่เขาจะได้เข้าไปอยู่และรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น

ฉาก บรรยากาศ และสถานที่ของภาพยนตร์เรื่องนี้ สามารถให้ความรู้สึกร่วมไปกับอารมณ์ของตัวละครได้เป็นอย่างดี จะเห็นได้จากที่ผู้จัดเลือกใช้ภาพบรรยากาศในฤดูหนาว ที่แสดงถึงความแห้งแล้ง เยือกเย็น หดหู่และเศร้า แทนที่จะใช้ฤดูร้อน เพราะฤดูร้อนบ่งบอกถึงความกระตือรือร้น และรุ่มร้อน ฉากและสถานที่บ่งบอกถึงอารมณ์เป็นอย่างมาก เช่น ฉากที่โคลต้องแอบหลบที่เต็นท์ที่เขาใช้ผ้ามาคลุมเพื่อที่เขาจะได้เข้าไปอยู่และรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น ผู้จัดเลือกให้โคล แอบหยิบหุ่นพระแม่มารี พระเยซูมา ไว้ในเต็นท์นี้ด้วย แสดงถึงความรู้สึกปลอดภัย เหมือนอย่างเช่น คนไทยที่พกพระ เพื่อป้องกันวิญญาณร้ายนั่นเอง ถ้าผู้จัดฉากแสดงฉากนี้แค่มีเต็นท์แต่ไม่มีพระแม่มารี หรือพระเยซูอยู่ในเต๊นท์ ความรู้สึกที่สื่อออกมาก็ได้แค่ความกลัวจึงหาที่หลบ แต่ที่มีพระเเม่มารี และพระเยซูอยู่ในเต็นท์ด้วยแสดงถึงนอกจากความรู้สึกกลัวแล้ว ยังต้องการความปลอดภัยอีกด้วย

ภาพยนตร์เรื่องนี้มีการหักมุมในภายหลัง คือ การทำให้คนดูมีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครดร.โคร์ว ว่าจะสามารถรักษา โคล ได้หรือไม่ แต่เมื่อรักษาได้แล้ว มีการหักมุมเกิดขึ้น นั่นคือ ตัวเขาเองพึ่งจะมารู้ความจริงในภายหลังว่าเขาตายแล้ว และ โคล ก็รู้ด้วยว่าเขา ตายไปแล้วจากการที่โคลบอกเขาว่า “ผมเจอวิญญาณทุกวันและตัวพวกเขาเองไม่รู้ว่าเขาได้ตายจากโลกนี้ไปแล้วพวกเขาจะเห็นแต่สิ่งที่ต้องการเห็น ”แสดงว่า ดร.โคร์วคิดว่าตนเองมีชีวิตมาโดยตลอด และเขาพึ่งมารู้ทีหลังว่าการที่เขาสื่อสารกับภรรยาไม่ได้เป็นเพราะเขาตายแล้วนั่นเอง

คู่แท้ ปาฏิหาริย์


นางสาวพรรณรอง รัตนไชย

รหัส 05490254


เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักของหญิงชายคู่หนึ่งที่ ฝ่ายชายแอบรักฝ่ายหญิงตั้งแต่ยังเด็ก และในตอนเด็กผู้ชายมีรูปร่างอ้วน จึงชื่อหมูตอน เขาได้ให้นกหวีดไว้กับหล่อน เมื่อเป่าแล้วเขาจะปรากฏตัว และเขามีความฝันว่าโตขึ้น เขาจะปกป้องผู้หญิงคนที่เขารัก และเขาจะต้องเป็นผู้ชายที่สมบรูณ์แบบ แต่ในความเป็นจริง ความพยายามที่เขาจะลดความอ้วน ทำให้เขาต้องป่วย ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ ต้องนอนแต่บนเตียง ทำให้ไม่สามารถทำตามความฝันที่จะดูแลผู้หญิงที่เขารักได้ แต่ด้วยความหวังและความศรัทธา อย่างแรงกล้าของเขาเอง ทำให้เขาสร้างมโนภาพของตนที่เป็นคนสมบรูณ์แบบ และใช้ร่างมโนภาพนั้นดูแลหล่อน ซึ่งเขาก็รู้ว่าวันหนึ่งร่างนั้นก็ต้องหายไป และหล่อนก็ต้องใช้ชีวิตอยู่คนเดียว ด้วยตัวเอง แต่ท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนก็ต้องอยู่ด้วยความหวังและความศรัทธา เพราะคนเรายังเชื่อว่า “ปาฏิหาริย์” มีอยู่จริง

เมื่อดูภาพยนตร์เรื่องนี้จบ ความรู้สึกแรกที่ปรากฏในใจคือ รู้สึกผิดหวัง และรู้สึกเหนื่อยๆ อาจเพราะว่าข้าพเจ้า
ตั้งความหวังมากเกินไป โดยลืมคิดไปว่าหนังเรื่องนี้สร้างมานานแล้ว เพราะในอดีตข้าพเจ้าได้ยินคนพูดถึงหนังเรื่องนี้ว่าดีมาก
เนื้อหาซึ้งกินใจ ถึงกับต้องร้องไห้ โดยที่ข้าพเจ้ามิได้นึกถึงปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ เพราะข้าพเจ้าคิดว่าถ้าหนังดี ดูเวลาไหน เมื่อไหร่ก็ต้องตรึงใจ โดยไม่มีเงื่อนไขของเวลา มันต้องมีความเป็นอมตะ

แต่กับเรื่องนี้มันไม่ใช่ สาเหตุเนื่องจาก ตัวบทที่ไม่มีที่มาที่ไป ไม่มีเหตุผล เหมือนกับทุกวันนางเอกต้องมีปัญหาและพระเอกมาช่วยเสมอ แต่ถ้าหากดูให้ลึก มิใช่แค่ผิวเผิน ความคิดของพระเอกที่ปรากฏเด่นชัด และเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าชอบคือ ความหวังและความศรัทธาในตัวเองของพระเอก ความหวังและความศรัทธาดังกล่าวมีมากจนทำให้ จิตใจของเขาได้สร้างตัวตนในอุดมคติของตนเองขึ้นมา ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องหยุดคิดและหันมามองดูตัวเองว่า ความหวังและความศรัทธาของข้าพเจ้ายังคงหลงเหลืออยู่หรือไม่ หรือข้าพเจ้าปล่อยตัวเองไปกับสังคมอันวุ่นวายจนหันหลังให้กับโลกของความคิด ความฝัน และจินตนาการ แต่หันไปยึดติดกับความคิดแบบวิทยาศาสตร์ โดยทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นต้องพิสูจน์ได้แล้วหรือ?


โลกแห่งความฝันในเวลาปัจจุบันตอนนี้ มันเป็นแค่เรื่องเพ้อฝัน ที่ไม่สามารถเป็นจริงได้แล้วหรือ? กระแสสังคมในปัจจุบันทำให้ความคิดของคนเราเปลี่ยนไป หรือเพราะจิตใจของคนเราเปลี่ยนแปลงไปกันแน่? ถ้าหากกระแสสังคมทำให้ความคิดของเราเปลี่ยนไป แล้วทำไมเราถึงไม่เป็นผู้กำหนดกระแสสังคม ทำไมเราต้องปล่อยความคิดให้เป็นไปตามกระแส หรือเพราะเรามองสิ่งต่างๆที่ผ่านมาเข้ามาในชีวิตแค่ผิวเผิน ฉาบฉวย ไม่พยายามมองให้ถึงแก่น เพราะทุกอย่างที่ผ่านเข้ามามันมาเร็ว ไปเร็ว และมากมายเกินกว่าจะมีเวลาเปิดใจให้มัน เพราะหลังจากที่ข้าพเจ้า รู้สึกผิดหวัง ดังนั้นข้าพเจ้าจึงหยุดนิ่งและให้เวลากับ “คู่แท้ ปาฏิหาริย์” และใช้หัวใจในการดู ทำให้พบว่าความจริงแล้วมีสิ่งใดซ่อนอยู่

เรื่องฉากนั้น เป็นฉากในชีวิตจริง ที่ทุกคนสามารถพบเจอได้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งอาจมีความหมายว่า เรื่องที่เกิดขึ้นสามารถเกิดได้กับคนทั่วๆไป เพราะ “ปาฏิหาริย์” อยู่รอบตัวเราทุกคน

ด้านตัวละครนั้น พระเอกให้ความรู้สึกเป็น “หมูตอน” ได้จริงๆ แต่นางเอกยังไม่สามารถทำให้ข้าพเจ้าเข้าถึงความคิด ความรู้สึกของ “ทานน้ำ” ได้
เรื่องอารมณ์ ความรู้สึก ที่ปรากฏในเรื่องนี้ ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นใจความหลักของเรื่อง คือเรื่องเกี่ยวกับ ความหวัง ความศรัทธาในตัวเอง และความเชื่อในสิ่งที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ แต่มีคุณค่าทางจิตใจอย่างสูงส่ง ซึ่งทุกคนต้องมีความหวัง ความศรัทธาเพื่อใช้ในการมีชีวิตไม่ใช่หรือ? ดังนั้นสิ่งที่พระเอกแสดงออกมา แสดงให้เห็นถึงความหวัง ความศรัทธา ที่มีต่อความรัก พลังของความรักที่มีอนุภาพมหาศาล สามารถสร้าง “ปาฏิหาริย์” ขึ้นมาได้ และสิ่งที่เขาทำแม้มันจะต้องสูญสลายไปไม่วันใดก็วันหนึ่ง และเขาเองก็รู้อยู่แก่ใจ แต่เขาก็ยังมีความฝันที่ต้องทำให้เป็นจริง และความฝันนั้นก็ถูกหล่อเลี้ยงด้วย ความหวัง และความศรัทธา จนสุดท้ายความฝันนั้นก็เป็นจริง

สุดท้ายนี้อยากให้ทุกคน ย้อนกลับมาถามตัวเองว่า “ ปาฏิหาริย์ละทิ้งเรา หรือ…เราได้ละทิ้ง ปาฏิหาริย์กันแน่ ”

ยังไงก็รัก


นางสาวพิมพิศ คำพา

05490271


เรื่องย่อ: ย้ง เซลล์แมนที่มีอนาคตไม่ไกลนัก แต่งงานอยู่กินกับเง็กซึ่งเป็นลูกสาวของเพื่อนสนิทพ่อมา อยู่มานาน๗ ปีย้งเริ่มเบื่อเง็กและแอบนอกใจเง็กไปมีสัมพันธ์กับพิมพ์เพื่อนร่วมงาน พิมพ์รักย้งและต้องการที่จะมีครอบครัวที่มีความสุขทั้งๆที่รู้ว่าย้งมีภรรยาแล้ว พิมพ์มีผู้ชายที่เพียบพร้อมมาขอแต่งงานโดยให้เวลาพิมพ์ตัดสินใจ ๗ วัน พิมพ์ได้บอกเรื่องนี้กับย้งแล้วยื่นคำขาดว่าภายใน ๗ วันย้งต้องเลือกว่าจะเลิกกับเง็กหรือจะเลิกกับตน ย้งกลุ้มใจมากและคิดที่จะเลิกกับเง็กแต่ติดตรงที่ย้งเคยให้สัญญากับพ่อของตนว่าจะไม่มีวันเลิกกับเง็กเป็นอันขาด ย้งได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษากับเล้ง เล้งจึงได้หาวิธีที่จะทำให้เง็กเป็นฝ่ายขอเลิกกับย้งไปเอง โดยเล้งได้ปลอมตัวเป็นซินแสไปทำนายดวงของย้งกับเง็กว่าดวงของเง็กไม่สมพงษ์กับย้ง หากยังใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันต่อไปเล้งจะต้องมีอันเป็นไป ด้วยความที่เง็กเป็นคนเชื่อเรื่องดวงมาก เง็กจึงเกิดความกลัดกลุ้ม ใกล้ครบกำหนด ๗ วัน พิมพ์ได้ยื่นข้อเสนอให้ย้งอีกครั้งนั่นคือการหนีไปด้วยกัน แต่ด้วยความพยายามของเง็กที่เป็นห่วงย้ง ทำทุกอย่างเพื่อแก้เคล็ดให้ย้ง ย้งจึงเริ่มรู้สึกตัวและกลับมาหาเง็กเหมือนเดิม

บทวิจารณ์: ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์แนว Romantic-Comedy ซึ่งหากมองโดยรวมจะถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่นำเสนออย่างตรงไปตรงมา เข้าใจง่าย ดูแล้วจะมีอารมณ์ตลก เศร้า และซึ้งผสมกันไป สิ่งที่สำคัญที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้คือ ความต้องการที่จะนำเสนอเรื่องราวความรักของสามีภรรยา ที่ถึงแม้จะมีอุปสรรคต่างๆเข้ามา ด้วยความรักความห่วงใยจึงทำให้ทุกอย่างกลับมามีความสุขได้
ในด้านการดำเนินเรื่องภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดฉากขึ้นมาด้วยพิธีแต่งงานแบบชาวจีนซึ่งเต็มไปด้วยความสุขโดยย้งตัวละครเอกมีท่าทางที่มีความสุขที่ได้แต่งงานกับเง็ก ผู้คนต่างเข้ามาอวยพรให้คู่บ่าวสาวรักกันให้นานๆ จากนั้นจึงตัดเข้าสู่การใช้ชีวิตหลังแต่งงานของทั้งคู่ที่นำเสนอให้เห็นความเบื่อหน่ายของย้งที่มีต่อเง็ก แต่กลับมีความสุขกับหญิงอีกคนหนึ่งแทน การเปิดเรื่องแบบนี้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างถึงความสัมพันธ์ของคน ๒ คนก่อนแต่งงานและหลังแต่งงาน โดยที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ตั้งใจจะนำเสนอว่าการแต่งงานไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิตคู่ แต่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น
จะสังเกตได้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีการเน้นย้ำถึงระยะเวลาที่เง็กและย้งได้ใช้ชีวิตร่วมกันมา ๗ ปี แต่ย้งกลับจะใช้เวลาเพียงแค่ ๗ วันในการที่จะขอเลิกกับเง็ก ซึ่งเป็น


การสร้างความแตกต่างให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการทำลายความสัมพันธ์ของคนสองคนใช้เวลาเพียงไม่นาน แต่ก่อนหน้านั้นจะต้องใช้เวลาอย่างมากมายเพื่อที่จะสร้างความสัมพันธ์นั้นขึ้นมา นี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ภาพยนตร์ต้องการจะสื่อให้ผู้ชมได้เห็นคุณค่าของความสัมพันธ์ และรู้จักที่จะถนอมความสัมพันธ์ของตนเองไว้ให้ดี
อีกส่วนหนึ่งคือความสนุกสนานที่ได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้ แม้มุขตลกที่สอดแทรกไว้ในภาพยนตร์จะไม่ใช่การหัวเราะน้ำตาไหล แต่จะได้สัมผัสกับการอมยิ้มไปกับความน่ารักของตัวละครแต่ละตัวแทน ถึงแม้ว่าบางครั้งมุขตลกเหล่านั้นจะดูพยายามมากเกินไป แต่หากชมแบบไม่คิดอะไรก็จะรู้สึกได้ว่าความตลกนั้นมาจาก

ลักษณะเฉพาะของตัวละครเหล่านั้นนั่นเอง

ด้านของฉาก ฉากจะมีอยู่ไม่มากนัก หลักๆคือ บ้านของย้งและเง็ก คอนโดของพิมพ์ ซึ่งความสำคัญของฉากจะอยู่ที่การสร้างบรรยากาศของเรื่องและอารมณ์ของย้ง ซึ่งบ้านที่อาศัยร่วมกับเง็กจะเป็นบรรยากาศของความน่าเบื่อซ้ำซากจำเจ ต่างจากคอนโดของพิมพ์ที่จะมีบรรยากาศแห่งความแปลกใหม่และความสุขที่ย้งได้รับ แต่ในตอนท้ายของเรื่องบ้านของย้งและเง็กกลับมามีบรรยากาศแห่งความสุขเหมือนสมัยที่ทั้งคู่แต่งงานด้วยกันใหม่ๆอีกครั้ง ทั่งหมดนี้จะเห็นได้ว่าฉากมีความสำคัญต่อการดำเนินเรื่องด้วยเช่นกัน

องค์ประกอบที่โดนเด่นที่สุดในเรื่องนี้คือ ความสัมพันธ์ของตัวละครทุกตัว โดยเฉพาะลักษณะตัวละครของเง็กที่ถึงแม้ภายนอกจะจู้จี้ขี้บ่น แต่ภายใต้ความจู้จี้ขี้บ่นนั้นล้วนเกิดจากความรักและความห่วงใยที่มีให้ย้งทั้งสิ้นถึงแม้ในตอนแรกเง็กจะแต่งงานกับย้งเพราะพ่อบังคับ แต่เมื่ออยู่ด้วยกันเง็กก็ดูแลเอาใจใส่ย้งเป็นอย่างดีจึงเกิดเป็นความสัมพันธ์ที่ยากจะถอนได้ สุดท้ายแล้วความดีของเง็กก็ทำให้ย้งได้ตาสว่างอีกครั้งนึง

ภาพยนตร์เรื่องนี้ให้คติในการใช้ชีวิตคู่ว่าไม่ควรที่จะละเลยความสัมพันธ์ บางครั้งเราก็มองข้ามความรักและความห่วงใยของคนรักเรา การนอกใจมีแต่จะสร้างความเจ็บปวดให้กันและกัน เราจึงควรเอาใจใส่ซึ่งกันและกันให้เหมือนกับตอนที่เราได้ตัดสินใจจะใช้ชีวิตร่วมกับคนๆนั้นแล้ว

The Letter ( จดหมายรัก )


วิลาสินี กัลยาเลิศ

05490362


ดิว โปรแกรมเมอร์สาวมี เกด เพื่อนรักเพียงคนเดียวที่อาศัยอยู่ด้วยกันในกรุงเทพ จนกระทั่งความเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อดิวต้องเดินทางขึ้นเชียงใหม่หลังจากได้รับจดหมายแจ้งข่าวการเสียชีวิตของยายเล็ก ที่นั่นดิวได้พบกับ ต้น หนุ่มนักวิจัยพรรณพืชซึ่งมีต้นบ๊วยเป็นความผูกพันเดียวที่เหลืออยู่ ดิวได้สัมผัสถึงความอบอุ่นอ่อนโยนที่มีอยู่ในตัวต้น ถึงแม้ว่าตอนนี้ตนเองได้กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่เต็มไปด้วยชีวิตที่เร่งรีบและเต็มไปด้วยการแข่งขันอีกครั้ง จนกระทั่งต้นเดินทางมาหาดิวถึงกรุงเทพ และในช่วงเดียวกันดิวก็สูญเสียเพื่อนรักอย่างเกดที่เสียชีวิตจากการนัดพบกับเพื่อนชายที่ติดต่อกันทางอินเทอร์เนต สิ่งที่เกิดขึ้นร้ายแรงเกินกว่าที่ดิวจะรับได้จากความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น ทำให้ดิวตัดสินใจเดินทางสู่เชียงใหม่เพื่อพบกับความอบอุ่นที่เหลืออยู่ นั่นคือ ต้น ทั้งคู่แต่งงานกันและสุขใจไปกับจดหมายรักของยายเล็ก แต่โชคชะตาไม่สามารถกำหนดได้ต้นจึงพลัดพรากจากดิวไปอย่างไม่มีวันได้กลับมาพบกันอีก

การเปิดเรื่อง


ดิวได้รับจดหมายแจ้งข่าวการเสียชีวิตของยายเล็ก ต้นบ๊วยบนเขาและงานศพ

เหตุการณ์เริ่มพัฒนา


เมื่อดิวได้พบกับต้นที่สถานีขนส่งเชียงใหม่ ทำให้ดิวได้มีโอกาสไปเที่ยวที่ทำงานของต้น จนกระทั่งดิวกลับกรุงเทพแต่ทั้งคู่ยังมีการติดต่อกันอยู่ตลอดเวลา

จุดสงสัย


ขณะต้นกำลังทำงานตรวจพรรณพืช ต้นได้สลบล้มลงจนต้องไปโรงพยาบาล

ความขัดแย้ง


ระหว่างมนุษย์กับภายในจิตใจของตนเอง

จุดวิกฤติ


ต้นไม่สบายอย่างหนักและเสียชีวิตลงในอ้อมกอดของภรรยาขณะดิวกำลังอ่านจดหมายรักอันซาบซึ้งของยายเล็กให้เขาฟัง

จุดไคลแม็กซ์


จดหมายรักฉบับสุดท้ายที่ต้นส่งให้ดิวหลังจากที่ได้เสียชีวิตลงแล้ว ดิวนั่งดูวีดิโอที่ต้นบันทึกสิ่งที่อยากบอกกับดิวเป็นครั้งสุดท้ายและร้องไห้คร่ำครวญด้วยความรัก

การปิดเรื่อง


ดิวนำดอกไม้ไปวางไว้ที่ต้นบ๊วยบนเขาเพราะต้นบ๊วยต้นนี้เปรียบเสมือนตัวแทนของต้น และยังมีต้นบ๊วยต้นเล็กที่กำลังเจริญเติบโตปลูกอยู่เคียงข้างกัน เด็กชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหาดิวพร้อมกับเรียกว่า ”แม่” และนั่นคือต้นบ๊วยของลูกตั้มซึ่งเป็นลูกของดิวกับต้นนั่นเอง


เรื่องนี้เน้นแก่นเรื่องเป็นสำคัญซึ่งถ่ายทอดความรักอันบริสุทธิ์ของคนสองคนได้อย่างซึ้งกินใจ แม้ว่าฝ่ายหนึ่งจะตายจากกันไปแล้วแต่การส่งจดหมายของต้นนั้นเป็นการตอกย้ำความรู้สึกของผู้ชมมากยิ่งขึ้น หากมองให้มากกว่านั้นเรื่องนี้เหมือนจะตอบคำถามว่า หากคุณพรัดพรากจากความรัก การตาย หรือ การอยู่ห่างไกลโดยไม่รู้จะได้ติดต่อเมื่อไหร่ คุณจะอยู่ จะมีชีวิตอยู่ด้วยกำลังใจแบบใด .... คำตอบ คือ เพื่อตนเอง และ เพื่อคนที่กำลังรอความรักจากคุณต่อไป

ฤดูแล้งใน DArAtt


น.ส. ชวัลญา คุรุเสถียรพงศ์

05490096


ท่ามกลางทะเลทรายร้อนระอุ ความอดอยาก ภูมิประเทศอันแห้งแล้ง และสงครามกลางเมืองอันโหดร้าย ความแค้นของชายคนหนึ่งได้เริ่มต้นขึ้นที่นี่...

ย้อนหลังกลับไปเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว Chad (อ่านว่า ช๊าด)ประเทศเล็กๆในทวีปแอฟริกาก็เป็นหนึ่งในหลายๆประเทศที่ต้องประสบกับปัญหาสงครามกลางเมือง รวมไปถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ซึ่งก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างมหันต์จนกลายมาเป็นเรื่องราวในภาพยนตร์เรื่องนี้

อาติม เป็นเด็กหนุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสงครามนี้โดยตรง เพราะเขาต้องสูญเสียพ่อไปตั้งแต่ก่อนที่เขาจะลืมตาดูโลกเสียอีก และด้วยเหตุนี้เองเขาจึงได้ชื่อว่า “อาติม” ซึ่งแปลว่ากำพร้า เด็กชายเติบโตมากับปู่ และเมื่อมีการยุติสงครามกลางเมือง ทางการประเทศชาดได้ใช้นโยบายสมานฉันท์ (คนไทยน่าจะรู้จักคำนี้ดี) และประกาศนิรโทษกรรมนักโทษสงครามทั้งหมด หนึ่งในนั้นรวมไปถึงนาซาร่า มือสังหารที่ฆ่าพ่อของอาติมด้วย

ด้วยความสนับสนุนของปู่ ทำให้อาติมออกเดินทางตามหาตัวนาซาร่าเพื่อแก้แค้น เขาพบว่าอดีตมือสังหาร กลายเป็นเจ้าของโรงงานขนมปังผู้ใจบุญ แต่อาติมก็ยังไม่ล้มเลิกเจตนาเดิม เขาแฝงตัวเข้าไปทำงานในร้านขนมปัง แต่หลังจากที่ได้ขนมปังถาดแล้วถาดเล่าถูกผลิตขึ้นจากหยาดเหงื่อและแรงงานของเขาเอง สิ่งที่เด็กหนุ่มได้รับจากนาซาร่าคือความรัก ความเอ็นดูและข้อเสนอที่จะรับอาติมเป็นลูกบุญธรรมเพื่อสืบทอดกิจการทำขนมปังต่อไป ท้ายที่สุดแล้วอาติมก็ชักนำให้นาซาร่ามพบปู่ของเขาเพื่อจบเรื่องราวทั้งหมดเสีย และอาติมก็เลือกที่จะยุติความแค้นทั้งหมดด้วยมือของตนเอง...

ฉากแรกของเรื่องเปิดมาด้วยตอนที่อาติมกับปู่นั่งฟังประกาศจากทางรัฐบาล และได้รับรู้ว่าฆาตกรที่สังหารพ่อของเขามีชีวิตลอยนวลอยู่อย่างถูกกฎหมาย นับเป็นการจุดชนวนความแค้นของเด็กหนุ่มที่มีต่อนาซาร่า ซึ่งเป็นความขัดแย้งระหว่างมนุษย์ต่อมนุษย์ที่เป็นปมสำคัญของเรื่องและชักนำให้ตัวละครดำเนินบทบาทต่อไป ความขัดแย้งนี้ยิ่งปรากฏชัดเมื่ออาติมเข้ามาทำงานกับนาซาร่า ถึงแม้ว่านาซาร่าจะให้ความเอ็นดูเพียงใดแต่แววตาของอาติมก็ยังคงแสดงความเกลียดชังออกมาอย่างไม่ปิดบัง และเมื่อเรื่องราวดำเนินต่อมา ความขัดแย้งภายในจิตใจของอาติมก็เริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เนื่องมาจากความลังเลใจและความสับสนว่าจะสังหารนาซาร่าดีหรือไม่

ตัวละครเอกของภาพยนตร์เรื่องนี้คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากอาติม หากลองเปรียบเทียบอาติมในตอนเริ่มเรื่องกับในฉากสุดท้าย จะพบว่าตัวละครตัวนี้แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาการทางความคิดอย่างชัดเจน จากเริ่มแรกที่รับเอาความแค้นมาจากปู่ชนิดที่เรียกได้ว่ารับมาทั้งดุ้น แต่แล้วก็เกิดจุดพลิกผันขึ้นเมื่ออาติมได้เรียนรู้ตัวตนที่แท้จริงของนาซาร่า และนั่นทำให้เขาเลือกที่จะจบความแค้นด้วยวิธีที่ทำให้ผู้ชมอย่างเราต้องนับถือในน้ำใจและความเป็นลูกผู้ชายของเด็กหนุ่มคนนี้

อีกตัวละครหนึ่งที่มีความน่าสนใจไม่แพ้กันคือนาซาร่า ตัวละครนี้เป็นอีกหนึ่งตัวละครที่มีความซับซ้อนและมีความขัดแย้งภายในตัวเองอยู่มาก ตั้งแต่ฉากแรกที่ปรากฏ นาซาร่านำขนมปังมาแจกจ่ายให้กับเด็กๆที่อดอยากซึ่งขัดกับภาพที่อาติมยึดติดว่าเขาเป็นฆาตกรอย่างชัดเจน และแม้ว่านาซาร่าเองจะเป็นคนที่ทำให้อาติมกำพร้าพ่อ แต่ตัวละครตัวนี้กลับเป็นคนที่สามารถให้ความรัก ความเอ็นดูและทำหน้าที่ของความเป็นพ่อให้กับอาติมได้อย่างแท้จริง

ในภาพยนตร์เรื่อง DArAtt มีจุดสังเกตที่น่าสนใจอยู่หลายจุด และในหลายๆจุดนั้นก็ได้สะท้อนให้ผู้ชมอย่างเราได้เห็นอะไรหลายๆอย่าง เช่นการใช้ขนมปังเป็นสื่อกลางระหว่างอาติมกับนาซาร่า ถ้าหากว่าจะคิดตาม ผู้ชมทุกคนคงเกิดคำถามขึ้นว่า “ทำไมต้องเป็นขนมปัง?” นัยหนึ่งอาจจะต้องการสื่อว่าเมืองชาดตกอยู่ใต้อำนาจอิทธิพลของฝรั่งเศส แต่เมื่อลองพิจารณาดูดีๆแล้ว ขั้นตอนแต่ละขั้นของขนมปังที่เขาเรียนรู้ก็เหมือนกับตัวตนที่แท้จริงของนาซาร่าที่ปรากฏขึ้นทีละน้อย เมื่ออาติมรักการทำขนมปังจากใจจริง กลายเป็นว่าเขาเองก็ผูกพันกับนาซาร่ามากขึ้นโดยไม่รู้ตัว ท้ายที่สุดแล้วขนมปังจึงเป็นเหมือนสายสัมพันธ์ที่เชื่อมสองตัวละครนี้เข้าด้วยกัน

ถึงแม้ว่า DArAtt จะเป็นหนังที่ดูแล้วต้องคิดตามมากสักหน่อย ทั้งยังไม่มีฉากตื่นตาตื่นใจเหมือนหนังฮอลลีวูดทั่วไป แต่ภาพที่ฉายให้ผู้ชมเห็นทางมุมกล้องแคบๆตามแบบฉบับทุนต่ำ กลับสะท้อนให้เห็นอะไรที่กว้างกว่าที่ตาเห็น

อย่างหนึ่งคือสัจธรรมเกี่ยวกับสงคราม ที่ไม่เคยให้ผลประโยชน์กับฝ่ายใดเลย…

อย่างที่สอง...ความหมายของคำว่า “สมานฉันท์” อย่างแท้จริง เฉกเช่นที่อาติมมอบให้กับนาซาร่า... (คนไทยควรศึกษากรณีนี้เป็นพิเศษ)

และสิ่งสุดท้าย... แม้แต่ในฤดูกาลอันแห้งแล้ง แต่หัวใจของมนุษย์ตัวเล็กๆอย่างอาติมก็ไม่เคยแห้งผากเหมือนดังทะเลทรายเลย.

กระสือวาเลนไทน์


น.ส. ณัชชา เฉลิมรัตน์ ๐๕๔๙๐๑๒๕


“สาว” พยาบาลแสนสวยที่ได้เข้ามาทำงานในโรงพยาบาลเก่าแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่เดียวกันกับ “หนุ่ม” ภารโรงคนซื่อที่ร่างกายไม่สมประกอบทำงานอยู่ สาวได้รับดอกกุหลาบจากหนุ่มโดยบังเอิญในวันแห่งความรัก โดยมี “เด็กหญิงขายดอกกุหลาบ” เป็นสื่อ และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของคนทั้งคู่ แต่ยังไม่ทันที่จะได้มีโอกาสพูดคุยทำความรู้จักกันมากนัก ก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน เมื่อหนุ่มตกบันไดจนเป็นอัมพาต และหลังจากนั้นเหตุการณ์ประหลาดๆ ที่ผูกพันกันอย่างคาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น


สาวได้พบกล่องเก่าๆ ใบหนึ่งในบ้านพักของเธอ ภายในกล่องนั้นเธอได้พบกับรูปถ่ายใบเก่าที่ถูกฉีกออกเป็นสองส่วน ในภาพนั้น หนุ่มในชุดทหารสมัยสงครามถ่ายคู่กับเธอในชุดพยาบาลและด้านหลังภาพถ่ายก็มีข้อความที่หนุ่มเขียนถึงเธอ หลังจากนั้นสาวก็ได้พยายามที่จะหาคำตอบให้กับเรื่องที่เกิดขึ้นและยิ่งพยายามค้นหาคำตอบเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งได้พบเจอกับเรื่องราวประหลาดๆ เกี่ยวกับพวกเขาทั้งคู่ และภายในค่ำคืนที่สับสนสาวยังได้พบความจริงอันน่าสะพรึงกลัวเกี่ยวกับตัวเธอเองอีกด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้เป็นแค่พรหมลิขิต...หรือ...ชะตากรรม ?

ไม่น่าเชื่อว่าบางทีหนังผีก็อาจจะไม่ใช่หนังผีอย่างที่คิดที่คือสิ่งมี่แปลกและทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้แตกต่างออกไปกระสือวาเลนไทน์ได้พิสูจน์แล้วว่า หนังผีก็มี “อะไร” มากกว่าที่เราคิด เพราะก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าเคยคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คงจะเหมือนกับหนังผีอื่นๆ ทั่วไป หากไม่น่ากลัวสุดๆ ก็คงจะสนุกสนานเฮฮานั่งหัวเราะไปกับคนที่วิ่งหนีผีจนสุดชีวิต หรืออาจจะได้อรรถรสทั้งสองอย่างอยู่ในเรื่องเดียวกัน แต่กับภาพยนตร์เรื่องนี้นั้นต่างออกไป ซ่อนอารมณ์เศร้าและครุ่นคิดอยู่

ในฉากแห่งความน่ากลัว ในอารมณ์สนุกสนานกลับให้ความรู้สึกแสบๆ คันๆ มากกว่าเสียงหัวเราะ

สิ่งสำคัญที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องการจะสื่อนั่นก็คือเรื่องของ “กรรม” ที่เกิดจากกระทำของแต่ละคนจากในชาติที่แล้ว จนในชาติปัจจุบันกรรมเหล่านั้นได้กลับมาสะท้อนยังตัวละครต่างๆ อย่าง หนุ่ม ได้เคยทำกรรมไว้กับสาว เขาเคยทอดทิ้งเธอไปแต่งงานทั้งๆ ที่เป็นคู่รักกันอยู่ โดยที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าสาวตั้งท้องลูกของตน ส่วนตัวสาวเองก็ไม่คิดที่จะเก็บเด็กเอาไว้ และได้รับคำแนะนำวิธีกำจัดเด็กออกจากหมอคนหนึ่งซึ่งเขาก็เป็นคนเดียวกันกับหมอใหญ่ในโรงพยาบาลที่เธอเข้ามาทำงานอยู่ในชาตินี้ พวกเขาต่างทำกรรมกันไว้ซึ่งกันและกันและพวกเขาก็ได้ร่วมกันทำกรรมไว้กับ “ใครคนหนึ่ง” ผู้ซึ่งตามมาทวงคืนในชาตินี้

ความโดดเด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ที่การผูกเรื่อง ที่สามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของตัวละครแต่ละตัวที่เกี่ยวข้องกันทั้งในเรื่องของเวรกรรม และในเรื่องของอดีตชาติและชาติปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ไม่ง่ายแต่ก็ไม่ซับซ้อนมากจนเกินไป มีการผูกเงื่อนปมให้ผู้ชมสงสัย และสามารถคลายปมในตอนท้ายได้อย่างดี แม้จะไม่ถึงกับพลิกความคาดหมายแต่ก็สามารถทำได้ “ลึก” กว่าที่คิดเอาไว้ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนถูกตอกให้เข้าถึงสิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องการจะสอน
ได้มากขึ้น

นอกจากการผูกเรื่องแล้ว บทภาพยนตร์ของเรื่องนี้ก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะผู้เขียนได้ใส่รายละเอียด ความสำคัญและความน่าสนใจลงไปจะเรียกได้ว่าแทบในทุกบททุกตอนเลยก็ว่าได้ ในบางคำพูดอาจมีความหมายและความรู้สึกอยู่ในนั้นมากกว่าที่เราคิด แม้แต่เพียงประโยคง่ายๆ ที่เหมือนจะขำขันแต่ก็แฝงแง่คิดบางอย่าง

“แม่จะร้องไห้ไปทำไม ดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่ตาย”
ประโยคสั้นๆจากปากของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในเรื่องกลายเป็นประโยคที่ยังคงติดอยู่ในหัวของข้าพเจ้าเพราะมันเป็นทั้งการเริ่มต้นที่เจ็บปวดและการปิดฉากที่งดงามของตัวภาพยนตร์ ความเจ็บปวดอันไม่มีที่สิ้นสุดและความตายอันพึง
ปรารถนา สุดท้ายแล้วอะไรกันแน่ที่เราทุกคนต้องเลือก ....... ประโยคเพียงประโยคเดียวก็อาจเป็นเสียงสะท้อนได้ว่าแท้จริงแล้ว โลกของเราในปัจจุบันนี้ “การอยู่” มันดีกว่าการ “การตาย” แล้วจริงๆ หรือ

The pursuit of happiness : ยิ้มไว้ก่อนพ่อสอนไว้


นางสาวศศิกานต์ ช้างกลาง
05490375


เรื่องย่อ นำเค้าโครงมาจากเรื่องจริงของนักขายคนหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา ชื่อว่า Chris Gardner ซึ่งเขาได้ฝ่าฟันอุปสรรคทางเศรษฐกิจจนสามารถทำให้ตนเองมายืนอยู่ใจจุดที่สูงสุดของชีวิตได้

Chris Gardner มีชีวิตครอบครัวที่แสนจะมีความสุข เขามีภรรยาและลูกชายหนึ่งคน เลี้ยงชีพโดยการขายเครื่อง scanner กระดูก แต่ด้วยพิษเศรษฐกิจที่รุมเร้า ทำให้ภรรยาของเขาได้ทิ้งเขาไป ทำให้เขาต้องสู้ชีวิตกับลูกน้อยเพียงลำพัง แต่แล้ววันหนึ่ง Chris Gardner ได้เดินผ่านบริษัทการเงินยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง เขาเห็นผู้คนที่นั่นหน้าตามีแต่ความสุข เขาสงสัยและได้ถามไถ่คนที่ทำงานอยู่ที่นั่นว่าทำอะไรกันและจึงได้รับคำตอบพร้อมด้วยคำเชิญชวนให้มาลองฝึกงานที่นี่ ในที่สุดChris Gardner ก็ได้ตกลงใจที่จะฝึกงาน แต่ต้องแลกกับการที่ในระหว่างนั้นเขาจะไม่ได้ขายเครื่องสแกนเนอร์เครื่องสุดท้าย ทำให้ชีวิตในตอนนั้นของเขาและลูกลำบากจนถึงที่สุด แต่แล้วก็เหมือนโชคเข้าข้าง เขาได้ทำงานที่นั่น และด้วยความขยันหมั่นเพียรของเขา ทำให้ Chris

Gardner นั้นกลายเป็นเศรษฐีในที่สุด

จุดเด่นในการนำเสนอเรื่อง อยู่ที่การนำเสนอชีวิตบุคคล ก็คือ Chris Gardner ซึ่งนำแสดงโดย Will Smith

โดยเนื้อเรื่องนั้นต้องการที่จะแสดงให้เห็นถึงชีวิตของคนเราว่ามีสองด้านเสมอ เมื่อมีสุข ก็ต้องมีทุกข์เป็นของคู่กัน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะจัดการกับสุขหรือทุกข์นั้นอย่างไร จากเรื่องก็จะเห็นว่าตัวเอกมีความมานะอดทนที่จะฝ่าฟันอุปสรรค กล้าได้กล้าเสียกับสิ่งที่คิดว่าดีกว่า เห็นได้จากการที่ตัวเอกตกลงฝึกงานโดยไม่รับค่าตอบแทนเลยทั้งๆที่ตนเองก็แทบจะไม่มีเงินติดกระเป๋าเช่นกัน และที่สำคัญคือการให้ความสำคัญกับครอบครัว ซึ่งเรื่องนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าตัวเอกนั้นมีความรักต่อลูกมากมายแค่ไหน

แสบ! ซ่าส์! ซึ้ง! (Little Brother)


น.ส. สริญลา เซ็นเสถียร
05490400


เด็กชายวัยเก้าขวบ ฮานิ เด็กที่ร่าเริงสดใสแต่ก็ชอบก่อปัญหาตามประสาเด็ก ไม่ว่าจะที่โรงเรียนหรือว่าที่บ้าน ฮานิคิดเสมอว่า พ่อ แม่ และพี่ชายอยู่ภายใต้ความควบคุมของตัวเอง จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้รับรู้ว่าพี่ชายคนเดียวของเขาป่วยด้วยโรคมะเร็ง แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป พ่อและแม่เครียดหนักกับอาการป่วยของลูกชายคนโต

เมื่อพี่ชาย ฮันบุลได้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล ได้พบกับเพื่อนใหม่ชื่อ “วุค” วุคป่วยด้วยโรคลูคีเมียมาป็นเวลานาน แต่เขาก็ยังเป็นเด็กทีมีอารมณ์ขันและจิตใจที่ดี เป็นขวัญใจของทุกคนในโรงพยาบาล ฮานิและครอบครัวของเขาเรียนรู้อะไรบางอย่างจากครอบครัวของวุคและเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามา ฮานิเริ่มเรียนรู้ที่จะปรับปรุงตนเองให้เข้ากับคนรอบข้างได้ ทำเพื่อคนอื่นมากขึ้น เพราะว่าเห็นตัวอย่างที่ดีจากวุค และครอบครัวของวุค

1. การเปิดเรื่อง เรื่มจากเด็กน้อยฮานิ นั่งเรียนวิชาแต่งประโยคเกี่ยวกับแมว ซึ่งเขาเป็นคนที่ไมมีความสามารถทางด้านนี้เสียเลย จนคุณครูดุ ผิดกับเพื่อนที่นั่งฝั่งตรงกันข้าม ซึ่งเป็นคนเก่งและดูฉลาดหลักแหลม การเปิดเรื่องดูแล้วประทับใจ นึกถึงภาพมื่อตอนตัวเองยังเป็นเด็กๆประถมศึกษาตอนต้น

2. เหตุการณ์เริ่มพัฒนา วันหนึ่งฮานิไปหาพี่ชายที่ห้องเรียนพละ พบว่าพี่ชายไม่สบาย จึงกลับมาพักผ่อนที่บ้าน แม่กลับมาจึงดุหาว่าลูกๆหนีเรียน แต่พอพบว่าลูกชายคนโต ฮันบุลป่วยและอาการหนักมาก เลยพาไปหาหมอ พ่อแม่เครียดและสงสารลูกชายจับใจ

3. จุดสงสัย –

4. ความขัดแย้ง

-ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ คือฮานิ และวุคในช่วงแรกๆ ที่ฮานิให้ไพ่พลังแก่พี่ชายเพื่อต่อสู้กับโรคร้าย แต่พี่ชายนำไปให้วุคเพราะเห็นว่า วุค เก่งกาจ ต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บมาอย่างอดทนแต่ว่าฮานิไม่พอใจ และน้อยใจพี่ชายที่ไม่เห็นความสำคัญกับไพ่พลังที่เขาให้ เกิดอคติกับวุคและหาว่าวุคเป็นเด็กบ้านนอก

-ระหว่างมนุษย์และจิตใจ ในตอนที่แม่ของฮันบุล ต้องเก็บความรู้สึกเจ็บปวดเสียใจเรื่องลูกชายเอาไว้ แม้ว่าภายในจะขมขื่นเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถแสดงความอ่อนแอ ร้องไห้ออกมาให้ลูกๆเห็นได้

5. จุดวิกฤติ คือ ตอนที่ฮานิไปอยู่บ้านของวุค เป็นตอนที่น่าประทับใจ เพราะเห็นถึงเด็กต่างจังหวัดที่เติบโตมากับธรรมชาติ ว่ามีความสุขและเรียบง่ายเพียงใด ฮานิ ซึ่งไม่เคยสัมผัสกับชีวิตเช่นนี้มาก่อน เขาจึงประทับใจ และเป็นช่วงที่เปลี่ยนพฤติกรรมของฮานิอย่างมาก ในช่วงนี้มีเหตุการณ์ที่ฮานิและวุคแอบหนีขึ้นไปบนเขา ผจญภัยต่างๆ

6. จุดไคลแมกซ์ เมื่อพี่ชายต้องเข้ารับการผ่าตัดครั้งที่สอง ฮานิรีบขึ้นไปบนภูเขาที่เขาเคยไปเมื่อครั้งไปอยู่บ้านวุค เพื่อไปเอาน้ำ แร่หรือที่ฮานิคิดว่าเป็นวิเศษมาให้พี่ชายดื่ม หวังว่าจะให้พี่ชายหายจากอาการเจ็บป่วย เขาต้องวิ่งขึ้นไปด้วยความยากลำบาก และรีบนำมันกลับมา แต่ไม่มีใครยอมดื่มเพราะกลัวเป็นอันตราย เมื่อพี่ชายซึ่งกำลังอยู่ในขั้นโคม่า ได้ยินเสียงน้องร้องเรียกเลยฟื้น หลังจากนั้นแค่เสี้ยวนาที วุค ที่นอนอยูเตียงข้างๆก็เสียชีวิตอย่างสงบ เป็นฉากที่เศร้ามากเพราะเห็นถึงความอดทนต่อโรคร้ายอย่างกล้าหาญของหนูน้อยวัยเพียงเก้าขวบ และตอนเขาจากไป เขาก็จากไปพร้อมกับรอยยิ้มที่ภาคภูมิใจในเพื่อนใหม่ของเขาที่ชื่อฮานิ ที่พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้พี่ชายอาการดีขึ้น

7. การปิดเรื่อง เมื่อฮันบุลฟื้น เขาต้องสูญเสียการมองเห็นไปและเขาเริ่มฝึกอักษรเบลล์ แต่เขาก็เข้มแข็ง โดยมีฮานิเป็นเพื่อนเล่น คอยดูแลพี่ชายไม่ห่าง พาพี่ชายไปเล่นหิมะกันอย่างสนุกสนานแต่พวกเขาทั้งสองยังคงระลึกถึงเพื่อน ผู้เข้มแข็งของเขาไม่มีวันลืม


บทภาพยนตร์เรื่องนี้มีพื้นฐานจากเรื่องจริง จึงไม่เป็นเรื่องยากที่จะเล่าเรื่องแบบเรียบง่ายและเข้าถึงผู้ชม แต่สิ่งที่เป็นตัวส่งเสริมภาพยนตร์เรื่องนี้คือการแสดงของเหล่านักแสดงทั้งหลายซึ่งทำให้ผู้ชมเชื่อว่ามันคือ “ของจริง” จินตนาการของวัยเด็กจึงทำให้เหตุการณ์หลายอย่างดูสนุกมากยิ่งขึ้น การผจญภัยต่างถิ่นและไม่คุ้นเคยของ ฮานิ การแสดงของ พาร์ค จิ-บิน ที่ดูสดใสและเข้าใจในบทบาทที่ตนเองได้รับ มันยิ่งทวีคุณเสน่ห์ของภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าไปอีก

การแสดงในเรื่องนี้คือเสน่ห์ที่สำคัญที่ทำให้คล้อยตาม ไม่ว่าจะเป็นการแสดงของเด็ก หรือ ผู้ใหญ่ ที่ตกอยู่ในสภาวะที่เรียกได้ว่า “หัวอกเดียวกัน” การเห็นใจกัน การให้กำลังใจกัน เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับคนที่ตกอยู่ในภาวะทุกข์ โดนเฉพาะในฉากที่แม่ของวุคแนะนำแม่ของฮานิว่าเศร้าได้แต่อย่าให้ลูกเห็น นั่นเป็นการบอกถึงอาการกดอารมณ์ที่หม่นหมองไว้เพื่อไม่ให้ลูกที่ป่วยทางกายอยู่แล้วป่วยทางใจเพิ่มอีก และผลลัพธ์ที่แม่ของวุคได้นั้นก็คือ ทำให้วุคเป็นเด็กที่มีอารมณ์แจ่มใส จนมองข้ามอาการป่วยไปเลย.. การแสดงของนักแสดงก็เรียกได้ว่าสมบทบาท การดำเนินเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการเล่าโดยผ่านการใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย โดยเฉพาะการพูดคุยระหว่างพี่น้อง หรือการแกล้งกันของเพื่อน ที่เป็นในแบบเด็กๆ ดูร่าเริงสดใส แต่ฉากบางฉากอาจจะดูรุนแรงไปสำหรับวัฒนธรรมไทย เช่น ฉากที่ฮานิเอาน้ำป่นกับอึของตัวเองสาดพี่ชายของเขา มันอาจจจะดูไม่เหมาะสมแต่นั่นก็อาจจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ อีกทั้งมุขตลกต่างๆ ในภาพยนตร์ก็แสดงได้อย่างไหลลื่น และไม่รู้สึกเหมือนพยายามที่จะให้ผู้ชมหัวเราะ การดำเนินเรื่องทั้งหมดของหนังเรื่องนี้จะใช้ฮานิตัวละครเดียวในการเล่าเรื่อง เรื่องราวทั้งหมดจะเล่าผ่านฮานิ เป็นการเล่าเรื่องที่ไม่น่าเบื่อ ทั้งที่ผู้ชมจะเห็นหน้าของฮานิตลอดทั้งเรื่องก็ตาม

บรรยากาศของหนังเรื่องนี้ค่อนข้างจะธรรมดามากเพราะฉากของหนังส่วนใหญ่จะเป็นโรงพยาบาล และ บ้านในชนบทดังนั้น จึงมุ่งเน้นไปในทางที่ดูเป็น เรียกว่าไม่เน้นฉาก แต่เน้นการแสดงของตัวละคร
ดนตรีประกอบ ใช้อย่างพอดี และใช้ในฉากที่จำเป็นที่ต้องการบอกอารมณ์ของเหตุการณ์ในหนังช่วงนั้น มุมกล้องในภาพยนตร์เรื่องนี้ส่วนใหญ่จะทำเหมือนกับว่าผู้ชมมีส่วนร่วมหรือยืนอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย

ภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัล แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็น่าจะทำให้ใครหลายคนประทับใจได้และให้ข้อคิดว่า ทุกวันนี้เราใช้ชีวิตไปกับครอบครัวคุ้มค่าแค่ไหน เรายิ้ม และหัวเราะไปพร้อมกับครอบ ครัวเพื่อนฝูง และคนรอบข้างของเราเพียงพอแล้วรึยัง

Walk The Line อ้อมกอดรักก้องโลก


นางสาวฮานาน อีหมัน

05490486


เรื่องย่อ “Walk The Line อ้อมกอดรักก้องโลก”

เป็นเรื่องราวชีวิตจริงของนักร้องชื่อดัง จอนนี่ แคลช หนุ่มผู้มีความฝันและพรสวรรค์ในการแต่งเพลง สมัยเด็กจอนนี่หลงใหลในเสียงเพลง เขามีปมในใจคือพ่อไม่เคยยอมรับในตัวเขาเพราะเขาไม่มีอะไรดีเลยเมื่อเปรียบกับแจ็คผู้เป็นพี่ชายที่ทั้งฉลาดและขยันทำงาน จอนนี่สนิทกับพี่ชายมาก วันหนึ่งมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นทำให้เสียแจ็คไป พ่อได้แต่บอกว่าเอาลูกไปผิดคน

หลังจากนั้นพอจอนนี่โตขึ้น เขาออกจากบ้านไปเป็นทหารอากาศที่เยอรมันและได้พบรักกับวิเวียน ทั้งคู่แต่งงานและมีลูกด้วยกันสองคน เขาออกจากทัพอากาศมาเป็นพนักงานขายตรง วันหนึ่งระหว่างที่เขาออกไปขายของก็ได้พบสตูดิโออัดแผ่นเสียง เขาจึงตั้งวงดนตรีไปทดสอบจนได้เป็นนักร้อง และออกเดินสายแสดงการร้องเพลง ทำให้ได้เจอกับจูน คาร์เตอร์ นักร้องสาวที่เขาชื่นชอบมาตั้งแต่สมัยยังเด็กและเขาก็พบว่าเธอมีอะไรหลาย ๆ อย่างที่คล้ายกับเขา ฐานะครอบครัวจอนนี่ดีขึ้นมีเงินมีบ้าน แต่เขากลับไม่มีเวลาให้ครอบครัว ทำให้ภรรยาของเขาไม่พอใจและคัดค้านการเดินสายของเขา จอนนี่เครียดจึงหาทางออกด้วยการติดยา เขาเริ่มใส่อารมณ์ตัดสินปัญหา เมื่อเดินสายเปิดตัวไปตามเมืองต่าง ๆ ก็ทำให้จอนนี่และจูนก็มีความผูกพันกันมากขึ้น ระหว่างนั้นเขาก็ถูกจับเข้าคุกเพราะมียาเสพติด เมื่อเขากลับบ้านภรรยาเริ่มเห็นความผิดปกติของสามีจึงมีปากเสียงทะเลาะกันจนเป็นเหตุให้เธอพาลูกออกจากบ้าน

จากนั้นเขาก็เริ่มต้นชีวิตใหม่ในบ้านหลังใหม่ ในวันขอบคุณพระเจ้าระหว่างทานอาหารจอนนี่กับพ่อก็เกิดมีปากเสียงกัน และเพราะฤทธิ์ยาทำให้เขาคลั่ง หลังจากนั้นจูนก็คอยก็ช่วยเหลือดูแลเขาจนเลิกติดยาและกลับมาร้องเพลงอีกครั้ง สุดท้ายเขาก็พยายามขอจูนแต่งงานหลายรอบ จนในที่สุดเธอก็ตอบตกลง เขาและเธอก็ได้รักและอยู่ด้วยกันตลอดไป อีกทั้งจอนนี่เองก็ยังได้รับการยอมรับจากพ่อของเขาด้วย

บทวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่อง “Walk The Line อ้อมกอดรักก้องโลก”

เปิดเรื่อง ณ เรือนจำที่กำลังมีการแสดงดนตรีของจอนนี่ แคลช ทุกคนรอเขามาขึ้นร้อง แต่เขายังคงเหม่อลอยอยู่กับเลื่อยอันหนึ่งและสัมผัสมันเบา ๆ

จากนั้นเหตุการณ์ต่าง ๆ ก็เริ่มพัฒนาจากการเดินสายแสดงการร้องเพลงของเขา ทำให้เขาได้เจอกับจูน คาร์เตอร์ และเขาก็หลงรัก เรื่องราวต่างๆก็เกิดขึ้นจากการเดินสายทุก ๆ ปี จูนหย่ากับสามี จอนนี่ติดยาและเข้าคุก จากนั้นภรรยาของเขาก็หย่าและพาลูกหนีไป

จุดสงสัย ทุกครั้งที่เขาออกไปร้องเพลงจะต้องใส่ชุดดำ จนใครหลายคนจะค้องร้องทักว่า “ทำไมต้องใส่เสื้อดำด้วย มันเหมือนกับจะไปงานศพ”

เกิดความขัดแย้งขึ้นภายในจิตใจของจูน ทั้ง ๆ ที่เธอเองก็รักเขาและเขาก็รักเธอ แต่เธอต้องปฏิเสธและทำเป็นไม่ได้รักเขา เพราะเขายังมีภรรยาและลูก ๆ อยู่ แล้วเธอเองก็มีลูกอยู่แล้วด้วย

จุดวิกฤติได้เริ่มขึ้นเมื่อจอนนี่ขอเธอแต่งงาน ขอมาหลายต่อหลายครั้ง เธอก็ยังใจแข็งไม่รับคำขอ

และแล้วก็มาถึงจุดไคลแม็กซ์เมื่อจอนนี่ขอเธอแต่งงานกลางเวที ขณะที่เขาและเธอกำลังแสดงการร้องเพลง จอนนี่หยุดร้องและจะไม่ร้องต่อหากเธอยังไม่ให้คำตอบกับเขา จากนั้นเธอก็ถูกสถานการณ์บีบบังคับให้เธอต้องตอบ แล้วคำตอบของเธอก็คือตกลง

ปิดเรื่องด้วยกับความสุขของเขาและเธอที่ได้รักและอยู่ด้วยกันตลอดไป อีกทั้งจอนนี่เองก็ยังได้รับการยอมรับจากพ่อของเขาด้วย

สิ่งที่รับจากภาพยนตร์เรื่อง “Walk The Line อ้อมกอดรักก้องโลก”

หลังจากที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่อง “Walk The Line อ้อมกอดรักก้องโลก” ทำให้รู้สึกถึงพลังและความมุ่งมั่นที่ของจอนนี่ แคลช ที่อยากจะพาตัวเองให้ไปสู่ความสำเร็จ ถึงแม้ว่าตัวเขานั้นจะมีปมอยู่ในใจมาตลอดว่าผู้เป็นพ่อไม่เคยยอมรับในตัวเขาเลย และรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ที่ทำให้พี่ชายต้องตาย และด้วยภาวะแห่งความแล้งแค้นและความยากลำบาก เขาจึงต้องการไขว่คว้าหาความสุขให้กับตัวเองและครอบครัว และแล้วเขาก็ได้เปิดพรสวรรค์ที่มีอยู่ในตัวเขาออกมาจนได้เป็นนักร้องดังที่มีชื่อเสียง

เมื่อคนเราอยู่บนเส้นทางของซุปเปอร์สตาร์ น้อยคนหนักจะรู้หรือตระหนักในสิ่งที่ถูกต้อง จอนนี่หลุมหลงไปในความหอมหวานและความสุขที่ถูกหยิบยื่นให้เขาเสมอ และด้วยความผลีผลามทำให้เขาหันไปหาทางออกที่ผิดๆ นั่นก็คือการแก้ทุกข์ด้วยยาเสพติด ทำให้เขาต้องพบกับหายนะที่ตามมานั้นคือ การเสื่อมเสียชื่อเสียง ทำให้คนรอบข้างต้องเป็นทุกข์

และเรื่องนี้ยังทำให้เรารู้ด้วยว่าความรักเพียงชั่ววูบไม่หยังยืนเท่ากับความรักที่มาจากความผูกพันและการคอยช่วยเหลือกันยามที่เดือดร้อน เห็นได้ว่าความรักระหว่างจอนนี่กับวิเวียนนั้น เป็นความรักเพียงชั่ววูบ ในเรื่องเขาทั้งสองคบกันได้เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น จากนั้นจอนนี่ก็ต้องจากไปเป็นทหารสองปี และก็กลับมาแต่งงานกับวิเวียน ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้จักเธอดีพอ เมื่ออยู่กันไป จะพบว่าต่างคนต่างความคิด และวิเวียนก็ไม่เคยสนหรือจะให้กำลังใจจอนนี่เลย ทำให้เขาทั้งสองจำต้องจบกัน ซึ่งต่างจากความรักของจูนกับจอนนี่ ที่แม้ว่าจะเป็นความรักต้องห้าม แต่เขาทั้งสองก็รักกันเพราะความผูกพัน ความเข้าใจซึ่งกันและกัน เห็นได้จากทุกครั้งที่จอนนี่มีปัญหาหรือความทุกข์ จูนจะคอยให้กำลังใจและคอยช่วยเหลือเขาเสมอ สิ่งนี้ที่จูนมีคือสิ่งที่วิเวียนไม่เคยมีให้กับจอนนี่เลย

อีกทั้งความรักที่ผิดศีลธรรมที่เขาทั้งสองประสบนั้น จูน คาร์เตอร์ก็รู้ว่าสิ่งที่ถูกต้องนั้นคืออะไร เธอจึงปฏิเสธที่จะรับรักจากจอนนี่มาตลอด แต่เมื่อจอนนี่ไม่มีใครแล้วเธอจึงยอมตกลงรับรักจากเขา แสดงให้เห็นถึงความมีมนุษยธรรมที่มีอยู่เหนือความปรารถนาหรือกิเลสในใจ

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่อง ถึงแม้จะเป็นสิ่งที่ผิด แต่ในสิ่งที่ผิดเหล่านั้นยังมีความเป็นเหตุเป็นผลที่ชี้ให้เห็นว่าเสิ่งเหล่านั้นยังมีความเหมาะสมของความถูกต้องอยู่ ก็เหมือนกับชีวิตของคนเราที่อาจก้าวเข้าไปทำในสิ่งที่ผิด โดยที่ตัวเขาเองอาจจะมีเหตุผลที่ต้องกระทำในสิ่งนั้นก็ได้ เมื่อมาเปรียบดูแล้วก็ทำให้คิดได้ว่า เราไม่ควรมองใครจากภายนอก จากการกระทำของเขาเพียงชั่ววูบหรือบางครั้งบางคราว แต่ควรมองเขาในหลาย ๆ ด้าน ลองเปิดใจให้กว้างและยอมรับกับทุกสิ่งที่จะมีเข้ามาในชีวิตของเรา “การตัดสินคน เราไม่สามารถตัดสินได้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็แล้วแต่ เพราะคนทุกคนล้วนเป็นคนเหมือนกัน”

Hair spray


นายสิทธิชัย เอกภพณรงค์
รหัส 05490407

เรื่องย่อ

เทรซี่ ชอบการเต้นและร้องเพลงมากเธอได้ไปสมัครคัดเลือกเป็นนักเต้นในรายการแต่ถูกปฏิเสธ เพราะเธอมีรูปร่างที่อ้วน แต่เธอก็ยังไม่ละทิ้งความฝัน เธอได้คบกับคนผิวสีเป็นเพื่อนทำให้เธอสามารถก้าวไปสู่ความฝันสำเร็จ แต่ด้วยที่เธอยอมรับคนผิวสีซึ่งขัดแย้งกับผู้ผลิตรายการ ทำให้เธอถูกเพ่งเล็ง เมื่อเธอเป็นแกนนำในการประท้วงเธอกลับถูกใสข้อหาที่ร้ายแรงทำให้ต้องหนี แต่ด้วยความร่วมมือจากคนรอบข้างทำให้เธอสามารถแสดงให้คนอื่นเห็นว่าการแสดงร่วมกันของคนผิวดำและผิวขาว สามารถทำให้ดีได้ และทุกคนก็ยอมรับ ส่วนผู้ผลิตรายการก็ถูกเปิดเผยการโกงและความคิดเรื่องการแบ่งสีผิว นอกจากนี้ความรักของเทรซี่ นั้นความอ้วนก็ไม่เป็นอุปสรรค

วิจารณ์

1. เปิดเรื่อง

เปิดเรื่องด้วยการฉายให้เห็นสภาพการวางผังเมือง สภาพสังคม วิถีชีวิตของคนในเมือง ทำให้สะท้อนถึงลักษณะการประกอบอาชีพ และการแบ่งแยกของอาชีพ โดยคนผิวดำจะทำอาชัพที่ต่ำต้อย และถูกสังคมไม่ยอมรับ นอกจากนี้ยังเปิดตัวตัวละครหลักตั้งแต่ต้นเรื่องด้วย เพื่อให้ตัวละครเป็นผู้ดำเนินเรื่องต่างๆ

2. เหตุการณ์เริ่มพัฒนา

การดำเนินเริ่มพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปให้ดีขึ้น โดยตัวละครหลักได้เป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงทั้งที่ตัวละครมีลักษณะอ้วนเตี้ย และก่อนหน้านี้แม่ได้ยับยั้งไว้ แต่ตัวละครหลักได้พยายามทำตามความตั้งใจ และใช้ความฝันเป็นแรงผลักดันจนสำเร็จ แสดงให้เห็นว่าความสามารถสามารถทำให้ตนสำเร็จได้ในความฝัน

3. จุดสงสัย(suspense)

ตัวละครในเรื่องมีการกีดกันไม่ให้ตัวละครหลักเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนผิวดำ และรายการโทรทัศน์กีดกันวันผิวสี ซึ่งเป็นวันที่คนผิวดำสามารถออกรายการทางโทรทัศน์ได้ ทำให้เห็นถึงความคิดและการปฏิบัติต่อคนผิวสีในขณะนั้น

4. ความขัดแย้ง

ตัวละครหลักมองคนผิวสีว่าเป็นเพื่อนและไม่ประพฤติปฏิบัติกับคนผิวสีในเชิงเหยียดหยามเหมือนคนอื่นๆ ในสังคม ทำให้ตัวละครหลักถูกกีดกันจากการทำงาน อีกทั้งตัวละครหลักอยากให้ทุกวันเป็นวันผิวสี ทำให้มุ่งเน้นถึงปัญหาที่ชัดเจนขึ้น

5. การพัฒนาความขัดแย้งขึ้นไปสู่จุดวิกฤต

ตัวละครหลักไม่ยอมรับกับการแบ่งแยกสีผิว ทำให้ตัวละครหลักเกิดความคิดและจุดประเด็นความคิดให้คนผิวสีเดินประท้วงไปยังสถานีโทรทัศน์ โดยตัวละครหลัก และผู้นำกลุ่มของคนผิวดำเป็นแกนหลักในการเดินประท้วง แสดงให้เห็นถึงวิธี และรูปแบบของการแก้ปัญหา

6. จุดไคลแมกซ์

เมื่อขบวนประท้วงเดินไปถึงหน้าสถานีโทรทัศน์ ก็ถูกเจ้าหน้าที่ข้างกั้น ตัวละครหลักใช้ป้ายประท้วงตีเจ้าหน้าที่เบาๆ แต่กลับถูกใส่ข้อหาที่ร้ายแรงทำให้ตัวละครหลักต้องหาที่หลบซ่อน แสดงให้เห็นรูปแบบการใช้อำนาจ และการกระทำของเจ้าหน้าที่ต่อกลุ่มคนที่ถูกกีดกันในสังคม ย่อมไม่เป็นธรรม

7. การปิดเรื่อง

ครอบครัว เพื่อน และคนผิวสีได้ช่วยกันให้ความร่วมมือกับตัวละครหลักจนประสบความสำเร็จการแบ่งแยกสีผิวในรายการโทรทัศน์ถูกล้มเลิก คนผิวสี กับคนผิวขาว ทำรายการร่วมกัน แสดงให้เห็นถึงการยอมรับ และเปลี่ยนความคิดของคนสังคม เพื่อให้เกิดความเสมอภาค
ความคิดเห็น

เป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่งนอกจากรูปแบบการนำเสนอที่ ใส่บทสนทนาและการพรรณนาลงในทำนอง ทำให้ร้องออกมาเป็นเพลงแล้ว ยังสื่อให้เห็นถึงความฝัน และการนึกคิดของตัวละครในขณะนั้นได้เป็นอย่างดี ส่วนเนื้อหาที่นำเสนอก็เน้นให้เห็นถึงปัญหาของสังคมในสมัยก่อนทั้งทางด้านความอ้วน และการแบ่งแยกสีผิว ทั้งทางสื่อ การทำอาชีพ การพักอาศัย ที่ต้องแยกไปอยู่ในชุมชนของคนผิวสีดำเหมือนกัน จึงทำให้สะท้อนสังคมสมัยก่อนได้ดี นอกจากนี้ทำนองของเพลงในเรื่องมักใช้แนวเพลงของดนตรีคนผิวสีมาใช้ ทำให้แสดงให้เห็นถึงการยอมรับรูปแบบของเพลงและพยายามกลมกลืนทำนองเพลงให้เป็นของคนผิวขาวด้วย

DArAtt


น.ส.รุ่งทิวา ลักษณ์สิริเลิศ 05490320

DArAtt เป็นภาพยนตร์จากประเทศชาร์ค อยู่ทวีปแอฟริกาซึ่งเป็นเมืองขึ้นของประเทศเบลเยี่ยมที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของประเทศฝรั่งเศส ทำให้ตัวละครในเรื่องใช้ภาษาฝรั่งเศสในการสื่อสาร ช่วงเวลาในภาพยนตร์เป็นช่วงที่เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นซึ่งสงครามนี้ได้ยืดเยื้อมาถึง 40 ปีแล้ว “อาติม”(อาติมแปลว่า กำพร้า) ซึ่งเป็นตัวเอกของเรื่องได้เสียพ่อไปเพราะสงครามครั้งนี้ได้มีปู่ที่ตาบอดผลักดันให้อาติมไปตามหา “นาสร่า”ที่เป็นผู้ฆ่าพ่อของอาติมแล้วแก้แค้นเสียพร้อมให้ปืนไปหนึ่งประบอก อาติมได้เข้าไปในเมืองเพื่อตามหานาสร่าและได้พบว่านาสร่าเปิดร้านขายขนมปังในเมือง อาติมได้เฝ้ามองและสะกดรอยตามนาสร่าหลายวัน ตั้งแต่นาสร่าไปละหมาดหรือแจกขนมปังเด็กๆ เมื่อนาสร่าได้รับรู้การมีตัวตนของอาติมก็ได้ชักชวนอาติมให้เป็นลูกมือในการทำขนมปังของตน อาติมได้พบกับไอชาภรรยาสาวของนาสร่าที่ท้องแก่ เมื่ออาติมได้อยู่ในบ้านของนาสร่านานเข้าและได้พบกับพฟติกรรมต่างๆของนาสร่าที่ไม่คาดคิด เช่น การไปทำละหมาดทุกวัน การแจกขนมปังเด็กๆ และคำพูดของนาสร่าที่พูดกับอาติมว่า
“Everybody is lost something” ทำให้อาติมตัดสินใจฆ่านาสร่าไม่ลง วันหนึ่งนาสร่าได้ขอให้อาติมเป็นลูกบุญธรรมของตนโดยใช้คำพูดว่า “when I met you, I feel alive” อาติมไม่ตอบตกลงแต่พานาสร่าไปหาปู่ของตนและตัดสินใจผลักนาสร่าให้นอนลงแล้วยิงปืนขึ้นฟ้าต่อหน้าปู่ที่ตาบอดของตน อาติมปล่อยนาสร่าไปแล้วเดินจากไปพร้อมกับปู่ของตน

จากเรื่องแสดงให้เห็นถึงจุดเริ่มตนของเรื่องคือความแค้นของปู่ที่มีต่อนาสร่า ซึ่งตอนที่พ่อของอาติมถูกฆ่าตายนั้น อาติมยังไม่เกิดหรือถ้าเกิดแล้วอาจยังจำความไม่ได้ ปู่ของอาติมได้ฝังความแค้นลงกับอาติมให้อาติมรู้สุกแค้นเคืองคนที่ไม่เคยเห็นหน้า นอกจากนั้นยังแสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งของตัวละครกับจิตใจของตนคือตอนที่อาติมเอาปืนออกมาเตรียมจะยิงนาสร่าแล้วแต่ก็ยิงไม่ลง ในภาพยนตร์แสดงให้เห็นชัดเจนว่าอาติมมือสั่นไม่กล้ายิง ภาพยนตร์แสดงให้เห็นชัดเจนถึงอารมณ์ของอาติมที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆตั้งแต่ก่อนเข้าเมืองคืออาติมเป็นคนพูดน้อย เงียบและเก็บตัวแต่เมื่อได้มาอยู่ที่บ้านของนาสร่าแสดงให้เห็นชัดเจนว่าอาติมพูดมากขึ้น มีการยอกล้อคุยเล่นกับไอชา บางครั้งยังไปแจกขนมปังให้เด็กๆแทนนาสร่า ส่วนนาสร่าเองก็เปลี่ยนแปลงไป แรกๆที่พาอาติมมาอยู่บ้านจะพูดต่อว่าอาติมหลายครั้ง (นาสร่าพูดเหมือนคนปกติไม่ได้ เป็นแผลที่คอจากสงครามต้องใช้เครื่องช่วยพูด) มีการลงไม้ลงมือกับอาติมในบ้างครั้งแต่นาสร่าก็พูดขอโทษอาติมว่าบางครั้งตนเองก็ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ อยากให้เข้าใจและขอโทษด้วย นาสร่าเองยังเคยให้อาติมเข้าไปถึงห้องนอนของตนและให้ช่วยทายาให้แสดงถึงความไว้เนื้อเชื่อใจในตัวอาติมมาก

จุดสำคัญของเนื้อเรื่องคือความขัดแย้งของตัวละครหลักคืออาติม ครั้งแรกจะแสดงให้ให้ถึงอารมณ์ความต้องการแก้แค้นของอาติม พฤติกรรมของอาติมที่เปลี่
ยนไปหลังจากมาอยู่กับนาสร่า จะเห็นได้ว่าปู่ของอาติมสอนอาติมโดยการพูดเพียงอย่างเดียวว่าไปแก้แค้น แต่นาสร่าสอนอาติมด้วยคำพูดและให้ลองลงมือ เช่น ตอนทำขนมปัง นาสร่าได้บอกอาติมว่าขนมปังต้องอาศัยความเอาใจใส่และความรัก จากนั้นก็ให้เข้าครัวทำขนมปังกับตน และสุดท้ายก็ให้อาติมลองทำคนเดียวจนประสบความสำเร็จ การกระทำของนาสร่าที่มีต่ออาติมนี่เองที่เป็นปัจจัยหลักทำให้อาติมตัดสินใจฆ่านาสร่าไม่ลง
สถานที่ที่อยู่ในภาพยนตร์ ครั้งแรกจะเป็นชนบทของประเทศแถบแอฟริกา คือบ้านที่สร้างด้วยดิน บรรยากาศแห้งแล้งมีแต่ฝุ่นเข้ากับชื่อเรื่อง (DArAtt แปลว่า Dry season) เมื่ออาติมได้เข้ามาในเมืองก็ได้แสดงห็เห็นถึงความแตกต่างของชนบทคือมีถนนหนทางดีขึ้น มีรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถจักรยาน มีร้านค้ามากมาย แต่บ้านของผู้คนก็ยังเป็นบ้านที่สร้างด้วยดินแต่สังเกตว่าช่วงเวลาของเรื่องน่าจะอยู่ในช่วงสมัยใหม่พอสมควรเพราะจากเรื่องมีฉากที่อาติมใช้โทรศัพท์มือถือ มีโรงแรมแรมทันสมัย มีผับ แสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งของเรื่องคือช่วงกลางวันแดดจะร้อนอบอ้าว ผู้หญิงจะโพกผ้าผิดมิดชิด แต่กลางคืนในโรมแรมมีการเต้นรำ ผู้หญิงแต่งตัวเหมือนคนยุโรปคือใส่สายเดี่ยว กระโปรงสั้นๆเต้นรำกับผู้ชาย

ภาพยนตร์เรื่องนี้จะไม่ค่อยสรุปกระทำของตัวละครแต่จะให้ผู้ชมนำเก็บไปคิดต่อ หลายจุดทีเดียวที่เป็นข้อสงสัยของข้าพเจ้า คือ
- ทำไมไอชาถึงถอดผ้าคลุมผมต่อหน้าอาติม
- อาติมรักไอชาหรือ สังเกตจากตอนที่ไอชาแท้งลูกของนาสร่าแล้วเธอเข้ามากอดอาติม รวมไปถึงการหยอกล้อกันต่างๆในเรื่อง
- มีครั้งหนึ่งที่อาติมลืมปืนของตนไว้ในห้องน้ำแล้วนาสร่าเก็บได้ เมื่อนาสร่ารู้แล้วว่าอาติมมาเพื่ออะไรแล้วทำไมถึงยังให้อาติมอยู่ต่อ
- อาติมมีความแค้นกับนาสร่าจริงหรือ ในเมื่ออาติมไม่เคยผูกพันกับพ่อใดๆ
บางจุดต้องอาศัยความเข้าใจทางศาสนาเข้ารวมชมด้วยคือ ตอนที่อาติมจะฆ่านาสร่าในตอนจบ ปู่ของอาติมบอกให้อาติมถอดเสื้อผ้าของนาสร่าก่อนแล้วจึงลั่นไก เป็นต้น

เป็นที่สังเกตอีกประการหนึ่งว่าฉากของเรื่องส่วนใหญ่จะมีสีโทนอ่อนๆ เช่น สีเหลือง สีน้ำตาล เข้ากับบรรยากาศความแห้งแล้ง แต่ว่าตัวละครส่วนใหญ่โดยเฉพาะอาติมมักจะใส่เสื้อยืดที่เป็นสีสัน เช่น สีแดง สีส้ม สีฟ้าสว่าง กางเกงก็จะเป็นสีน้ำเงินสว่างๆ หรือตัวไอชาก็จะมีผ้าโพกสีสว่างๆ เช่น สีเขียวอ่อนๆ สีแดง เป็นต้น
โดยรวมแล้วข้าพเจ้าคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ค่อนข้างเป็นภาพยนตร์ที่ดีคือให้ข้อคิดต่างๆในการใช้ชีวิต แม้ว่าจะค่อนข้างเข้าใจยากคืออย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าตัวละครใช้ภาษาฝรั่งเศสในการสื่อสารและ
Subtitleของภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาษาอังกฤษ ตอนชมต้องดูฉาก อารมณ์ สีหน้า น้ำเสียง ของตัวละครและต้องแปลความหมายของ Subtitle ตาม บางจุดแปลตามไม่ทันทำให้ขาดช่วงไปเลยแต่ว่าเมื่อชมภาพยนตร์จบก็มีอาจารย์ช่วยให้ความกระจ่างในบางเรื่องที่ไม่เข้าใจ เช่น หลักศาสนาอิสลามต่างๆ ทำให้เข้าใจในเนื้อเรื่องมากขึ้น

Atonement (ตราบาป ลิขิตรัก)


นางสาวเกศสุดา นาสีเคน 05490039


ไบรโอนี่ ทาร์ลิส แต่งนิยายเรื่องหนึ่งจากชีวิตจริงของเธอ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1935 ในขณะที่เธออายุ 13 ปี ไบรโอนี่เห็นซินซีเลีย (พี่สาว) กำลังมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับรอบบี้ ผู้ชายที่เป็นลูกของแม่บ้าน คนที่ซินซีเลียรักในบ้านของเธอเอง ด้วยนิสัยเพ้อเพ้อฝัน ช่างจินตนาการของ ไบรโอนี่ เธอจึงคิดว่า รอบบี้เป็นคนไม่ดี แล้วเหตุการณ์พลิกผันก็เกิดขึ้นไบรโอนี่ไปเจอลอร่า เด็กสาววัยเดียวกันกับเธอโดนข่มขืนกลางป่า ไบรโอนี่เห็นแต่หลังคนร้ายจึงเชื่อว่าเป็นรอบบี้ แล้วเธอก็ให้ปากคำตำรวจ ทำให้รอบบี้ติดคุกถึง 4 ปี เขากับซินซีเลียก็ได้พลัดพรากกัน เวลาต่อมาเกิดสงคราม รอบบี้เป็นทหารออกรบ ซินซีเลียเป็นพยาบาล ทั้งคู่เสียชีวิตกลางสนามรบ ส่วนไบรโอนี่ก็เพิ่งรู้ว่าคนที่ข่มขืนลอร่า คือ พอล มาแชล ไม่ใช่รอบบี้ ไบรโอนี่จึงแต่งนิยายเรื่องนี้ขึ้น แต่ตอนจบของนิยายเธอได้แต่งบิดเบือนความจริงตรงที่ว่า ไบรโอนี่ไปสารภาพผิดกับซินซีเลียและรอบบี้ และคนทั้งสองก็ได้กลับมารักกันและอยู่ด้วยกันตลอดไป แต่ในความจริงแล้วไบรโอนี่ไม่กล้าไปขอโทษพี่สาวเพราะเธอไม่กล้ายอมรับความจริง มันเป็นเพียงจินตนาการที่เธอสร้างขึ้น รอบบี้และซินซีเลียตายลงโดยที่เขาทั้งคู่ไม่ได้กลับมาใช้ชีวิตร่วมกัน เธอจึงแต่งเรื่องนี้เพราะ เธอเป็นผู้ก่อเหตุของเรื่องทั้งหมดและได้มอบความสุขในตอนจบของเรื่องให้รอบบี้และซินซีเลียเพื่อเป็นการไถ่บาป

การดำเนินเรื่องน่าสนใจชวนติดตาม โดยเล่าจากอดีตจนถึงปัจจุบัน การเล่าเรื่องเหมือนการได้อ่านนิยายเรื่องที่ไบรโอนี่แต่ง ในแต่ละฉากมีการทิ้งปมปัญหาอย่างมีเหตุผลให้คนดูคิดต่อ การดำเนินเรื่องเป็นไปอย่างช้าๆ แต่ไม่น่าเบื่อ ทำให้คนดูเข้าใจถึงอารมณ์ตัวละครแต่ละตัวอย่างลึกซึ้ง อีกทั้งการเล่าเรื่องนั้น เป็นการเล่าสองส่วนในเวลาเดียวกันคือ เล่าเรื่องจริงของไบรโอนี่และนิยายที่เธอแต่ง ทำให้เรื่องมีความซับซ้อนแต่ก็ไม่ยากเกินการทำความเข้าใจ

เรื่องนี้มีการใช้สัญลักษณ์ (symbol) เช่น ในฉากที่ “ไบรโอนี่มาหาพี่สาวเพื่อมาขอโทษ เธอใส่เสื้อคลุมสีแดง” มีนัยแฝงที่ว่า “สีแดง” ฝรั่งเชื่อว่าเป็นสีแห่งความชั่วร้าย อันตราย ก็เปรียบเสมือน ไบรโอนี่คือตัวอันตรายไม่มีใครอยากเข้าใกล้ “ไบรโอนี่มาขอโทษทำให้รอบบี้โกรธมาก ซินซีเลียจูบรอบบี้ให้อารมณ์เย็นลง ไบรโอนี่เบือนหน้าหนีมองนอกหน้าต่างเห็นหญิงชราเข็นอะไรบางอย่าง” หมายถึง หญิงชราเปรียบเสมือนไบรโอนี่รู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนอยู่คนเดียวบนโลกซึ่งหญิงชราดังกล่าวก็รู้สึก

ข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้ คือ ความไม่รู้เดียงสาแล้วทำอะไรโดยไม่คิด ตรึกตรอง และคำนึงถึงผู้อื่น ทำให้เกิดปัญหาใหญ่ได้ และที่สำคัญที่สุดคือ ตราบาปที่ไม่สามารถไถ่ได้เลย แม้จะต้องใช้เวลานานสักเพียงไหน อีกทั้งการแต่งนิยายของไบรโอนี่จะเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น แต่ก็มีบางอย่างที่บิดเบื
อนความจริง ทำให้รู้ว่า นิยายสามารถบันทึกประวัติศาสตร์ที่สวยงามได้ แต่ไม่สามารถบันทึกเรื่องจริงของความทรงจำอันเจ็บปวดที่ไม่มีใครอยากกล่าวถึง

มหา'ลัยเหมืองแร่


นางสาวรุ่งรัตน์ เฟื่องขจร ๐๕๔๙๐๓๒๒

มหา’ลัยเหมืองแร่ ภาพยนตร์สัญชาติไทยจากบทประพันธ์ของ อาจินต์ ปัญจพรรค์ โดยผู้กำกับคนเก่ง จิระ มะลิกุลได้นำมาถ่ายทอดลงบนแผ่นฟิล์มในปี พ.ศ. ๒๕๔๘ และได้รับรางวัลสุวรรณหงส์ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม ในปีเดียวกัน


ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องราวชีวิตในวัยหนุ่มของ อาจินต์ ปัญจพรรค์ นักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งพ้นสภาพการเป็นนักศึกษาในขณะที่เข้าเรียนได้เพียง ๒ ปี พ่อของเขาจึงส่งไปดัดนิสัยที่เหมืองแร่ อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา
อาจินต์ ได้ไปสมัครงานที่เหมืองกระโสม และได้งานทำเพราะความใจดีของนายฝรั่งชาวออสเตรเลียที่ชื่อ มิสเตอร์แซม ชีวิตของเขาจึงได้เริ่มต้นใหม่ ณ เหมืองแร่แห่งนี้ โดยต้องใช้ชีวิตท่ามกลางป่าเขา และปราศจากเครื่องอำนวยความสะดวกใดๆ มีเพียงธรรมชาติ และความครื้นเครงจากเพื่อนร่วมงานเป็นสิ่งที่ช่วยบรรเทาความเหงา และความคิดถึงคนรัก
ตำแหน่งงานแรกที่เขาได้รับคือ กรรมกร ต้องเริ่มเรียนรู้งานหนักจากเพื่อนรุ่นพี่ เขาได้พบกับนายหัวจอห์น นายหัวฝรั่งที่มีนิสัยรักสนุก บ้าบิ่น และขยันทำงาน ได้เรียนรู้งานจากมิสเตอร์ทอม(น้องชายนายฝรั่ง) และเพื่อนคนอื่นๆ มิตรภาพ และเรื่องราวมากมายจึงเกิดขึ้น

บททดสอบความซื่อสัตย์ของเขาได้ถูกเริ่มต้น ด้วยการจัดฉากของนายฝรั่ง และเขาก็ผ่านพ้นบททดสอบนี้ไปได้ด้วยดี นายฝรั่งจึงเพิ่มเงินเดือน และให้ทำงานในตำแหน่งช่างแผนที่นอกจากนี้ นายฝรั่งได้ให้นายไข่มาเป็นผู้ช่วยอาจินต์ และทั้งคู่ได้สนิทกันอย่างรวดเร็ว
บรรยากาศในมหา’ลัยเหมืองแร่แห่งนี้ดูจะไปได้สวยแต่ก็ต้องเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจทำให้บริษัทแม่ที่ประเทศมาเลเซีย สั่งปิดกิจการ และเขาก็ต้องกลับไปใช้ชีวิตที่กรุงเทพฯตามเดิม

จากวรรณกรรมชิ้นรวมเรื่องสั้นเหมืองแร่ ของอาจินต์ ปัญจพรรค์ เมื่อนำมาถ่ายทอดเรื่องราวเป็นภาพยนตร์ ย่อมเป็นที่จับตามองของผู้ติดตามผลงานของนักเขียนผู้นี้ ซึ่งจิระ มะลิกุล ก็ไม่ทำให้ผู้ชมผิดหวัง เพราะสามารถนำเรื่องสั้นที่มีความยาวถึง ๑๔๒ ตอน มาถ่ายทอดได้อย่างลงตัว

ภาพยนตร์เรื่องนี้ เปิดฉากโดยการเล่าถึงพระเอก ซึ่งพ้นสภาพการศึกษาจาก คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากเหตุการณ์นี้ถือเป็นปมปัญหาเริ่มต้นของเรื่อง กล่าวคือ เหตุการณ์นี้ทำให้พ่อของตัวละครเอก ส่งไปดัดนิสัยโดยให้ไปภาคใต้เพื่อไปทำงาน ซึ่งตัวเอกเลือกไปที่ อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา และไปสมัครงานที่เหมืองกระโสม และเมื่อวิเคราะห์ดูจากสถานที่ ว่าเพราะอะไรตัวเอกจึงไปอยู่ที่นั่นทั้งๆที่ไม่มีคนรู้จักเลย อาจเป็นไปได้ว่าพ่อของตัวเอกต้องการให้เขาได้เรียนรู้ชีวิตอย่างแท้จริง เหมือนกับการส่งลูกหลานไปเรียนต่างจังหวัดของคนทั่วๆไป และอีกประการหนึ่งน่าจะมาจากผลกระทบทางเศรษฐกิจในขณะนั้นที่ตำแหน่งงานในเมืองกรุงคงไม่มีที่ว่างพอให้คนที่เรียนไม่จบอย่างเขาได้แสดงฝีมือ

การดำเนินเรื่องโดยใช้น้ำเสียงของตัวเอกเป็นผู้เล่าเรื่อง ทำให้รู้สึกเหมือนกับเรากำลังฟังเพื่อนเล่าประสบการณ์ชีวิตให้ฟัง แตกต่างตรงที่หากเรานั่งฟังเพื่อนเล่าเรื่อง หน้าที่ของเราก็คือต้องจินตนาการตามไปด้วย ซึ่งบางสถานการณ์ การไม่มีประสบการณ์ร่วมจึงทำให้เราจินตนาการไม่ถึง และสูญเสียสุนทรียภาพในการฟัง แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้บรรยายภาพไว้ทุกสถานการณ์ ทำให้เราเพลิดเพลิน และคล้อยตามตัวละครไปอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งสิ่งนี้คือลักษณะที่ดีของงานศิลปะ ที่สามารถทำให้ผู้เสพเข้าไปอยู่ในภวังค์และมีอารมณ์ร่วมกับงานนั้นๆ เช่นเมื่อตัวละครกล่าวถึงเหมืองแร่ ก็จะมีฉากเกี่ยวกับเหมืองแร่ ทำให้ผู้ที่ไม่รู้จักกับเหมืองแร่มาก่อนเห็นภาพจริงของสถานที่ได้

ดนตรีที่ใช้ประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ สามารถทำให้หัวใจพองโตทุกครั้ง เสมือนเป็นปฏิกิริยาตอบรับกับสารที่ผู้สร้างงานศิลปะต้องการสื่อออกมา เช่น ตอนที่นายฝรั่งพาพระเอกไปยังเหมืองแร่ครั้งแรก ดนตรีที่ประกอบก็ให้ความรู้สึกที่ตื่นตาตื่นใจ แระหนึ่งว่าเราเป็นตัวละครเอกเสียเอง หรือเพลงที่คุ้นหูหลังจากชมภาพยนตร์เรื่องนี้ คือ เพลง you’re my sunshine ที่นายฝรั่งนำมาสอนคนงานที่เหมือง ก็เป็นบรรยากาศที่น่าประทับใจ และรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่เจ้านายมอบให้กับรุ่นน้องหากเปรียบเหมืองแร่เป็นมหาวิทยาลัย ดิฉันคิดว่านายฝรั่งคงเป็นอาจารย์ที่ดีประจำมหาวิทยาลัยอย่างแน่นอน

เสน่ห์อีกสิ่งหนึ่งของเรื่องนี้ที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้ ก็คือภาษาอันสละสลวย เป็นที่ทราบกันดีว่าผลงานเรื่องนี้นำมาจากงานเขียน และที่สำคัญไปกว่านั้นคืองานเขียนของศิลปินแห่งชาติด้านวรรณศิลป์ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ตัวละครจะดำเนินเรื่องด้วยภาษาอันมีศิลปะ หรือวรรณศิลป์นั่นเอง เช่น บทพูดตอนเริ่มเรื่อง ที่พระเอกกล่าวว่า “ใบพ้นสภาพการเป็นนักศึกษาเป็นสมบัติที่มีค่ามากที่สุดในบรรดาสมบัติที่ไม่มีค่าเลยของผม” หรือจากคำพูดที่สร้างภาพพจน์ประชดฝนตกว่า “ฝนตกมากจนภูเขาละลาย ใบไม้โงหัวไม่ขึ้น” เป็นต้น

การลำดับเรื่องของตัวละคร ใช้การเปรียบเทียบสี่ปีในเหมืองแร่เหมือนกับสี่ปีในมหาวิทยาลัย โดยเล่าถึงปี ๑ ของตัวเอกว่าไม่ต่างกับเด็กหอที่เพิ่งสอบติดทั่วๆไป ซึ่งต้องคิดถึงบ้านเป็นเรื่องธรรมดา นอกจากนี้ยังมีการเล่าว่ามีเหตุการณ์รับน้อง เป็นต้น ในส่วนปี ๒ และปี ๓ เป็นภาพที่พระเอกกำลังปรับตัวได้ดี เริ่มอยู่กับเพื่อนมากขึ้น และเกิดมิตรภาพขึ้นมากมาย จนเรื่องดำเนินมาถึงปีสุดท้าย ที่ดิฉันรู้สึกใจหายไปกับตัวละครด้วย เพราะเรื่องกำลังอบอุ่น แต่เหมืองก็ต้องมาปิด

การลำดับเรื่องในลักษณะที่กล่าวมาข้างต้น เป็นสิ่งที่ดี เพราะสามารทำให้คนดูลำดับความคิดตามได้ง่าย เข้าใจถึงแก่นเรื่องได้รวดเร็ว ไม่ต้องตีความและเหมาะกับผู้ชมทุกวัย เพราะความหมายของสารสามารถสื่อได้โดยตรง โดยไม่ต้องอาศัยการตีความมากนัก
ในตอนท้ายของเรื่องที่พระเอกต้องใช้หนี้ให้อาโก เจ้าของร้านชำก็ให้ความรู้สึกที่เงียบเหงา จนมาถึงตอนจบที่มีเพลง you’re my sunshine ขึ้นพร้อมกับภาพบรรยากาศของตัวละครต่างๆในเรื่องแล้วภาพเคลื่อนไหวก็กลายเป็นรูปภาพขาวดำ และตัดภาพไปที่ตัวละครเอกสองตัวที่ยังมีชีวิตอยู่กลับมาพบกัน มานั่งคุยกัน ได้แก่ อาจินต์ และไข่ ลักษณะเช่นนี้เราคงเคยพบแล้วกับภาพยนตร์เรื่องไททานิค ตรงนี้ดิฉันคิดว่าเป็นเทคนิคที่ดีมาก เพราะเป็นการเพิ่มอารมณ์ให้เข้าถึงเรื่องได้มากขึ้น หรือภาษาพูดก็คือ รู้สึกอิน กับภาพยนตร์ ลักษณะเช่นนี้เหมือนกับการก่อไฟ พอไฟติดดีแล้ว ก็เพิ่มถ่านไปให้ไฟมันร้อนแรงขึ้น และดิฉันไม่อยากให้ภาพยนตร์เรื่องนี้จบ ยังต้องการอิ่มเอมกับความประทับใจอีก

เมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบของภาพยนตร์ดังที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด ความน่าสนใจ
ก็ปรากฏไม่น้อย และยิ่งเมื่อได้ศึกษาจากเนื้อเรื่องก็ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจอีกเป็นทวีคูณ เพราะแก่นเรื่องและข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้ ล้วนแต่มีความหมายเป็นอย่างยิ่ง แก่นเรื่องที่ปรากฏคือ ปริญญาไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตเสมอไป หากแต่ว่าประสบการณ์ และมิตรภาพต่างหากที่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในเนื้อเรื่องนี้

ในส่วนของข้อคิดในเรื่องอันสะเทือนใจ มีปรากฏหลายแห่งเช่นเดียวกัน เช่นคำพูดของชายชราเพื่อนต่างวัยของพระเอก มักจะมีคำพูดดีๆมาสอนพระเอกเสมอ เช่น “ความทุกข์ไม่มีที่ระลึก” หมายความว่าไม่ต้องการเห็นพระเอกนั่งทุกข์กับความผิดหวังในความรัก หรือในตอนจบที่ชายชราผู้นี้นุ่งผ้าขาวม้ากลับตัวเดียว เพราะบอกว่ามาแค่ไหนก็อยากกลับไปแค่นั้น เป็นต้น

สิ่งที่น่าปรับปรุงของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือ นักแสดงนำชาย หรือพระเอก เนื่องจากในบางอารมณ์ นักแสดงผู้นี้ยังเข้าไม่ถึงบท แต่ทั้งนี้อาจเป็นเพราะเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาก็เป็นได้

มหา’ลัยเหมืองแร่ เป็นภาพยนตร์ที่รงคุณค่าในความรู้สึกส่วนตัวของดิฉัน ดิฉันหลงรักภาพยนตร์เรื่องนี้ตั้งแต่ได้ชมในครั้งแรก ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คนรุ่นใหม่ รวมไปถึงทุกๆคนควรชม เพราะอาจทำให้มีมุมมองใหม่ๆกับการให้ความสำคัญเฉพาะการเรียนในมหาวิทยาลัย เหมือนที่ดิฉันได้พบแล้ว

Shooter


นายพัฒนวัชร เฮ้งศิริ
05490261


Bob Swalker นาวิกโยธินสหรัฐฯ ผู้รักชาติเกษียณตัวเองออกจากหน่วยแม่นปืน หลังจากพบกับฝันร้ายที่สูญเสียเพื่อนคู่หูไปในสนามรบ หันมาอยู่อย่างสันโดษ 3 ปีต่อมา นายทหารชั้นผู้ใหญ่นายหนึ่ง ชักนำเขาให้กลับมาทำงานอีกครั้งโดยหารู้ไม่ว่าจะตกเป็นเหยื่อในการจัดฉากเพื่อลอบสังหาร อาร์ค บิช็อบ โดยเบี่ยงเบนประเด็นให้เขาเป็นแพะ ข้อหามุ่งสังหารประธานาธิบดี เขาหนีและต้องการค้นหาความจริง โดยมี Nick Melfish FBI ที่เชื่อว่า Swalker บริสุทธิ์ คอยช่วยเหลือ จนเขาพบความจริงและยังได้หลักฐานความผิดที่พวกนายทหารเหล่านั้นก่อไว้ เขาจึงพร้อมพิสูจน์ตัวเอง หลังการไต่สวนเขาพ้นข้อกล่าวหา แต่คนผิดกลับไม่ได้รับโทษ เขาจึงย้อนกลับมาสร้างความยุติธรรม ให้กับตัวเองตัดสินคนผิดเหล่านั้นด้วยโทษประหาร


เปิดเรื่อง โดยย้อนภาพสู่ปมอดีต ตอนที่Bobเป็นหน่วยแม่นปืนออกทำภารกิจเพื่อรับใช้ชาติ แต่ต้องเสียเพื่อนในสนามรบ เขาจึงเกษียณตัวเอง ปลีกตัวสันโดษแต่ยังคงรักษาความสามารถในการใช้ปืนไรเฟิลซึ่งเขามีความสามารถสูงมากในการใช้ปืนชนิดนี้

เหตุการณ์เริ่มพัฒนา เมื่อนายทหารชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งมาตามตัวเขากลับไปทำงานเพื่อชาติอีกครั้งโดยการเป็นหน่วยแม่นปืนป้องกันประธานาธิบดี
จุดสงสัย เมื่อเขายืนพร้อมประจำที่อยู่นั้น เขาโดนยิงจากข้างหลังโดยตำรวจที่มาพร้อมเขา เมื่อหนีไปได้ เสียงปืนของเขาเองดังขึ้น กระสุนพุ่งไปถูกอาร์ค บิช็อบ ที่ยืนอยู่ใกล้ๆประธานาธิบดี เขากลายเป็นแพะข้อหาลอบทำร้ายประธานาธิบดีแต่พลาดเป้า
ความขัดแย้ง เกิดขึ้นระหว่างเขากับพวกนายทหารพวกนั้น นายทหารพวกนั้น ตั้งใจปิดปากอาร์ค บิช็อบ ที่รู้เรื่องสังหารหมู่ในแอฟริกา โดยวางแผนให้เขาเป็นแพะโดยอาศัยจิตใจอันรักชาติของเขา เป็นจุดอ่อน เพื่อปกป้องพวกพ้องจากความผิด

จุดวิกฤต เกิดขึ้นเมื่อเขาตามล่าหาความจริง และได้รับรู้ทุกอย่างแล้ว มีหลักฐานการทำผิดของคนเหล่านั้นและเชื่อว่าตัวเองบริสุทธิ์จริง จึงยอมให้จับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เนื้อเรื่องดำเนินถึงขั้นนี้ ทำให้ผู้ชมเชื่อได้ว่า หลักฐานเหล่านั้นจะมัดตัวคนผิด และเขาต้องพ้นโทษ แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น เขาพ้นผิดจริง แต่กฎหมายเอาผิดพวกนั้นไม่ได้ คนชั่วยังลอยนวล หัวเราะร่าในชัยชนะ

จุดไคลแมกซ์ เสียงหัวเราะเป็นสุขอย่างชั่วร้ายของพวกนายทหารและวุฒิสมาชิก ดังแว่วมาจากบ้านไม้เชิงเขา Swalker ตัดสินใจใช้วิธีของตัวเอง ในเมื่อกฎหมายทำอะไรพวกนั้นไม่ได้ เขาจึงต้องสร้างความยุติธรรมให้ตัวเอง ความแค้นที่ฝังแน่น เปลี่ยนเป็นกระสุนสังหารพวกคนชั่วในบ้านหลังนั้นทีละคน นำปืนยัดใส่มือนายทหารที่ใช้เขาเป็นแพะรับบาป ก่อนจะเปิดวาล์วแก๊สทิ้งไว้แล้วเดินออกไป ไฟในเตาผิงเป็นชนวน ระเบิดเผาผลาญทำลายหลักฐานทั้งหมด

ปิดเรื่อง จบลงด้วยจุดไคลแมกซ์ของเรื่อง ภาพสุดท้ายคือBob Swalker เดินออกมาจากบ้านหลังนั้น ต่อมาอีกไม่กี่วินาทีบ้านเกิดระเบิดขึ้นพร้อมไฟลุกโชติช่วง เผาผลาญหลักฐานทั้งหมด ทิ้งความถูกต้องที่ผิดกฎหมายไว้เบื้องหลัง

ความรู้สึกหลังจากดูภาพยนตร์เรื่องนี้ รู้สึกว่า เป็นภาพยนตร์ที่ค่อนข้างสื่อถึงความขัดแย้งระหว่างมนุษย์ ในสังคมปัจจุบันได้ชัดเจนเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะอยู่ในชนชั้นระดับใด ประเทศไหนในโลก ก็ย่อมมีคนที่อาศัยจุดอ่อนของคนอื่นสร้างจุดแข็งของตัวเองเพื่อปกป้องตัวเองทั้งสิ้น เห็นแก่ประโยชน์ตนและพวกพ้องเหนือความเดือดร้อนและสภาพจิตใจหรือปมในจิตใจคนอื่น ผู้ด้อยกว่าก็ย่อมต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อความถูกต้อง ซึ่งภาพเหล่านี้เราก็เห็นกันอยู่ทั่วไปแม้ในสังคมไทย ผู้ที่ทำทุกวิถีทางเหยียบหลังเหยียบไหล่คนอื่นเพื่อขึ้นสู่จุดสูงสุด ณจุดสูงสุดยอดนั้นอาจต้องใช้ขาเดียวในการยืน ก้าวสุดท้ายที่ถีบไหล่คนอื่นเพื่อส่งตัวขึ้นสู่จุดนั้นระวังจะโดนยักไหล่ให้เสียหลัก พลาดท่าตกลงมาเจ็บหนักและไม่มีโอกาสขึ้นสู่จุดนั้นอีก

The letter จดหมายรัก


นางสาวธนัชญา คล้ายนิล
05490162


ภาพยนตร์เรื่อง The letter หรือในชื่อภาษาไทยว่า จดหมายรักนั้นฉายครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2547 โดยการร่วมมือของสหมงคลฟิล์ม และ ภาพยนตร์หรรษา กำกับโดย ผอูน จันทรศิริ และยังเป็นผลงานอำนวยการสร้างชิ้นสุดท้ายของดวงกลม ลิ่มเจริญ ผู้หญิงเก่งและแกร่งแห่งวงการภาพยนตร์ไทย ที่มีหัวใจรัก และทุ่มเทให้กับงานภาพยนตร์

จดหมายรักฉบับนี้ ถ่ายทอดเรื่องราวความรักของคนสองคน ที่อยู่ต่างที่ มีชีวิตต่างกันอย่างที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมาพบเจอกันได้ แต่โชคชะตาก็พาเขาทั้งคู่ให้มาพบกันและรักกัน และเพราะโชคชะตาอีกครั้งที่ทำให้เขาต้องจากกันไปแสนไกลจนไม่อาจมีวันพบเจอกันอีก ยังคงเหลือแต่จดหมายรัก ที่ทำให้ทั้งคู่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกว่า เขาทั้งคู่ยังคงอยู่เคียงข้างกัน

ดิว โปรแกรมเมอร์สาว ที่ใช้ชีวิตในเมืองกรุงอยู่กับเพื่อนสาวอย่าง เกด เพียงแค่สองคนในคอนโดใจกลางเมืองเมือง วันหนึ่งเธอได้รับจดหมายทางไกลจากเชียงใหม่บอกให้เธอไปงานศพของยายเล็ก ญาติห่างๆของเธอ ที่ทิ้งมรดกเป็นบ้านไม้หลังน้อยและไร่กระเทียมไว้ให้ เมื่อไปที่เชียงใหม่ ดิวตกหลุมรักชีวิตอันแสนเรียบง่ายของชนบท

ที่ท่ารถทัวร์ขากลับ เหตุบังเอิญที่เธอทำกระเป๋าสตางค์ตกจึงทำให้เธอได้พบกับ ต้น หนุ่มนักวิจัยพันธุ์พืช ด้วยเหตุนี้ทำให้เธอได้มีโอกาสทำความรู้จักกับต้น ชีวิตของต้นช่างต่างกับเธอราวขาวกับดำ ชีวิตของเขาช่างเรียบง่าย ไม่ต้องเร่งรีบเหมือนชีวิตคนกรุง

แม้วิถีชีวิตของคนทั้งคู่จะแตกต่างกันสักเพียงใด แต่เพียงเวลาไม่นานทั้งคู่ก็สนิทสนมกันโดยสื่อรักทางโทรศัพท์สาธารณะที่ต้นหยอดเหรียญใส่ตู้โทรศัพท์โทรหาดิวทุกวัน เหรียญในตู้โทรศัพท์ที่เพิ่มขึ้นก็เหมือนกับความรักของต้นที่เพิ่มขึ้นทุกวันๆเช่นกัน


และวันวาเลนไทน์ก็มาถึง วันซึ่งเปลี่ยนชีวิตของดิว วันนั้นต้นลงมาหาเธอที่กรุงเทพพร้อมดอกกุหลาบหนึ่งดอกโดยไม่ได้บอกก่อน ดิวดีใจมาก จนลืมโทรศัพท์มือถือไว้บนห้อง คืนวันนั้น เกด เพื่อนของเธอโดนฆ่าตาย ด้วยน้ำมือของหนุ่มที่เธอติดต่อด้วยทางอินเทอร์เนตและนัดพบกัน ดิวเสียใจมาก เธอคิดว่าเป็นความผิดของเธอเอง เพราะหากคืนนั้นเธอไปกับเกดหรือรับโทรศัพท์ เกดคงไม่ต้องตายอย่างนี้ ด้วยความเสียใจจึงทำให้เธอตัดสินใจขึ้นไปใช้ชีวิตที่เชียงใหม่โดยมีต้น คอยปลอบโยนและดูแลอยู่ข้างๆ

ในที่สุดทั้งคู่ก็ตัดสินใจแต่งงานกัน ทั้งคู่เปรียบเสมือนเหมือนจิ๊กซอว์ที่เกิดมาคู่กัน ต่างคอยเติมเต็มส่วนที่ขาดหายในชีวิตซึ่งกันและกัน วันหนึ่งต้นไปค้นเจอจดหมายรักของคุณยายเล็ก และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ต้นอยากจะมีจดหมายรักบ้าง

แต่ความสุขก็อยู่กับใครได้ไม่นาน ต้นป่วยและตาย ในที่สุดโรคร้ายก็ได้พรากชีวิตต้นไปจากดิว ความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเวียนกลับมาหาดิวอีกครั้ง จนเธอคิดที่จะฆ่าตัวตายแต่เธอก็รอดชีวิตมาได้ แล้ววันหนึ่งก็มีจดหมายจากต้น ส่งถึงดิวทำให้เธอแปลกใจและดีใจมาก และนี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่ต้นทำให้ดิว
สิ่งนี้กลายเป็นน้ำหล่อเลี้ยงให้ชีวิตของดิวกลับมาชุ่มชื่นได้อีกครั้ง

จดหมายรักฉบับนี้เริ่มต้นด้วย ภาพตู้จดหมายในคอนโดของดิว ซึ่งเป็นจดหมายส่งข่าวเรื่องงานศพของยายเล็ก ทำให้ดิวและเกดต้องเดินทางไปเชียงใหม่ บรรยากาศที่นั่นดูแล้วให้ความรู้สึกที่สงบ
เรียบง่าย สบายใจ แม้จะเป็นบรรยากาศในงานศพ แต่ก็ไม่พบความโศกเศร้าแต่อย่างใด

เหตุการณ์ดำเนินมาถึงตอนที่ ดิวและต้นได้พบกัน ทั้งคู่พบกันโดยเหตุบังเอิญที่ทั้งคู่เดินชนกัน จนดิวทำกระเป๋าสตางค์ตก และต้นก็เก็บกลับไปคืน จุดนี้ทำให้รู้สึกถึงพรมหมลิขิต ที่ลิขิตให้ทั้งคู่ ที่อยู่ห่างกันกว่าพันกิโลเมตรได้มาพบกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ
จนถึงวันที่ต้นได้พบจดหมายรักของคุณยายเล็ก นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการเขียนจดหมายรักที่เกิดในความคิดของต้น ตรงนี้ทำให้เกิดคำถามว่า ทั้งคู่จะเขียนจดหมายกันไหม แล้วจดหมายนั้น จะมีความสำคัญอย่างไร

เมื่อถึงวันที่ต้นป่วยและดิวต้องคอยดูแลจนไม่มีเวลาทำงาน ทำให้เธอไม่สามารถส่งงานได้ตามกำหนด เธอเครียดจนถึงขั้นยอมทะเลาะกับหัวหน้างานของเธอ แต่ต้นมาได้ยินเขา ต้นบอกกับดิวว่า
“ดิวจะยอมไปทำงานไหม ถ้าผมสัญญาว่าจะไม่ยอมตายจนกว่าดิวจะกลับมา” ด้วยน้ำเสียงของคนที่ป่วยใกล้จะตายและความบีบคั้นของหน้าที่การงานของดิว ทำให้เธอรู้สึกสับสน ใจหนึ่งก็เป็นห่วงต้น แต่
อีกใจหนึ่งก็เป็นห่วงงาน แต่เธอก็ตัดสินใจไปทำงาน พร้อมความกังวล

การเริ่มต้นของจุดวิกฤตเกิดขึ้นเมื่อเธอกลับมาจากทำงานที่กรุงเทพ อาการของต้นทรุดหนักลง เขานอนลงบนโซฟา และบอกให้ดิวอ่านจดหมายของคุณยายเล็กให้ฟัง ดิวอ่านจดหมายด้วยใจที่สั่นระรัว มือที่กุมกันไว้นั้นค่อยๆคลายออก ต้นจากไปอย่างสงบ ฉากนี้บีบคั้นความรู้สึกของผู้ชมเป็นอันมาก เนื่องจากเนื้อความในจดหมาย ที่มีเนื้อความเกี่ยวกับการอำลาจากกันไปยังที่ห่างไกลยิ่งส่งเสริมให้ฉากนี้สัมผัสได้ถึงความรู้สึกซาบซึ้งกินใจ

การจากไปของต้นนั้น เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของดิว ทำให้เธอตัดสินใจ กินยาสมุนไพรฆ่าตัวตายตามคนรักของเธอไป แต่การกระทำของเธอนั้นไม่สำเสร็จ เพราะมีคนช่วยไว้ได้ เธอเสียใจมากและตัดสินใจจะกลับไปใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ที่กรุงเทพ ก่อนออกจากบ้านเพื่อนของเธอได้ไปหยิบจดหมายจากตู้จดหมายหน้าบ้านมาให้เธอ และเธอได้พบว่า จดหมายฉบับนั้นเป็นจดหมายจากคนรักผู้จากไปของเธอ เธอแปลกใจและสงสัยว่าจดหมายนี้มาจากไหน จนเธอได้ไปทราบว่าต้นฝากให้คุณลุงร้านขายโปสการ์ด


ที่ท่ารถ สถานที่ที่เธอและเขาพบกันครั้งแรกส่งให้ก่อนที่เขาจะตาย การได้รับจดหมายนี้เป็นการคลายปมที่ผู้ชมได้ผูกเอาไว้ว่า จดหมายเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ และมีความสำคัญอย่างไร ซึ่งจดหมายฉบับนี้กลายเป็นตัวแทนของต้น ที่จะคอยดูแลและอยู่เคียงข้างดิวตลอดไป ซึ่งต้นได้เขียนจดหมายเหล่านี้เพื่อให้กำลังใจคนรักของเขาในยามที่เขาต้องจากโลกนี้ไปแล้ว ทุกถ้อยคำในจดหมายล้วนสร้างความประทับใจเป็นอย่างยิ่ง


ความสูญเสียของเธอในครั้งนั้น กลับทำให้เธอได้รู้ว่าเธอกำลังจะได้รับสิ่งมีค่ามาทดแทน ภาพตัดมาที่ต้นไม้ต้นตระกูลที่ปลูกขึ้นมาพร้อมกับชีวิตของต้น เป็นภาพของดิว เธอดูสดชื่นมีชีวิตชีวาขึ้นมาก สักครู่ก็มีเสียงเด็กเรียก “คุณแม่” เสียงนั่นคือ ตั้ม ลูกชายของดิว และตัวแทนของต้น และภาพก็จบลงที่ทั้งคู่กำลังโอบกอดต้นไม้ต้นตระกูล ตัวแทนของ ต้น ภาพของเธอที่มีชีวิตชีวา ทำให้สามารถสรุปได้ว่า
ดิวเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป จดหมายรักจากต้นทำให้เธอมีกำลังใจที่จะเดินต่อไปในชีวิตที่เหลืออยู่ไปพร้อมๆกับลูกชายของเธอได้อย่างแข็งแรง

ตัวบท และความสามารถของนักแสดง ทำให้สามารถแสดงออกถึงความรักที่ทั้งคู่ ดิวและต้น ออกมาได้อย่างซาบซึ้ง การแสดงออกของต้นว่ารักและเทิดทูนดูแลคนรักของเขาอย่างมาก มีการกระทำหลายๆอย่างที่ทำให้เห็นแล้วทราบได้ทันทีว่า เขารักและยอมเสียสละแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นการล้างและนวดเท้าให้ เก็บผ้า ซักผ้า ทำกับข้าวให้กิน ทั้งทั้งที่สังคมไทยนั้น การดูแลบ้านจะถือว่าเป็นหน้าที่ของฝ่ายหญิงมากกว่า ในเรื่องนี้จึงเน้นไปที่ความรัก ทำให้สัมผัสได้ถึงความอบอุ่น ที่ตัวละครได้แสดงออกมา พฤติกรรมและการกระทำของตัวละครจึงเป็นจุดเด่นของเรื่องนี้

เมื่อได้ชมเรื่องนี้อีกครั้งแล้ว ทำให้ยิ่งรู้สึกดื่มด่ำไปกับความรักของคนสองคน และยิ่งประทับใจความรักและความห่วงใยที่ผู้ชายคนหนึ่งอย่างต้น ที่มอบให้กับคนที่เขารักอย่างหมดหัวใจ ทั้งชีวิตของเขาพร้อมที่จะอุทิศให้กับคนรัก แม้กระทั่งลมหายใจสุดท้าย เขาก็ยังคงเป็นห่วงความรู้สึกของคนที่เขารัก มากกว่าชีวิตของตัวเอง จึงอยากถ่ายทอดความรู้สึกที่มีต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาให้ผู้อื่นได้ทราบ และซาบซึ้งไปด้วยกัน