วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Shine เจิดจรัส ทอแสงที่ปลายนิ้ว

ชนิตา


Shine คือชื่อภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดส์ ประจำปี1997 สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ซึ่งเนื้อเรื่องของ shine มีอยู่ว่าเดวิด เฮลฟ์ก็อตต์ เป็นลูกชายคนโตของบ้าน โดยบ้านที่เขาอาศัยอยู่นั้นมีพ่อ แม่ และน้องสาวอีกสามคน เขามีพรสวรรค์ด้านการเล่นเปียโนอย่างไม่น่าเชื่อ ปีเตอร์ เฮลฟ์ก็อตต์ หรือพ่อของเขาเอง คือคนที่ปลูกฝังการเล่นเปียโนให้กับเขาทั้งยังเป็นครูคนแรกของเขาอีกด้วย ปีเตอร์มักจะสอนเดวิดเสมอในเรื่องของการเอาตัวรอด และการเอาชนะ ทุกครั้งที่เดวิดต้องแข่งขันเปียโน ผลที่พ่อของเขาคาดหวังเสมอคือ ชัยชนะ เขาได้รับความกดดันแต่ก็ไม่เคยโต้เถียงปีเตอร์เลยสักครั้ง จนกระทั่ง เขาได้รับทุนไปศึกษาต่อที่อเมริกาด้วยความสามารถด้านเปียโนที่เขามี ทำให้เกิดการโต้เถียงกันครั้งใหญ่ระหว่างพ่อและเขา เขาเลือกที่จะเดินทางไปศึกษาต่อแม้พ่อจะยื่นคำขาดว่า ถ้าไปแล้วไม่ต้องกลับมา และจะถือว่าเดวิดไม่ใช่คนในครอบครัวอีกต่อไป


เมื่อเขาไปถึงอเมริกา เขาเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เขาได้พบกับประสบการณ์หลากหลาย ได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ โดยที่ไม่มีพ่อคอยห้ามปราม เขาได้เรียนเปียโนต่อไปตามที่ใจต้องการกับครูเปียโนชั้นยอด เขาขอร้องให้ครูสอนเพลง แรคมานีนอฟให้กับเขา เพราะเป็นเพลงที่พ่ออยากให้เขาเล่นให้ได้ แม้มันจะยากแสนยากก็ตาม


ในที่สุดเขาก็เลือกเพลงนี้ในการแข่งขัน เขาทำสำเร็จแต่ทุกอย่างดับวูบ เพราะทันทีที่เขาเล่นเพลงนี้จบ เขาล้มลงหัวฟาดพื้นหมดสติ หลังจากนั้นเขาต้องอยู่ในโรงพยาบาลเพื่อรักษาอาการทางจิตที่มีที่มาจากการเล่นเปียโน แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้เลวร้ายไปเสียหมด เพราะเขาได้พบกับซิลเวีย หญิงสาวผู้ใจดี ผู้หญิงคนนี้เป็นตัวแปรที่ทำให้เขาพบกับกิลเลียน ผู้หญิงอีกคนที่ต่อมาได้กลายมาเป็นคู่ชีวิตของเขานั่นเอง


Shine เปิดเรื่องด้วยใบหน้าหันข้างของชายมีอายุคนหนึ่งที่กำลังพูดอะไรบางอย่างที่จับใจความไม่ได้ เขาพูดรัวและซ้ำไปซ้ำมา ซึ่งการเปิดเรื่องเช่นนี้ ทำให้เราสามารถเดาได้ว่า เรื่องราวที่จะกล่าวต่อไปต้องเกี่ยวข้องกับคนๆนี้อย่างแน่นอน อย่างเช่น ภาพยนตร์ฝรั่งเศสเรื่อง Amelie ที่มีการเปิดเรื่องแบบเดียวกัน


เดวิด เฮลฟ์ก็อตต์ คือตัวละครหลักและมีบทบาทมากที่สุดในเรื่อง นามสกุลของเขามีการเล่นคำ คือ Helfgott ที่มีช่วงหนึ่งในภาพยนตร์พบว่า เขาแนะนำตัวเองโดยบอกว่านามสกุลของเขานั้นตลกเพราะสามารถออกเสียงว่า Helpgod ที่แปลว่าพระเจ้าช่วย ก็ได้ ที่เป็นเช่นนี้ เพราะพ่อของเขา(และครอบคลุมไปทั้งครอบครัว)ไม่ได้นับถือสาสนาใดชัดเจน การที่จะขอร้องให้พระเจ้าช่วยจึงเป็นไปไม่ได้ มันจึงดูน่าตลกที่คนไม่มีศาสนานามสกุลเฮลฟ์ก็อตต์ แม้จะเขียนคนละแบบก็ตาม


เดวิด เป็นตัวละครที่มีความกดดันโดยสื่อสารให้เห็นจากลักษณะท่าทางที่เงียบขรึม ขี้อาย ไม่ค่อยสบตาผู้คน และท่าทางการนอนที่มักจะนอนขดตัว งอเข่า ซึ่งเป็นท่าทางที่แสดงออกถึงความต้องการการปกป้องดูแลเหมือนทารกที่ขดตัวอยู่ในครรภ์มารดา สาเหตุของความกดดันก็มาจากพ่อของเขาที่มักจะสั่งสอนในเรื่องที่เด็กคนหนึ่งเกินจะรับไว้ เช่น เรื่องชัยชนะที่ต้องได้รับทุกครั้งเมื่อแข่งขัน การปิดตัวเองให้มีแต่สังคมภายในบ้านเท่านั้น ไม่ใช่แค่เดวิดเท่านั้นแต่กับลูกทุกคนก็ต้องปฏิบัติตาม เห็นได้จากฉากที่น้องสาวของเขาแอบคุยกับเพื่อนนอกรั้ว พ่อของเขาจึงหาไม้มาปิดรั้วไว้ ไม่ให้ใครลอดออกไปได้อีก


ความกดดัน เป็นเรื่องที่จะต้องขอกล่าวถึงเพราะเป็นที่มาของหลายๆอย่างในเรื่องนี้ เริ่มจากตัวแปรหลักที่ทำให้เรื่องราวดำเนินไปอย่างตึงเครียด คือ ปีเตอร์ เฮลฟ์ก็อตต์ พ่อของเดวิด ที่มักจะกะเกณฑ์ทุกสิ่งทุกอย่างให้กับลูกๆ โดยเฉพาะเดวิด เหตุเพราะปีเตอร์ได้รับความกดดันมากจากพ่อของเขาอีกทอดหนึ่งเรื่องการเล่นดนตรี ทำให้เขาไม่ได้เล่นดนตรีอย่างที่ใจรัก จึงมาลงที่เดวิด ลูกชายคนเดียวของเขา คนที่จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาเอง เขาสอนให้เดวิดรู้จักการเอาตัวรอดอย่างผู้ชนะ หรือสอนเรื่องความเป็นส่วนตัวและมักจะพูดพร่ำเสมอเรื่องครอบครัว ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาให้ความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการบังคับวิถีทางการดำเนินชีวิตของสมาชิกภายในบ้าน เพราะเหตุนี้ เขาจึงผิดหวังอย่างรุนแรงที่เดวิดเลือกที่จะไปอเมริกา เขาตัดสินใจตัดขาดจากเดวิดอย่างสิ้นเชิง เห็นได้จาก เขาหยิบสมุดบันทึกเรื่องราวที่ตัดมาจากหนังสือพิมพ์ที่ลงเรื่องราวของเดวิดมาฉีกทิ้ง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ เขามักจะเอามันออกมานั่งดูและชื่มชมด้วยความยินดีปรีดา


นอกจากนั้นความกดดัน ยังส่งผลให้ชีวิตของเดวิดพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว เพราะจากคนที่ชื่อเสียงและมีพรสวรรค์ทางด้านเปียโนอย่างหาตัวจับยาก กลับกลายเป็นคนไม่สมประกอบทางสติและถูกสั่งห้ามข้องเกี่ยวกับเปียโนอีกเลย ผลที่เขาได้รับมันช่างยุติธรรมเสียเหลือเกินกับการทุ่มเทการฝึกซ้อมให้กับเพลงที่พ่อรักและต้องการให้เขาเป็นผู้ถ่ายทอด แต่อย่างไรก็ตาม เขายังคงหลงเหลือความทรงจำที่ดีที่เกี่ยวกับเปียโน ทุกครั้งที่เขาเห็นเปียโน เขาต้องดึงดันที่จะได้สัมผัสกับมันให้ได้ และเขาก็ยังคงทำได้ดีและน่าทึ่งเสมอ ทุกคนที่ผ่านไปผ่านมาแปลกใจกับการกระทำของเขาว่าทำไมคนแบบเขาถึงเล่นเปียโนได้เลิศเลอถึงเพียงนี้ นอกจากเปียโน การพูดของเขาก็ยังแสดงให้เห็นว่าเขาคิดถึงและจดจำในสิ่งที่พ่อสั่งสอนเสมอ เขามักจะพูดซ้ำๆเกี่ยวกับการเอาชนะและการเอาตัวรอด


ในวันที่เขาเปลี่ยนไปแต่ทุกอย่างกำลังจะเข้าที่เข้าทาง พ่อกลับมาหาเขาที่ห้องพักหลังจากที่ไม่เคยคิดที่จะตอบจดหมายเขาซักฉบับเดียว พ่อนำเหรียญทอง เหรียญรางวัลแห่งความภาคภูมใจมาให้เขา แววตาของปีเตอร์ยังคงเปี่ยมด้วยความรัก เขารู้สึกผิดพลาดกับการกระทำทุกอย่างของตนเอง เขาสำนึกได้แล้วว่า เพราะเขาเอง เดวิดถึงได้เป็นเช่นนี้ เขาเลือกที่จะถอยหลังออกจากห้องไปช้าๆ ซึ่งเดวิดก็ไม่คิดที่จะก้าวออกจากห้องเพื่อไปตามหาพ่อของเขา พอแล้วสำหรับที่ผ่านมา เขารับรู้ได้ถึงความรัก ความห่วงใยที่พ่อมีให้ แต่วันนี้เขาสามารถเอาตัวรอดได้อย่างที่พ่อสอนแล้ว


ในฉากที่พ่อมาหาเขาที่ห้อง พ่อสวมแว่นตาที่หักกลางแต่ติดเทปใสเพื่อเชื่อมเอาไว้ เขาเลือกที่จะซ่อมแซมมันเอง เขายังคงไม่เปลี่ยนไปจากเดิม ที่มักจะพึ่งตนเองไม่สุงสิงกับใคร แว่นก็เหมือนกับจิตใจของพ่อในตอนนั้น เขาเลือกที่จะยังใช้ของมีตำหนิ เลือกที่จะมองข้ามในสิ่งที่ผิดพลาด เขาเลือกที่จะให้อภัยลูกชายของเขา


เรื่องราวดำเนินมาจนท้ายเรื่องและจบลงที่หลุมศพ เดวิดกับภรรยาของเขามาหาพ่อด้วยกัน พ่อนอนสงบอยู่ใต้พื้นดิน แต่เขายังคงต้องดำเนินชีวิตต่อไปโดยมีกิลเลียน ภรรยาผู้เป็นที่รักยิ่งของเขาอยู่เคียงข้างและคอยดูแลกันทุกยามทุกข์และสุข


ยิ้มทั้งน้ำตา เป็นคำที่อธิบายได้ครอบคลุมทั้งหมดของความรู้สึกของดิฉัน ยิ้มให้กับเรื่องราวที่แสนจะน่าประทับใจในตัวเดวิด เฮล์ฟก็อตต์ ยิ้มให้กับความโชคดีของเขาเรื่องพรสวรรค์อย่างที่พ่อของเดวิดพูดเสมอว่า เดวิดคือเด็กชายผู้โชคดี และน้ำตาที่มีให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้แบ่งเป็นสองช่วงคือ ฉากที่เดวิดถูกพ่อสั่งห้ามไปเรียนต่อที่อเมริกาและเศร้าใจกับชะตากรรมที่เกิดขึ้นกับเดวิด ส่วนการเสียน้ำตาอีกครั้งหนึ่ง คือ ตอนที่พ่อของเขามาหา ตัวละครทั้งสองสื่อสารอารมณ์ออกมาได้ชัดเจน เดวิดยังคงเป็นเด็กน้อยเสมอในสายตาของผู้เป็นพ่อ และพ่อ ชายผู้เคยทำความผิดพลาดและสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงไว้กับลูกชายนั้นได้ให้อภัยลูกชายของเขาแล้วเช่นกัน


ความประทับใจที่ได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้มีหลายมุมหลายฉาก แต่ที่ประทับใจที่สุดคงเป็นฉากที่เดวิดขอกิลเลียนแต่งงาน วินาทีนั้นกิลเลียนปฏิเสธ เธอไม่ได้รังเกียจเดวิด แต่เพราะเธอมีคู่หมั้นอยู่ก่อนแล้ว สุดท้ายเธอเลือกที่จะถอนหมั้นและเข้าพิธีแต่งงานกับเดวิด ชายผู้ไม่เพรียบพร้อมแต่สวยงามทางด้านจิตใจ


ขอขอบคุณตัวละครทุกคนโดยเฉพาะ เดวิด ที่ถ่ายทอดเรื่องราวอันน่าประทับใจ และให้แง่คิดต่างๆมากมาย ก่อเกิดเป็นกำลังใจให้มีแรงต่อสู้กับอุปสรรคและปัญหาอีกนานัปการที่รอคอยอยู่เบื้องหน้า แม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อยหรือท้อแท้เพียงใดก็ตาม นอกจากรางวัลรางวัลอคาเดมี อวอร์ดส์แล้ว Shine ยังได้รับรางวัลภาพยนตร์สร้างสรรค์กำลังใจยอดเยี่ยมจากดิฉันเป็นการส่วนตัวอีกด้วย

Shine โชคดีที่สวรรค์ไม่ลำเอียง

ชนิกรรดา

ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างในปี 1996 นำแสดงโดย Geoffrey Rush,Noah TaylorและArmin Mueller-Stahl กำกับภาพยนตร์โดย Scott Hicks ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้รับรางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยม จาก Academy Award อีกด้วย เป็นเรื่องราวการดำเนินชีวิตของตัวละครเอกมีที่มาจากชีวิตจริงของนักเปียโนชาวออสเตรเลีย David Helfgott เด็กชายที่มีพรสรรค์ทางด้านดนตรีแต่ไม่เคยได้สัมผัสกับสิ่งที่สนุกสนานตามวัยอันสมควร กลับต้องมาคร่ำเคร่งอยู่กับการฝึกซ้อมเปียโนเพื่อทดแทนความฝันที่ขาดหายของพ่อ พ่อสอนให้เขารักครอบครัวอย่างไม่มีข้อแม้ และเขาต้องเป็นผู้ชนะและเข้มแข็งอยู่เสมอ แต่เมื่อเขาเข้าประกวดเปียโนครั้งแรกเขากลับไม่ได้รับรางวัล แต่พรสวรรค์ของเขาทำให้โรเซน ครูสอนเปียโนต้องการจะสอนดนตรีให้เขาแต่กลับถูกปฏิเสธจากพ่ออีก เขาจึงกลับมาฝึกซ้อมเปียโนอย่างตั้งใจและเข้าแข่งขันอีกครั้ง ครั้งนี้เขาได้รับรางวัลชนะเลิศและได้ทุนไปเรียนต่อที่อเมริกา ระหว่างนี้เขาได้พบกับนักเขียนหญิง ซึ่งเขาให้ความเคารพเสมือนแม่ของเขา ด้วยความที่พ่อกลัวว่าเขาจะลืมครอบครัว พ่อจึงไม่ยอมให้เขาไปเรียนต่อ เดวิดเสียใจและรู้สึกเก็บกดเพิ่มมากขึ้นอีก


ต่อมาเขาได้รับทุนให้ไปเรียนโรงเรียนดนตรีที่ลอนดอน ครั้งนี้เขาตัดสินใจขัดคำสั่งพ่อและออกจากบ้านไปหลังจากที่ทะเลาะกับพ่ออย่างรุนแรง เขาได้พบกับครูที่จะช่วยสอนให้เขาเล่นเพลงแรคแมนีนอฟ เขาจึงฝึกซ้อมอย่างหนัก เพราะเป็นเพลงที่ยากและเขาก็อยากเล่นตั้งแต่ยังเด็ก หรือแม้แต่พ่อของเขาเองก็อยากให้เขาเล่นเช่นกัน เมื่อวันแข่งขันจริงมาถึง เขาทำได้ดีมาก แต่เขาก็ไม่ทันที่จะได้ยินเสียงปรบมือ เขากลับล้มลงหมดสติอยู่กับพื้น


เขากลายเป็นผู้ป่วยทางจิต พูดจาติดๆขัดๆ เมื่อเขาโทรศัพท์กลับมาหาพ่อเพื่อจะบอกว่าเขาจะกลับบ้าน พ่อก็ยังไม่ให้อภัยเขา เขาจึงต้องอยู่ในโรงพยาบาลบำบัดจิต ที่นี่เขาได้พบกับหญิงนักดนตรีคนหนึ่งที่รู้จักและชื่นชมในตัวเขา เธอจึงรับเดวิดไปอยู่ด้วย แต่ด้วยความที่เดวิดไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เธอจึงไม่สามารถรับภาระได้อีกต่อไป เธอพาเดวิดไปอยู่กับชายคนหนึ่ง ที่นี่เขาได้พบกับซิลเวีย เจ้าของร้านอาหารที่เขาเข้าไปเล่นเปียโนและอาศัยอยู่กับเธอด้วย ต่อมาเขาก็ได้พบกับกิลเลียน เพื่อนของซิลเวีย เขาและกิลเลียนถูกชะตากันมาก แม้กิลเลียนจะมีคู่หมั้นแล้ว แต่ท้ายที่สุดเธอก็ตัดสินใจแต่งงานกับเขาตามคำขอและดูแลเดวิดอย่างดี เดวิดมีโอกาสได้ขึ้นคอนเสิร์ตอีกครั้ง ผู้คนต่างปรบมือชื่นชมกันอย่างท่วมท้น ในที่สุดเขาและเธอก็ได้ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข


ภาพยนตร์เริ่มต้นด้วยใบหน้าของตัวละครบนพื้นหลังสีดำ ซึ่งก็คือเดวิดกำลังพูดอะไรบางอย่างที่ฟังดูติดๆขัดๆเข้าใจยาก และน่าจะเป็นจุดที่แสดงให้เห็นว่าเป็นอาการของคนที่ป่วยทางจิต ต่อมาเป็นฉากที่เดวิดเดินมาเคาะกระจกหน้าร้านแห่งหนึ่งที่ปิดแล้ว ภาพยนตร์ตัดภาพสลับไปมาระหว่างอดีตและปัจจุบัน คือเริ่มต้นเล่าเรื่องตั้งแต่เดวิดตอนเป็นเด็กที่อยู่ในครอบครัวที่มีพ่อ แม่ พี่สาวและน้องสาว พ่อเป็นคนที่เข้มงวด ทุกอย่างในบ้านขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพ่อ ทุกคนไม่มีสิทธิ์และไม่กล้าแม้แต่จะโต้แย้ง แม้จะไม่เห็นด้วยก็ตาม


เดวิดเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ทางด้านดนตรีมาก เมื่อเขาต้องเข้าประกวดครั้งใด พ่อจะย้ำกับเขาเสมอว่าต้องชนะเท่านั้น แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาต้องแพ้ พ่อจะผิดหวังมาก เพราะพ่อต้องการให้เขาเป็นเสมือนตัวแทนของพ่อ เป็นส่วนที่เติมเต็มของพ่อให้ได้ พ่อย้ำกับเขาเสมอว่าเขาเป็นเด็กที่โชคดีมากเพียงใดที่มีโอกาสได้เล่นดนตรี โดยที่เขาเองก็ไม่รู้เลยว่าชะตาที่ถูกกำหนดเอาไว้อย่างเคร่งครัดและรัดรึงจากผู้ที่ได้ชื่อว่า พ่อ นี่นับว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายของเขากันแน่ มีเพียงความรัก ความเห็นแก่ตัวเท่านั้น ที่กลายเป็นสิ่งกดดันให้เดวิดเติบโตขึ้นมาอย่างเงียบเหงา อ้างว้าง โดดเดี่ยว สิ่งเหล่านี้ได้เบี่ยงเบนให้เขากลายเป็นคนที่ขาดความมั่นใจเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าผู้คน และแม้เขาจะมีความสามารถอย่างล้นเหลือแต่เขาก็ไม่เคยได้แสดงพรสวรรค์นั้นอย่างเต็มที่ เพราะความสำเร็จที่รอคอยเขาอยู่ข้างหน้าต้องถูกปิดกั้นด้วยจิตใจที่คับแคบของผู้เป็นพ่อ


เรื่องดำเนินไปโดยให้เดวิดเข้าแข่งขันเปียโน ครั้งหนึ่งที่เขาชนะได้ทุนไปเรียนต่อที่อเมริกา แม้พ่อจะสอนให้เขารู้จักต่อสู้ และบอกเขาเสมอว่าต้องฟิต เข้มแข็ง แต่ในที่สุดพ่อก็เปลี่ยนใจไม่ให้เขาไป เหตุการณ์นี้ทำให้เดวิดเสียใจมาก เขาแช่ตัวอยู่ในอ่างอาบน้ำ และถ่ายลงในน้ำที่พ่อต้องใช้อาบต่อเพราะความที่เขารู้สึกเครียด เสียใจ และเก็บกด ทำให้พ่อด่าทอเขาและฟาดเขาด้วยผ้าขนหนูอย่างรุนแรง นับเป็นฉากที่น่าสะเทือนใจเป็นอย่างมาก


การหาทางออกจากความกดดัน ความเจ็บปวด ความโหยหาความรักที่ดีที่สุดของเดวิดก็คือการปลดปล่อยตัวเขาเองด้วย Rachmaninoff : Piano concerto no.3 ซึ่งเป็นเพลงที่ยากมากสำหรับนักเล่นเปียโน เดวิดมุ่งมั่นฝึกซ้อม เพราะเขาต้องการเล่นเพลงนี้ให้ได้ตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก และพ่อของเขาก็ต้องการให้เขาเล่นเพลงนี้ให้ได้เช่นกัน แต่เพลงนี้ก็ทำให้เขาต้องล้มลงหมดสติและกลายเป็นคนที่อาการไม่ปกติมาจนถึงปัจจุบัน

ก๊อกน้ำที่ปิดไม่สนิทมีน้ำหยดอยู่ตลอดเวลา นั่นก็คือส่วนที่แสดงนัยยะสำคัญของเรื่อง คือ ความกดดันที่มีอยู่ภายในจิตใจของเขาและพร้อมที่จะระบายออกมาได้ตลอดเวลาซึ่งเป็นฉากเดียวกับที่เดวิดถ่ายลงในอ่างน้ำ แสดงให้เห็นว่าเขากดดันมากจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ หรือแม้แต่การที่เดวิดสูบบุหรี่อยู่ตลอดเวลาตั้งแต่รู้จักกับนักเขียนหญิง อาจแสดงให้เห็นถึงความผูกพัน ความเคารพในตัวหญิงคนนั้น เพราะเดวิดไม่เคยได้รับความอ่อนโยน การปกป้องจากแม่ที่แท้จริงของเขาเลยในทุกครั้งที่เขาถูกพ่อเขาทำร้าย การสูบบุหรี่ตลอดเวลาของเขาจึงน่าจะแสดงว่าเขายังคิดถึงหญิงนักเขียนอยู่ตลอดเวลา อีกฉากหนึ่งที่แสดงนัยยะคือ ขณะที่พ่อมาหาเขาหลังจากได้อ่านหนังสือพิมพ์ พ่อเข้ามาสวมกอดเขา แต่แว่นตาของพ่อมีสก๊อตเทปปิดรอบรอยแตกไว้ ไม่ใช่ว่าพ่อเป็นคนที่ประหยัด มัธยัสถ์ แต่น่าจะเป็นเพราะ พ่อเป็นคนยึดติดกับความคิดเดิมๆ อยู่ในกรอบมุมมองเดิมๆ และไม่คิดที่จะเปลี่ยนมุมมองใหม่เลย


ฉากต่างๆในภาพยนตร์เรื่องนี้ แสดงให้เห็นถึงความหม่นหมองที่มีอยู่ในจิตใจของตัวละครแต่ละตัว เพราะโทนสีของแต่ละฉากจะเป็นสีโทนสีน้ำตาล ดำ เกือบทั้งเรื่อง ทำให้บรรยากาศดูหดหู่ อ้างว้าง และหม่นหมอง


สิ่งสำคัญที่ได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้ คือ คุณค่าทางอารมณ์เพราะสามารถกระทบใจผู้ชมได้เป็นอย่างดี ทำให้ผู้ชมได้แง่มุมในการมองโลกเพิ่มมากขึ้น นั่นก็คือการเปิดมุมมองใหม่ๆ รู้จักค้นหาความเป็นตัวของตัวเองและมุ่งมั่นทำสิ่งนั้นให้เต็มที่ที่สุด หากมีอุปสรรคใด ก็ต้องตั้งสติและคิดหาทางออกที่ดีที่สุดเพื่อทุกๆฝ่าย ซึ่งก็เหมือนเดวิดที่เป็นคนป่วยทางจิต แต่ความรู้สึกที่เคยขาดหายไปในวัยเยาว์ก็ได้รับการเติมเต็มด้วย “เปียโน” สิ่งที่เป็นเสมือนวิญญาณของเขา เห็นได้จากไม่ว่าสภาพชีวิตของเขาจะเปลี่ยนแปลงไปเพียงใด ทุกครั้งที่นิ้วมือของเขาได้สัมผัสมัน จิตใจของเขาดูเหมือนจะชุ่มฉ่ำขึ้นมาทันที ก็แสดงให้เห็นว่าเขามีพรสวรรค์และเขาก็ทำได้ดีเสมอ แม้แต่ตอนที่เขาเล่นเพลงในผับก็ไพเราะจับใจ แสดงให้เห็นถึงความสามารถพิเศษของเดวิด ที่สะกดใจผู้ฟังให้เหมือนดังต้องมนต์ ภาพยนตร์เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่าเมื่อทุกอย่างดำเนินมาจนถึงที่สุด ก็ไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะหยุดยั้งสิ่งที่หัวใจของเดวิดต้องการ เขาตัดสินใจได้ถูกต้อง ทำให้ในตอนท้ายของเรื่องเดวิดได้พบกับความรักที่แท้จริงและโหยหามาตลอด


เมื่อเมฆหมอกจางหาย ท้องฟ้าของเขาก็กลับสดใสอีกครั้งดังชื่อเรื่อง “Shine” และนี่คงเป็นรางวัลชิ้นใหญ่ในชีวิตที่เขาสมควรได้รับ แม้จะเป็นการรอคอยที่เนิ่นนานแต่ผลตอบแทนที่เขาได้รับนั้นคุ้มค่าเหลือเกิน

Shine

ชณัฎฎา

ภาพยนตร์เรื่องShine เป็นภาพยนตร์จากประเทศออสเตรเลีย ความยาวประมาณ 105 นาทีเป็นผลงานการกำกับของ Scott Hicks ชาวออสเตรเลีย นำแสดงโดย Geoffrey Rush นักแสดงชาวอังกฤษ เข้าฉายเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ปี1996 ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลAcademy Award ประจำปี 1997 สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมโดยGeoffrey Rush และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม ตัดต่อภาพยอดเยี่ยม นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม และภาพยนตร์ยอดเยี่ยม


Shine เป็นเรื่องราวของ David Helfgott นักเปียโนอัจฉริยะชาวออสเตรเลีย – ยิว และถูกปีเตอร์ผู้เป็นบิดาพยายามเคี่ยวเข็ญอย่างหนักให้ฝึกซ้อมเปียโนโดยไม่คำนึงถึงความสามารถของลูก เดวิดฝึกฝนอย่างหนักและเข้าแข่งขันในรายการต่างๆ เขาได้รับรางวัลชนะเลิศและได้ทุนไปศึกษาต่อที่สถาบันสอนดนตรีชื่อดัง ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ถูกพ่อคัดค้าน เขาไม่ได้ไปศึกษาต่อและขณะเดียวกันนั้น เดวิดได้พบกับแคทเธอรีน พลิชาร์ด นักเขียนชื่อดัง เดวิดไปบ้านและเล่นเปียโนให้เธอฟังบ่อยๆ เขารู้สึกสบายใจเมื่ออยู่บ้านเธอและเริ่มเข้มแข็งขึ้น เมื่อมีจดหมายเชิญมาอีกครั้ง เดวิดตัดสินใจไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษท่ามกลางการคัดค้านของพ่อ เขาถูกตัดพ่อตัดลูกกับปีเตอร์ และกลับมาที่บ้านไม่ได้อีกต่อไป เดวิดได้รับการฝึกสอนจากอาจารย์ชื่อดัง “เซซิล พาร์ค” จนทำให้เขาสามารถบรรเลงบทเพลงที่ได้ชื่อว่ายากที่สุด “ เปียโน คอนเชอร์โต ราช หมายเลข 3 ของโรมานินอฟ” ซึ่งเป็นบทเพลงที่พ่อบังคับให้เขาเล่นให้ได้ในอดีต เดวิดฝึกซ้อมอย่างหนักจนได้รับรางวัลชนะเลิศในงานประกวดของวิทยาลัย แต่หลังจากที่เขาบรรเลงเพลงจบ เขาก็ล้มลงหมดสติอยู่บนเวที เดวิดต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชเป็นเวลานาน หลังออกจากโรงพยาบาลเขาได้ไปพักอาศัยอยู่กับ เบริล อัลค็อตแต่เธอก็ทนพฤติกรรมของเดวิดไม่ได้ เดวิดต้องมาพักอยู่กับเพื่อนคนหนึ่งแต่เขาก็ไม่ได้เล่นเปียโนเพราะถูกเจ้าของอพาร์ตเมนต์ล็อคไว้ เขาเดินออกตามหาเปียโนจนมาพบกับเปียโนที่ร้านอาหาร “โมบาย” และเล่นเปียโนที่ร้านจนกลับมามีชื่อเสียง ต่อมาไม่นานเดวิดได้พบกับกิลเลี่ยนนักดูดวงจากซิดนีย์และแต่งงานกัน ด้วยความรักความเข้าใจจากกิลเลี่ยนและครอบครัว ทำให้เดวิดกลับมาเล่นเปียโนอีกครั้งและสามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้ฟังได้ในคอนเสิร์ตของเขาเอง


ภาพยนตร์เรื่อง Shine เปิดฉากด้วยชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง มีลักษณะท่าทางแปลกๆ กำลังวิ่งอยู่กลางถนนท่ามกลางสายฝนที่โปรยปราย และไปหยุดยืนที่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง สายตาของเขาจับจ้องไปที่เปียโน เขาพูดคนเดียว “เดวิดจะดีดเปียโน” และภาพก็เริ่มย้อนกลับไปในวัยเด็กและเริ่มเล่าเรื่องมาเรื่อยๆจากอดีตถึงปัจจุบัน เหตุการณ์เริ่มพัฒนาเมื่อเดวิดชนะเลิศการแข่งขันและได้รับทุนให้ไปศึกษาต่อแต่พ่อของเขาไม่อนุญาต ทำให้ผู้ชมต้องขบคิดถึงบางสิ่งที่อัดแน่นอยู่ภายในใจของพ่อเขาที่ได้รับมาตั้งแต่อดีตจนพ่อต้องมาลงกับตัวเดวิด เหตุการณ์ในเรื่องยังคงดำเนินต่อไปโดยให้เดวิดได้พบกับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ คนใหม่ๆอย่างเช่นนักเขียนชื่อดังที่กลายเป็นที่พักพิงทางใจของเขาและทำให้เดวิดเข้มแข็งขึ้น และกล้าที่จะไม่เชื่อฟังพ่อ เดวิดตัดสินใจไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษท่ามกลางการคัดค้านของพ่อและนี่เป็นจุดวิกฤติที่ทำให้พ่อลูกต้องแตกหักกัน เดวิดต้องไปใช้ชีวิตแต่เพียงลำพังที่ต่างประเทศและต้องอยู่ในสภาวะเครียดหลายอย่าง คือ การสูญเสียที่พักพิงทางใจอย่างแคทเธอรีนและการไม่ตอบจดหมายกลับมาของพ่อ แต่เดวิดยังคงมุ่งมั่นและขยันฝึกซ้อมเปียโนอย่างหนักเพื่อเข้าแข่งขันในการประกวดของมหาวิทยาลัย จนทำให้มาถึงจุดไคลแม็กซ์ นั่นคือ เมื่อเดวิดแสดงจบ เขาล้มลงหมดสติอยู่บนเวที และเดวิดเริ่มมีอาการทางจิตทำให้ต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลจิตเวชเป็นเวลานาน หมอสั่งห้ามไม่ให้เขาเล่นเปียโนอีก เรื่องราวเริ่มคลี่คลายลงเมื่อเดวิดได้มาพบกับกิลเลี่ยนและแต่งงานกับเธอ ด้วยความรักความเข้าใของกิลเลี่ยนทำให้อาการของเดวิดดีขึ้นจึงนำมาสู่การปิดเรื่องที่เดวิดมีคอนเสิร์ตเป็นของตัวเอง เขาเล่นเปียโนต่อหน้าแม่และน้องสาวของเขาในคอนเสิร์ต เดวิดสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมได้และกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้ง


ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในภาพยนตร์เรื่องนี้ คือ ความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ กล่าวคือ เป็นความขัดแย้งทางความคิดระหว่างเดวิดกับปีเตอร์ผู้เป็นบิดา เดวิดอยากจะไปศึกษาต่อทางด้านดนตรีเพื่อหาประสบการณ์และพัฒนาความสามารถของเขาให้มากยิ่งๆขึ้นไปแต่พ่อกลับไม่เห็นด้วย เขาไม่อยากให้ลูกไปไกลจากครอบครัวและจะแสดงอาการเกรี้ยวกราดทุกครั้งที่เดวิดไม่เชื่อฟัง ปีเตอร์ไม่รับฟังความคิดเห็นของลูก จะว่ากล่าวด้วยวาจาที่รุนแรง บางครั้งมีการใช้กำลังทุบตีด้วย จนทำให้เกิดเดวิดเกิดอาการต่อต้านและขัดแย้งกับพ่ออย่างรุนแรง ซึ่งการกระทำเช่นนี้ของพ่อสะท้อนให้เห็นถึงชีวิตในวัยเด็กที่ปีเตอร์ไม่ได้รับการตอบสนองความสนใจทางด้านดนตรีจากพ่อ จนต้องมาลงกับลูก


Shine แปลว่า ส่องแสง สว่าง หรือว่าสุกใส ซึ่งน่าจะหมายถึงชีวิตของเดวิดที่เขาประสบความสำเร็จจนถึงขีดสุดแต่ตกลงมา กลายเป็นคนไม่ปกติและไร้ค่าในสายตาคนรอบข้าง แต่เมื่อเดวิดได้รับความรักความเข้าใจจากภรรยาและครอบครัว เดวิดหวนกลับมาเล่นเปียโนเริ่มมีชื่อเสียง ชีวิตของเขาประสบความสำเร็จและพบกับความสว่างไสวอีกครั้ง


ภาพยนตร์ Shine สะท้อนให้เห็นว่าเมื่อพ่อของเดวิดไม่ได้รับการตอบสนองทางด้านดนตรีจากพ่อจึงทำให้เขามาทุ่มเทและส่งเสริมเดวิดอย่างเต็มที่เพื่อทดแทนความต้องการในวัยเด็กของตัวเอง จนทำให้เขาเข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตของลูกมากจนเกินไป จัดการให้ลูกทุกอย่าง จนทำให้เดวิดเกิดความสับสนและขาดความเชื่อมั่นในตนเอง สะท้อนให้เห็นถึงรูปแบบของครอบครัวเป็นแบบใดย่อมส่งผลต่อพฤติกรรมของเด็ก ความรักแบบเผด็จการและไม่มีเหตุผลเป็นความรักที่ไม่ดีเพราะจะทำให้เด็กรู้สึกกดดัน และเมื่อความกดดันนั้นมากขึ้นเรื่อยๆจนรับไม่ได้ก็จะทำให้เด็กเกิดความผิดปกติขึ้นทางจิตใจและกลายเป็นคนที่มีพฤติกรรมแปลกแยก นอกจากนี้ยังสะท้อนให้เห็นอาการของผู้ที่มีอาการป่วยทางจิต คือ จะมีลักษณะแปลกๆ พูดกับตัวเองคนเดียว เนื้อหาการพูดจับใจความไม่ได้ ความคิดรวดเร็วไม่ปะติดปะต่อ แสดงพฤติกรรมที่ไม่สมเหตุสมผล เช่น ถอดเสื้อผ้า และหมกมุ่นกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษ ซึ่งก็คือ เปียโน จนทำให้การดูแลและสนใจตัวเองลดลง นอกจากนี้ยังเสนอวิธีการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตด้วยไฟฟ้า แต่เหนือสิ่งอื่นใดความรักและความเข้าใจอย่างแท้จริงจากคนรอบข้างจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นและกลับมาอยู่ร่วมกับคนปกติได้เช่นกัน


ข้อคิดที่ได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้คือ การสื่อสารทางด้านดนตรีที่ดีกว่าภาษาเพราะจะทำให้ผู้ฟังเข้าใจถึงอารมณ์และความรู้สึกแท้จริงที่อยู่ภายในจิตใจของบุคคลนั้นๆ และยังสอนให้รู้ว่าความรักที่ทำลายล้างไม่ใช่ความรักที่แท้จริง แต่ความรักที่สร้างสรรค์ต่างหากที่จะเป็นพลังให้แก่มนุษย์ในการลุกขึ้นมายืนหยัดและสว่างไสวอีกครั้ง


Shine จะทำให้คุณได้เพลิดเพลินไปกับเสียงดนตรีที่มีความไพเราะอย่างที่สุด และทำให้คุณรู้สึกชื่นชมในความสามารถการเล่นเปียโนของเขา รับรู้ถึงพรสวรรค์อันล้ำเลิศ ทำให้บุคคลที่สิ้นหวังหรือท้อแท้ในชีวิตได้กลับมาต่อสู้อีกครั้งเฉกเช่นเดวิด เฮลฟ์ก็อทท์ผู้ที่แม้จะไม่ปกติแต่ก็สามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างมีความสุขท่ามกลางความรักความเข้าใจอันอบอุ่นของครอบครัวและบุคคลรอบข้าง Shineจะทำให้คุณกลับมามีความหวังครั้งใหม่ในชีวิตและเห็นถึงคุณค่าแห่งรัก...

shine…โชคดีที่สวรรค์ ไม่ลำเอียง

จินตญา

ในวันที่ฝนพรำ ชายคนหนึ่งมีลักษณะท่าทางแปลกๆ พูดคนเดียว ซึ่งการพูดนั้นไม่สามารถจับเนื้อหาใจความได้ เขากำลังวิ่งอยู่กลางถนนและหยุดยืนที่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง

หนังได้เล่าย้อนไปในวัยเด็กของเดวิด ซึ่งเขาถูกบิดาเคี่ยวเข็ญให้ฝึกเล่นเปียโนอย่างหนัก เพื่อต้องการให้เขาชนะการประกวดในการแข่งขันรายการต่างๆ แม้จะเป็นเพลงที่ยากๆเขาก็สามารถเล่นได้ จนได้รับรางวัลชนะเลิศและได้รับทุนไปศึกษาต่อที่ประเทศอเมริกา แต่พ่อของเขากลับไม่ยินยอม

เมื่อเวลาผ่านไปเดวิดก็ได้รับจดหมายเชิญให้ไปศึกษาต่ออีกครั้ง เขาจึงตัดสินใจไปเรียนต่อโดยไม่สนใจคำคัดค้านของพ่อ และนั่นกลับเป็นเหตุให้เขาถูกตัดพ่อตัดลูกกัน และไม่สามารถกลับเข้าบ้านได้อีกเลย ระหว่างอยู่ที่ต่างประเทศนั้น แม้ว่าเดวิดจะส่งจดหมายกลับไปหาพ่อหลายฉบับแต่เขาก็ไม่เคยได้รับการตอบกลับมาแม้แต่สักครั้งเดียว

เดวิดจึงหันมาฝึกซ้อมการเล่นเปียโนอย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง ทำให้เขาสามารถเล่นเพลงที่ยากที่สุดที่พ่อเคยบังคับให้เขาเล่นจนได้ และจากการฝึกซ้อมอย่างหนักนี้เองทำให้เขาสามารถครองตำแหน่งชนะเลิศได้ในงานประกวดของมหาวิทยาลัย แต่หลังจากการบรรเลงจบลง เขาก็หมดสติล้มลงบนเวที ในภายหลังเขาถูกห้ามเล่นเปียโนโดยเด็ดขาด เพราะแพทย์กลัวว่าจะเป็นการกระตุ้นอารมณ์อาจทำให้อาการกำเริบได้

วันหนึ่งในขณะที่ฝนตก เขาเดินไปตามถนนและเดินเข้าไปในร้านอาหารแห่งหนึ่ง แล้วได้เล่นเปียโนซึ่งตั้งอยู่ในร้านแห่งนั้น ด้วยความสามารถที่เขามีทำให้เขาได้เป็นนักดนตรีประจำร้าน เดวิดได้พบกับพ่ออีกครั้ง แม้ว่าพ่อจะให้อภัยและอนุญาตให้เขากลับบ้านได้ แต่เขากลับพอใจกับสภาพชีวิตที่เขาเป็นอยู่ตอนนี้ ทำให้พ่อของเขารับไม่ได้กับพฤติกรรมเหล่านี้ จึงตัดสินใจเดินจากไป

ไม่นานนักเขาได้พบรักกับกิลเลี่ยน หญิงสาวซึ่งมีอาชีพเป็นหมอดู และทั้งสองได้แต่งงานกันในที่สุด จากความรักและความเข้าใจจากกิลเลี่ยนและครอบครัว ทำให้เขากลับมาสร้างชื่อเสียงในด้านการเล่นเปียโนอีกครั้ง เขาสามารถเอาชนะใจแม่และน้องสาวได้จากการแสดงคอนเสิร์ตในครั้งนั้น แต่น่าเสียดายที่พ่อของเขาจากไปก่อนที่จะได้เห็นความสำเร็จของลูกชาย

ภาพยนตร์เรื่องพยายามสื่อถึงผู้ป่วยที่มีอาการทางจิต ซึ่งแสดงให้เห็นว่า มนุษย์ทุกคนมีความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดปกติทางด้านจิตใจหากถูกบีบบังคับมากจนเกินไป เช่น จากตอนที่เดวิดเป็นเด็กนั้นเขาถูกบังคับให้เล่นเปียโน ซึ่งบางเพลงเป็นเพลงที่ยากมากเกินกว่าที่เด็กอย่างเขาจะสามารถเล่นได้ แต่พ่อก็บังคับให้เขาต้องทำให้ได้ และจากสภาพครอบครัวที่กดดัน ผู้เป็นพ่อไม่ยอมเปิดรับโลกภายนอก ไม่ยอมให้เพื่อนของลูกๆมาที่บ้าน สิ่งต่างๆเหล่านี้ที่ทำให้เดวิดกลายเป็นเด็กเก็บกด ไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงออก และอาการก็ยิ่งทวีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

นอกจากนี้หนังยังพยายามสื่อถึงความผิดปกติทางจิตของเดวิดตอนที่เขามาอาศัยอยู่ใน อพาร์ทเมนท์คนเดียว และกำลังลงมาเอาของที่เคาน์เตอร์ด้านล่าง แต่เขากลับไม่ใส่กางเกงลงมา ซึ่งภาพยนตร์กำลังสื่อว่าเขามีความผิดปกติทางด้านจิตใจ เพราะพฤติกรรมดังกล่าวไม่ใช่วิสัยของคนปกติ

ภาพยนตร์ยังแสดงให้เห็นว่าครอบครัวมีส่วนสำคัญที่ทำให้เดวิดเป็นอย่างนี้ เพราะเขาเติบโตมาในครอบครัวที่มีแต่การใช้อารมณ์มากกว่าการใช้เหตุผล ซึ่งพ่อมีส่วนร่วมในชีวิตของเขามากจนเกินไป เช่น การตัดสินใจแทนให้เขาเล่นเพลงต่างๆโดยที่ไม่เคยถามความคิดเห็นของเขาเลยว่าเขาจะเล่นได้หรือไม่ เนื่องจากพ่อของเดวิดไม่ได้รับการตอบสนองความสนใจทางด้านดนตรีจากพ่อ ทำให้เขาพยายามทดแทนสิ่งเหล่านี้ให้แก่เดวิด แต่มันกลับกลายว่าจะเป็นการยัดเยียดเสียมากกว่า
นอกจากนี้ในเรื่องของตัวละครมีการนำเสนอความขัดแย้งทางด้านจิตใจของมนุษย์เอง คือ บางครั้งพ่อของเขาก็มีการใช้กำลังทำโทษเมื่อเกิดความไม่พอใจแต่ก็ทำสลับกับการแสดงความรักที่อบอุ่น ทำให้เกิดความสับสนขึ้นในใจไม่รู้ว่าสิ่งไหนคือสิ่งที่ถูกต้องและสิ่งไหนคือสิ่งที่ผิด สุดท้ายทำให้เขากลายเป็นคนที่ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง

หนังใช้การเปิดเรื่องที่ทำให้ผู้ชมต้องคิดตาม เนื่องจากมีการเปิดเรื่องโดยให้ชายคนหนึ่งเดินมาท่ามกลางสายฝน พูดไม่รู้เรื่องอยู่คนเดียว ผ่านร้านอาหารแห่งหนึ่งแล้วเข้าไปเกาะกระจกของร้านและมองดูเปียโนอย่างสนใจ ซึ่งนั่นเป็นตัวตั้งคำถามว่า ทำไมชายคนนั้นจึงต้องหยุดมองและจ้องมองอยู่ที่เปียโนหลังนั้น

นอกจากนี้ยังมีการใช้สัญลักษณ์ในการแสดงอารมณ์และความรู้สึกของตัวละคร เช่น ตอนที่เดวิดกำลังอาบน้ำอยู่ในอ่างอาบน้ำ ซึ่งตามปกติแล้วพ่อจะต้องมาอาบน้ำต่อจากเขา แต่เขากลับถ่ายลงในอ่างอาบน้ำนั้น ซึ่งทำให้พ่อรู้สึกโกรธเขาเป็นอย่างมาก จึงได้ใช้ผ้าขนหนูตีเขารุนแรง ซึ่งผู้กำกับใช้สัญลักษณ์ในการนำเสนอ โดยการใช้น้ำที่ไหลออกจากก๊อกที่กำลังไหลลงทีละหยดๆเป็นตัวแสดงอารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร และจับภาพไปที่ผนังที่มีน้ำกระจายอย่างรุนแรง ซึ่งทำให้เกิดการคิดตามว่าเดวิดรู้สึกอย่างไร และเกิดอะไรขึ้นกับเดวิดในตอนนั้นบ้าง

ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์เพื่อการศึกษาอีกเรื่องหนึ่งที่มีประโยชน์แก่ผู้ชมเป็นอย่างมาก เพราะเราจะได้รู้และมองดูพฤติกรรมของผู้คนรอบข้างว่ามีบุคคลใดมีความผิดปกติทางด้านจิตใจบ้างหรือไม่ หากคนเหล่านั้นเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดกับเรา เราควรจะประพฤติต่อเขาอย่างไร ให้เขาอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข นอกจากนี้การดูภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เราต้องคิดตามเพราะมีการใช้สัญลักษณ์ในการสื่อ จะช่วยให้ผู้ชมได้ฝึกการสังเกต ฝึกการวิเคราะห์สิ่งที่ผู้กำกับต้องการจะสื่อสารมายังผู้ชม จะช่วยให้เราเข้าใจการนำเสนอของภาพยนตร์มากยิ่งขึ้น

Shine : ชายน์ โชคดีที่สวรรค์ไม่ลำเอียง

ฉัตรแก้ว

ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ฮอลีวู๊ด ที่สร้างในปี1996 นำแสดงโดย Geoffrey Rush,Noah TaylorและArmin Mueller-Stahl กำกับภาพยนตร์โดย Scott Hicks และมีJane scott เป็นโปรดิวเซอร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมในหลายสาขา เช่น นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม เป็นต้น


หนังเรื่องนี้เป็นการนำเสนอเรื่องราวที่มาจากชีวิตจริงของนักเปียโนชาวออสเตรเลีย ผู้มีปัญหาทางจิต David Helfgott โดยเริ่มจากชีวิตวัยเด็กของเดวิดที่ ถูกพ่อบังคับให้เล่นเปียโนตั้งแต่เด็กๆ ถูกบังคับให้ไปแข่งแต่ก็แพ้ ซึ่งทำให้พ่อของเดวิดผิดหวังมาก และพ่อมักพูดกับเดวิดเสมอๆว่า “ ไม่ว่าแข่งอะไรก็ต้องชนะ ถึงแม้ว่าจะแข่งหมากรุกก็ตาม ” พ่อมักจะพูดกับเดวิดว่า ตอนเด็กๆพ่อเก็บเงินซื้อไวโอลิน แล้วก็ถามเดวิดว่า ปู่ทำอะไรกับไวโอลินตัวนั้น เดวิดตอบว่า ปู่ทำลายไวโอลินตัวนั้นจนแหลกละเอียด ต่อมา มีครูสอนดนตรีแนะนำให้เดวิดเข้าแข่งขันอีก มาคราวนี้เดวิดแข่งชนะ และได้ทุนให้ไปศึกษาทางด้านดนตรีที่ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่พ่อของเดวิดไม่ให้ไป พ่อให้เหตุผลกับเดวิดว่า ถ้าเดวิดไปเท่ากับเป็นการทำลายครอบครัว


หลังจากนั้น เดวิดถูกเชิญให้ไปเล่นเปียโนที่งานเลี้ยงและได้เจอกับหญิงแก่ใจดี ผู้ซึ่งเข้าใจและให้กำลังใจเดวิดตลอด และเป็นอีกครั้งหนึ่งที่เดวิดได้ทุนไปเรียนดนตรีที่ประเทศอังกฤษ หญิงแก่ผู้นี้สนับสนุนเดวิดว่าให้ไปเรียน แต่พ่อของเขาก็ไม่ให้ไปเช่นเดิม คราวนี้เดวิดค้านจะไปให้ได้ พ่อถึงกับประกาศ ตัดพ่อตัดลูก แล้วเดวิดก็ไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ ณ ที่นั่น ครูผู้สอนเดวิดเห็นแววของเขาและให้เขาแสดงในงานเทศกาลของมหาวิทยาลัย เดวิดเลือกเล่นเพลงของ แรกมานีนอฟ เพลงที่ครูสอนดนตรีตอนเด็กๆของเดวิดไม่อยากให้เล่น ในวันงานเดวิดทำให้ผู้ชมตกตะลึงด้วยการเล่นเพลงของแรกมานีนอฟ เมื่อเขาเล่นจบเสียงปรบมือดังสนั่นไปทั่ว แต่เดวิดก็ล้มลงและหมดสติไป


ต่อมาเดวิดก็ถูกส่งเข้ารักษาในโรงพยาบาลที่รักษาผู้ป่วยโรคจิต เมื่อพ่อทราบ พ่อไปเยี่ยมเดวิดและพูดกับเดวิดด้วยประโยคเดิมที่เขาเคยพูดเมื่อตอนเด็กๆ ที่ว่า พ่อมีไวโอลินและปู่ทำยังไงกับไวโอลินตัวนั้น คำตอบที่ได้รับทำให้พ่อถึงกับหลั่งน้ำตา เพราะเดวิดตอบว่าเขาจำไม่ได้ และเขาถูกหมอสั่งห้ามไม่ให้เล่นดนตรีอีกต่อไป แต่ทว่า เขาก็ได้พบกับหญิงวัยกลางคนที่ทำให้เขากลับมาเล่นเปียโนอีกครั้งหนึ่ง หญิงวัยกลางคนได้รับเดวิดไปเลี้ยงดู แต่หล่อนก็ทนเดวิดที่มีอาการทางจิตไม่ไหว จึงส่งเดวิดไปอยู่ที่อื่น


ณ ตอนนี้เดวิด ที่อยากจะเล่นเปียโนอีกครั้งได้หนีเจ้าของบ้านที่เขาอาศัยอยู่ด้วยไปร้านอาหารที่ซิลเวียทำงานอยู่ และที่นั่นเอง เขาก็ได้พบกับเพื่อนของซิลเวียที่เป็นโหรจากซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ในที่สุดเขาก็ขอหล่อนแต่งงาน ชีวิตแต่งงานของเดวิดเต็มไปด้วยความสุข เขาได้เล่นเปียโนอย่างที่เขาอยากทำ ตอนสุดท้าย เขาได้เล่นเปียโนในโรงละครอีกครั้ง เมื่อเขาเล่นจบ เสียงปรบมือดังกึกก้อง แต่น้ำตาเขาไหลออกมาเพราะว่า พ่อของเขาไม่ได้มาเห็นความสำเร็จที่พ่ออยากให้เขาเป็น เนื่องจากพ่อได้จากเขาไปตลอดกาลแล้ว


หนังเรื่องนี้เปิดฉากด้วยฉากสีดำมืด และมีตัวละครออกมาพูดซึ่งไม่สามารถจับใจความได้ ระหว่างที่ตัวละครพูดนั้นก็มีเสียงเพลงบรรเลงที่ให้ความรู้สึกเศร้าๆ หลังจากนั้นก็เปิดฉากที่ตัวละครเอกกำลังมองหาบางสิ่งบางอย่างในบาร์ ตัวหนังก็ตัดกลับไปตอนที่ตัวละครเอกยังเป็นเด็กอยู่ หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องได้อย่างเป็นขึ้นเป็นตอน ทำให้ผู้ชมไม่สับสน หนังดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงจุดไคลแมกซ์ที่ตัวละครเอกเล่นเพลงแรกมานีนอฟและหมดสติไป หลังจากนั้นก็ตัดมาที่ฉากของโรงพยาบาลรักษาผู้ป่วยที่มีอาการทางจิต ตัวละครเอกนั่งเหม่อลอย เนื่องจากถูกสั่งห้ามไม่ให้เล่นเปียโนที่เขารัก แต่ในที่สุดตัวละครเอกตัวนี้ก็ได้แต่งงานกับหญิงสาวที่เข้าใจและพร้อมที่จะดูแลเขา สนับสนุนเขา


ในหนังเรื่องนี้นำเสนอตัวละครได้อย่างน่าสนใจ ตัวละครบางตัวมีความขัดแย้งที่เห็นได้อย่างชัดเจน นั่นก็คือ พ่อของเดวิด ที่บังคับให้เดวิดเล่นดนตรีที่พ่อชอบ และบังคับให้เดวิดซ้อมอย่างหนักเพื่อชัยชนะ เมื่อเดวิดแข่งแพ้แต่ก็กลับมานั่งคิดและเปิดสมุดโน้ตเพลงและนั่งบนเก้าอี้อย่างครุ่นคิดว่าจะให้เดวิดไปเรียนเปียโนดีหรือไม่ เป็นต้น


จากที่ข้าพเจ้าได้ดูหนังเรื่องนี้ ทำให้ข้าพเจ้าได้มุมมองใหม่ๆในการใช้ชีวิต ทั้งกล้าที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ และ ฝันอะไรก็ต้องไปให้ถึง หนังเรื่อง “ ชายน์ โชคดีที่สวรรค์ไม่ลำเอียง ” เป็นหนังดีมีคุณภาพอีกเรื่องหนึ่งที่ควรค่าแก่การสะสมเก็บไว้ในครอบครอง

Shine

จิราภรณ์

พรสวรรค์สามารถนำพามนุษย์ไปสู่ความฝันและความสำเร็จได้ ถ้าใช้มันอย่างถูกต้องและเหมาะสม แต่หากใช้พรสวรรค์ที่มีอยู่ในตัวเอง และต้องเดินไปบนเส้นทางความคิดของผู้อื่น หรือเรียกได้ว่าถูกปิดกั้นโอกาสทางความคิดของตนเอง ก็อาจนำพาชีวิตไปสู่หนทางหายนะได้ดังเช่นชีวิตของ เดวิด ตัวละครเอกในเรื่อง “ชายน์” ภาพยนตร์ที่ถูกสร้างขึ้นในปี 1996 จากชีวิตจริงของ David Helfgott นักเปียโนชาวออสเตรเลีย โดยมี Scott Hicks เป็นผู้กำกับและเขียนบทร่วมกับJan Sardi ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัล Academy Award ประจำปี 1997 สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมโดย Geoffrey Rush ผู้รับบทเป็นเดวิดตอนแก่ นอกจากนี้ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสาขาต่างๆอีกมากมาย

David Helfgott ถูก ปีเตอร์ พ่อของเขากดดัน ให้ฝึกซ้อมเปียโนอย่างหนัก โดยไม่คำนึงถึงว่าเขาจะสามารถเล่นเพลงยากๆได้หรือไม่ เพียงเพื่อให้ได้ชัยชนะ และเพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการทางดนตรีของพ่อในวัยเด็กซึ่งถูกปิดกั้นโดยปู่ของเดวิดด้วย แต่เพราะพรสวรรค์ทางดนตรีของเดวิด ทำให้เขาได้รับทุนไปศึกษาที่สถาบันดนตรีชื่อดังในสหรัฐอเมริกา แต่ก็ถูกพ่อปิดกั้นโอกาสไม่ยอมให้ไป ต่อมาเดวิดได้พบกับแคธรีน นักเขียนชื่อดัง และได้ไปเล่นดนตรีให้เธอฟังบ่อยๆ จนเกิดรู้สึกผูกพันและได้เธอเป็นที่พักทางใจ ทำให้เดวิดเข้มแข็งขึ้น และกล้าที่จะแหกกฎเกณฑ์ทั้งหลายของพ่อ เพื่อก้าวเดินไปตามหาความฝันของเขา ด้วยการตัดสินใจรับทุนไปเรียนดนตรีที่ลอนดอน แม้จะต้องแลกด้วยการตัดพ่อตัดลูกกันก็ตาม เขาได้รับการฝึกสอนจากอาจารย์ชื่อดังและฝึกซ้อมอย่างหนักจนสามารถบรรเลงบทเพลงที่ได้ชื่อว่ายากที่สุดซึ่งเป็นเพลงที่พ่อเคยบังคับให้เขาเล่นในสมัยก่อนนั่นเอง หลังจากที่เพลงจบลง เดวิดยังไม่ทันได้รับรู้ถึงการแสดงความชื่นชมยินดีและเสียงปรบมือจากผู้ชม เขาล้มลงหมดสติอยู่บนเวทีและกลับกลายเป็นคนป่วยทางจิต แต่ไม่ว่าสภาพของเดวิดจะเปลี่ยนไปอย่างไร แต่สิ่งที่ยังคงอยู่ในหัวใจและจิตวิญญาณของเขาก็คือพรสวรรค์ในการเล่นเปียโนซึ่งทำให้เขามีชื่อเสียง และได้พบกับพ่ออีกครั้ง แต่พ่อกลับรับไม่ได้ถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของเดวิด และเดินจากเขาไปอีกครั้ง ไม่นานนัก เขาก็ได้พบกับหมอดูสาวคนหนึ่งซึ่งมองเห็นความโดดเด่น ความน่ารักของเขา และยอมรับสภาพของเขาได้ทุกอย่าง เขาได้แต่งงานกัน ด้วยความรักและความเข้าใจที่มีให้กันในครอบครัว ทำให้เดวิดสามารถกลับมาเล่นเปียโนได้อย่างไพเราะจับใจ และที่สำคัญคือ เขาบรรเลงเพลงออกมาจากใจ และตัวตนของเขาจริงๆ และสร้างความประทับใจแก่ผู้ฟังได้อีกครั้ง ทุกคนยอมรับในความสามารถและร่วมยินดีกับความสำเร็จของเขา แต่อาจสายไป เพราะคนที่เดวิดอยากให้เห็นความสำเร็จของเขามากที่สุด นั่นก็คือ พ่อ ได้จากเขาไปเสียแล้ว


ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่น่าติดตามมาก ไม่ว่าจะเป็นตัวเรื่องที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ทำในสิ่งที่ใจรักและสามารถก้าวไปสู่ความสำเร็จในชีวิตได้ ผู้ที่รับบทบาทเป็นเดวิดในแต่ละวัยสามารถตีบทได้อย่างชัดเจน ประหนึ่งว่าผู้แสดงเป็นคนเดียวกันตั้งแต่เด็กจนโต

Shineเริ่มเรื่องตอนที่เดวิดกำลังวิ่งไปเรื่อยๆท่ามกลางสายฝน แล้วหลงเข้าไปในร้านอาหารร้านหนึ่ง ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต ทำให้เขากลับมามีชื่อเสียงอีกครั้งจากการเล่นเปียโนที่อยู่ในร้านนั้น จากนั้นก็เป็นการสลับฉากเหตุการณ์ไปมาระหว่างอดีตกับปัจจุบัน ทำให้ผู้ชมเกิดความสงสัย และทำให้เกิดความตั้งใจในการชมมากขึ้น เสมือนว่าเป็นกลวิธีที่ทำให้ผู้ชมมีสมาธิ ได้เตรียมความพร้อมก่อนที่จะไปพบกับฉากเด็ดๆที่กระทบใจถึงขั้นเกิดอาการอึ้งอย่างสงบนิ่งได้เลย เช่น ฉากที่แสดงถึงความขัดแย้งระหว่างพ่อกับลูก คือตอนที่เดวิดถูกพ่อตี หรือจะเป็นฉากไคลแมกซ์ของเรื่อง ในตอนที่เดวิดทุ่มเทกับการเดี่ยวเปียโนจนหมดสติล้มลงบนเวที ความสุขและความประทับใจค่อยๆเพิ่มมากขึ้น แล้วค่อยๆดำเนินเรื่องไปสู่ความปลาบปลื้มยินดีกับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของเดวิด ซึ่งเป็นฉากปิดเรื่องที่ซาบซึ้งกินใจมากถึงขั้นเรียกน้ำตาผู้ชมได้เป็นจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว

ฉากในภาพยนตร์เรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นองค์ประกอบด้านแสง สี และเสียงมีความสอดคล้องเหมาะสมกับเหตุการณ์ในเรื่อง ในช่วงชีวิตที่มืดมน ฉากก็จะดูมืดมัว หม่นหมอง แต่ยามที่เดวิดมีความสุข ได้พบกับสิ่งดีๆในชีวิต ฉากก็จะดูสดใส สบายตา ดูแล้วรู้สึกเกิดอารมณ์สุขใจไปกับเดวิดด้วย สิ่งต่างๆสื่อให้เห็นตรงกับชื่อเรื่อง “ชายน์” ที่เป็นเสมือนแสงทองช่วยสาดส่องให้ชีวิตของเดวิดหลุดพ้นจากความมืดมนในอดีตได้

ภาพยนตร์เรื่องนี้มีแง่คิดหลายด้าน ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน สำหรับข้าพเจ้าคิดว่า การที่เราก้าวเดินไปตามคำสั่งของหัวใจเรา เพื่อพยายามตามหาความฝัน ไม่ว่าความฝันจะเป็นจริงหรือไม่ อย่างน้อยเราก็ได้ภูมิใจในสิ่งที่เราได้ทำ เพราะเป็นสิ่งที่ออกมาจากหัวใจ นั่นแหละคือตัวตนของเรา เช่นเดียวกับเดวิดที่ตัดสินใจดำเนินชีวิตไปตามทางที่เขาเลือกเอง ไม่ว่ามันจะเลวร้ายสักเพียงใด เขาต้องยอมรับในตัวเขาเอง สักวันหนึ่ง ท้องฟ้าที่มืดมนก็จะเปิดกว้างสดใส ส่องแสงนำทางให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จจนได้