วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2551

ชุดประดาน้ำและผีเสื้อ




ชุดประดาน้ำและผีเสื้อ
ฌ็อง - โดมินิก โบบี้ เขียน
วัลยา วิวัฒน์ศร แปล
พิมพ์ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2545
สำนักพิมพ์ผีเสื้อ
224 หน้า ราคา 149 บาท






"---คลื่นความทุกข์เข้าครอบคลุมผม เตโอฟีล ลูกชายของผม นั่งเรียบร้อยอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าของเขาห่างจากใบหน้าผมเพียงห้าสิบเซ็นต์ แล้วผม พ่อของเขา ไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะเอามือลูบผมดกหนาของเขา สัมผัสต้นคออ่อนนุ่ม กอดรัดร่างน้อยๆ อันอบอุ่นและลื่นเรียบของเขาให้แนบแน่น จะให้พูดว่าอย่างไร มันเหี้ยมโหด อยุติธรรม สุดจะทนทาน หรือ น่าสะพรึงกลัวกันแน่ ---" เป็นข้อความตอนหนึ่งในบทที่ชื่อว่าม่าน จากหนังสือ “ชุดดำน้ำและผีเสื้อ” ของ ฌ็อง-โดมินิก โบบี้

บันทึกชีวิตที่ทั้งเฉียบคมทางความคิด เข้มข้นทางอารมณ์ และละมุนละไมด้วยความอ่อนหวานแห่งถ้อยคำ เป็นการเขียนด้วยการเลิกเปลือกตาของโบบี้ ผ่านการแปลจาก “วัลยา วิวัฒน์ศร”ผู้โลดแล่นบนถนนสายการแปลวรรณกรรมฝรั่งเศสอย่างภาคภูมิเป็นเวลากว่า 20 ปี

ข้อความตอนนี้เป็นสัจธรรมชีวิตที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ ตราบใดที่มนุษย์ยังคงเดินตามวิถีโลก โลกก็จะสร้างแบบทดสอบชีวิตมาทดสอบมนุษย์อยู่ตลอดเวลา และรอจังหวะที่มนุษย์ผู้หลงระเริงก้าวพลาดพลั้ง โลกก็พร้อมที่จะกระหน่ำซ้ำเติมและมอบรอยแผลเป็นแห่งชีวิตไว้เป็นสิ่งเตือนใจ นั่นคือความจริงที่มนุษย์ต้องทำใจยอมรับโดยไม่สามารถหลีกหนีได้

บรรณาธิการบริหารนิตยสารแอลล์ฉบับฝรั่งเศสเป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องพบกับบททดสอบอันโหดร้ายและหนักหน่วงที่สุดในชีวิต เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 1995 เส้นเลือดในสมองของฌ็อง-โดมินิก โบบี้แตก ส่งผลให้เขาเป็นผู้ป่วยอัมพาตทั้งตัว ขยับตัวไม่ได้ ไม่สามารถพูดหรือแสดงสีหน้า สิ่งที่เขาทำได้นั้นคือการเคลื่อนไหวศรีษะเล็กน้อยและกระพริบเปลือกตาซ้ายเท่านั้น ส่วนสติ ความนึกคิด อารมณ์ และความฝันความมุ่งมั่นของเขายังคงอยู่ครบถ้วน นั่นจึงเป็นฝันร้ายที่สุดในชิวิตของเขา

ในระหว่างการรักษาตัว โบบี้ได้เรียนรู้การสื่อสาร จากนักสัทวิทยาหรือที่เขาเรียกว่าแม่ทูนหัว เธอนำชุดตัวอักษร ESA ซึ่งโบบี้เรียกว่า "รหัส" มาให้ใช้ อักษรชุดนี้เรียงตามความถี่ในการใช้ภาษาฝรั่งเศส ซึ่งทุกคนที่ต้องการสื่อสารกับเขาจะต้องรู้จัก เพื่อจะได้พูดคุยกันได้ในเวลาสั้นที่สุด โดยโบบี้ใช้วิธีเลิกเปลือกตา ส่วนเธอจะขานอักษรทีละตัวไล่ เพื่อให้โบบี้เลือกตัวอักษรเหล่านั้น จากนั้นก็จดอักษรเหล่านั้น แล้วเริ่มขานอักษรใหม่ ทีละตัว จนได้หนึ่งคำ ทีละคำ เรียงกันไปจนเป็นประโยค

จากการสื่อสารระหว่างคนสองคน กลายเป็นการสื่อสารกับคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นพยาบาล แพทย์ เพื่อนร่วมงาน หรือ คนในครอบครัว โบบี้เริ่มสื่อสารถึงเพื่อนๆ ด้วยการเขียนจดหมายเวียน เขียนด้วยการเลิกเปลือกตาข้างซ้ายของเขา จากจดหมายเวียนโบบี้ตกลงใจเขียนหนังสือเป็นเล่ม ทำความฝันของตนให้เป็นจริง นั่นคือการเป็นนักเขียน

เขาเขียนหนังสือชุดประดาน้ำและผีเสื้อเสร็จภายในเวลาสองเดือน ในทุกๆวันวันละสองถึงสามชั่วโมง โบบี้จะต้องวางโครงเรื่องทั้งหมดในสมองของเขา แบ่งเป็นบทเป็นตอน ในแต่ละคืนเขาเลือกสรรคำ เรียงประโยค เรียงย่อหน้า แก้ไขสำนวน ขัดเกลาทุกอย่างให้เสร็จสรรพ แล้วท่องจำไว้ เขาต้องท่องจำได้ทั้งหมด ก่อนที่จะให้เขียนตามคำบอกด้วยการเลิกเปลือกตาให้ผู้ขานอักษรเขียนจด เขาต้องเลิกเปลือกตามากกว่าสองแสนครั้งจนกระทั่งจบเล่ม จากอักษรรวมเป็นคำ จากหนึ่งตัวอัษร หนึ่งคำ หนึ่งประโยค หนึ่งย่อหน้า หนึ่งบท และหนึ่งเล่ม

โบบี้พูดถึงประสบการณ์จริงทั้งในอดีตและปัจจุบัน ทั้งเรื่องจริงและจินตนาการผ่านสายตาที่มองโลกอย่างเฉียบคมของชายคนหนึ่งที่ไม่ยอมพ่ายให้กับอุปสรรคที่ผ่านเข้ามา แม้ว่าโบบี้จะต้องเขียนโดยมีข้อจำกัดมากมายภายใต้สถานการณ์ยากลำบากเกินจะจินตนาการได้ แต่ทว่าความสามารถในการใช้ภาษาที่เบาด้วยอารมณ์ขัน ร่าเริงมีชีวิตชีวา อีกทั้งเต็มไปด้วยอารมณ์อ่อนไหว เศร้าทรมาน ที่แทรกไว้ได้อย่างลงตัว ความสามารถในการใช้ถ้อยคำ สำนวนและโวหารต่างๆของเขายังอยู่ครบ โบบี้ไม่ได้ทำให้ผู้อ่านผิดหวังทั้งด้านคุณค่าของเนื้อหาและภาษา เขาสามารถร้อยเรียงเรื่องราวเข้ากันให้เป็นหนังสือที่วิเศษ เป็นเรื่องที่ผู้อ่านไม่อยากวางจนกระทั่งจบบทสุดท้าย


สิ่งที่โบบี้กล่าวถึงในฐานะผู้ป่วยในหนังสือเล่มนี้ ยังเปรียบได้กับสารของผู้ป่วยต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาพยาบาลทุกระดับ ให้พวกเขาได้ตระหนักถึงการหลงลืมไปว่า ผู้ป่วยอัมพาตยังคงมีความรู้สึกเช่นเดียวกับคนทั่วไปควรได้รับการปฎิบัติในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน อีกทั้งสารแห่งความรู้สึกที่มีต่อผู้ป่วยด้วยกัน ว่าให้ยอมรับสิ่งที่เป็นไปและอยู่กับมันให้ได้

โบบี้เสียชีวิตหลังจากหนังสือออกวางจำหน่ายเพียงสามวัน หนังสือชุดประดาน้ำและผีเสื้อจึงเปรียบได้กับของขวัญที่มีค่าที่โบบี้ได้มอบให้แก่โลกของเรา เขาทำให้เรารู้ว่าคนเราสามารถทำตามความฝันได้เสมอ ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเพียงใด ขอเพียงอย่าหยุดฝัน มีความหวังอยู่เสมอ และลงมือทำ ดังที่โบบี้แสดงให้เห็นแล้วว่า แม้ร่างกายของเขาจะต้องอยู่ภายใต้ชุดประดาน้ำที่รัดรึงกายให้เจ็บปวดเคลื่อนไหวไม่ได้ แต่ความฝันความคิดจินตนาการของเขาก็ยังสามารถจะโบยบินตามใจนึก ดังเช่นผีเสื้อที่โบยบินแสวงหาความสวยงามมาเติมเต็มให้ชีวิต





พิมพ์อัณณ์

ผู้ชายคนที่ตามรักเธอทุกชาติ พิมพ์ครั้ง 85



ผู้ชายคนที่ตามรักเธอทุกชาติ พิมพ์ครั้ง 85
วินทร์ เลียววาริณ
ปีที่พิมพ์ 2549
สำนักพิมพ์ 113 จำกัด
จำนวน 304 หน้า
ราคา 185 บาท

“นวนิยายรักที่ Dak – Done เสียด Colour และกวน – Teen ที่สุดในรอบปี” นี่คือคำนิยามของนวนิยายที่ชื่อว่า “ผู้ชายคนที่ตามรักเธอทุกชาติ พิมพ์ครั้งที่ 85” เป็นนิยามที่บัญญัติขึ้นโดยตัวผู้เขียนเอง คือ “วินทร์ เลียววาริณ” นักเขียนรางวัลซีไรต์ ปี 2540 เจ้าของผลงานติดหูนักอ่านผู้ชื่นชอบวรรณกรรมแนว “เสียดสี” อย่าง ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน หลังอานบุรี ปีกแดง และผลงานอื่น ๆ อีกมากมาย หากใครที่เป็น “แฟนพันธุ์แท้” ของวินทร์แล้ว ย่อมทราบกันดีว่าชายผู้นี้มี “ไอเดียร์” ที่หลากหลายในการสร้างสรรค์งานเขียนประเภทเสียดสีวิภาควิจารณ์สังคมและการเมืองได้ในทุกรูปแบบ นวนิยายรักเล่มนี้ก็เช่นกัน


ครั้งแรกที่ดิฉันเห็นหนังสือเล่มนี้ โดยเฉพาะชื่อที่เรียกได้ว่า “หวานซึ้ง” ไม่ว่าใครก็คงจะเข้าใจว่าเป็นนิยายรักอย่างแน่นอน แต่ความคิดนั้นก็ต้องสะดุดเมื่อได้เห็นชื่อของนักเขียน



“วินทร์ เลียววาริณ” ความแปลกใจเกิดขึ้นทันที จากการที่เคยอ่านผลงานของคุณวินทร์มาบ้าง อาจกล่าวได้ว่างานเขียนแนวเสียดสีนี้ กลายเป็นเอกลักษณ์ประจำของคุณวินทร์ไปเสียแล้ว จะเป็นไปได้หรือที่คุณวินทร์จะเปลี่ยนแนวมาเขียนนิยายรัก “ผู้ชายคนที่ตามรักเธอทุกชาติ พิมพ์ครั้งที่ 85” จึงเป็นความคาดหวังเล็ก ๆ ของดิฉันที่อยากจะเห็นนิยายรักและอยากจะทราบมุมมองรักของคุณวินทร์ แต่หนังสือเล่มนี้ก็เป็นนวนิยายรัก “หวานปะแล่ม ๆ” ในแบบฉบับของคุณวินทร์จริง ๆ เพราะนอกจากเรื่องราวความรักแล้ว ยังผสมด้วยนิยายอิงประวัติศาสตร์ เจือนิยายวิทยาศาสตร์ ล้อเลียนเสียดสีสังคมการเมืองยุคบริโภคนิยม ด้วยโครงเรื่องที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนและเปี่ยมด้วยอารมณ์ขันร้าย ด้วยความซับซ้อนของเรื่องนี้ จึงก็ต้องอาศัยความตั้งใจในการอ่านไม่น้อย เพราะเป็นหนังสือที่ไม่ใช่จะ “อ่านผ่าน ๆ” ได้ หากแต่ต้อง “อ่านเก็บ” กันอย่างละเอียดลออ



เรื่องราวของ “ผู้ชายคนที่ตามรักเธอทุกชาติ พิมพ์ครั้งที่ 85” เริ่มต้นเรื่องที่ สาย ธารี โกสท์ไรเตอร์ นักเขียนผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของนักเขียนที่มีชื่อเสียงหลายคน วันหนึ่งเขาเดินชนหญิงสาวลึกลับที่หัวมุมถนนและหลงรักเธอทันที เขาเชื่อมั่นว่าเขาเคยพบกับเธอมาก่อน สาย ธารี สืบพบว่าหญิงสาวคนที่เขาหลงรักตั้งแต่แรกพบ เกี่ยวข้องกับหนังสือนิทานโบราณเล่มหนึ่งที่ตีพิมพ์โดยหมอบรัดเลย์ ชื่อ “นิทานอีแสบ” ยิ่งเขาคลี่คลายปริศนาแห่งนิทานอีแสบลึกเท่าใด ก็ยิ่งค้นพบความลับของเขากับเธอว่าเคยรักกันมาก่อนในหลาย ๆ โลก จักรวาลประกอบด้วยมิติมากมายนับไม่ถ้วน เธอคนที่เขารักเป็นหนึ่งในเธอจำนวนล้าน ๆ คนในโลกมิติต่าง ๆ ที่ซ้อนทับกัน



ความรักของเขากับเธอในโลกมิติต่าง ๆ นั้น เกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์ของโลกตั้งแต่โบราณ เช่น การยาตราทัพข้ามโลกของเจ็งกิสข่าน อเล็กซานเดอร์มหาราช การรุกกรุงธนบุรีของอะแซหวุ่นกี้ งานจิตรกรรมของ ดา วินชี ความลับกรุงศรีอยุธยาแตกในปี พ.ศ. 2310 ลายแทงขุมทรัพย์โบราณของยามาชิต้า ความลับของเลข 5 กับ 8 ไปจนถึงปริศนากลุ่มดาวราศีธนู หลุมดำ และการย้ายข้ามมิติในจักรวาล



นอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้วยังมีนักเขียนนิยายชื่อดังหลาย ๆ ท่าน รวมทั้งศิลปินผู้มีชื่อเสียง นักคิด นักวิทยาศาสตร์ ที่คุณวินทร์นำมา “ยำ” รวมเข้ากับนวนิยายรักเรื่องนี้ อาทิ รงค์ วงษ์สวรรค์ จาก มาเฟียก้นซอย ปรมาจารย์นิยายกำลังภายในอย่างกิมย้ง กับนิยายมังกรหยก อองตวน เดอ แซงเตก ซูเปรี กับเจ้าชายน้อย เออร์เนสท์ เฮมิงเวย์ กับ The Old Man and the Sea แดน บราวน์ กับ The Da Vinci Code จอห์น เลนนอน กับเพลง Imagine อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กับทฤษฎีสัมพันธภาพ และผู้มีชื่อเสียงอื่น ๆ อีกมากมาย






“ผู้ชายคนที่ตามรักเธอทุกชาติ พิมพ์ครั้งที่ 85” ผลงานชื่อยาวเหยียดของคุณวินทร์เรื่องนี้ นับได้ว่า “ฉีก” จากงานเขียนเรื่องอื่น ๆ อยู่มาก ด้วยเนื้อหาที่ผ่อนคลายลงจากที่เคยเสียดสีการเมืองอย่างเข้มข้นในผลงานที่ผ่านมา มีการปรับเปลี่ยนมุมมอง และให้ความสนใจแง่มุมต่าง ๆ ในสังคมมากขึ้น โดยใช้ความรักของสาย ธารีและรตี เป็นสื่อกลาง มีการสอดแทรกประเด็นสังคมที่อ่านแล้วก็ทราบได้ทันทีว่า “โกหก” แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่ออ่านแล้วก็รู้สึก “สะใจ” ในการประชดประชันผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ของไทยในมิติต่าง ๆ ที่ซ้อนทับกันดังกล่าวข้างต้น เช่น กินเนสส์ บุ๊ค ประกาศว่าคนไทยอ่านหนังสือมากที่สุดในโลก เฉลี่ยคนละ 1,250 เล่มต่อปี รัฐบาลจำเป็นต้องออกกฎหมายบังคับให้หนังสือทุกเล่มพิมพ์ประโยคที่ปกว่า “ห้ามอ่านเกินวันละ 15 เล่ม” หรือ ประเทศไทยได้รับการโหวตว่าเป็นประเทศที่คอรัปชั่นน้อยที่สุดในโลก จนรัฐบาลต้องงดเก็บภาษีเพราะเงินออมของชาติพุ่งสูง พาดหัวข่าวของประเทศไทยในมิติอื่นนี้เรียกได้ว่าแตกต่างกับความเป็นจริงที่คุณวินทร์เรียกว่า “มิติของเรา” อย่างสิ้นเชิง การเขียนในลักษณะนี้ กล่าวได้ว่าคุณวินทร์ก็ยังคงไม่ทิ้งลายแห่งนักเขียนงานประเภทเสียดสี และคงความเป็นเอกลักษณ์ไว้อย่างเหนียวแน่นแม้จะเป็นงานเขียนประเภทนวนิยายรัก




หากคุณกำลังมองหาหนังสือเบาสมองแต่หนักด้วยสาระ ดิฉันขอแนะนำ “ผู้ชายคนที่ตามรักเธอทุกชาติ พิมพ์ครั้งที่ 85” นวนิยายรักที่จะทำให้คุณรู้สึกสนุกสนานเหมือนได้ร่วมผจญภัยข้ามมิติและกาลเวลาไปพร้อมกับสาย ธารี ขบขันกับตลกร้ายแห่งสังคมยุคบริโภค และสงสัยบ้างหรือไม่ ว่าทำไมต้อง “พิมพ์ครั้งที่ 85” หาคำตอบได้ในนวนิยายรักที่ “Dak – Done เสียด Colour และกวน-Teen ที่สุดในรอบปี” เล่มนี้




ฑิฆัมพร

เทวากับซาตาน



เทวากับซาตาน
ผู้เขียน : แดน บราวน์
ผู้แปล : อรดี สุวรรณโกมล
และอนุรักษ์ นครินทร์
ปีที่พิมพ์ : 2547
แพรวสำนักพิมพ์
จำนวน 599 หน้า
ราคา 345 บาท

หลายคนรู้จักแดน บราวน์ จากหนังสือชื่อดัง “ รหัสลับดาวินชี ” ซึ่งต่อมาหนังสือเล่มนี้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อว่า “ The Da Vinci Code : รหัสลับ ระทึกโลก ” สำหรับแฟนนักอ่านของแดน บราวน์ที่ติดใจในเรื่องราวของสมาคมลับ การถอดรหัส และการตีความบทกวีโบราณ จาก “ รหัสลับดาวินชี ” แล้ว จะต้องไม่พลาด “ เทวากับซาตาน ” อย่างแน่นอน

“ เทวากับซาตาน ” เป็นหนังสือที่แดน บราวน์ เขียนขึ้นมาก่อน “ รหัสลับดาวินชี ” แต่กลับได้ตีพิมพ์ทีหลัง หนังสือ“ เทวากับซาตาน ” ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนังสือแนวลึกลับที่ไม่สามารถวางมืออ่านได้ และยังเป็นหนังสือต่างชาติที่ขายดีที่สุดอีกด้วย

“ เทวากับซาตาน ” เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโรเบิร์ต แลงดอน ศาสตราจารย์ด้านสัญลักษณ์แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ถูกโทรศัพท์มารบกวนในเวลาเช้ามืด ปลายสายบอกว่า ชื่อ แมกซีมีเลียน โคห์เลอร์ ต้องการตัวแลงดอนด่วน แลงดอนบอกปฏิเสธไปในตอนแรก แต่ก็เปลี่ยนใจเนื่องจากโคห์เลอร์ได้ส่งแฟกซ์รูปถ่ายรูปหนึ่ง เป็นรูปที่ทำให้แลงดอนเปลี่ยนใจ คือ รูปคนตายที่ศีรษะถูกบิดจนหันกลับไปด้านหลัง ที่หน้าอกของผู้ตายถูกประทับตราคำว่า “ อิลลูมินาติ ”

อิลลูมินาติ หมายถึง ผู้รู้แจ้ง เป็นกลุ่มภราดรโบราณ เกิดจากคนกลุ่มหนึ่งในกรุงโรมลุกขึ้นมาต่อต้านคริสตจักร เนื่องจากนิโคลัส โคเปอร์นิคัส ถูกคริสตจักรฆ่าฐานเปิดเผยความจริงทางวิทยาศาสตร์ กลุ่มบุคคลผู้มีความรู้สูงสุดในอิตาลีส่วนหนึ่ง ทั้งนักฟิสิกส์ นักคณิตศาสตร์ นักดาราศาสตร์ เริ่มลักลอบพบปะกันเพื่อแสดงความกังวลเกี่ยวกับคำสอนที่ไม่ถูกต้องคริสตจักร คนเหล่านี้เกรงว่า การที่คริสตจกัรผูกขาดการเสนอ “ ความจริง ” แต่เพียงฝ่ายเดียว เป็นการคุกคามต่อความรู้แจ้งทางวิชาการทั่วโลก พวกเขาจึงได้ก่อตั้งกลุ่มผู้เชียวชาญทางวิทยาศาสตร์ขึ้นเป็นกลุ่มแรกของโลก และเรียกตนเองว่า “ ผู้รู้แจ้ง ”

แลงดอนเล่าเรื่องนี้ให้โคห์เลอร์ ฟัง เมื่อเขามาถึงศูนย์วิจัยนิวเคลียร์ หรือ เซิร์น ซึ่งตั้งอยู่ ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างทางไปยังสถานที่เกิดเหตุ โคห์เลอร์ได้เล่าเรื่องมากมายให้แลงดอนฟัง ทั้งการคิดค้น “ เวิร์ลด์ ไวด์ เว็บ ” และผลงานต่างๆอีกมากมาย เมื่อถึงที่เกิดเหตุ แลงดอนก็ยิ่งประหลาดใจกับภาพที่เห็นยิ่งกว่าในรูปถ่ายที่ได้รับ และมีบางสิ่งบางอย่างได้ถูกขโมยไปจากศพ นั่นก็คือ ดวงตาของศพนั่นเอง
ต่อมา วิกโตเรีย เวตรา ลูกสาวบุญธรรมของผู้ตายได้มาถึงเซิร์น วิกโตเรียได้ซักถาม

แลงดอนและโคห์เลอร์เกี่ยวกับการตามของพ่อว่าใครเป็นคนทำ ในตอนแรกโคห์เลอร์ไม่ยอมบอกว่าเป็นใคร แต่พูดแกมบังคับให้วิกโตเรียพาทั้งสองไปดูว่า พ่อของหล่อนกำลังทดลองสิ่งใดอยู่ หล่อนพาไปที่ห้องทดลองพร้อมกับบอกว่า พ่อของหล่อนกำลังทดลองเกี่ยวกับ ทฤษฏีบิ๊กแบง พ่อของหล่อนได้สร้าสงสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสสารขึ้นมา เรียกว่า “ ปฏิสสาร ”

ปฏิสสารนี้เอง ทำให้แลงดอนและวิกโตเรียต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมพระคาร์ดินัล ที่เป็นตัวเก็งในการรับตำแหน่งพระสันตะปาปาองค์ต่อไป ทั้งสองคนต้องเดินทางไปทั่วนครรัฐวาติกัน เพื่อไขปริศนาว่าใครเป็นผู้ฆ่าพ่อของวิกโตเรียและพระคาร์ดินัล รวมทั้งการหาปฏิสสารที่ถูกขโมยไปจากห้องทดลอง ก่อนที่มันจะระเบิดทำลายนครรัฐวาติกันให้เป็นผุยผง

“ เทวากับซาตาน ” เป็นหนังสือที่ตอนแรกข้าพเข้าไม่คิดจะอ่าน เพราะเพื่อนแนะนำว่า ใครที่อ่าน “ รหัสลับดาวินชี ” ไม่รู้เรื่อง ก็ไม่ควรอ่าน “ เทวากับซาตาน ” ข้าพเจ้าจึงไม่ได้ซื้อมา เพราะว่ากลัวอ่านไม่รู้เรื่อง แต่ในที่สุดข้าพเจ้าก็ซื้อมาอ่าน และคิดไม่ผิดเลย เพราะเนื้อหาในเล่ม ทั้งเข้มข้นกว่า สนุกกว่า เร้าใจกว่า มีปริศนาลึกลับมากกว่า “ รหัสลับดาวินชี ” อีกทั้งหนังสือเล่มนี้จึงเป็นหนังสือที่ผู้อ่านหนังสือแนวลึกกับและแนวสืบสวนสอบสวน ที่ไม่ควรมองข้าม



ฉัตรแก้ว ธำรง

หลายชีวิต คิดถึงบ้าน


หลายชีวิต คิดถึงบ้าน
ไพวรินทร์ ขาวงาม
2550
สำนักพิมพ์นาครมีเดีย
104 ภาพประกอบ
80 บาท


หลายชีวิต คิดถึงบ้านเป็นผลงานเขียนของ ไพวรินทร์ ขาวงาม หลายคนคงจะเคยมีโอกาสอ่านผลงานการเขียนของนักเขียนมือทองผู้นี้มาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็น เรื่องลำนำวเนจร เรื่องที่ใดมีรัก ที่นั่นมีรัก และเรื่องผมจรรอนแรมจากลุ่มน้ำมูล ฯลฯ แต่ผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้ ไพวรินทร์ ขาวงาม เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง นั่นก็คือ กวีนิพนธ์ม้าก้านกล้วย เป็นบทกวีไทย-อังกฤษ ได้รับการแปลโดย ม.ล.พีระพงศ์ เกษมศรี ซึ่งได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ประจำปี พ.ศ.2538


แม้ว่า หลายชีวิต คิดถึงบ้านได้รับการตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2550 แต่เรื่องนี้กลับถูกเขียนขึ้นและได้รับการเผยแพร่มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ ยุค รุ่งเรือง ปรีชากุล ซึ่งเป็นบันทึกเรื่องราวบางฉากของมหานครในมุมมองของคนชนบท


หนังสือเรื่องหลายชีวิต คิดถึงบ้าน ผู้แต่งเป็นผู้เล่าเรื่องด้วยตนเอง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับผู้คนต่างถิ่นที่มาทำงานไกลบ้านเกิด โดยตัวละครในเรื่องนั้นเป็นคนซึ่งมีชีวิตอยู่จริงและมีโอกาสผ่านเข้ามาสัมผัสกับบางช่วงของชีวิตผู้เขียน ตัวละครในเรื่องมีทั้งหมด 10 คน คือ สรพง โย่ง ดาวละออง ลมหวน มะม่วง โชดึก ลมโชย หนวด เล และจ้อย ทุกคนล้วนเป็นคนต่างจังหวัด ที่เข้ามาตามหาความฝันของตนเองในกรุงเทพเมืองฟ้าอมร แต่ทางเดินชีวิตก็ไม่ได้สวยงามโรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป บางคนต้องพบกับความผิดหวังและพบกับจุดจบของชีวิตคือ ความตาย แต่อีกหลายคนก็สามารถสานฝันของตนเองให้เป็นจริง


ไพวรินทร์ ขาวงาม ใช้ภาษาในการเล่าเรื่องอย่างเรียบง่าย ทำให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจและสัมผัสความรู้สึกของตัวละครได้อย่างลึกซึ้ง มีการนำเสนอบุคลิกของตัวละครที่มีความแตกต่างกันออกไป เนื่องจากแต่ละคนนั้นมาจากถิ่นฐานบ้านเกิดที่แตกต่างกัน มีปูมหลังของชีวิตที่ไม่เหมือนกัน แต่อย่างไรก็ตามเรื่องราวชีวิตของแต่ละคนก็ได้สะท้อนสภาพสังคมได้เป็นอย่างดี และในด้านเนื้อหา ชีวิตของแต่ละคนก็ได้สอดแทรกแง่คิดดีๆที่ผู้อ่านจะนำมาประยุกต์ใช้กับการดำเนินชีวิตประจำวันได้อีกด้วย


ปกของหนังสือเล่มนี้มีการสะท้อนภาพได้อย่างชัดเจน โดยปกหน้าเป็นภาพฝูงนกบินเหนือพื้นน้ำอันกว้างใหญ่ และปกหลังเป็นภาพฝูงนกบินเหนือตึกรามบ้านช่องในเมืองใหญ่ ซึ่งมีการใช้นกเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตคนชนบทในต่างจังหวัด และเดินทางตามหาความฝันของตนเองเข้ามาในเมืองหลวง ด้วยความเชื่อที่ว่าอาจจะทำให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น


หลายชีวิต คิดถึงบ้าน เป็นงานเขียนที่มีท่วงทำนองร้อยแก้วที่สั้นกระชับ อาจกล่าวได้ว่าเป็นความเรียงแห่งชีวิตจริง นอกจากนี้ยัง เป็นหนังสือที่มีการเขียนเล่าเรื่องที่เข้าใจง่าย มีการสอดแทรกข้อคิดให้แก่ผู้อ่าน หลายชีวิต คิดถึงบ้านจึงเป็นหนังสือที่เหมาะสำหรับบุคคลทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเป็นคนชนบทที่ได้ผ่านชีวิตเมืองหลวง ตัวละครตัวเล็กๆหลายชีวิตเหล่านี้อาจเป็นเพื่อนให้คุณได้คิดถึงบ้าน และเมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ควรจะมองย้อนกลับไปที่ตัวคุณเอง เพราะอาจจะทำให้คุณมีกำลังใจในการต่อสู่เพื่อสานฝันของตนเองให้สำเร็จ เพราะฉะนั้นหากใครที่กำลังมองหาหนังสือดีๆสักเล่ม หนังสือเรื่องหลายชีวิต คิดถึงบ้าน ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถหยิบยื่นความสุขให้แก่คุณได้ไม่น้อยเลยทีเดียว


จินตญา

รหัสชีวิต


รหัสชีวิต
ผู้แต่ง : นงค์นาถ ห่านวิไลและมนสิกุล โอวาทเภสัชช์
ปีพิมพ์ : 3/2550
จำนวนหน้า : ปกอ่อน / 211หน้า
ราคา : 195 บาท




หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เคยคิดว่า การปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องยุ่งยาก ทั้งยังต้องลำบากเดินทางไปหาที่สงบอันห่างไกล ไร้ผู้คน และเป็นกิจกรรมที่เหมาะกับคนวัยเกษียณเท่านั้น ความคิดของคุณจะเปลี่ยนไปเมื่อได้พบกับคู่มือที่จะแนะนำการหลอมรวมการปฏิบัติธรรมให้เป็นหนึ่งเดียวกับการใช้ชีวิต จากประสบการณ์ชีวิตของผู้มีชื่อเสียง และประสบความสำเร็จในแวดวงต่างๆ ทั้งนักเขียน นักวิชาการ และนักธุรกิจ ถึง 10 ท่าน


เรื่องราวของชีวิตแต่ละท่านล้วนมีที่มาที่ไปที่แตกต่างกัน จุดเริ่มต้นในการเข้าถึงรสพระธรรมก็ต่างกัน ทั้งยังมีหลักธรรมที่เป็นหลักยึดเหนี่ยวในการดำเนินชีวิตแตกต่างกันอีกด้วย การศึกษาธรรมจากหลายๆบุคคลจะเป็นหนทางให้คุณหันกลับมามองและค้นหาตัวตนที่แท้จริงของตนเอง จะพบว่าคุณเองก็สามารถเข้าถึงแก่นแท้ของธรรมได้ ด้วยวิธีไม่ยากเลย



“รหัสชีวิต” บอกเล่าเรื่องราวของบุคคลผู้มีชื่อเสียง 10 ท่าน ที่ใช้ธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจและสามารถผ่านพ้นปัญหาต่างๆได้ด้วย สติ อันเกิดจากการสั่งสมสมาธิด้วยตัวเองตามแนวทางแห่งพุทธ ได้แก่


ศรัณย์ ไมตรีเวช นักเขียนอิสระ เจ้าของนามปากกา “ดังตฤณ” เป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงหนังสือมีผลงานเป็นที่รู้จักทั่วโลก ส่วนใหญ่เป็นงานเขียนบนแนวทางของพระพุทธศาสนา “ ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ทุกอย่างต้องไหลมาแต่เหตุเสมอ ผลต้องไหลมาแต่เหตุไม่ใช่อยู่ๆเกิดขึ้นลอยๆไม่มีเหตุไม่มีที่ไปทุกอย่างไหลมาแล้วไปสู่จุดจบเพื่อแปรเปลี่ยนไปเป็นสภาพอื่นเสมอ ”


วิกรม กรมดิษฐ์ เจ้าของนิคมอุตสาหกรรมและสนามกอล์ฟ อมตะ ผู้ที่ขลุกอยู่กับการสร้างอาณาจักรธุรกิจทางโลกมากว่าครึ่งชีวิต ส่วนครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่นั้นเขาของแสวงหาความสุขทางใจด้วยธรรม“ ทุกวันนี้เราทุรนทุราย เพราะเราฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม อยากได้อะไรโดยไม่ดูกำลังตัวเอง ”


ฐิตินาถ ณ พัทลุง ผู้หันหลังให้กลับธุรกิจ ทั้งเวิร์คกิ้ง ไดมอนด์ และโรงเรียนแฮปปี้คิดส์ ที่ตนเองสร้างมากับมือ เพราะเธอยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง เปลี่ยนวิถีมาเป็นคนเดินช้า เป็นแม่ของลูก และเป็นผู้บรรยายธรรมให้แก่เพื่อนมนุษย์ “ ความอยากได้อยากมีทำให้แก้วโตขึ้นเรื่อยๆไม่เคยพอ แต่ถ้ามีน้ำครึ่งแก้วแล้วลดขนาดของแก้วจนเหลือเพียงหนึ่งในสี่ น้ำก็จะล้นเกินอีกเท่าตัว ”


พีระศักดิ์ กลิ่นสุนทร เจ้าของบ้านเนื้อที่เกือบ 2 ไร่ ย่านลาดพร้าว ที่ปัจจุบันอยู่ในคราบนักธุรกิจพันล้าน ในฐานะทายาทกลุ่มบริษัทปราณีภัณฑ์ และกรรมการผู้จัดการบริษัทประกอบการอสังหาริมทรัพย์ แต่แก่นแท้ของตัวเขากลับกลายเป็นทายาทนักบุญ “ บางทีเหตุผลก็ไม่สามารถอธิบายได้หมด คนที่อธิบายได้คือตนเอง อยากรู้ต้องศึกษา ต้องปฏิบัติ ต้องอ่าน ต้องเรียน และต้องเข้าถึงด้วยตนเอง ”


เพชรยุพา บูรณ์สิริจรุงรัฐ ประธานกรรมการบริษัท เฌ. เดียมอง จำกัด เจ้าของ ณ เพชรสำนักพิมพ์ และเป็นคอลัมนิสต์ให้กับหนังสือหลายฉบับ ตัดสินใจบวช 7 วัน และปฏิบัติธรรมสืบเนื่องมาโดยตลอด หลังจากตกเป็นทาสของอารมณ์มาทั้งชีวิต “ ทุกวันนี้ใครทำอะไรเราก็คิดว่าเดี๋ยวก็ตายจากกันแล้ว หยุดแค่นั้นเอง บางทีก็คิดว่าเพราะเขาเป็นทุกเขาจึงทำร้ายเรา ”


ภัทริน ซอโสตถิกุล ทายาทเศรษฐี ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รับเหมาก่อสร้าง บริษัทในเครือซีคอน เจ้าของศูนย์การค้าซีคอนสแควร์ และธุรกิจอื่นๆอีกมากมาย เธอยังเป็นทายาททางธรรมที่เจริญรอยตามพ่อแม่ ด้วยอายุไม่ถึง 30 “ ได้คำตอบจากพระพุทธเจ้าที่สอนในเรื่องสันโดษ ซึ่งไม่ใช่ไม่เอาทางโลกเลย แต่จะใช้หลักการนี้คู่กับอิทธิบาท 4 คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ”


ผศ.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาตะวันออก สาขาวิชาบาลี สันสกฤต คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ถอดรหัสธรรมนูญชีวิต ที่ย่อยคัมภีร์อันเป็นหัวใจในพระไตรปิฎกทั้ง 45 เล่ม “ สติคือรากฐานของคุณธรรมทั้งปวง ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมที่ดีที่สุด ที่แท้จริง คือการเจริญสติมีสติอยู่กับตัว ”


อนุรุธ ว่องวานิช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อังกฤษตรางู จำกัด และนายกสมาคมยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ผู้สืบสายเลือดยุวพุทธฯ โดยตรงมาจากพ่อตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งธรรมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต“ ปกติเราเข้าไปอยู่ในอารมณ์เรา แต่วันนี้เราเป็นผู้เห็นอารมณ์ตัวเอง เข้าใจความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้นว่ามันเกิดขึ้นแล้วหายไป ”


ดร.ลักขณา ลีละยุทธโยธิน CEO บริษัท เซเรบอส(ประเทศไทย) จำกัด เจ้าของผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
แบรนด์ ที่นอกจากจะเป็นหญิงเก่งในวงการธุรกิจแล้ว ยังมีหัวใจแกร่งจากธรรมและวิปัสสนาที่เธอปฏิบัติ“ การนั่งวิปัสสนาเหมือนนั่งมองสายน้ำที่ไหลอยู่ ถ้าน้ำขุ่นต่อให้มีปลามากเท่าไหร่ก็มองไม่เห็น แต่ถ้าน้ำใสแล้วมีปลาเพียงสองสามตัวก็มองเห็นได้ชัดเจน ”


พิพัฒน์ ยอดพฤติการ กรรมการผู้จัดการบริษัท ชื่อไทยดอทคอม นอกจากความสนใจในเทคโนโลยีทางด้านไอทีแล้ว ซีอีโอหนุ่มยังสนใจการปฏิบัติธรรมและการศึกษาธรรมอย่างเอาจริงเอาจังด้วย “ อย่าไว้ใจความคิดตัวเอง เพราะความคิดของเรามักเจือปนไปด้วยกิเลสเสมอ ”



ท้ายหนังสือยังแนะนำถึง สถานที่ปฏิบัติธรรม ค่ายพักใจท่องเที่ยวข้างในไม่ไปไม่รู้ ข้อมูลสถานที่สำหรับผู้ที่ต้องการฝึกฝน เจริญวิปัสสนากรรมฐาน และศึกษาพระธรรมในวาระต่างๆ โดยรวบรวมไว้ถึง 26 แห่ง
หากใจคุณยังไหวติง จิตยังเคลื่อนคล้อยตามสิ่งเร้ารอบด้านแล้วละก็ คุณก็เป็นคนหนึ่งที่น่าจะอ่านหนังสือเล่มนี้ หนังสือธรรมแนวใหม่ที่ใช้ภาษาง่ายต่อการทำความเข้าใจ บอกเล่าจากประสบการณ์ชีวิตจริงของผู้ที่เดินเข้าสู่แนวทางแห่งธรรม จากความวุ่นวายทางโลกถอดรหัสสู่ความสงบทางธรรม มุ่งเน้นที่จะสื่อสารให้เห็นว่าการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องที่สามารถปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวันควบคู่ไปกับการทำงาน ไม่จำกัดวัย เพศ และสาขาอาชีพ


ความวุ่นวายแห่งจิตอาจเป็นสิ่งรบเร้าให้ใจเราห่างจากความสงบ ความสุขที่แท้จริงอาจไม่ได้มาจากความสุขด้านวัตถุที่มนุษย์ปฏิเสธความอยากได้อยากมีในชีวิตไม่เคยได้ แต่จะมีสักกี่คนที่เคยพบกับความสุขทางใจ อันเป็นความสุขที่แท้จริงอันควรแสวงหา ที่ดูจะอยู่ไกลออกไปทุกทีๆ จากชีวิตของเรา เมื่อไม่เคยหาแล้วเหตุใดจึงจะพบ ลองเดินตามแนวทางของบุคคลเหล่านี้ ที่คุณเองก็สามารถพบทางสว่างแห่งจิตได้ไม่ไกลเกินเอื้อม





ปิยะนุช กล่อม

พระเจ้าในห้องสมุด



พระเจ้าในห้องสมุด
เซโอะ ไมโกะ เขียน
แปลโดย หนึ่งฤทัย ปราดเปรียว
ปีพิมพ์ 2551
สำนักพิมพ์ JBOOK
143 หน้า กระดาษถนอมสายตา
135 บาท

เมื่อมนุษย์เกิดมาพร้อมกับความรัก แต่ความรักของมนุษย์นั้นไม่เป็นไปอย่างที่หวัง ทั้งจากคนรักและคนรอบข้าง ความเข้าใจซึ่งกันและกัน ถูกผันเปลี่ยนเป็นความเหินห่าง กอปรกับความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ที่ตนไม่ได้ก่อไว้ในทางตรง ความรู้สึกเหล่านี้ต่างเป็นแรงผลักดันให้เกิดความสูญเสียสิ่งที่รักไป แต่ก็ใช่ว่าจะสิ้นไปหมดทุกอย่าง เพราะเมื่อความรักดั่งดอกไม้ที่แท้จริง ค่อยๆเจริญเติบโต อยู่ภายในส่วนลึกของจิตใจ

พระเจ้าในห้องสมุด หนึ่งในผลงานการเขียนโดยชาวญี่ปุ่น เซโอะ ไมโกะ เจ้าของรางวัลนักเขียนหน้าใหม่ โยชิกาวาเอจิ ครั้งที่ 26 แปลโดยหนึ่งฤทัย ปราดเปรียว หนังสือเล่มนี้เป็นนิยายแห่งความรักในชีวิต และความหมายของความฝันที่ชาวญี่ปุ่นยกย่องว่าสนุกรื่นรมย์เหมือน Dead Poet Society

เรื่องเริ่มต้นเมื่อคิโยะ เด็กสาวกัปตันทีมวอลเลย์บอล ผู้ยึดติดกับกฎเกณฑ์ และมุ่งมั่นใส่ใจในการกระทำทุกสิ่งที่จะทำให้เธอไปถึงฝัน แต่แล้ววันหนึ่งเกิดเหตุการณ์พลิกผันในชีวิต ทำให้เธอต้องละทิ้งความฝัน และถอยห่างจากสิ่งที่เธอรัก คิโยะเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต อย่าท้อถอย และปล่อยไปตามกระแสของโลก ของเหตุการณ์ ของพลังความกดดันจากคนรอบข้าง จนเธอตัดสินใจมาเป็นครูในโรงเรียนมัธยมต่างจังหวัด โชคชะตาขีดให้เธอกลายเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาชมรมวรรณศิลป์ ทั้งที่ไม่เต็มใจนัก ทว่าในบรรยากาศของห้องสมุดโรงเรียนมัธยมปลาย นั่นเรียบเรื่อย ทำให้คิโยะกลับค้นพบความหมายของชีวิตอีกครั้ง จากประกายดวงน้อยของคาคิอุจิ สมาชิกหนึ่งเดียวในชมรมวรรณศิลป์เป็นผู้จุดขึ้น

นิยายเรื่องนี้มีเนื้อเรื่องที่อาจตรงใจกับผู้อ่านหลายๆคน เนื่องจากเป็นเรื่องราวของชีวิต ความหวัง ความฝัน และความรักที่มิอาจเปิดเผย ซึ่งล้วนแล้วเป็นสิ่งที่อยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน เพียงแต่อุปสรรคที่เกิดขึ้นอาจแตกต่างกันไป พระเจ้าในห้องสมุดจึงสามารถจุดประกายความคิดกับผู้อ่านได้เป็นอย่างดี มีการแทรกเรื่องราววรรณกรรมญี่ปุ่นรวมเข้ากับเนื้อเรื่อง ทำให้เนื้อเรื่องดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น เพราะจะทำให้ผู้อ่านได้รู้จักวรรณกรรมญี่ปุ่นเรื่องอื่นๆ

ถึงแม้ว่านิยายเรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิต แต่ภาษาและความน่าสนใจของการเขียนกลับไม่ได้น่าเบื่อ ไม่ได้เครียด อีกทั้งยังอ่านได้ต่อเนื่องเข้าใจง่าย ด้วยภาษาที่เรียบง่าย เข้าใจได้ไม่ยาก บางครั้งใช้ภาษากวีญี่ปุ่นผสมไปด้วย ทำให้เรื่องมีความน่าสนใจ ชวนขบคิดถึงความหมายของวลีแต่ละวลีที่แทรกซึมอยู่ในบทสนทนา ดังเช่นวลีตอนต้นของบทประพันธ์เรื่องโจะโจคะ ที่ว่า “การเอ่ยอะไรกับคนที่ตายไปแล้ว ช่างเป็นธรรมเนียมของมนุษย์ที่แสนเศร้าเสียนี่กระไร” ทำให้เห็นสัจธรรมของการกระทำของมนุษย์ บางช่วงมีการใช้คำพูดที่เป็นสัญลักษณ์ ที่แสดงให้เห็นลักษณะนิสัยของตัวละครด้วย

นิยายอ่านง่ายช่วยทำให้จิตใจ แนวคิด และชีวิตละมุนขึ้นในสภาวะปัจจุบัน คำตอบของการกระทำที่แฝงอยู่ในตัวละครมีส่วนช่วยส่งเสริมให้เราได้คิดถึง และหันไปมองการกระทำของเราว่าได้ลืม หรือทำสิ่งใดขาดหายไปหรือไม่ จึงทำให้เรื่องนี้สื่อข้อคิดออกมาได้เป็นอย่างดี ช่วยให้ชีวิตที่ขาดหายอาจเติมเต็มด้วยความอิ่มเอมใจ เหมือนกับคิโยะที่ไม่อาจจะดูแลดอกไม้ไม่ให้เฉาได้ แต่เธอกลับปลูกดอกไม้แห่งความรักความอาลัยที่แท้จริงได้ในภายหลัง หรือมุมมองของทาคุมิ น้องชายของคิโยะที่มีมุมมองแตกต่างจากคนอื่นเช่นเลือกคบผู้หญิงที่ชอบพูดโกหก เพราะถ้าได้ฟังเรื่องโกหกทุกวัน ก็สนุกได้โดยไม่ต้องดูโทรทัศน์หรืออ่านการ์ตูน

นอกจากนี้นิยายเรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความน่ารักต่างวัยของพี่น้อง อาจารย์กับลูกศิษย์ หรือการสานสายใยของคนทำผิดกับผู้ให้อภัย ที่ทำให้ผู้อ่านอ่านแล้วยิ้มได้ทั้งใจและใบหน้า สร้างความอบอุ่นให้หัวใจ ตลอดทั้งเล่ม ซึมซับกับบรรยากาศของฉากที่ใครต่อใครวาดฝันอยากไปอยู่ ทั้งริมทะเล ติดภูเขา หรือกลิ่นหอมของอาหารและขนมที่ถูกเขียนขึ้นอย่างน่าทาน ทำให้เรื่องนี้ไม่ใช่ได้แต่รสคำ แต่ได้ทั้งรสใจ รสกายและรสฝันอีกด้วย

ดังนั้นหากที่อยากจะเปิดความฝันเปิดความคิด เปิดชีวิตให้ดำเนินไปอย่างมีความหมาย พระเจ้าในห้องสมุดเล่มนี้จะคอยเปิดใจให้ผู้อ่านให้รู้จักกับความหมายของชีวิต และความรักเหล่านั้นมากขึ้น เพราะชีวิตไม่ได้มีเพียงแค่ตัวเรากับความฝัน ตัวเรากับกฎเกณฑ์ แต่เป็นตัวเรากับสายสัมพันธ์หลากหลายสาย แล้วผู้อ่านจะรู้จักใจตัวเอง ตอบคำถามในใจของตัวเองได้ว่า จะรอถึงเมื่อไหร่เราถึงจะได้รับรู้ถึงความรักและชีวิตที่แท้จริงนั่นเสียที

สิทธิชัย

ขุมทองแห่งการสร้างสรรค์ของลูก

ขุมทองแห่งการสร้างสรรค์ของลูก
มานพ ถนอมศรี
พิมพ์ครั้งที่ 2
สำนักพิมพ์ต้นอ้อ
95 หน้า ภาพประกอบ
28 บาท

“เรียนรู้ลูก เพื่อเสริมให้เป็นเด็กฉลาด” เป็นประโยคหลักอันเด่นชัดของหนังสือเล่มบางๆเล่มนี้ หลังจากได้เพ่งพิศทั้งหน้าปกและเปิดดูเนื้อหาข้างในคร่าวๆแล้ว ฉันคิดว่าคงเป็นหนังสือเกี่ยวกับข้อแนะนำการเลี้ยงดูลูกเหมือนกับหนังสือสำหรับผู้เป็นแม่ทั่วไป ด้วยความที่ว่าเสร็จสิ้นจากการทำงานอันแสนเหน็ดเหนื่อย ฉันจึงลองพักผ่อนด้วยการอ่านหนังสือเกี่ยวกับเด็กดูบ้าง คงจะผ่อนคลายไม่น้อย

“ขุมทองแห่งการสร้างสรรค์ของลูก” เป็นหนังสือเล่มบางพร้อมกับหน้าปกที่มีรูปประกอบสีสันสดใส ทำให้ฉันรู้สึกชื่นบานขึ้น เปิดอ่านข้างในก็พบกับตัวหนังสืออ่านสบายและรูปประกอบน่ารักตลอดทั้งเล่ม ฉันรู้สึกสนใจหนังสือเล่มนี้มากขึ้นจึงตั้งใจอ่านตั้งแต่ต้น

หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเลี้ยงดูเด็กจริงๆ เพียงแต่กลวิธีการนำเสนอนั้นทำให้ฉันรู้สึกประทับใจมากกว่าเดิม ผู้เขียนขึ้นต้นเรื่องทั้งหมดว่า “คุณแม่มีความรู้สึกหนักใจมากเมื่อเห็นลูกชายของเธอซึ่งเรียนอยู่ชั้นอนุบาลหนึ่ง ไม่ชอบอ่านหนังสือหรือทำการบ้านที่ครูให้มา” พออ่านจบฉันก็นึกสงสัยขึ้นมาว่า หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งหรืออย่างไรกันนะ อีกทั้งยังแบ่งเรื่องราวทั้งหมดเป็นตอนๆ ด้วยความสงสัย ฉันใช้เวลาเพียง20นาทีในการซึมซับเรื่องราวของครอบครัวนี้

เนื้อเรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับครอบครัวหนึ่ง มีพ่อ แม่ และลูกชายวัย 4 ขวบ ชื่อ “น้องต้น” น้องต้นเป็นเด็กที่มีลักษณะพิเศษต่างจากเด็กคนอื่นๆทั่วไป น้องต้นชื่นชอบการวาดภาพและศิลปะ แต่ไม่ยอมทำการบ้านและตั้งใจเรียน คุณแม่ที่มีนิสัยขี้บ่นระคนตื่นตระหนก ด้วยความรักลูกมากจึงกังวลใจกับปัญหาที่น้องต้นไม่เรียนหนังสือแต่กลับเอาแต่วาดรูป ร้องเพลงเป็นอย่างมาก ส่วนด้านคุณพ่อผู้แสนใจเย็นและอ่อนโยน กลับเข้าใจและไม่รู้สึกว้าวุ่นใจในการกระทำของลูกชายตัวน้อยซักเพียงนิด คุณแม่จะคอยบ่นถึงการกระทำต่างๆที่ตนมองว่าเป็นปัญหาอยู่ตลอดเวลา และคุณพ่อจะคอยอธิบายธรรมชาติของเด็กและการกระทำของลูกอย่างใจเย็น จนสุดท้ายทั้งคุณแม่และคุณพ่อก็มีความสุขกับการเรียนรู้และสนับสนุนความคิดสร้างสรรค์ของลูกที่มีอย่างเต็มเปี่ยม

จุดมุ่งหมายในการแต่งและข้อคิดดีๆว่าด้วยการเลี้ยงดูลูก เรียนรู้ลูก และเข้าใจธรรมชาติของลูกนั้น สอดแทรกอยู่ในเรื่องราวของครอบครัวที่น่ารักนี้ ประหนึ่งเป็นเรื่องสั้นที่ชวนเพลิดเพลินเรื่องหนึ่ง ซึ่งฉันเองได้รับความอิ่มเอมใจและสดชื่นขึ้นเมื่ออ่านจนถึงบทสรุป ทั้งยังรู้สึกเอ็นดูเด็กมากขึ้นมาทีเดียว ผู้แต่งใช้ภาษาที่เรียบง่าย ร้อยเรียงสิ่งที่ต้องการจะสื่อเป็นเรื่องราวได้อย่างลงตัว ทำให้ไม่รู้สึกตึงเครียดเหมือนอ่านหนังสือวิชาการทั่วไป ในเนื้อเรื่องทั้งเรื่องจะเน้นเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก และเน้นในด้านศิลปะอันสวยงามที่หล่อหลอมและพัฒนาเด็กอย่างสมบูรณ์ ผู้เขียนเพียงอยากให้พ่อแม่ที่มีลูกในวัยที่กำลังมีการพัฒนาสมองนั้นอย่าปิดกั้นความคิดเด็ก และตีกรอบความคิดของเด็กมากเกินไป เพราะในวัยนี้เด็กจะแสดงออกถึงความชอบ และความคิดได้อย่างอิสรเสรี พ่อแม่ด้วยความรักลูกมากก็จะคอยประคบประหงมลูกมากเกินไป จนบางครั้งความรักนี้อาจทำลายลูกของตนอย่างไม่รู้ตัว ผู้แต่งมองเห็นถึง ธรรมชาติของเด็ก เข้าใจความรู้สึกของเด็กอย่างลึกซึ้ง และตระหนักถึงปัญหาอันบอบบางนี้ ฉันเองรู้สึกสะเทือนใจต่อเด็กและรู้สึกรับรู้ถึงข้อความที่ผู้แต่งสื่อออกมาอย่างเปี่ยมล้น ด้วยความสนใจในความพิเศษของหนังสือเรื่องนี้ และประทับใจในความคิดของผู้แต่ง ฉันจึงพลิกหนังสือมองหาชื่อผู้แต่งอย่างตื่นเต้น

“มานพ ถนอมศรี” หรือ อาจารย์ มานพ ถนอมศรี หลายคนคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าไม่รู้จักท่าน ท่านเป็นนักเขียนมืออาชีพที่สร้างสรรค์ผลงานไว้มากมาย อีกทั้งยังหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นทั้งเรื่องสั้น นวนิยาย สารคดี เรื่องสำหรับเด็ก วรรณกรรมเยาวชน บทความศิลปะ ท่านกล่าวไว้ว่า “มีอันเดียวที่ไม่เขียน คือ กลอน” ด้วยความที่ท่านเป็นนักเขียนที่เขียนหนังสือหลายรูปแบบมาก และทำได้ดีในทั้งหมด รางวัลที่การันตีผลงานของท่านนั้นมีไม่น้อยเลย ไม่ว่าจะเป็น ผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรม สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี 2539 จากสำนักงานวัฒนธรรมแห่งชาติ ได้รับรางวัลเรื่องสั้นดีเด่น ว. ณ ประมวลมารค ได้รับรางวัลจากการประกวดหนังสือของคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ประเภทหนังสือสารคดี และหนังสือสำหรับเด็กอีกหลายปี รวม 8 รางวัล อีกทั้ง ท่านยังได้รับเชิญให้เป็นอาจารย์พิเศษและวิทยากรของกระทรวงศึกษาธิการ และมหาวิทยาลัยต่างๆอีกด้วย ปัจจุบันนี้ อาจารย์มานพ ทำอาชีพเขียนหนังสือและเป็นนักบรรณาธิการหนังสือ

แม้ว่าหนังสือเล่มนี้ จะเป็นแค่หนังสือเล่มบางๆที่มองผิวเผินแล้วอาจเป็นเพียงหนังสือสำหรับผู้เป็นแม่ธรรมดาเล่มหนึ่ง แต่ฉันผู้ซึ่งยังไม่มีโอกาสสัมผัสความเป็นแม่ หรือการมีเด็กน้อยเป็นของตนมาก่อนนั้น เมื่อได้อ่านแล้วยังตระหนักได้ถึงเพียงนี้ แล้วคุณแม่คนอื่นๆล่ะ พร้อมที่จะให้ลูกของท่านเติบโตมาเป็นเด็กฉลาดด้วยความรักความเข้าใจอันแท้จริงหรือเปล่า

ฉันอยากให้หนังสือเล่มนี้อยู่ในมือของผู้ที่กำลังเป็นแม่ หรือ ผู้ที่กำลังจะเป็นแม่ทุกท่าน ฉันมั่นใจในสาระดีๆและผลสำเร็จที่จะบังเกิดกับทุกครอบครัว และอยากจะแสดงความยินดีกับเด็กน้อยทุกคนที่ได้รับการเอาใจใส่และโอบอุ้มด้วยความรักอย่างมีเหตุผล โตขึ้นมาฉลาดเฉลียว สดใสร่าเริง เต็มไปด้วยจิตนาการอันมีศิลปะ จากแนวคิดของหนังสือเล่มนี้ …“ขุมทองแห่งการสร้างสรรค์ลูก” ไว้ ณ ที่นี้ด้วย

กชพรรณ