วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

Seasons change...เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย


นางสาวอรรถอรองค์ คงเทพ
05490415


ฉันเป็นคนที่ดูภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์ไม่บ่อยนัก ปีหนึ่งเข้าไปในโรงไม่กี่ครั้ง แต่มีอยู่แค่สองครั้งที่ยอมเสียเงินดูหนังเรื่องเดียวซ้ำกันถึงสองรอบ หนึ่งในนั้นก็คือเรื่อง seasons change ในเรื่องนี้จะกล่าวถึง เรื่องราวของป้อมเด็กผู้ชายที่ตัดสินใจสอบเข้าที่วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในฤดูร้อน เพียงเพราะชอบ ดาว ที่อยากเข้าที่นี่โดยที่ป้อมไม่ได้รู้จักโรงเรียนนี้มาก่อนด้วยซ้ำ และป้อมก็ดันสอบติด เรื่องราววุ่นวายขึ้นเพราะพ่อกับแม่ของป้อมเข้าใจว่าป้อมสอบติด “เตรียมแพทย์” ป้อมจำเป็นต้องเก็บเรื่องเรียนดนตรีไว้เป็นความลับไปพร้อม ๆ กับการเรียนรู้โลกใหม่ที่แสนสนุก ฤดูฝน ป้อมไปสมัครเข้าวงออเครสตรา เพื่อหาทางใกล้ชิดกับดาว แต่ป้อมกลับได้รู้จักกับอ้อม ที่นั่งตีฉาบอยู่ข้าง ๆ ความเอาจริงเอาจังของอ้อมทำให้ป้อมเริ่มสนใจดนตรีคลาสสิค เมื่อฤดูหนาวมาถึง ป้อมก็ต้องตัดสิน ระหว่างดาวกับอ้อม ดนตรีสากลกับดนตรีคลาสสิค จากที่เคยใช้หัวใจในการเลือกทางเดินชีวิตมาโดยตลอด ป้อมชักเริ่มมีปัญหาว่า หัวใจตัวเองจะเปลี่ยนแปลงเหมือนอากาศหรือไม่

เมื่อมองถึงตัวละคร ตัวละครเอกก็คือ ป้อม เด็กหนุ่มที่เป็นตัวดำเนินเรื่อง เป็นคนที่เลือกทางเดินชีวิตด้วยหัวใจตัวเอง เป็นตัวละครที่คอยเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบข้างเพื่อนำมาตัดสินใจ ไม่มีเป้าหมายอะไรแน่นอนในชีวิต

ตัวละครรองที่สำคัญอีกสองคนก็คือ 1. อ้อม เด็กสาวที่รู้ความต้องการของตัวเอง รู้ความสามารถ รู้ถึงขีดจำกัด เ หมือนกับที่ภาพยนตร์ถ่ายทอดให้ดูในลักษณะของการจับเสียงตัวโน้ตที่แม่นยำ แค่หลับตาก็รู้ถึงคีย์ของตัวโน้ต

2. ดาว เด็กผู้หญิงที่ตั้งเป้าความฝันเอาไว้ และมุ่งที่จะเดินไปในทางที่ตัวเองฝัน ดาวเปรียบเสมือนผู้หญิงในอุดมคติของหนุ่ม ๆ ทั้งสวย อ่อนหวาน เรียบร้อย และเล่นดนตรีเก่ง ซึ่งแตกต่างจากอ้อมโดยสิ้นเชิง

ตัวละครที่สร้างสีสันให้กับเรื่องนี้ยังมีอีกหลายตัว ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์จิโน่ ที่เป็นที่ปรึกษาทางด้านดนตรีให้กับป้อม หรืออาจารย์โรซี่ ที่เป็นคนคุมวงออเครสตรา นักแสดงเล่นได้เข้าถึงบทบาท และดูเป็นธรรมชาติมาก

เรื่องนี้เปิดฉากขึ้นที่ป้อมในสมัยม.ต้น เตะฟุตบอลกะเพื่อนอยู่ และเหลือบไปเห็นดาว คนที่ตัวเองแอบชอบเมื่อรู้ว่าดาวจะไปสมัครสอบเข้าที่วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ป้อมก็ตัดสินใจตามดาวไปทันที โดยไม่มีความรู้เกี่ยวกับดนตรีที่แท้จริงเลยด้วยซ้ำ เพียงแค่เขาเล่นกลองชุดมาตั้งแต่ม.1
เหตุการณ์เริ่มพัฒนาเมื่อป้อมสอบเข้าที่วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ได้ และได้รู้จักกับอ้อม ที่เป็นลูกสาวของเพื่อนของพ่อป้อม และต่อมาก็ได้กลายมาเป็นเพื่อนสนิท ป้อมสมัครเข้าวงออเครสตราเพื่อทำหาทางใกล้ชิดกับดาว อย่างไรก็ตามป้อมยังคงปิดเรื่องราวที่ตัวเองเข้าเรียนโรงเรียนดนตรีไว้เป็นความลับ
ความขัดแย้งในเรื่องนี้เห็นได้ชัดเจน คือ

1. มนุษย์กับมนุษย์ คือ ป้อมกับพ่อ ที่พ่ออยากให้ป้อมเป็นหมอ แต่ป้อมกลับเลือกเรียนดนตรี
2. มนุษย์กับจิตใจของตนเอง คือ ป้อมที่ต้องตัดสินใจเลือกในหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็น จะบอกพ่ออย่างไรว่าตัวเองมาเรียนที่วิทยาลัยดนตรี การตัดสินว่าชอบใครมากกว่ากันระหว่างอ้อมกับดาว และการตัดสินใจระหว่างการเลือกเล่นดนตรีสากล(กลองชุด)ที่ตนเองถนัด กับ ดนตรีคลาสสิค (ทิมพานี) ที่เป็นของใหม่
จุดวิกฤตในเรื่องนี้เริ่มขึ้นเมื่อ ป้อมเริ่มทำความรู้จักกับดาว เพราะดาวเริ่มเห็นว่าป้อมเล่นดนตรีเก่ง และดาวชวนป้อมสอบชิงทุนไปเรียนต่อที่บูดาเปสต์ ฮังการี ในขณะที่ป้อมยังไม่ได้บอกกับพ่อเรื่องมาเรียนที่วิทยาลัยดนตรี และการห่างเหินไปของป้อมที่มีต่ออ้อม ทำให้อ้อมรู้สึกน้อยใจ
จุดไคลแมกซ์ของเรื่องถึงตอนที่ พ่อรู้ความจริงว่าป้อมไปเรียนที่วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ไม่ใช่โรงเรียนเตรียมแพทย์ และป้อมก็คิดว่าอ้อมเป็นคนบอกเรื่องนี้กับพ่อ จึงพาลโมโห และห่างเหินไป และในขณะเดียวกันป้อมก็ต้องการให้พ่อเซ็นใบอนุญาตสอบชิงทุนให้ด้วย

จุดคลี่คลายและการปิดเรื่อง คือ ป้อมได้รู้ว่าคนที่บอกเรื่องที่ป้อมเรียนที่นี่ไม่ใช้อ้อม ป้อมสอบชิงทุนได้ไปบูดาเปสต์ และจากการใกล้ชิดทำให้ป้อมได้รู้ว่าแท้จริงแล้วตัวเองต้องการอะไรกันแน่ เรื่องนี้ใช้ฉากปิดเรื่องคือ คอนเสิร์ตใหญ่ประจำปีที่แสดงผลงานการทุ่มเททั้งหมดในการซ้อมมาทั้งปี และประกาศให้รู้ว่าคนที่จะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ คือดาวกับเพื่อนอีกคนในวง ไม่ใช่ป้อม เพราะป้อมต้องการอยู่กับครอบครัว กับเพื่อนๆ

เหตุผลที่ฉันชอบภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คงเพราะ เป็นหนังแนววัยรุ่นที่ให้อะไรมากกว่า มีรายละเอียดในทุกจุดทุกมุม ภาพสวย เสียงเพราะ ฉาก และบรรยากาศเป็นใจ นักแสดงเหมือนเราในวัยมัธยมที่กำลังสับสนและตัดสินใจกับทางเดินชีวิต เหมือนได้กลับไปมองดูอะไรบางอย่างที่ผ่านมาแล้วของตัวเอง

ภาพยนตร์เรื่องนี้เน้นฉากและบรรยากาศที่สวยงามของแต่ละฤดู ดนตรีประกอบก็เยี่ยม ฟังแล้วแทบอยากจะไปหัดเล่นดนตรี ไปหาแผ่นเพลงคลาสสิคมาฟังอยู่พักใหญ่ทีเดียว

ยังมีอีกหลายจุดที่ชอบและภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ถ่ายทอดออกมาได้ดีทีเดียว เป็นฉากที่แฝงและให้คำตอบอะไรบางอย่างในตอนท้าย เช่น
ฉากที่ป้อมกินข้าวด้วยกันครั้งแรก อ้อมก็รู้แล้วว่าป้อมไม่กินผัก คราวต่อไปก็ไม่สั่งผักมาเพื่อให้ป้อมกินได้ แต่ในขณะที่ดาวกินข้าวกับป้อมหลายครั้งแต่กลับไม่รู้เลยว่าป้อมไม่กินผัก เมื่อตอนจบ ดาวมาถามป้อมว่า “ไม่ชอบกินผักทำไม่บอก” เห็นได้ถึงความเอาใจใส่ของคนสองคนที่แตกต่างกันมาก
หรือจะเป็นฉากที่อ้อมไม่สามารถเล่นเครื่องดนตรีชนิดใดได้เลยเพราะเล่นไปสักพักเสียงจะเริ่มเพี้ยน จึงต้องไปตีฉาบอยู่ข้างๆ ป้อมที่เล่นทิมพานี เมื่อป้อมถามอ้อมว่า “ นั่งรอนาน ๆ อย่างนี้ไม่เบื่อบ้างเหรอ กว่าจะได้เล่นที” เพราะตัวเองรู้สึกเบื่อ และเล่นแบบขอไปที แต่อ้อมกลับบอกว่า “ ก็ไม่เห็นต้องรอให้ได้เล่นเลย แค่นั่งฟังเฉย ๆ ก็รู้สึกดีแล้ว” ทำให้ป้อมเริ่มเล่นแบบจริงจัง ต่างกับดาว ในฉากที่ ดาวให้ป้อมอัดวิดีโอการซ้อมให้ ป้อมเห็นว่าดีแล้ว แค่นี้ก็ได้เอแล้ว แต่ดาวกลับบอกกว่า อยากได้เอตัวที่หนึ่ง อ้อมกับดาวทำให้ป้อมได้คิด และรู้ว่า ในขณะที่คนหนึ่งแค่ทำในสิ่งที่ชอบเป็นส่วนหนึ่ง ก็มีความสุขแล้ว แต่ในขณะที่อีกคนอยากได้ทำในสิ่งที่ชอบ และอยากเป็นที่หนึ่ง อยากเหนือคนอื่น รวมถึงตอนที่ป้อมเห็นอ้อมที่เล่นดนตรีเพี้ยน แต่ยังไปสมัครสอบชิงทุน แม้ว่าขณะสอบจะเล่นจนเพี้ยน แต่อ้อมก็ขอเล่นจนจบ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งฉากที่ทำให้ป้อมตัดสินใจได้

อีกฉากหนึ่งเป็นฉากที่ ป้อมต้องไปช่วยอาจารย์จิโน่ทำวิทยานิพนธ์ เพื่อนๆ ในวงรอที่ซ้อมอยู่ ป้อมช่วยอาจารย์เป็นเวลานานมาก แต่เพื่อนก็ไม่ไปไหน ยังคงนั่งรอป้อมเพียงคนเดียว ทำให้ป้อมรู้สึกถึงความเป็นส่วนหนึ่งของวง
หรือฉากที่ป้อมกำลังตัดสินใจเรื่องกลองชุด กับวงออเครสตรา และถามอาจารย์จิโน่ว่าทำไปอาจารย์ถึงมาอยู่ที่เมืองไทย และอาจารย์ก็ได้ตอบป้อมไปว่า เป็นเพราะชอบ ป้อมถามต่ออีกว่า แค่ชอบเท่านั้นเหรอ อาจารย์ถามกลับว่า ต้องมีอะไรอีกเหรอ

ในเรื่องนี้ไม่เพียงแต่จะสะท้อนความรักระหว่างชายหญิง ความรักในดนตรี แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงบรรยากาศของครอบครัว ที่บ้านป้อม ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ป้อมยังปิดบังเรื่องที่ป้อมไปเรียนวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ พ่อไม่ได้โกรธป้อมที่ป้อมไปเรียนดนตรี แต่โกรธที่ป้อมไม่ยอมบอกความจริง เพราะว่าคนรอบข้างป้อมได้แสดงให้พ่อเห็นว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับป้อม ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์จิโน่ ที่บอกพ่อของป้อมว่า พ่อรักป้อม ป้อมรักดนตรี เพราะฉะนั้นพ่อต้องรักดนตรีด้วย หรือจะเป็นฉากที่พ่อของป้อมโทรไปถามหมอประเสริฐพ่อของอ้อมว่าทำไมให้ลูกเรียนโรงเรียนดนตรี หมอประเสริฐตอบว่า “ คนเราน่ะ อยู่กับลูกไปไม่ได้ตลอดหรอก แต่ว่าไอ้สิ่งที่เค้าชอบเนี่ยะ จะอยู่กับเค้าไปตลอดชีวิต” ทำให้พ่อตัดสินใจได้ว่าควรจะทำอย่างไร

ภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่กวาดรางวัลมากที่สุด แต่ก็เป็นภาพยนตร์ที่ครั้งหนึ่งน่าจะได้ดูไว้ หากไม่คิดจะเอาสาระอะไรจากเรื่อง ก็คิดซะว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ภาพและดนตรีประกอบที่ดีเรื่องหนึ่ง แม้จะเป็นภาพยนตร์เบาๆ แต่ก็ให้อะไรมากกว่าที่คุณคิด หากช่วงนี้อยากพักสมอง ผ่อนคลาย ลองหยิบเรื่อง seasons change ... เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย มาดู เผื่อบางที่เราอาจจะได้นึกย้อนไปว่า มีสักครั้งไหมที่เราจะมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพอากาศ

Daratt


Daratt


ชินาภรณ์ สุทธิชาโต 05490107

“อาติม” (Atim ในภาษาอาหรับแปลว่า “เด็กกำพร้า”) เด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งสูญเสียพ่อไปในช่วงสงครามกลางเมือง พ่อของเขาถูกฆ่าตั้งแต่เขายังอยู่ในท้องแม่ อาติมรับรู้เรื่องราวแห่งความสูญเสียนี้จากญาติที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวคือปู่ และเมื่อมีการประกาศนิรโทษกรรมนักโทษ ทางเลือกสุดท้ายที่ปู่ฝากความหวังไว้ก็คืออติม ความแค้นนี้ผลักดันให้เด็กหนุ่มวัย 16 ปีพกพาปืนเดินทางจากบ้านไปหลายไมล์ด้วยความมุ่งมั่นที่จะแก้แค้นแทนพ่อ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในลำดับต่อมาก็คือ อติมได้พบว่า “นาสซารา” อดีตมือสังหารบิดาของเขานั้น บัดนี้ เป็นเพียง “ชายแก่ๆ” คนหนึ่งซึ่งทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการทำขนมปังขายอยู่กับภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ และนั่นก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้อาติมเกิดความลังเลที่จะแก้แค้น

ภาพยนตร์เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเคียดแค้นของครอบครัวของคนที่ถูกอาชญากรฆ่า แต่ทำอะไรไม่ได้เนื่องจากกฎหมายนิรโทษกรรม สะท้อนถึงประเด็นบางอย่างทางการเมือง และยังแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกที่ซับซ้อนมาก คือ ความแค้นของอติมและปู่ที่มีต่อฆาตกร ทั้งนี้ความแค้นของอาติมไม่ได้เกิดขึ้นในฐานะของผู้ที่อยู่ในช่วงเหตุการณ์สงครามกลางเมือง เขารับความแค้นนี้ผ่านทางปู่ แต่เมื่อมาแก้แค้นเขากลับลังเลใจที่จะฆ่านาสซารา ทำให้เราคิดได้ว่าตัวอติมเองนั้นมีความรู้สึกที่โหยหาความรักจากพ่อ และนาสซาราก็ได้เติมเต็มสิ่งนั้นให้แก่อติม จนสุดท้ายความแค้นที่มีอยู่เริ่มแปรเปลี่ยน อาติมลังเลใจที่จะฆ่านาสซาราแม้ว่าจะมีโอกาสหลายครั้ง เขาไม่แน่ใจกับสิ่งที่ตนเองจะกระทำ และท้ายที่สุดเมื่อเขาได้พานาสซาราไปพบกับปู่ (จึงเข้าใจได้ว่าเหตุใดนาสซาราถึงพูดโดยไม่ใช้เครื่องขยายเสียงไม่ได้และเหตุใดปู่อติมถึงตาบอด) ปู่สั่งให้อาติมถอดเสื้อผ้านาสซาราและบังคับให้คุกเข่า จากนั้นเขาสั่งให้อาติมฆ่านาสซาราเสีย เหตุการณ์นี้ได้แสดงให้เห็นว่าความแค้นของอาติมที่มี่ต่อฆาตรฆ่าพ่อได้จางหายไปแล้ว เพราะเขายิงปืนขึ้นฟ้าสองนัดให้ปู่ได้ยินเสียงปืน เพื่อให้ปู่รู้สึกว่าได้แก้แค้นแทนลูกชายแล้ว

การถอดเสื้อผ้าของนาสซาราในตอนท้ายของเรื่องเป็นการแสดงออกถึงสัญลักษณ์บางอย่าง คิฉันคิดว่าปู่ของอาติมทำเพื่อให้รู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าและนี่เป็นการกระทำที่หยามเกียรติต่ออีกฝ่ายอย่างมาก เมื่อพิจารณาผ่านวัฒนธรรมอิสลาม

ความขัดแย้งในเรื่องที่เด่นชัดคือความขัดแย้งภายในจิตใจของอาติม ระหว่างความแค้นกับความเห็นใจระหว่างเพื่อนมนุษย์ และความผูกพันใกล้ชิดที่ค่อยๆกัดเซาะความแค้นไปเรื่อยๆ อีกทั้งเรื่องนี้ทำให้เห็นว่าไม่มีใครเลวจนสุดขั้ว แม้แต่ฆาตกรก็ยังกลับใจได้ สุดท้ายตัวอาติมก็อาจจะคิดได้ว่าหากเขาฆ่านาสซาราเขาก็ไม่ต่างจากฆาตกรและยังจะมีการล้างแค้นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ อาติมจึงต้องการที่จะให้ความแค้นจบลงเลยไม่ยิงนาสซารา

ความสัมพันธ์ของตัวละครเป็นสิ่งที่เด่นชัดที่สุด โดยเฉพาะบทบาทของอาติมที่เป็นตัวทำให้เรื่องดำเนินไปพร้อมกับบทบาทของนาสซารา ความรู้สึกที่ทั้งสองแสดงต่อกันในบางครั้งก็ตึงเครียด บางครั้งก็ดูผ่อนคลาย

ยิ่งไปกว่านั้นยังสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมอิสลามที่ชายเป็นใหญ่มีสิทธิ์ในการใช้ความรุนแรงกับผู้หญิง จากตอนที่อติมนั่งคุยเล่นกันกับไอช่าภรรยาของนาสซาราแล้วไม่ได้โพกผ้าที่ศีรษะตามธรรมเนียมบังคับ เมื่อนาสซารามาเห็นก็ได้ลงโทษไอช่าด้วยการเฆี่ยนตีอย่างรุนแรง ส่วนอติมก็ได้แต่โมโหและสงสารแต่ก็ไม่มีสิทธิห้าม

ดิฉันคิดว่าผู้กำกับต้องการจะสื่อความต่อคนรุ่นใหม่ว่าอย่าไปยึดติดกับการแก้แค้นด้วยความรุนแรง อะไรที่ผ่านมาแล้วควรพยายามให้อภัยและให้โอกาส ถึงคนรุ่นเก่าจะยึดติดกับความเคียดแค้น แต่อาติมซึ่งเปรียบเสมือนกับคนรุ่นใหม่จะต้องละทิ้งบางอย่างไว้เบื้องหลังเพื่อการก้าวไปข้างหน้า ทั้งทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติและคนรุ่นหลังต่อไป

Daratt(Dry Season)

ชณัฎฎา อมรวงศ์ไพบูลย์ 05490081

ภาพยนตร์เรื่องDaratt(Dry Season) เป็นภาพยนตร์ของประเทศชาติซึ่งอยู่ในทวีปแอฟริกา ความยาวประมาณ96นาที เป็นผลงานการประพันธ์และกำกับของ Mahamat-Saleh Haroun ชาวชาด นำแสดงโดยAli Barkai และYoussouf Djaoro ซึ่งตัวละครใช้ภาษาฝรั่งเศสในการสื่อสาร และมีซับไตเติ้ลเป็นภาษาอังกฤษ Daratt เข้าฉายเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ปี 2006 Daratt เป็นหนังแอฟริกันเรื่องแรกในรอบ 19 ปีที่มาเข้าประกวดและได้รางวัล Jury Special Prize

Daratt เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มชื่อ “อาติม”เด็กกำพร้าพ่อ อาศัยอยู่กับปู่ตาบอดในหมู่บ้านอันแห้งแล้งที่ประเทศชาด ปู่ของอาติมแค้นที่ลูกชายถูก“นาสสาร่า” ฆ่าตายในช่วงสงครามกลางเมือง จึงหวังที่จะให้อาติมไปแก้แค้นแทน อาติมจึงต้องเดินทางไปเพื่อการแก้แค้นของปู่ ระหว่างทางอาติมได้พบเพื่อนคนหนึ่ง เขาชวนอาติมไปพักอยู่ที่บ้านและสอนให้อาติมขโมยหลอดไฟไปขาย ต่อมาอาติมจึงเดินทางไปหานาสสาร่าที่โรงงานขนมปังและแฝงตัวเข้าไปเป็นลูกมือของนาสสาร่าเพื่อรอเวลาแก้แค้น นาสสาร่ามีภรรยาซึ่งอายุน้อยกว่าและกำลังตั้งครรภ์อยู่ชื่อ “ไอช่า” นาสสาร่าสอนอาติมทำขนมปังและเริ่มรู้สึกผูกพันกับเขาจนคิดที่จะรับอาติมเป็นลูกและให้ผู้สืบทอดกิจการต่อ แต่ทว่าอาติมยังคงมีความแค้นและอคติต่อนาสสาร่าอยู่ทุกลมหายใจ


ภาพยนตร์เปิดฉากด้วยการที่ปู่ตะโกนเรียกอาติมให้มาเปิดวิทยุฟังข่าวเรื่องที่รัฐบาลนิรโทษกรรมต่อความรุนแรงทุกอย่างของทุกคนในอดีตเมื่อคราวเกิดสงครามกลางเมืองและสะท้อนให้เห็นสภาพสังคมและบ้านเมืองที่แห้งแล้ง จุดมุ่งหมายของเรื่องนี้ค่อนข้างชัดเจนตั้งแต่ต้นเรื่องนั่นคือการที่ปู่ให้ปืนแก่อาติมเพื่อไปแก้แค้นแทนพ่อแล้วตัวละครก็ค่อยๆดำเนินเรื่องไปตามสิ่งที่ตนเองต้องการแต่ก็มีการกระทำบางอย่างของตัวละครฝ่ายตรงข้ามที่ทำให้ตัวละครเอกอย่างอาติมเกิดความรู้สึกดีขึ้นภายในใจนอกจากการแก้แค้น


เรื่องนี้มีการใช้สัญลักษณ์หลายอย่างเพื่อบอกเป็นนัยและใช้สื่อแทนคำพูดซึ่งมีความลึกซึ้งมากกว่า เช่น การที่กำหนดให้ปู่ของอาติมตาบอดเพื่อใช้แทนตัวปู่ที่จิตใจหมกมุ่นอยู่แต่กับการแก้แค้นไม่ยอมรับรู้เรื่องภายนอกและให้อาติมตาดีเพื่อได้เรียนรู้สิ่งอื่นบ้างนอกจากการยัดเยียดแต่การแค้นจากปู่ การให้อาติมใส่กางกางยีนส์ลีวายส์ ใช้ยี่ห้อไนกี้เพื่อแสดงออกถึงความเป็นคนรุ่นใหม่ และการกำหนดให้นาสสาร่าประกอบอาชีพทำขนมปังฝรั่งเศสขาย ที่ต้องเป็นขนมปังฝรั่งเศสอาจจะเพราะประเทศชาดอยู่ภายใต้อิทธิพลเบลเยี่ยมแต่พูดภาษาฝรั่งเศสและอาจเป็นสื่อแทนตัวนาสสาร่าที่ภายนอกดูเหมือนจะเป็นคนนิ่งๆ เฉยๆแต่เมื่อสัมผัสแล้วจะเห็นว่าเป็นคนที่จริงใจ ใฝ่หาพระเจ้าและรักอาติมเหมือนลูก นอกจากนี้ยังให้นาสสาร่าเป็นคนมั่นคงในศาสนาแต่อาติมปฏิเสธศาสนา


Daratt(Dry Season) น่าจะมาจากความแห้งแล้งของสภาพภูมิประเทศ ดังจะเห็นได้จากฉากธรรมชาติหลายๆฉากในเรื่องที่ต้นไม้เหี่ยวเฉาและไร้ใบ และอีกประการหนึ่ง คือ ความแห้งแล้งที่เกิดขึ้นภายในจิตใจมนุษย์อาจจะด้วยการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักจากสงครามกลางเมืองและความเป็นอยู่ของประชากรที่อดอยากหิวโหย บรรยากาศของเนื้อเรื่องจึงใช้โทนสีทะเลทรายที่ดูแห้งแล้งและไร้ความหวัง แต่ในทางกลับกันกำหนดให้ตัวละครใส่เสื้อผ้าสีสันสดใสและโทนคล้ายกัน คือ สีแดงเป็นส่วนใหญ่ เพื่อเแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างฉากและตัวละคร


สิ่งที่สำคัญที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้ คือ ความขัดแย้งภายในใจของตัวละคร กล่าวคือ การกระทำของตัวละครเอกในหลายๆฉากแสดงให้เห็นถึงความสับสนภายในจิตใจของตัวละครเอง เช่นถ้าอาติมไปหานาสสาร่าแล้วหยิบปืนขึ้นมายิงการแก้แค้นก็จะสิ้นสุดลงแต่อาติมกลับมือสั่นไม่กล้ายิงนาสสาร่า นั่นอาจเพราะอาติมไม่ได้แค้นนาสสาร่าโดยตรงแต่ที่มาเพราะปู่สั่งให้มาและความแค้นระหว่างเขาและนาสสาร่านั้นเป็นความแค้นที่ยัดเยียด ตัวของอาติมมีความรู้สึกซับซ้อนและสับสน อาติมหวนหาพ่อมาตลอดทั้งชีวิต นาสสาร่าก็ตอบสนองให้กับเขาอย่างชัดเจนแต่เขากลับไม่รับ
เหตุผลอีกประการหนึ่งคือเมื่ออาติมได้เข้ามาใช้ชีวิตอยู่กับนาสสาร่า โลกทัศน์ของอาติมกว้างขึ้นและมองเห็นสิ่งต่างๆรอบตัวมากขึ้น นาสสาร่าสอนอาติมทำขนมปังโดยนาสสาร่าพูดว่า “การทำขนมปังต้องการความรักและความเอาใจใส่” แสดงให้เห็นถึงความอ่อนโยนในตัวของนาสสาร่า การสอนของเขาช่วงแรกจะสอนให้ทำแต่ต่อมาให้เรียนรู้ด้วยตัวเองซึ่งเป็นสิ่งที่อาติมไม่เคยได้รับมาก่อนเลยจากปู่ ปู่จะยัดเยียดใส่หัวอาติมตลอดเวลา อาติมทำขนมปังทุกวิธีทุกขั้นตอนด้วยตนเองจนสำเร็จ จึงทำให้อาติมลังเลและสับสนทุกครั้งที่คิดจะฆ่านาสสาร่า หลายๆครั้งที่เขาพกปืนใส่กางเกงไว้แล้วจะหยิบขึ้นมายิงแต่เมื่อนาสสาร่ามาปรากฏตัวต่อหน้าเขาจริงๆเขากลับไม่กล้าลงมือ มือสั่นและเก็บปืนลง เหตุการณ์ต่างๆที่เข้ามาทำให้อาติมเริ่มรับรู้ว่าไม่เพียงแต่เขาที่สูญเสียพ่อแต่คนอื่นก็มีการสูญเสียเช่นกัน เช่น ทหารขาขาดที่เดินผ่านมา นาสสาร่าและไอช่าที่สูญเสียลูก มีอยู่ครั้งหนึ่งที่นาสสาร่าปาโทรศัพท์อาติมทิ้งแล้วเขาขอโทษโดยเขาได้อ้างถึงการควบคุมตนเองไม่ได้และอดีตที่เขาไม่อยากพูดถึง
จากคำพูดของนาสสาร่าที่ว่าตั้งแต่อาติมเข้ามาทำให้ “ฉันรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมา”นี้แสดงให้เห็นว่านาสสาร่ามีความปรารถนาดีต่ออาติมจริงๆและจะรับอาติมเป็นลูกแต่อาติมปฏิเสธและจะยุติการแก้แค้นทั้งหมดด้วยการกลับบ้าน แต่นาสสาร่าก็ตามเขามาจนในที่สุดอาติมพาปู่และนาสสาร่ามาเจอกัน จึงได้รู้ความจริงทั้งหมดแต่นาสสาร่าก็ยอมให้อาติมแก้แค้น ปู่ให้อาติมถอดเสื้อผ้าของนาสสาร่าออกก่อนจะฆ่าเพื่อทำให้เจ็บอาย ซึ่งเป็นสิ่งที่คนอาหรับถือมากเพราะเป็นการหยามเกียรติ และปู่ก็ได้สั่งให้อาติมฆ่านาสสาร่าเสีย อาติมยังคงลังเลแต่ท้ายที่สุดแล้วเขาเลือกที่จะยิงปืนขึ้นฟ้าและกลับบ้านไปกับปู่เพื่อจบเรื่องทุกอย่าง เขาทำในสิ่งที่ถูกที่ควรต่อสถานภาพรวมไปถึงความรู้สึกภายในใจ ปู่ของอาติมหายแค้นโดยไม่ต้องมีการสูญเสียอีกและนาสสาร่าได้รับการปลดปล่อยจากความผิดในอดีต นับว่าการปิดเรื่องเช่นนี้เป็นทางออกที่ฉลาดและดีสำหรับทุกฝ่าย



ภาพยนตร์เรื่อง Daratt พยายามสื่อออกมาให้ผู้ชมเห็นถึงความซับซ้อนภายในใจของมนุษย์ที่มีความหลากหลายในด้านอารมณ์ ซึ่งสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้มีความคิดในแง่บวกได้ถ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น แม้ Daratt จะเป็นภาพยนตร์ที่มาจากประเทศเล็กๆในแถบแอฟริกาแต่ก็นับได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่มีคุณค่าให้แง่คิดและน่าชมอีกเรื่องหนึ่ง...

The letter จดหมายรัก


The letter จดหมายรัก


ปองกานต์ สีสัน 0548240


The letter ได้ได้เริ่มต้นที่จดหมายรัก แต่ดำเนินเรื่องด้วยความรักและจบลงด้วยจดหมายรัก ความรักของต้นที่ถูกถ่ายทอดผ่านตัวหนังสือลงบนจดหมาย เป็นเครื่องตอกย้ำความรู้สึกที่ไม่มีวันจางไป “ดิว” โปรแกรมเมอร์สาวที่บอบช้ำจากการสูญเสียเพื่อนรัก เธอหลบมาพักใจแบบไม่มีกำหนดกลับที่ดอยอ่างขาง จ. เชียงใหม่ ที่นั่น เธอได้ร่วมกันปลูกต้นรักกับ “ต้น” หนุ่มนักวิจัยการเกษตร จนเมื่อต้นรักออกดอกงอกงาม เขาและเธอกลับปวดร้าวกับความจริงที่รับรู้ “ต้น” เป็นโรคร้ายและกำลังจะตายในอีกไม่นาน แต่เมื่อต้นจากไป สิ่งที่เขาฝากไว้เยียวยาเป็นเสมือนเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตของดิว ก็คือ “จดหมายรัก” ที่เขาเขียนไว้ก่อนสิ้นใจ

ผอูน จันทศิริ ผู้กำกับมือใหม่กับผลงานภาพยนตร์เรื่องแรก The letter: จดหมายรัก เธอไม่ทำให้ผู้ชมผิดหวังกับภาพหนังรักสุดซึ้ง ที่ทำให้คนดูเสียน้ำตาชนิดที่ว่าน้ำหมดตัวเลยทีเดียว ผอูนนำต้นฉบับเกาหลีมาสร้างใหม่ได้น่าประทับใจกว่าของเดิม ที่นำเสนอเรื่องราวความรักแบบเรียบ ๆ เรื่อย ๆ ในขณะที่ the letter ของไทย แสดงภาพความรักแบบเกาหลีจัง เป็นรักในอุดมคติที่ทุกคนใฝ่ฝัน แต่ไม่อาจเกิดขึ้นในความจริง เพลงประกอบทั้ง 2 เพลงที่ได้หนุ่มเสียงหวานอย่าง “นภ พรชำนิ” และนางเอกของเรื่อง “แอน ทองประสม” มาขับร้อง ยิ่งตอกย้ำอารมณ์รักมากขึ้นไปอีก

ในขณะเดียวกัน ฉากดอยอ่างขางกลับถูกละเลยไม่ใส่ใจเท่าที่ควร ทั้งที่มีบรรยากาศสบาย ๆ สามารถนำมาใช้เพิ่มบทบาทของตัวละครและเนื้อเรื่องให้เด่นขึ้น แม้ว่าโครงเรื่องจะไม่ซับซ้อน แต่ก็ดูจะง่ายเกินไป ต้นกับดิวอยู่ห่างกันมากอีกทั้งสายงานก็ต่างกันคนละขั้ว ก็ยังอุตส่าห์มาเจอกันจนได้ ซ้ำยังรักกันปานดวงใจเสียอีก ค่อนข้างจะไม่สมเหตุสมผล แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คุณค่าและความน่าประทับใจของหนังรักเรื่องนี้ลดลงเลย กลับยิ่งช่วยกลบข้อบกพร่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเช่น เรื่องของจดหมายกระดาษกับจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งต่างกันอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่มีการกล่าวถึงจุดนี้ทั้งที่น่าจะหยิบยกมากล่าวถึงได้อีก ยังมีวิถีชีวิตของคนทั้ง 2 สองที่เป็นแบบ “บ้านนอก” กับ “ชาวกรุง” ก็ถูกข้ามไป เหล่านี้เป็นต้น

ทั้งนี้และทั้งนั้น หากมองโดยภาพรวมแล้ว ถือว่าประสบความสำเร็จดีทีเดียว แน่นอนว่า “งานชิ้นแรก” ย่อมไม่ใช่งานที่ดีที่สุด “แต่ก็นับเป็นก้าวแรกในวงการหนังไทยของผอูนที่หนักแน่นและมั่นคง แก่นเรื่องที่หนังไม่ว่าเวลาจะเปลี่ยนไป อะไรจะเปลี่ยนแปลงก็ตาม เมื่อดูจบแล้ว ไม่มีใครไม่ซาบซึ้ง ไม่ประทับใจ หลังจากอิ่มเอมกับการชมแล้ว หลาย ๆ คนคงจะได้เปิดมุมมองใหม่ ๆ เกี่ยวกับความรัก และเข้าใจอย่างลึกซึ้ง

“แม้ไม่อาจอยู่คู่กันตลอดกาล แต่ความรักของเขาและเธอจะอยู่คู่กันตลอดไป”

เกมกลคนช่างลวง

เกมกลคนช่างลวง
กชพรรณ วินันทร์ 05490001



คันซากิ นาโอะผู้ใสซื่อจนทุกคนพูดว่า "ซื่อจนเซ่อ" ติดอยู่ในเกมโชว์ ที่ชื่อว่า "เกมโกหก" ที่ผู้เข้าแข่งขันต้องหลอกเอาเงินก้อนโตจากฝ่ายตรงข้ามซึ่งก็คือ 100 ล้านเยนและ หากแพ้ในเกมนี้ก็จะเป็นหนี้ 100 ล้านเยนเช่นกัน ด้วยความซื่อของเธอเธอจึงถูกหลอกเอาเงิน 100 ล้านเยน ไปอย่างง่ายดาย เมื่ออยู่ในเกม ตำรวจ ทนายหรือศาลไม่สามารถช่วยเธอได้ นาโอะผู้ที่เชื่อและซื่อสัตย์กับทุกคนจึงไร้ทางสู้ จนต้องขอความช่วยเหลือจากนักต้มตุ๋นอัจฉริยะ อากิยามะ ชินอิจิ ที่เพิ่งออกจากคุก ทั้งสองคอยช่วยเหลือกันและกันจนผ่านพ้นเกมในแต่ละด่านไปได้อย่างชาญฉลาด จนสุดท้าย นาโอะเป็นฝ่ายชนะออกจากเกมมาได้

เรื่องนี้เปิดเรื่องด้วยนาโอะผู้แสนซื่อและไม่เคยหลอกลวงใคร ดำเนินชีวิตอย่างซื่อตรง จนโดนเพื่อนๆหลอกใช้ และล้อเลียน แต่นาโอะก็ไม่รู้สึกโกรธหรือเกลียดเพื่อนๆ เพราะเชื่อมั่นในความซื่อสัตย์ของตนเอง เป็นฉากที่บอกเรื่องราวและนิสัยของนางเอกทั้งหมด

เมื่อวันหนึ่งนาโอะกลับมาที่ห้องและพบกล่องสีดำวางไว้หน้าห้อง ในนั้นมีเงินหนึ่งร้อยล้านเยนพร้อมซองจดหมายสีดำปิดผนึกอยู่ ในจดหมายนั้นเป็นจดหมายต้อนรับเข้าสู่เกมโกหกซึ่งมีข้อกำหนดว่าถ้ายินดีเข้าร่วมเกมก็ให้เปิดผนึก แต่นาโอะไม่ทันได้เห็นจึงเปิดจดหมาย และเข้าร่วมการแข่งขันโกหกอย่างหนีไม่ได้

นาโอะไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี เลยคิดจะเอาเงินทั้งหมดไปให้ตำรวจ แต่ตำรวจเองก็ไม่กล้ารับแจ้ง และแนะนำให้นาโอะไปตามหา นักต้มตุ๋นอัจฉริยะ อากิยามะที่เพิ่งออกจากคุก ว่าต้องช่วยนาโอะได้อย่างแน่นอน นาโอะเลยต้องขอความช่วยเหลือจากอากิยามะ จนต้องเข้าร่วมการแข่งขันเต็มตัว เลยเกิดความสงสัยว่าทั้งสองจะผ่านเกมนี้ไปด้วยกันอย่างไร และเกมนี้เป็นอย่างไร

นาโอะผู้ซื่อตรงพยายามที่จะเอาเงินทั้งหมดไปคืน แต่ไม่รู้จะคืนใครเลยไปหาตำรวจ ซึ่งตำรวจไม่รับแจ้ง นาโอะเกิดความขัดแย้งในตัวเองว่าจะทำอย่างไร จะคืนเงินให้ได้ หรือจะเล่นเกมที่ไม่สามารถออกจากการแข่งขันนี้ได้ดี และ นาโอะผู้ไม่หลอกลวงใครกับอากิยามะนักต้มตุ๋นต่างมีความคิดขัดแย้งกัน และกลวิธีในการจะเอาชนะต่างกัน ทำให้ดำเนินแผนไปอย่างลำบาก

นาโอะและอากิยามะต่างหาทางเอาชนะฝ่ายตรงข้ามด้วยกันท่ามกลางความขัดแย้งในความคิด แต่ความชาญฉลาดของอากิยามะทำให้นาโอะต้องเชื่อฟังเขาอย่างหลีกไม่ได้ เพราะแผนการต่างๆช่างแยบยลและสมบูรณ์แบบเหลือเกิน นาโอะผู้ไม่เคยคิดแผนการเลยต้องทำในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยได้ทำ จนเวลาลุล่วงถึงวันตัดสินที่นาโอะต้องตัดสินใจเอาชนะให้ได้

สุดท้ายอากิยามะก็นำพาชัยชนะมาสู่นาโอะ โดยที่ชัยชนะของนาโอะนั้นทำให้อีกฝ่ายต้องชดใช้เงินหนึ่งร้อยล้านเยน ซึ่งนาโอะเองไม่ได้ปลื้มกับชัยชนะครั้งนี้และรู้สึกสงสารอีกฝ่ายเหลือเกิน
นาโอะได้รับเงินหนึ่งร้อยล้านเยนเพราะชนะเกม และนาโอะดีใจมากที่หลุดพ้นเกมนี้มาได้ แต่สุดท้ายจดหมายสีดำที่คุ้นตาที่ส่งมานาโอะพร้อมเชิญให้ร่วมเกมด่านต่อไป

Across the universe (รักนี้...คือทุกสิ่ง)


Across the universe (รักนี้...คือทุกสิ่ง)
ปิยะฉัตร ประสงค์สุข
05490234
ภาพยนตร์เรื่อง Across the universe เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสมัยสงครามเมื่อ 60 ปีที่ผ่านมา ในสมัยนี้วัยรุ่นมีอิสระ เสรีภาพ ทางความคิด วัยรุ่นจะคิดนอกกรอบ หมกหมุ่นและอุทิศตัวให้กับดนตรี ร็อค แอนด์ โรล ซึ่งในขณะนั้นสังคมต่อต้านการเข้าร่วมรบในสงครามเวียดนามของกองทัพอเมริกา จึงก่อให้เกิดเรื่องราวของความรักระหว่างชายหนุ่มแห่งเมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ “จู๊ด” ที่หลงใหลในศิลปะ ทำงานที่อู่ซ่อมเรือ แต่ต้องการหนีให้พ้นกับความซ้ำซากจำเจ และต้องการแสวงหาสันติภาพ จึงเดินทางเข้าประเทศอเมริกาอย่างผิดกฎหมาย และได้พบกับ “ลูซี่” หญิงสาวอเมริกันผู้มีความมั่งคั่ง ที่เพิ่งสูญเสียคนรักจากการเป็นทหารเข้าร่วมรบในสงครามเวียดนาม ตามคำแนะนำของ “มาร์ก” ซึ่งเป็นอีกคนหนึ่งในชีวิตของลูซี่ที่ต้องเข้าร่วมรบในสงครามเวียดนาม ดังนั้นลูซี่จึงเกิดความคิดที่จะต่อต้านสงคราม อีกทั้งยังมีมิตรภาพของเพื่อนนักดนตรีก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมทำให้ และสงครามคู่รัก และผองเพื่อนต้องพลัดพลาดจากกันไปไกลคนละซีกโลก และเมื่อมีความรัก “จู๊ด” จึงตัดสินใจกลับมาอเมริการอีกครั้ง โดยครั้งนี้เป็นการเข้ามาอย่างถูกกฎหมาย เพื่อกลับมาหา “ลูซี่” และสองคนนี้ก็ได้เจอกันและรักกัน

ภาพยนตร์เรื่อง Across the universe นับเป็นหนังนอกกระแสเรื่องหนึ่งที่มีความน่าสนใจ โดยภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์เพลง โดยเนื้อหาของเพลงบ่งบอกถึงความรู้สึกนึกคิดของตัวละครได้เป็นอย่างดีกว่าบทพูดอยู่แล้ว ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่น่าเบื่อเพราะเสียงเพลงทำให้เราเกิดอารมณ์ ซาบซึ้ง และเข้าใจสิ่งที่หนังต้องการจะสื่อได้ดีทีเดียว และในภาพยนตร์เรื่องนี้มีหลายฉากที่ต้องตีความ เช่น ฉากการเต้นรำ ที่บ่งบอกชนชั้น และฉาก ตอนที่ทหารแบกเทพีสันติภาพที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศอเมริกาแล้วเหยียบย่ำดินแดนของประเทศอื่น หมายถึง พวกทหารจะปกป้องประเทศของตนเองแต่ก็ต้องทำเลยดินแดนประเทศอื่น ถ้าเราไม่ตีความเราก็จะไม่เข้าใจเรื่องที่ผู้สร้างภาพยนตร์ที่จะสื่อ

ภาพยนตร์เรื่อง Across the universe ทำให้เห็นถึง “มิตรภาพ” และ “ความรัก” ซึ่งเป็นแก่นสำคัญของเรื่องที่ก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ แม้ว่าจะพบกับอุปสรรคต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสงคราม ชนชั้น แต่เมื่อเรามีความรักเท่านั้นที่จะชักนำให้เราผ่านพ้นปัญหาและอุปสรรคอย่างไม่ยากเลย

สำหรับการตั้งชื่อเรื่อง Across the universe นี้นับว่ามีความเหมาะสมกับตัวเนื่อหาแล้ว ไม่ว่าจะเกิดปัญหาและอุปสรรคใดๆ หรือแม้แต่ว่าจะอยู่ต่างกันคนละซีกโลกก็ตาม แต่เมื่อเรามีความรักเป็นที่ตั้งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความรักระหว่างเพื่อน คนรัก หรือแม้กระทั่งรักในเสียงดนตรี เราก็สามารถฝ่าฟันปัญหาและอุปสรรคไปได้อย่างไม่ยากเลย จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ภาพยนตร์เรื่องนี้จะได้ชื่อเรื่องว่า Across the universe (รักนี้...คือทุกสิ่ง)