วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

สงครามที่มีนักรบร่วมรบเพียง 300 คน...


น.ส. ภัทรา ดิสสันดร
รหัสนักศึกษา ๐๕๔๙๐๒๘๗


หากจะกล่าวถึงหนังที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการสู้รบของเหล่านักรบผู้กล้าและฉากที่มีความสวยงามสมจริงแล้ว หนังเรื่อง 300 ขุนศึกพันธุ์สะท้านโลก ที่สร้างโดย Zack Snyder ผลงานจากค่าย Warner Bros.Pictures:ซึ่งฉายในปี 2550 ละางโดย ี /.ละทำให้ผู้ชมเกิดความประทับใจหลังจากที่ได้ดูหนังเรื่องนี้คงจะเป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งที่เรียกได้ว่าถูกสร้างมาได้ตรงตามคำกล่าวข้างต้นเลยทีเดียว เนื่องจากเทคนิคภาพที่ตระการตาเพื่อความสมจริงของการทำสงครามและทำให้ผู้ชมเกิดความประทับใจหลังจากที่ได้ดูหนังเรื่องนี้


หนังเรื่อง 300 ขุนศึกพันธุ์สะท้านโลกมีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับการทำสงครามเธอร์โมโพเล เป็นการสู้รบของกษัตริย์เลโอนิดาสและขุนศึกสปาร์ตัน 300 นาย ที่ร่วมกันต่อสู้ในศึกครั้งนี้กับ
เซอร์เซสและกองทัพใหญ่ของชาวเปอร์เซีย โดยที่หนังเรื่องนี้ได้อิงประวัติศาสตร์สงครามในยุคโรมัน ทำให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของชนเผ่าสองกลุ่มและสื่อให้เห็นถึงชีวิตและอารยธรรมโบราณในยุคโรมัน

มีการเปิดเรื่องด้วยการฝึกการเป็นนักรบให้เด็กชายชาวสปาร์ตัน ซึ่งเมื่อเติบโตขึ้นเขาก็คือกษัตริย์ผู้กล้าหาญที่เป็นตัวละครเอกของหนังเรื่องนี้ โดยมีเสียงบรรยายถึงประวัติความเป็นมาของชนเผ่านี้ให้ผู้ชมได้ทราบ โดยที่หนังเรื่องนี้จะมุ่งประเด็นไปที่ความเป็นผู้นำของกษัตริย์เลโอนิดาสและการเข้าร่วมรบของขุนศึกสปาร์ตัน 300 นาย

ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้คือความขัดแย้งในรูปแบบของมนุษย์กับมนุษย์ ที่ต้องสู้รบกับเพื่อความอยู่รอดของชนเผ่าของตน และในตอนท้ายของหนังเรื่องนี้มีการปิดเรื่องโดยที่กษัตริย์เลโอนิดาสและทหารจำนวน 300 นาย เสียสละชีวิตเพื่อการช่วยเหลือชนเผ่าของตน

หลังจากที่ได้ดูหนังเรื่องนี้แล้ว จะทำให้ผู้ชมได้รับรู้ถึงความกล้าหาญของเหล่านักรบผู้กล้าที่เสียสละตนเองเพื่อชนเผ่าของตนให้อยู่รอด รวมไปถึงในขณะที่ดูก็ได้รับความตื่นเต้นจากแต่ละฉากและเกิดอารมณ์ร่วมไปกับเหตุการณ์ในเรื่องด้วยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวละครเอกและตัวละครที่มีความสำคัญในเรื่อง ซึ่งฉากที่สร้างขึ้นในหนังเรื่องนี้ก็ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญ เนื่องจากแต่ละฉากจะต้องสื่อให้ผู้ชมได้สัมผัสถึงอารยธรรมโบราณในยุคโรมัน และเพื่อความสมจริงในการรบจึงมีการใช้เทคนิคในการสร้างหนังแนวต่อสู้ที่ทำให้ผู้ชมเกิดความตระการตาในการชม
นอกจากนี้ผู้ชมอาจจะเกิดความชื่นชมต่อตัวละครเอกของเรื่องคือกษัตริย์เลโอนิดาสที่สามารถนำทัพออกไปสู้รบโดยไม่ท้อถอยถึงแม้ว่าจะต้องจบชีวิตลงในตอนท้ายของเรื่องก็ตาม แต่ก็ได้ทำเพื่อประชากรส่วนใหญ่

จากหนังเรื่องนี้ถือว่ากล่าวถึงความกล้าหาญของนักรบชาวโรมันได้เป็นอย่างดี รวมถึงความมุ่งมั่นและความเด็ดเดี่ยวของผู้นำ ซึ่งสื่อให้ผู้ชมได้เข้าใจถึงการต่อสู้ โดยที่รู้ว่าไม่สามารถต้านทานความยิ่งใหญ่กับกองทัพมหึมาของกษัตริย์ที่คิดว่าตนเป็นดั่งเทพพระเจ้าและกองกำลังจากดินแดนที่หลากหลายอารายธรรม รวมถึงการล่าอาณานิคมของกองทัพทาสที่สู้เพื่อความอยู่รอดจากการปกครองของกษัตริย์สมมุตติเทพ ซึ่งเหมือนกับสัตว์ป่าและผีร้ายที่มีความน่าสะพรึงกลัว จึงเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดสงครามอันยิ่งใหญ่เพื่อการกอบกู้ความกล้าให้แก่นักรบกรีกและชนเผ่านักรบแห่งสปาร์ตันอันเกรียงไกร โดยแสดงให้เห็นถึงความกล้าและจิตวิญญาณของนักรบในการใช้ดาบและโล่เพื่อรักษาอิสรภาพให้คงอยู่ต่อ และสุดท้ายยังให้ข้อคิดเกี่ยวกับการเสียสละตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวมและการมีความสามัคคีกันหมู่คณะ ซึ่งจะสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี

Daratt (Dry Season)


ชิดกมล ฮวบกระโทก

05490105


ภาพยนตร์เรื่อง Daratt เป็นภาพยนตร์ของประเทศ Chad ซึ่งเคยตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส เป็นประเทศเล็ก ๆ ในทวีปแอฟริกา และติดอันดับต้น ๆ ประเทศยากจนที่สุด ไม่มีอุตสาหกรรมภาพยนตร์เนื่องจากปัญหาสงครามกลางเมือง แต่ Mahamat-Saleh Haroun อพยพหนีภัยสงครามกลางเมืองมาลงหลักปักฐานในฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 1982 เขาประพันธ์และกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ในปี 2006 และได้รางวัล Special Jury Prize ในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิสครั้งที่ 63 และยังเป็นหนัง 1 ใน 7 เรื่องจาก 7 ผู้กำกับที่ได้รับเลือกโดยโครงการ New Crowned Hope เฉลิมฉลอง 250 ปี โมสาร์ต

Daratt เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในฤดูแล้งของทวีปแอฟริกา ตัวเอกของเรื่องคืออาติม เด็กหนุ่มที่อาศัยอยู่กับปู่ที่ตาบอด เค้าไม่เคยรู้จักพ่อของเขาด้วยซ้ำ ปู่บอกเขาว่าพ่อถูกฆ่าตอนที่เกิดสงครามกลางเมือง อาติมรู้สึกแค้น จากนั้นปู่ยื่นปืนให้อาติม และบอกให้เขาตามหาคนที่ฆ่าพ่อ และนาสซาร่าคือคนที่ฆ่าพ่อของเขา อาติมเดินทางเข้ามาในเมืองเพื่อมาตามหานาสซาร่า แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้พบกับนาสซาร่า


นาสซาร่าในตอนนี้เป็นเพียงแค่ชายแก่ ๆ ที่เปิดร้านขายขนมปัง เขาอยู่กับภรรยาที่กำลังตั้งท้อง และเขายังต้องใช้เครื่องช่วยพูดอีกด้วย นาสซาร่าคิดว่าอาติมมาหางานทำเขาจึงรับไว้ เขาสอนให้อาติมทำขนมปัง ทั้งสองช่วยกันทำขนมปังขาย ทั้ง ๆ ที่อาติมยังรู้สึกโกรธแค้นอยู่ลึก ๆ อาติมมีโอกาสฆ่านาสซาร่าหลายครั้งแต่เขาก็ยังไม่กล้า ในขณะที่นาสซาร่ารู้สึกถูกชะตากับอาติมมาก เขาให้อาติมเข้ามาอยู่ที่บ้าน เมื่อนาสซาร่ามีอาการปวดหลังอาติมต้องทำงานคนเดียว เขาดีใจมากที่สามารถทำขนมปังได้ถูกต้องตามสูตร นาสซาร่าจึงยกกิจการให้อาติมดูแล ระหว่างที่อยู่ที่บ้านอาติมต้องคอยดูแลนาสซาร่าด้วย นาสซาร่าชอบอาติมมาก จะขอรับเป็นลูกบุญธรรม เขาขอให้อาติมพาไปพบครอบครัว อาติมจึงพาเขาไปเจอปู่ ปู่บอกให้อาติมยิงนาสซาร่า แต่อาติมแกล้งยิงไปที่อื่น ทำให้ปู่คิดว่าเขาฆ่านาสซาร่าแล้ว จากนั้นอาติมก็เดินจากไปกับปู่ของเขา

ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดเรื่องที่ฉากความแห้งแล้งของทวีปแอฟริกา จากนั้นค่อย ๆ ซูมเข้าไปหาตัวละครเอก โดยการให้ปู่เดินตามหาและเรียกหาตัวละครเอก (Atim) เพื่อแนะนำตัวละครเอก และให้ตัวละครเอกเป็นคนเล่าเรื่องในตอนเริ่มเรื่อง

ตัวละครทุกตัวมีส่วนกระตุ้นให้เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ และมีผลต่อการตัดสินใจของตัวละครเอก ไม่ว่าจะเป็น ปู่ นาสซาร่า หรือแม้แต่ภรรยาของนาสซาร่า ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของอาติม เช่น ปู่ทำให้อาติมเกิดความแค้นนาสซาร่า นาสซาร่าทำให้อาติมลังเลและไม่กล้าฆ่านาสซาร่า และภรรยาของนาสซาร่าที่พูดเกลี้ยกล่อมให้อาติมพานาสซาร่าไปพบกับปู่ ซึ่งนำไปสู่จุดไคลแม็กซ์


การตั้งชื่อเรื่องว่า Daratt (Dry Season) นั้นสอดคล้องกับสภาพภูมิศาสตร์ของแอฟริกาและเนื้อเรื่องเป็นอย่างดี เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นในฤดูแล้ง และตลอดทั้งเรื่องนั้นจะเห็นได้ว่ามีฉากต่าง ๆ ที่แสดงให้เห็นถึงความร้อนความแห้งแล้ง ไม่ว่าจะเป็นภูมิประเทศที่แห้งแล้ง บ้านเรือน แสงแดด ตัวละครมีส่วนช่วยในการบ่งบอกว่าอากาศนั้นเป็นอย่างไร จะเห็นได้จากเหงื่อที่ไหลออกมาตลอดเวลาที่อาติมและนาสซาร่าทำขนมปัง และยังสื่อถึงความร้อนที่อยู่ในใจของอาติมด้วย


นอกจากนี้ยังมีสารจากภาพยนตร์ที่ต้องการสื่อถึงคนดู เช่น ปู่ที่ตาบอด เป็นตัวแทนของคนรุ่นเก่า ที่ยังยึดติดอยู่กับความแค้น ไม่ยอมให้อภัย การที่ตาบอดนั้นเหมือนเป็นการไม่ยอมเปิดใจ และไม่รับความคิดใหม่ ๆ ส่วนอาติมเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ ซึ่งเห็นได้จากการแต่งตัวที่สวมกางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ และที่อาติมให้อภัยนาสซาร่า อาจเป็นเพราะว่าความแค้นของอาติมไม่ได้เป็นความแค้นจริง ๆ เป็นเพียงความแค้นของปู่ที่ใส่มาในตัวของอาติม ปู่ปลูกฝังความแค้นซึ่งอาติมไม่สามารถเข้าใจมันได้จริง เพราะอาติมไม่ได้เห็นเหตุการณ์ และเขาก็ไม่เคยรู้จักพ่อด้วย แต่นาสซาร่าสอนสิ่งที่จับต้องได้ให้กับอาติม อาติมสามารถเห็นได้จริง คือตอนที่อาติมสามารถทำขนมปังได้สำเร็จตามสูตร และด้วยเหตุนี้ทำให้เกิดความขัดแย้งในตัวละคร


ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์คือ ความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับจิตใจของมนุษย์เอง ตัวละครเอกคือ อาติม เกิดความขัดแย้งภายในใจของตัวเอง เป็นเพราะว่าสิ่งที่ปู่ปลูกฝังมานั้นไม่ตรงกับสิ่งที่เขาได้พบ ทั้ง ๆ ที่เขามีโอกาสฆ่านาสซาร่าหลายครั้ง แต่เขาก็ลังเลและไม่กล้าที่จะทำ นาสซาร่าที่เขาเจอนั้นเป็นเพียงชายแก่ธรรมดา จึงเกิดเป็นปมในใจว่าเขาควรจะฆ่าคน ๆ นี้หรือไม่


ภาพยนตร์เรื่องนี้มีการนำเสนอแบบตรง ๆ ไม่ต้องตีความมากนัก ใช้สีได้อย่างกลมกลืน สีเสื้อผ้าโทนหม่น ช่วยให้คนดูเข้าถึงอารมณ์ของภาพยนตร์ได้ง่ายขึ้น แต่ภาพยนตร์ก็สื่อถึงความรุนแรงตรงที่ตัวละครพกปืน ส่วนที่ดิฉันชอบในภาพยนตร์เรื่องนี้คือ เนื้อเรื่อง เพราะเนื้อเรื่องนั้นสามารถเข้าใจได้ง่าย ให้แง่คิดที่เกี่ยวกับความแค้นและการให้อภัย อีกอย่างหนึ่งที่ดิฉันชอบคือจุดไคลแม็กซ์ของเรื่อง อาติมเลือกการให้อภัย เขาแกล้งยิงปืนไปที่อื่น เพื่อหลอกปู่ที่ตาบอดของเขาว่าเขาฆ่านาสซาร่าแล้ว ปู่ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเขาไม่ได้ฆ่า ซึ่งเป็นการปิดเรื่องที่ดีมาก