วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

SHINE ขอบคุณที่สวรรค์ไม่ลำเอียง

สุฤดี



SHINE ภาพยนตร์เชื้อสายออสเตรเลียที่สร้างขึ้นในปี 1996 เล่าถึงเรื่องราวของนักเปียโนชาวออสเตรเลียชื่อ เดวิด แฮล์ฟกอท ผู้ซึ่งต้องประสบกับชะตากรรมอันโหดร้ายและความล้มเหลวในชีวิตหลายต่อหลายครั้ง ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยม จาก Academy Award

SHINE เรื่องราวของ เดวิด ชายผู้ซึ่งเกิดมาเพื่อเล่นเปียโน เปียโนเปรียบเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของเขา เขาฝึกเล่นเปียโนตั้งแต่ยังเด็ก โดยมีพ่อเป็นครูคนแรกของเขา เขาจึงใกล้ชิดกับพ่อมาก และพ่อของเขาก็พยายามปลูกฝังให้เขารักครอบครัวโดยไม่มีข้อแม้ เขาเป็นเด็กที่มีพรสรวรรค์ในการเล่นเปียโนมาก ครั้งหนึ่งเขาเคยประกวดเล่นดนตรี แต่เขาไม่ได้รับรางวัล แต่หนึ่งในกรรมการกลับมาชวนให้เขาไปเรียนเล่นเปียโนด้วย จากนั้นเขาก็เริ่มเล่นและเรียนเปียโนอย่างจริงจัง และไปประกวดดนตรีอีกครั้ง ครั้งนี้เขาได้เป็นแชมป์ที่เด็กที่สุดและได้ทุนไปเรียนต่อที่อเมริกา ระหว่างนั้นเขาได้พบกับนักเขียนหญิงผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นบุคคลที่เขาเคารพรักเปรียบเสมือนแม่คนหนึ่งในเวลาต่อมา แต่ด้วยความที่พ่อของเขากลัวว่าเขาจะลืมครอบครัว พ่อของเขาจึงไม่ยอมให้เขาไปอเมริกา เขารู้สึกเสียใจและเก็บกดมาก ต่อมาเขาได้เข้าแข่งขันเล่นเปียโนอีกครั้งแต่ครั้งนี้เขาได้เพียงรองชนะเลิศ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ได้ทุนไปเรียนต่อที่โรงเรียนดนตรีในลอนดอน ครั้งนี้เขาตัดสินใจขัดคำสั่งของพ่อเพื่อทำตามความต้องการของตนเอง เขาจึงออกจากบ้านไปหลังจากมีปากเสียงกับพ่อและไปเรียนที่โรงเรียนดนตรีแห่งนั้น ที่โรงเรียน มีครูคนหนึ่งมองห็นในความสามารถพิเศษของเขา จึงช่วยสอนให้เป็นพิเศษ เขาบอกกับครูว่าเขาจะเล่นเพลง แรคเมนีนอฟ ซึ่งเป็นเพลงที่ยากมากและเขาอยากเล่นตั้งแต่เด็ก อีกทั้งพ่อของเขาก็ยังอยากให้เขาเล่นเพลงนี้ได้ ครูจึงได้สอนวิธีการเล่นเพลงนี้ให้แก่เขา ก่อนถึงวันประกวดเพียงไม่กี่วัน เขาได้ทราบข่าวร้าย นั่นก็คือ นักเขียนผู้เป็นเสมือนแม่แท้ๆของเขาได้เสียชีวิตลง ถึงวันประกวดดนตรี เขาเล่นเพลงนี้ได้ดีมาก แต่ยังไม่ทันได้ยินเสียงปรบมือ เมื่อจบเพลง เขาก็ช็อคหมดสติไป

หลังจากนั้นเขาก็ไม่เหมือนเดิม เขากลายเป็นเหมือนผู้ป่วยทางจิต ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาโทรศัพท์กลับบ้าน แต่พ่อยังไม่ให้อภัยเขา หลังจากนั้นเขาก็อยู่ที่โรงพยาบาล และเขาได้พบกับหญิงนักดนตรีคนหนึ่งซึ่งรู้จักและชื่นชมในตัวเขา เขาได้สอนเธอเล่นเปียโน ด้วยความถูกชะตาและชอบในสิ่งเดียวกัน ทำให้เธอรับเดวิดไปอยู่ด้วย แต่หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ไม่สามารถรับภาระในการเลี้ยงดูคนป่วยที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้อย่างเดวิดอีกต่อไป เธอจึงส่งเขาไปอยู่กับชายผู้หนึ่ง ต่อมาเดวิดได้พบกับซิลเวีย หญิงสาวเจ้าของร้านอาหาร เขาได้ไปเล่นเปียโนที่ร้านของเธอและอาศัยอยู่กับเธอหลังจากนั้น พ่อของเขากลับมาหาเขาและย้ำคำพูดที่ว่า “ไม่มีใครรักแกเท่าพ่อ” ก่อนเดินจากไป ต่อมาเขาได้พบกับเพื่อนของซิลเวีย เขาและเธอถูกชะตากันมาก เดวิดได้ขอเธอแต่งงาน แต่เธอนั้นมีคู่หมั้นอยู่แล้ว แต่ในท้ายที่สุดเธอก็ตัดสินใจกลับมาแต่งงานและดูแลเดวิด เขาได้ขึ้นคอนเสริตอีกครั้ง ครั้งนี้เขาเรียกเสียงปรบมือจากผู้ชมได้อย่างท่วมท้น และเขาก็ได้ใช้ชีวิตกับคนที่เขารักและสิ่งที่เขารักอย่างมีความสุข

ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดฉากด้วยตัวละคร ซึ่งเมื่อดูต่อมาก็จะรู้ได้ว่าตัวละครนั้นคือเดวิด ตัวละครเอกของเรื่อง ทำให้เป็นที่สังเกตว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้น่าจะให้ความสำคัญกับตัวละครเป็นหลัก การดำเนินเรื่องมีการตัดภาพไปมาระหว่างภาพในอดีตกับปัจจุบัน โดยเริ่มจากการเปิดฉากตัวละครเอกในตอนกลางเรื่องใกล้จะจบ ทำให้ผู้ชมอยากรู้ว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร เหตุใดตัวละครจึงต้องประสบกับชะตากรรมเช่นนั้นอีกทั้งยังต้องลุ้นว่าจะจบอย่างไร หลังจากนั้นก็ย้อนไปเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นว่าเหตุการณ์ในเรื่องนั้นดำเนินมาเช่นไร และให้ผู้ชมคอยติดตามเรื่อง

ฉากต่างๆในเรื่องก็มีความหมายและสัญลักษณ์สอดแทรกอยู่ตลอดทั้งเรื่อง เช่น ฉากเปิดเรื่อง ซึ่งถือว่ามีความสำคัญมาก เปิดด้วยตัวละครบนพื้นสีดำ แสดงให้เห็นถึงความหม่นหมอง ความมืดมิดและการต่อสู้ซึ่งก็สามารถเล่าเรื่องราวได้เป็นอย่างดี อีกฉากหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ ฉากที่เดวิดอยู่ในอ่างอาบน้ำ ก๊อกน้ำที่ปิดไม่สนิทและมีน้ำหยดตลอดเวลานั้น เปรียบได้กับความกดดันของเดวิดที่สามารถปะทุออกมาเมื่อไรก็ได้ และเขาก็ใช้วิธีระบายความกดดันนั้นโดยการถ่ายในอ่างอาบน้ำ ทำให้พ่อของเขาอาบน้ำต่อไม่ได้ แสดงถึงการต่อต้านและการที่เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

พฤติกรรมของตัวละครในเรื่องนี้ถือเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก พ่อของเดวิดซึ่งเป็นผู้ที่ทำให้เขารักในการเล่นดนตรี แต่กลับขัดขวางไม่ให้เขาเดินไปตามความต้องการ ซึ่งสามารถอธิบายได้ว่า พ่อของเขาเพียงต้องการให้เดวิดเป็นตัวแทนของตนเท่านั้น เพราะตนเองไม่สามารถที่จะทำตามความฝันในการเล่นดนตรีได้ เขาจึงฝากความฝันและความหวังทั้งหมดไว้ที่เดวิด แต่เมื่อเดวิดจะต้องจากเขาไปเพื่อทำตามความฝันของตนเองบ้าง เขาก็กลับไม่สนับสนุนอีกทั้งยังขัดขวาง เพราะกลัวว่าเดวิดจะลืมเขา จะเห็นได้ว่าพ่อของเดวิดพยายามปลูกฝังเดวิดอยู่เสมอว่าไม่มีใครรักและจริงใจกับเขาเท่ากับพ่อและครอบครัวอีกแล้ว แสดงให้เห็นว่าความรักที่พ่อมีให้เดวิดนั้น ยังมีความเห็นแก่ตัวซ่อนอยู่ภายใน

เดวิดก็เป็นอีกตัวละครหนึ่งที่มีพฤติกรรมที่น่าสนใจมากทีเดียว เนื่องจากเขาเป็นเด็กที่รับการเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิดจากผู้เป็นพ่ออีกทั้งพ่อยังฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เขา จึงทำให้เขาดูเหมือนเป็นเด็กที่ค่อนข้างอ่อแอ และเก็บกด และความเก็บกดนั้นก็ถูกแสดงออกมาในรูปแบบต่างๆ เช่น การถ่ายในอ่างอาบน้ำและสุดท้ายเขาก็ทนไม่ไหวจนต้องออกจากบ้านมาใช้ชีวิตของตนเอง และหลังจากที่เขาช็อคไป พฤติกรรมของเขาก็แสดงถึงสัญลักษณ์บางอย่าง เช่น จะสังเกตเห็นได้ว่า เขาสูบบุหรี่ตลอดเวลา เนื่องจากเขาหัดสูบบุหรี่ตั้งแต่เขาได้พบกับนักเขียนหญิงซึ่งเขารักเสมือนแม่ การสูบบุหรี่ของเขาจึงอาจแสดงให้เห็นถึงว่า เขายังคิดถึงนักเขียนคนนั้นตลอดเวลา และยังเป็นเสมือนการหาทางออกให้กับชีวิตอันหม่นหมองของเขาอีกด้วย พฤติกรรมอีกอย่างหนึ่งของเขาก็คือ เขามักจะนำโน้ตเพลงไปแช่ในอ่างอาบน้ำ หรือสระว่ายน้ำ ซึ่งอาจแสดงให้เห็นถึงความผูกพันระหว่างเขากับดนตรี และน้ำแสดงถึงสิ่งที่สามารถชำระล้างและระบายความทุกข์ออกไปได้

แก่นเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ที่การประสบความสำเร็จของตัวละครนำ ซึ่งก็คือเดวิด เรื่องนี้ต้องการจะสื่อให้เห็นว่า การประสบความสำเร็จของคนเรานั้นไม่ได้ตัดสินจากคนรอบข้างเสมอไป หากแต่ความสำเร็จนั้นขึ้นอยู่ที่จิตใจของเราเอง ว่าเราพอใจในสิ่งที่เราทำและเป็นอยู่มากน้อยแค่ไหน หากเราพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ นั่นก็ถือว่าเราประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว ซึ่งก็สอดคล้องกับชื่อเรื่อง SHINE แสดงถึงความสดใสในชีวิตของเดวิด ตัวละครเอกของเรื่อง ว่าเขามีชีวิตที่สว่างสดใสหลังจากต้องผ่านอดีตอันหม่นหมองและความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า

Shine


ปิยะฉัตร


Shine เป็นหนังที่เล่าเรื่องราวของ เดวิด ผู้ที่หลงใหลในการเล่นเปียโน และมีเปียโนที่เปรียบเสมือนชีวิตของเขา เขามีพ่อเป็นครูคนแรกที่สอนเปียโนให้เขา เเต่ด้วยความที่พ่อของเขามีความฝันที่จะเป็นนักดนตรีแต่ไม่ประสบความสำเร็จ เมื่อความฝันของพ่อถูกปิดตาย เดวิดต้องเปรียบเสมือนตัวแทนของพ่อ พ่อของเขาให้ซ้อมเปียโนอย่างเอาเป็นเอาตาย และสอนเขาว่าจะต้องเป็นผู้ชนะ เขาต้องฝึกซ้อมเปียโนด้วยความกดดันทุกวันต่อจากนั้นเขาก็เข้าประกวดเปียโนเป็นครั้งแรก ผลการแข่งขันปรากฎว่าเขาได้เพียงรางวัลรองชนะเลิศ


โรเซนครูสอนเปียโนจึงเข้ามารับช่วงต่อ แต่ความกดดันจากความฝันอันยิ่งใหญ่ก็ยังไม่ได้หายไปแม้แต่น้อย จนเมื่อครั้งหนึ่ง ไอแซก สเติร์น นักไวโอลินผู้ยิ่งใหญ่เสนอทุนฯไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา แต่เขากลับถูกปฏิเสธจากพ่อ หลังจากนั้นเขาได้พบกับนักวรรณกรรมหญิงสาวชาวรัสเซีย แต่ความฝันของเดวิดก็ไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้ ด้วยความสามารถและพรสวรรค์อันโดดเด่นของเขา จึงทำให้ Royal College of Music ที่กรุงลอนดอน ให้ทุนเรียนต่อทางด้านดนตรี เดวิดจึงเกิดความลังเลเกิดขบถต่อพ่อด้วยคำแนะนำของนักวรรณกรรมหญิงเชื้อสายรัสเซีย เคธรีน เพื่อนเพียงหนึ่งเดียวของเดวิด เดวิดจึงมั่นใจว่า เขาเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ชีวิตตัวเขาเองได้ถึงแม้ว่า จะต้องตัดพ่อตัดลูกตั้งแต่นั้นเป็นมา


เขาได้หัดฝึกซ้อม เพลงแรคเมนีนอพ ซึ่งนับว่าเป็นเพลงที่ยากมากและไม่มีใครกล้าที่จะเล่เขาฝึกซ้อมอย่างชำนาญและเล่นได้เป็นอย่างดี เพื่อที่จะประกวด ก่อนหน้าการประกวดพียงไม่กี่วัน เขาทราบข่าวร้ายว่านักวรรณกรรมหญิงสาวชาวรัสเซียเสียชีวิต ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นแม่ของเข เขารูสึกเสียใจ เมื่อ เขาเข้าประกวด ก่อนเสียงปรบมือจะดังขึ้น เขาก็ล้มสติแตก

หลังจากนั้นเขาก็เป็นคนสติไม่ดี ต้องเข้าไประรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ในระหว่างนั้นเองเขาได้พบกับผู้หญิงอีกหนึ่งคน เขาได้เลี้ยงดูเดวิด เขาได้ไปพบกับซิลเวียเพื่อนสมัยเด็กในร้านอาหาร เขาได้ไปเล่นเปียโนในร้านอาหารทุกคืน จนได้พบกับเพื่อนของซิลเวียและแต่งงานกัน เขาดูแลเอาใจใส่ให้เดวิดลุกขึ้นยืนได้อีกครั้งหนึ่งซึ่งได้มอบความรักอันแท้จริงให้กับเดวิด หลังจากนั้นเขาก็ยังคงเล่นดนตรีทุกค่ำคืนอย่างมีความสุข พร้อมเสียงปรบมือของผู้ชม สุดท้ายเขาก็ไปที่สุสานที่เป็นหลุมฝังสพของพ่อเพื่อบ่องบอกว่าพ่ออยู่ในใจเขาเสมอ

การเปิดฉากของหนังเรื่องนี้เป็นการนำฉากตอนเกือบจะจบของเรื่องมา นั่นเป็นสิ่งที่น่าสนใจเนื่องจาก ทำให้ผู้ชมเกิดความสนใจ และอยากที่จะติดตามภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าจะดำเนินไปในทิศทางใด ภาพที่เห็นในเรื่องเป็นการดำเนินเรื่องแบการเล่าถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันและเหตุการณ์ในอดีตย้อนไปย้อนมา โดยเรื่องนี้มีการกำหนดให้ตัวละคร คือ เดวิดเป็นตัวดำเนินเรื่อง ซึ่งเดวิดจะเป็นตัว ละครที่คลายปมปัญหาและเหตุการณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ทั้งหมด
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการสื่อให้เห็นถึงเรื่องราวความรักของพ่อที่มีความรักต่อครอบครัว แต่จุดสำคัญของเรื่องนี้ เป็นความรักชนิดที่เรียกว่ารักอย่างไม่มีเหตุผล แต่เป็นการรักอย่างทำลายล้าง พ่อของเดวิดอ้างความเป็นเผด็จการในการแสดงออกถึงความรัก โดยให้ลูกเปรียบเสมือนตัวแทนของตนเอง เขายัดเยียดความต้องการของตนเองไว้กับเดวิดที่เคยอยากเรียนดนตรี โดยฝากความฝันไว้กับลูกต้องเป็นผู้ชนะ

ภาพยนตร์เรื่องนี้มีสัญลักษณ์ที่บ่งบองเนื้อหาในเรื่องอย่างชัดเจนนั่นคือ การเริ่มเรื่องมีรูปหน้าตัวละคร อยู่บนพื้นสีดำ แสดงถึง ความหม่นหมอง ความเศร้าที่เกิดขึ้นกับตัวละคร ในห้องน้ำก๊อกน้ำที่ปิดไม่สนิทมีน้ำหยดอยู่ตลอดเวลานั่นแสดงให้เห็นว่า ความกดดันที่มีอยู่ตลอดเวลา ในอ่างอาบน้ำเดวิดถ่ายลงในอ่างอาบน้ำแสดงให้เห็นว่า เขาไม่สามารถจะควบคุบตัวเองไม่ได้แล้วเพราะเขาแบกรับการกดดันไม่ไหวแล้ว หนังฉายภาพการกลับมาของเดวิดแบบสนุกสนาน พูดจาเร็ว ฟังไม่ได้ศัพท์ ยิ้มและเริงร่าหัวเราะตลอดเวลาเหมือนเป็นการชดเชยที่ไม่เคยทำแบบนั้นมาหลายสิบปี
ภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่ามีการสร้างความแข็งแกร่งบนความอ่อนแอ การใช้ดนตรีในการสื่อสารดีกว่าการใช้ภาษา การแสดงออกด้วยความรักที่ทำลายล้างไม่ใช่ความรักอย่างแท้จริง แต่ความรักที่แท้จริงคือความรักที่สร้างสรรค์ มันจะเป็นพลังให้กับมนุษย์ทุกคนเหมือนกับตายแล้วเกิดใหม่

ชายน์ โชคดีที่สวรรค์ไม่ลำเอียง (Shine)


ปิยะนุช



ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ฮอลีวู๊ด ที่สร้างในปี1996 นำแสดงโดย Geoffrey Rush,Noah TaylorและArmin Mueller-Stahl กำกับภาพยนตร์โดย Scott Hicks และมีJane scott เป็นโปรดิวส์เซอร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมในหลายสาขา เช่น นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม เป็นต้น เรื่องราวการดำเนินชีวิตของตัวละครเอกมีที่มาจากชีวิตจริงของนักเปียโนชาวออสเตรเลีย ผู้มีปัญหาทางจิต David Helfgott จากความมืดมิดของชีวิตในวันวาน สู่ความสำเร็จในที่สุด

ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดฉากด้วยสีดำบนพื้นหลัง สะท้อนถึงความมืดมนในชีวิตของชายคนนี้ ที่มีชายผู้หนึ่งซึ่งต่อมาจะทราบว่าคือตัวเดวิดเอง ออกมาพูดข้อความบางอย่างด้วยลักษณะการพูดที่สามารถทราบได้ว่าเป็นอาการของคนไม่ปกติ คือจะพูดติดๆขัดๆซ้ำไปซ้ำมา ต่อมาเป็นฉากร้านอาหารที่มีผู้ชายใส่แว่นอาการคล้ายคนวิกลจริตวิ่งมาเคาะกระจกหน้าร้าน ภายในร้านมีพนักงานที่นั่งพักผ่อนอยู่หลังจากที่ร้านปิด ภาพยนตร์เรื่องนี้มีการตัดภาพสลับไปมาระหว่างช่วงเวลาเด็กกับช่วงเวลาที่เป็นปัจจุบัน เดวิดเป็นเด็กชายที่เกิดมาในครอบครัวเดี่ยวครอบครัวหนึ่ง ประกอบด้วยพ่อ แม่ พี่สาว เดวิด น้องสาวและน้องเล็กๆอีกคนหนึ่ง ครอบครัวนี้มีพ่อที่เข้มงวดมาก เรียกได้ว่าเป็นคนที่ยึดติดกับความคิดของตัวเองมากและยึดติดกับสภาพที่เป็นอยู่ เคยเป็นอย่างไรก็ต้องการให้เป็นเช่นนั้นตลอดไป มีแม่ที่เป็นผู้ตามอย่างแท้จริง คือไม่มีปากมีสียง ถึงแม้จะรู้สึกว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ถูกต้องหรือไม่ควรจะเกิดขึ้นแต่ก็ไม่กล้าที่จะโต้แย้ง ส่วนลูกๆทุกคนก็ยิ่งไม่มีสิทธ์ที่จะขัดขืน

เดวิดเด็กชายผู้ซึ่งมีความสามารถในการเล่นเปียโน เนื่องจากถูกฝึกฝนและเคี่ยวเข็นโดยผู้เป็นพ่อที่ต้องการให้บุตรชายเป็นนักเปียโนอันดับหนึ่ง สังเกตุได้จากเมื่อเดวิดเข้าประกวดครั้งใด พ่อมักจะย้ำว่าต้องชนะเท่านั้น เมื่อผลคือความพ่ายแพ้พ่อก็จะแสดงออกถึงความเครียดและความผิดหวังเป็นอย่างมาก ทั้งหมดนี้เพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปของชีวิตพ่อที่มีความชอบในดนตรีแต่ปู่ของเดวิดไม่สนับสนุน เขาเคยซื้อไวโอลีนมาตัวหนึ่งแล้วปู่ของเดวิดเอาไปทุบทิ้ง เรื่องนี้เขาเล่าให้ลูกชายฟังทุกครั้งที่เขาต้องการให้เดวิดฝึกฝนมากขึ้น โดยให้เดวิดท่องให้ขึ้นใจว่า เขาเป็นเด็กชายที่โชคดีที่สุดที่ได้มีโอกาสเล่นดนตรี

หลายครั้งที่ชัยชนะไม่ได้เป็นของเดวิด แต่ก็มีแมวมองหลายคนมองเห็นในความเป็นอัจฉริยะทางดนตรีของเขาจนทำให้เขาได้รับทุนไปเรียนดนตรีที่อเมริกา แต่แล้วความดีใจของเขาและทุกคนก็ต้องจบลงเมื่อพ่อไม่อนุญาตให้ไป ด้วยเหตุผลที่ว่าถ้าเขาไปจะขาดจากความเป็นครอบครัวที่ทุกคนต้องอยู่ในบ้านเดียวกันอย่างพร้อมหน้า เมื่ออยู่ในอานัสของพ่อมาตลอดครั้งนี้ก็ต้องเป็นเช่นเคย

นักเขียนม่ายชาวรัสเซียคนหนึ่ง เป็นแรงบันดาลใจให้เดวิดกล้าที่จะคิดและทำอะไรนอกกรอบจากที่พ่อของเขาวางไว้ เธอให้ความอบอุ่นและความเป็นเพื่อนกับเขาเหมือนกับว่าเขาเป็นลูกชายคนหนึ่งของเธอ เป็นที่ปรึกษาในเรื่องต่างๆ อาจจะมาจากคนโดดเดียวสองคนที่มาเติมเต็มซึ่งกันและกันอย่างลงตัว คนหนึ่งโดดเดี่ยวตัวคนเดียว ส่วนเดวิดโดดเดี่ยวในความคิด

เมื่อเขาเข้าประกวดอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาได้รับทุนไปเรียนสถาบันดนตรีที่ลอนดอน ไม่ต่างจากครั้งก่อนพ่อของเขาไม่อนุญาต ด้วยเหตุผลเดิม แต่ครั้งนี้เดวิดไม่เหมือนเดิมเขายืนยันที่จะไปลอนดอนให้ได้ด้วยการสนับสนุนของอาจารย์ แต่สิ่งที่เขาต้องแลกคือเขาต้องทิ้งครอบครัวและตัดขาดกับพ่อ

ที่ลอนดอนเขาแสดงความสามารถให้อาจารย์ท่านหนึ่งได้เห็น แล้วมาสนับสนุนเขาอย่างจริงจัง เขาพยายามเล่นเพลงของโรมานินอฟ ซึ่งเป็นเพลงที่ยากจนไม่มีใครกล้าพอที่จะเล่นและเป็นเพลงที่พ่อของเขาปรารถนาให้เขาเล่นได้มานานแล้ว เขาฝึกฝนอย่างหนักจนทำให้สามารถเล่นเพลงนี้ได้อย่างชำนาญ

เดวิดพลาดโอกาสที่จะเห็นความสำเร็จของตัวเอง เนื่องจากเขาหมดสติไปหลังจากที่ประกวดเพลงนี้เสร็จ ด้วยความกดดันที่สั่งสมมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เมื่อตื่นขึ้นมาเขาไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว เขามีอาการทางประสาทจนต้องอยู่ในโรงพยาบาล แต่สิ่งหนึ่งที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงในตัวเขาคือ ความสามารถในการเล่นเปียโน จนทำให้ นักเปียโนในโบสถ์คนหนึ่งรับอุปการะเขา

ด้วยปัญหาทางจิตทำให้เขาไม่สามารถอยู่ร่วมกับใครได้ เนื่องจากสร้างความเดือดร้อน จนกระทั่งพบเพื่อนสมัยเด็กคนหนึ่งที่ร้านอาหารตอนเปิดเรื่อง ซิลเวียรับอุการะเขาไว้และให้เขาไปเล่นเปียโนที้ร้านอาหารที่เธอทำงานอยู่

ไม่นานเดวิดก็ได้แต่งงานกับเพื่อนของซิลเวียและเธอคนนี้ เป็นคู่ชีวิตที่คอยดูแลและผลักดันให้เขาลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง โดยสนับสนุนทุกอย่างที่เดวิดอยากจะทำ จนกระทั่งเขาได้มีคอนเสิร์ตของตัวเองอีกครั้ง ท่ามกลางคนที่เขารักและคนที่รักเขา แม้จะปราศจากพ่อของเขาก็ตามที เดวิดทำในสิ่งที่ตัวเขาต้องการคือเล่นเปียโนด้วยเพลงที่เขาอยากเล่น และได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี ปิดเรื่องด้วยฉากสุสาน ที่เดวิดมาพร้อมกับภรรยาของเขา แสดงนัยให้ผู้ชมรู้ว่าพ่อของเดวิดเสียชีวิตแล้ว แสดงให้เห็นว่าถึงวันที่เขาประสบความสำเร็จอีกครั้ง พ่อก็ยังอยู่ในใจเขาเสมอ

ภาพยนตร์เรื่องนี้มีตัวละครหลายตัวที่น่าสนใจ จนทำให้การดำเนินเรื่องน่าติดตามนอกจากตัวเดวิดแล้ว พ่อของเดวิดก็เป็นตัวละครสำคัญตัวหนึ่งที่ทำให้เกิดเหตุการณ์มากมาย หากพ่อของเขาไม่เป็นคนยึดติดที่ชอบตีกรอบให้คนอื่นเดินตาม เป็นพ่อแบบพ่อทั่วไปที่สนับสนุนในสิ่งที่ลูกต้องการอย่างไม่เข้มงวด เส้นทางชีวิตของเดวิดอาจจะไม่ได้เป็นนักเปียโนก็เป็นได้ แม่ก็ป็นอีกตัวละครหนึ่งที่เป็นสาเหตุให้เดวิดเป็นเด็กเก็บกด ถึงแม้จะรักลูกมากก็ตามแต่ก็ไม่เคยโต้แย้งสิ่งที่พ่อบงการให้ลูกทุกคนทำตาม ภรรยาของเดวิดก็เป็นตัวละครสำคัญที่ทำให้ชีวิตของเขากลับมาสดใสอีกครั้ง ด้วยความรักที่คอยดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีและส่งเสริมในสิ่งที่เดวิดรัก

“ชายน์” มีสัญลักษณ์ที่ทำให้ผู้ชมต้องคิดตามอยู่มาก เช่น เหตุการณ์ที่เดวิดประกวดแพ้จนทำให้พ่อไม่พอใจ เขาเดินตามพ่อกลับบ้านด้วยอาการของเด็กเก็บกด แต่เมื่อผ่านสนามที่เด็กๆใช้เล่นกระโดดกัน ท่าเดินของเขาก็เปลี่ยนเป็นท่าแขยงกระโดดแบบเด็กๆ แสดงถึงธรรมชาติของเด็กที่ถูกกดไว้มานาน จนเมื่อเขามีอาการทางจิต บางช่วงเวลาเขาก็ยังทำอาการเช่นนี้

แว่นตาของพ่อที่แตกแต่ก็ไม่ยอมเปลี่ยน แสดงถึงความเป็นคนยึดติดกับความคิดเดิมๆอยู่กลับกรอบเดิมๆ ซึ่งเป็นนิสัยที่ตัวละครแสดงออกมา

ถุงมือที่นักเขียนที่เขาเคารพรักให้มา เมื่อเขาต้องการฝึกเพลงโรนินอฟ เขาตัดปลายนิ้วทั้ง 5 ออกไปเพื่อความถนัดในการเล่นเปียโน แสดงถึงการยอมสละของที่เขารักเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ เหมือนตอนที่ตัดครอบครัวย้ายมาอยู่ลอนดอน

ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างความประทับใจในหลายแง่มุม ตั้งแต่นักแสดงนำที่สามารถถ่ายทอดบทบาทออกมาได้อย่างดี จนทำให้ผู้ชมเข้าถึงอารมณ์ในช่วงเวลานั้นๆ แต่อาจมีบางแง่มุมที่เข้าใจได้ยาก เช่น เดวิดสูบบุรี่ตลอดเวลาแม้กระทั่งเขาจะมีอาการทางจิตแล้วก็ตาม หรือจะเป็นสาเหตุที่เขาชอบจับหน้าอกผู้หญิงที่มีปรากฎในหลายฉาก แต่โดยรวมแล้วชายน์เป็นภาพยนตร์ที่น่าชมเรื่องหนึ่ง เพราะสะท้อนให้เห็นความไม่สมบูรณ์ในชีวิต ที่ตามความเป็นจริงแล้วก็มีอยู่ชีวิตทุกคน เป็นสัจธรรมที่ว่าเมื่อฝนซา ฟ้าจะใส ไม่มีอะไรเลวร้ายตลอดไป เมื่อมีโชคร้ายก็จะมีโชคดีตามมา สมกลับชื่อ ชายน์ โชคดีที่สวรรค์ไม่ลำเอียง