วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2551

พิลึกพิลั่น มหัศจรรย์สิ่งก่อสร้าง


พิลึกพิลั่น มหัศจรรย์สิ่งก่อสร้าง
ไมเคิล ค็อกซ์ เรื่อง
สวลี ศิริผล แปล
พิมพ์ครั้งที่ ๖
สำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์
๑๖๐ หน้า ภาพประกอบ
๑๑๕ บาท


พิลึกพิลั่น มหัศจรรย์สิ่งก่อสร้างเป็นหนึ่งในหนังสือชุดเรื่องน่ารู้ โหด มัน ฮา ที่สำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์ได้รับลิขสิทธิ์การแปลจากประเทศอังกฤษ ถ่ายทอดความรู้โดย ไมเคิล ค็อกซ์ นักเขียนหนังสือเด็กและผู้สนใจในสิ่งก่อสร้างทั่วทุกหนทุกแห่ง


“ในโลกนี้มีสิ่งก่อสร้างแปลกพิสดารอยู่มากมาย แต่ละแห่งชวนตื่นตาน่าพิศวง ทั้งที่ขนาดมหึมาน่าเกรงขาม และที่งดงามจนทำให้ตาพร่าพราย สิ่งก่อสร้างบางแห่งก็ซ่อนปริศนาที่น่าขบคิด” การที่จะไปชมสิ่งก่อสร้างชวนตะลึงทั้งหมดในโลกได้คงเป็นเรื่องที่ยากเกินไป เพราะเราคงจะต้องเสียค่าตั๋วเครื่องบินมหาศาล แต่หนังสือเล่มนี้สามารถพาเราไปรู้จักและสัมผัสความอัศจรรย์ของสิ่งก่อสร้างเหล่านั้นได้ง่ายๆอย่าง “เจาะลึกถึงอิฐทุกก้อน ไม้ทุกแผ่น” เป็นการพา “ทัวร์จินตนาการ” ที่เสียเงินเพียงร้อยกว่าบาทแต่ได้ความรู้กลับมาเต็มอิ่ม

เราเคยสงสัยหรือไม่ว่าบรรดาสิ่งก่อสร้างอันยิ่งใหญ่ทั้งหลายในโลกของเรานั้น ตั้งแต่แรกมาตั้งอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร ใครคิดสร้างขึ้นมา มีวิธีการสร้างอย่างไร สร้างเพื่ออะไร และทำไมจึงมีรูปร่างอย่างที่เห็น หรือเราอาจเคยสงสัยว่า ทำไมหอเอนปิซ่าจึงเอน เมื่อไหร่มันจะหยุดเอน เทพีเสรีภาพเป็นใคร ทำไมถึงได้มาเป็นสัญลักษณ์ของประเทศอเมริกา และเราคงไม่รู้ว่า มีคนที่กลัวผีมากเสียจนต้องสร้างบ้านที่มี ๑๖๐ ห้อง เพื่อให้ผีงงเลือกหลอกไม่ถูก พระราชวังใดที่มีห้องถึง ๑,๓๐๐ ห้อง และมีคนอยู่ตั้ง ๒๐,๐๐๐ คน แต่กลับไม่มีห้องน้ำ คำตอบของคำถามเหล่านี้อยู่ในพิลึกพิลั่น มหัศจรรย์สิ่งก่อสร้างเล่มนี้

วินสตัน เชอร์ชิลล์ นักการเมืองชื่อดังของอังกฤษเคยกล่าวว่า “เราสร้างอาคาร เพื่อให้อาคารนั้นสร้างเรา” สิ่งก่อสร้างนั้นมีผลอย่างมากต่อผู้ที่อยู่อาศัยหรือแม้แต่ผู้ที่สัญจรผ่านไปมา หากเรารู้สึกพอใจกับความงามของอาคารแล้ว เราก็จะยิ่งเป็นสุขมากขึ้นเมื่อได้มีโอกาสเข้าไปพำนักในนั้น ด้วยเหตุนี้การสร้างสิ่งก่อสร้างให้งดงามและเป็นที่พึงพอใจของผู้คนจึงเป็นเรื่องธรรมดาในหมู่มวลมนุษย์

วิทยาการการสร้างสถาปัตยกรรมของมนุษย์พัฒนาขึ้นมานับตั้งแต่ก่อนคริสตกาลที่ชาวกรีกโบราณได้สรรค์สร้าง “วิหารพาร์ธีนอน”อันยิ่งใหญ่ เพื่อสักการะ อธีนา เทพีแห่งสงครามและปัญญาที่พวกเขาเคารพ จนกระทั่งชาวโรมันสามารถคิดค้นส่วนผสมที่เรียกว่า คอนกรีต จนสร้างสนามประลองยุทธแห่งตำนาน “โคลอสเซียม”ขึ้นสำเร็จ

ประเทศต่างๆทั่วทุกมุมโลก บรรดาเจ้านายชั้นสูงหรือขุนนางที่มีทรัพย์สินเงินทองมากต่างก็ต้องการสร้างสิ่งก่อสร้างอันยิ่งใหญ่เพื่อแสดงถึงศักยภาพของตนเอง รวมไปถึงผู้คนตามดินแดนต่างๆที่ตั้งรกรากสร้างที่อยู่อาศัยบนพื้นที่ต่างกันไป ทำให้มีสิ่งก่อสร้างถูกสร้างขึ้นมากมายหลายรูปแบบ มีทั้งน่าประหลาดใจ อย่างเช่นบ้านหลายสิบหลังที่ตั้งอยู่บนเสาขนาดใหญ่กลางทะเลที่ “พอร์ตมอเรสบีย์ นิวกินี” และน่าทึ่งอย่าง “พระราชวังแวร์ซายส์” วังที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป
สิ่งก่อสร้างในโลกเรายังมีข้อเท็จจริงอีกมากมายรอการนำเสนอ ข้อมูลที่แปลกแต่จริงเกี่ยวกับเบื้องหลังการสร้าง งบประมาณที่ใช้จนบานปลาย ทำเลก่อสร้างที่ไม่น่าจะทำได้ หรือความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ของวิศวกรและช่างก่อสร้างที่เราอาจจะยังไม่เคยรู้ หรือบ่อยครั้งก็รู้แค่เท่าที่เห็น

หนังสือเล่มนี้จะพาเราไปรู้จักสิ่งก่อสร้างต่างๆอย่างเจาะลึก โดยมีกลวิธีการนำเสนอเป็นลำดับทีละสถานที่ เสนอข้อเท็จจริงด้วยการสร้างเรื่องราวปนอารมณ์ขันในรูปแบบต่างกันไป เช่นในรูปแบบคำถามให้ผู้อ่านทายข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ว่าข้อไหนจริงข้อไหนเท็จ หรือเป็นรูปแบบใบปลิวโฆษณาสถานที่ในเชิงขบขัน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีภาพประกอบของสิ่งก่อสร้างเพื่อให้เกิดจินตนาการที่ชัดเจนมากขึ้น และภาพประกอบที่เป็นการ์ตูนเพื่อสอดแทรกมุขตลกเชิงเสียดสีเล็กน้อย ช่วยให้หนังสือเล่มนี้ประกอบครบทุกรสชาติสมกับเป็นหนังสือในชุด “โหด มัน ฮา”

ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถเป็นสถาปนิกมีชื่อ หรือวิศวกรมือฉมังได้เพียงอ่านหนังสือเล่มนี้จบ แต่เราก็สามารถเข้าใจโครงร่างของสิ่งก่อสร้างได้ง่ายๆ ตั้งแต่ฐานรากกำแพงเมืองจีนจนถึงยอดตึกเอมไพร์สเตท ผิวทองแดงของเทพีเสรีภาพเข้าไปยังโครงเหล็กอันซับซ้อนของหอไอเฟล

แม้ว่าในยุคสมัยก่อนที่สิ่งก่อสร้างทั้งหลายถูกสร้างขึ้นจะยังไม่มีเครื่องมือสมัยใหม่เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการก่อสร้างก็ตาม แต่สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ก็แสดงถึงความสามารถและปัญญาอันชาญฉลาดในด้านวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมของคนโบราณที่น่าทึ่ง และยังเป็นพื้นฐานความรู้ให้คนรุ่นหลังนำมาประยุกต์ใช้ แม้กระทั่งสิ่งก่อสร้างยุคปัจจุบันก็ยังคงดำเนินตามรูปแบบการก่อสร้างยุคก่อนอยู่ โดยเฉพาะรูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่ชื่อว่า แบบคลาสสิก ของชาวกรีกและชาวโรมันโบราณที่มีอิทธิพลต่อสถาปัตยกรรมในยุโรปและอเมริกามาเป็นเวลานาน

คนรุ่นหลังอย่างเราคงไม่มีโอกาสย้อนเวลากลับไปชื่นชมความอลังการของสิ่งก่อสร้างในอดีตได้อีกแล้ว แต่เรายังคงมีโอกาสชื่นชมความยิ่งใหญ่ผ่านตัวอักษรและภาพที่ยังคงปรากฏอยู่ในความทรงจำของใครต่อหลายคนและจะกลายมาเป็นความทรงจำที่มีคุณค่าภายในใจของเราด้วย ภาย หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้ อย่างน้อยเราก็พึงระลึกได้ว่าบรรพบุรุษของเราเคยสร้างหลักฐานอะไรเพื่อแสดงถึงความเกรียงไกรไว้ให้กับโลก

อารยา

บันทึกลักนักสืบน้อย

บันทึกลักนักสืบน้อย
ชัยกร หาญไฟฟ้า
ปีพิมพ์ : ๒๕๕๑
สำนักพิมพ์แพรวเยาวชน
๑๗๕ หน้า ภาพประกอบ
๑๒๕ บาท

หลายคนคงรู้จักนวนิยายสืบสวนสอบสวน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนวนิยายแปลจากตะวันตก เนื้อหาของนวนิยายประเภทนี้จะต้องเต็มไปด้วยความน่าตื่นเต้นชวนให้พิศวง ผู้เขียนจะต้องมีการสร้างปมปริศนาที่เข้มข้นเร้าใจ รวมทั้งต้องมีการคลี่คลายอย่างสมจริง จากความยุ่งยากในการสรรค์สร้างนวนิยายประเภทนี้ ทำให้เราไม่ค่อยเห็นนวนิยายแนวสืบสวนสอบสวนที่เขียนโดยนักเขียนไทย หรือไม่เช่นนั้นเนื้อหาส่วนใหญ่ก็ค่อนข้างที่จะเคร่งเครียด เหมาะสำหรับนักอ่านรุ่นใหญ่เท่านั้น แต่สำหรับวรรณกรรมเยาวชนเรื่องบันทึกลักนักสืบน้อย ถือเป็นวรรณกรรมแนวนักสืบที่เปิดโอกาสให้กับนักอ่านรุ่นเยาว์ได้เข้ามามีส่วนร่วมอยู่ในโลกแห่งจินตนาการที่ต้องค้นหาความจริง ซึ่งจะถูกคลี่คลายลงอย่างน่าประทับใจในที่สุด
บันทึกลักนักสืบน้อย เป็นวรรณกรรมเยาวชนแนวนักสืบผลงานการเขียนของคุณชัยกร หาญไฟฟ้า นักเขียนผู้ซึ่งอุทิศเวลาส่วนหนึ่งของชีวิตให้กับการแต่งแต้มจินตนาการในโลกของตัวอักษรจากปลายปากกาของตนเอง ผลงานการเขียนของเขามีทั้งวรรณกรรมเยาวชน นวนิยาย และเรื่องสั้น สำหรับบันทึกลักนักสืบน้อย เป็นวรรณกรรมเยาวชนซึ่งผ่านเข้ารอบสุดท้ายในโครงการประกวดนายอินทร์อะวอร์ด ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๑ ถึงแม้จะไม่ได้รับรางวัลใดๆ แต่ผลงานชิ้นนี้ได้ผ่านมติของคณะกรรมการรอบตัดสินแล้วว่าเป็นวรรณกรรมเยาวชนซึ่งควรค่าแก่การจัดพิมพ์ ทำให้บันทึกลักนักสืบน้อยมีโอกาสออกสู่สายตาผู้ที่รักการอ่านทุกท่านในวันนี้
บันทึกลักนักสืบน้อยเป็นเรื่องราวของนักสืบรุ่นเยาว์ที่ต้องปฏิบัติภารกิจสำคัญร่วมกับนักสืบรุ่นพี่ โดยเรื่องราวมีอยู่ว่า สมาคมนักสืบสยามได้มอบหมายให้นักสืบฝึกหัดรุ่นเยาว์เจ้าของรหัสแมวไทยปฏิบัติภารกิจร่วมกับพี่เสือโคร่งนักสืบวัยรุ่นมืออาชีพ เพื่อตามหาสิ่งที่หายไปจากพิพิธภัณฑ์เด็กกลับคืนมาให้ได้ หนทางในการสืบสวนนั้นเรียกได้ว่าแทบจะมืดมน เพราะเท่าที่สอบสวนจากพยานและพิสูจน์จากหลักฐาน ไม่มีสิ่งไหนที่จะโยงไปถึงการโจรกรรมครั้งนี้ได้เลย แต่ระหว่างที่นักสืบคลี่คลายคดีไปทีละเปลาะ ผู้อ่านก็จะได้รับรู้เรื่องราวกระจ่างขึ้น จนเผลอเอาจริงเอาจังไปกับการสืบสวน และซาบซึ้งกับตอนจบโดยไม่รู้ตัว
บันทึกลักนักสืบน้อยเป็นหนังสือเล่มไม่หนา ใช้เวลาเพียงไม่นานผู้อ่านก็สามารถรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดภายในหนังสือได้ แต่คุณค่าของตัวอักษรที่ถูกจัดวางภายในหนังสือมิได้จบลงเพียงเท่านั้น เพราะบันทึกลักนักสืบน้อยใช่เพียงแต่จะมอบความบันเทิงให้แก่ผู้อ่าน แต่จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้อยู่ที่การแฝงแง่คิดไว้ได้อย่างกลมกลืนไปกับการชวนให้ติดตามเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นทีละฉากทีละตอน ความน่าสนใจอยู่ที่ตอบจบของเรื่อง ซึ่งสร้างความประทับใจให้กับผู้อ่านได้โดยที่ไม่นึกเสียดายกับการตัดสินใจของตัวละครเลยแม้แต่น้อย
บันทึกลักนักสืบน้อย ถือได้ว่าผู้เขียนประสบความสำเร็จในการเขียนวรรณกรรมแนวนักสืบ เพราะทำให้ผู้อ่านไม่สามารถคาดเดาได้ถูกต้องว่าเรื่องราวจะดำเนินต่อไปในทิศทางใด อะไรคือสิ่งที่หายไป ใครเป็นคนขโมย และขโมยไปทำไม ทั้งหมดนี้คือเสน่ห์ของโครงเรื่องแนวสืบสวนสอบสวน ที่เชิญชวนให้ผู้อ่านต้องติดตามเรื่องราวไปตลอดทั้งเล่มจนจบ
หากจะกล่าวถึงในแง่ของความบันเทิง ก็ถือว่าประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน เพราะบันทึกลักนักสืบน้อยสามารถสร้างความเพลิดเพลินให้กับผู้อ่านได้เป็นอย่างดี อีกทั้งมีการสอดแทรกอารมณ์ขันลงไปในลักษณะของตัวละคร ทำให้สัมผัสได้ถึงความมีชีวิตชีวาโดยการจินตนาการภาพตามความรู้สึกนึกคิดของตัวละคร นอกจากนี้ตัวละครเสริมที่ถูกสร้างขึ้นมาก็สามารถช่วยสร้างรอยยิ้มให้กับผู้อ่านได้เป็นอย่างดีทำให้เราสามารถจินตนาการภาพถึงตัวละครตัวนั้นได้โดยไม่ต้องสงสัยเลยว่า เพราะเหตุใดผู้เขียนจึงเลือกที่จะสร้างตัวละครตัวนี้ขึ้นมา
ลีลาการใช้ภาษาที่ผู้เขียนใช้ในหนังสือเล่มนี้ ก็เป็นภาษาง่ายๆ อ่านแล้วสามารถจินตนาการภาพตามได้ถึงสภาพเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น มีการนำเอาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวนสอบสวน ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์แห่งการอนุมาน เชอร์ล็อก โฮล์มส์ การถอดรหัสจาก รหัสลับดาวินชี มาอธิบายการคลี่คลายปมปริศนาต่างๆได้อย่างแนบเนียน
กล่าวได้ว่าบันทึกลักนักสืบน้อย เป็นวรรณกรรมเยาวชนที่มีเนื้อหาเหมาะสำหรับผู้อ่านเยาวชนหลากหลายวัย รวมถึงนักอ่านรุ่นใหญ่ก็สามารถร่วมติดตามการคลี่คลายเรื่องราวต่างๆในครั้งนี้ได้ รับรองได้ว่าบันทึกลักนักสืบน้อย จะทำให้คุณหลงใหลไปกับความบันเทิงที่แฝงด้วยแง่คิด เมื่ออ่านจบจะทำให้คุณมองเห็นคุณค่าของบางสิ่งบางอย่างที่หายไป เพราะของบางสิ่งอาจตามคืนได้ไม่ยาก แต่บางสิ่งเมื่อหายไปแล้ว อาจไม่สามารถตามคืนมาได้อีกเลย
อรจิรา

ชาร์ล็อตต์ แมงมุมเพื่อนรัก


ชาร์ล็อตต์ แมงมุมเพื่อนรัก
ผู้แปล : คณา คชา
พิมพ์ครั้งที่ ๒๒ / ๒๕๕๐
สำนักพิมพ์แพรวเยาวชน
๑๙๘ หน้า : ภาพประกอบ
๑๒๕ บาท


“ชาร์ล็อตต์ แมงมุมเพื่อนรัก” หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือบันเทิงคดีประเภทวรรณกรรมสำหรับเยาวชน จัดอยู่ในนวนิยายเรื่องสั้นและเป็นวรรณกรรมแปลที่มีเนื้อหาเรื่องราวเกี่ยวกับมิตรภาพความเป็นเพื่อนระหว่างเจ้าหมูน้อยที่ชื่อ “วิลเบอร์” กับแมงมุมตัวหนึ่ง “ชาร์ล็อตต์” ที่โชคชะตาได้นำพาให้พวกเขามาพบกันแล้วมิตรภาพความเป็นเพื่อนระหว่างสัตว์ทั้งสองก็ได้เริ่มต้นขึ้น โดยผู้เขียนได้สมมุติบทบาทให้ตัวละครในเรื่องสามารถพูดได้ และอาศัยการดำเนินเรื่องด้วยการสร้างเรื่องราวให้น่าตื่นเต้นและมหัศจรรย์ นั่นจึงทำให้หนังสือเรื่องนี้มีความน่าสนใจ น่าติดตามและน่าค้นหาไปกับเรื่องราวของตัวละครที่รอให้ผู้อ่านได้สัมผัสกับความพิเศษในหนังสือเล่มนี้

เริ่มเรื่องจากลูกหมูน้อยตัวหนึ่งได้ถือกำเนิดขึ้น ชื่อว่า “วิลเบอร์” ซึ่งเป็นลูกหมูตัวเล็กแกร็นไม่ค่อยแข็งแรง ชีวิตของวิลเบอร์เกือบจะต้องจบลงด้วยการถูกฆ่า เพราะเจ้าของฟาร์มไม่อยากเลี้ยงเขาไว้ ถ้าไม่มีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งมาห้ามไว้ เด็กผู้หญิงคนนั้นชื่อ เฟิร์น ต่อมาเฟิร์นได้นำวิลเบอร์มาเลี้ยงดูเป็นอย่างดีจนวิลเบอร์เริ่มโตขึ้นเรื่อยๆและเริ่มกินจุ จนพ่อของเฟิร์นคิดว่าเขาคงเลี้ยงวิลเบอร์ต่อไปไม่ไหวแน่จึงตัดสินใจนำวิลเบอร์ไปให้ลุงของของเฟิร์นเลี้ยงแทน ซึ่งที่นั่นเองที่ทำให้วิลเบอร์พบกับเพื่อนใหม่ “ชาร์ล็อตต์” แมงมุมสวยงามตัวหนึ่งที่มีความสามารถพิเศษคือมันสามารถชักใยเป็นตัวอักษรได้ ชาร์ล็อตต์นั้นชักใยได้เก่งมาก แล้วเรื่องราวประหลาดมากมายก็ได้เกิดขึ้นพร้อมกับการผจญภัยในโลกใหม่ของวิลเบอร์ ที่สำคัญคือชีวิตของวิลเบอร์เกือบจะต้องจบลงจริงๆอีกครั้งหนึ่ง เพราะหมูในโลกนี้ล้วนเกิดมาด้วยชะตากรรมเดียวกันนั่นคือ การกลายเป็นอาหารของมนุษย์ไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่วิลเบอร์เป็นหมูที่รักชีวิต รักความงดงามของโลก รักมิตรภาพในหมู่เพื่อนสัตว์ด้วยกัน เขาจึงไม่อยากตายเพราะคิดว่าโลกนี้แสนน่าอยู่เหลือเกิน และสิ่งนี้เองที่ทำให้วิลเบอร์พยายามและไม่ยอมก้มรับชะตากรรมของตน จึงวิลเบอร์จึงจำเป็นต้องแสดงความสามารถเกินหมูธรรมดาเพื่อเอาชีวิตรอด โดยมีผู้ช่วยสำคัญอยู่เบื้องหลัง นั่นคือชาร์ล็อตต์ เพื่อนรักของวิลเบอร์นั่นเอง ชาร์ล็อตต์นั้นพยายามทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือชีวิตของวิลเบอร์และยอมชักใยจนสุดความสามารถในช่วงสุดท้ายของชีวิตเพื่อช่วยเพื่อนรักของเขา และทำให้วิลเบอร์ได้กลายเป็นหมูพิเศษ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่วิลเบอร์ต้องการมากที่สุดคือการที่เขาได้มีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่ต้องรับชะตากรรมเหมือนหมูตัวอื่น และสิ่งที่วิลเบอร์ไม่มีวันลืมเลยก็คือ ความโชคดีที่วิลเบอร์มีเพื่อนอย่างชาร์ล็อตต์ และแม้ว่าชาร์ล็อตต์จะจากไปแต่วิลเบอร์ก็ได้สัญญากับตัวเองว่าเขาจะดูแลลูกๆของชาร์ล็อตต์เป็นอย่างดี

ดังเรื่องราวของมหัศจรรย์น่าตื่นเต้นลึกดีๆไก้น ความพิเศษนี้เห็นได้ว่าผลงานการเขียนเรื่องนี้แฝงไปด้วยแง่คิดและจินตนาการของผู้แต่งที่ถ่ายทอดออกมา โดยอาศัยวิธีการเล่าเรื่องของตัวละคร และการแบ่งเรื่องออกเป็นตอน ยิ่งทำให้หนังสือเล่มนี้น่าติดตามตลอดทั้งเรื่อง รู้สึกถึงความสนุกสนานเพลิดเพลินไปกับเรื่องราวของตัวละครในเรื่องและจินตนาการของผู้แต่งจนถึงกับวางไม่ลงทีเดียว และในหนังสือเล่มนี้ยังมีภาพประกอบไว้ด้วย ผู้อ่านจึงสามารถมองเห็นภาพตามเนื้อเรื่องได้อย่างชัดเจนและจินตนาการเรื่องราวได้ดียิ่งขึ้น ทำให้อ่านง่าย รู้สึกผ่อนคลาย อีกทั้งมีการใช้ภาษาที่กระชับ สั้น เข้าใจง่าย ประกอบกับเนื้อเรื่องที่ไม่สั้นหรือยาวจนเกินไปจึงเหมาะสมกับผู้อ่านทุกเพศทุกวัย ไม่เพียงแต่เท่านี้หนังสือเล่มนี้ยังได้แทรกข้อคิดเกี่ยวกับมิตรภาพความเป็นเพื่อนเอาไว้ ทำให้ผู้อ่านได้รับข้อคิดดีๆ และความรู้สึกประทับไปพร้อมกับตัวละคร ดังเช่นในตอนหนึ่งของเรื่องที่วิลเบอร์พูดคุยกับชาร์ล็อตต์ว่า “วิลเบอร์ได้ถามชาร์ล็อตต์ว่าทำไมจึงช่วยเหลือเขาถึงขนาดนี้ ทั้งที่เขาเองไม่เคยทำอะไรให้ชาร์ล็อตต์เลย แมงมุมตอบว่า เพราะวิลเบอร์เป็นเพื่อน และนั่นก็เพียงพอแล้ว”


หนังสือเล่มนี้จึงจัดว่าเป็นหนังสือที่น่าอ่านและเป็นวรรณกรรมเด็กที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง ด้วยเนื้อหาของเรื่องที่ชวนติดตามไปกับตัวละคร และการแฝงด้วยแง่คิดก็สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่าทำไมหนังสือเล่มจึงได้รับการยกย่องให้เป็นหนังสือเด็กที่ดีที่สุดแห่งศตวรรษ


อโณทัย

The Secret


The Secret เดอะ ซีเคร็ต
รอนดา เบิร์น
จิระนันท์ พิตรปรีชา แปล
พิมพ์ครั้งที่ ๓๓

สำนักพิมพ์ อมรินทร์

๑๙๙ หน้า ภาพประกอบ
๓๕๕ บาท

ดิฉันเชื่อว่าผู้ที่เป็นนักอ่านหลายคนต้องมีหนังสือที่ตนประทับใจสักหนึ่งเล่ม หรือบางคนอาจจะมีหลายเล่ม และแต่ละคนก็อาจจะชอบอ่านหนังสือที่มีแนวแตกต่างกันไปล้วนแล้วแต่ลักษณะนิสัยและความชอบส่วนตัว สำหรับตัวดิฉันเองก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบอ่านหนังสือเมื่อมีเวลาว่าง
มีหนังสือหลายเล่มที่ดิฉันอ่านแล้วประทับใจ และหลายครั้งที่หยิบหนังสือเล่มเดิมกลับมาอ่านอีก แต่มีหนังสือเล่มหนึ่งที่ดิฉันเห็นจะประทับใจที่สุด ไม่ใช่เพราะการให้ความบันเทิงของหนังสือเล่มนี้เพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะการให้ข้อคิดดีๆ เพิ่มกำลังใจเมื่อเรารู้สึกเป็นทุกข์หรือกังวลใจ และหนังสือเล่มนี้ก็ได้บอกความลับอีกหลายอย่างที่มนุษย์เรากำลังค้นหาเพื่อที่จะนำตนเองไปสู่ความสำเร็จในชีวิตได้

The Secret เป็นหนังสือที่อยู่ในหมวดธรรมะ แต่งขึ้นโดย รอนดา เบิร์น ผู้หญิงที่เคยประสบปัญหาทั้งด้านความสัมพันธ์ และการเงิน มีอาชีพเป็นโปรดิวเซอร์รายการโทรทัศน์วัย ๕๐ ปี แล้วเธอก็กลายเป็นบุคคลโด่งดังในชั่วข้ามคืน เมื่อเธอถ่ายทำรายการโทรทัศน์ และออกหนังสือเรื่อง-
The Secret และมี จิระนันท์ พิตรปรีชา แปลเป็นภาษาไทย ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของผลงานรางวัลซีไรต์ปี ๒๕๓๒ เรื่อง ใบไม้ที่หายไป และผลงานที่ท่านแปลหนังสือเล่มนี้ก็เป็นการใช้ภาษาที่ดีพอสมควร

ทุกคนในโลกนี้คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ตนไม่มีความทุกข์ และไม่มีใครอีกนั่นแหละที่จะยอมรับว่า ตนเองไม่มีอุปสรรคใดๆในชีวิตเลยและถึงจะมีก็สามารถผ่านไปได้อย่างง่ายดาย เพราะชีวิตของคนเรานั้น ต่างก็ต้องพบเจอสิ่งต่างๆมากมาย ทั้งความทุกข์และความสุข กว่าจะประสบความสำเร็จได้ก็ต้องมีอุปสรรคอีกหลายอย่างให้เราต้องข้ามไป แต่จะมีใครทราบบ้างหละค่ะ ว่าความลับที่จะทำให้เรารู้เท่าทันอุปสรรคเหล่านั้น และก้าวผ่านอุปสรรคในชีวิตไปอย่างง่ายๆนั้น ได้รวมอยู่ในหนังสือเล่มนี้แล้ว

เรื่องราวของ The Secret จะเริ่มกล่าวถึงความลับ โดยเริ่มตั้งแต่เมื่อความเริ่มคลี่คลาย, ความลับฉบับง่าย จนนำไปสู่การใช้ความลับนั้นเพื่อความประสบผลสำเร็จ ซึ่งจะทำให้ผู้อ่านได้เรียนรู้วิธีการใช้ความลับในทุกแง่มุมของชีวิต ทั้งด้านการเงิน สุขภาพ ความสัมพันธ์ ความสุข และการปฏิสัมพันธ์ทุกรูปแบบของคุณในโลกนี้ ซึ่งจะทำให้ผู้อ่านเริ่มเข้าใจพลังอำนาจภายในตัวเองที่ถูกปิดซ่อนเร้นมานาน โดยจุดเด่นจะอยู่ที่การสอนเรื่องธรรมะล้วนๆ ซึ่งมีความคล้ายกับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แต่เป็นธรรมะในแบบตะวันตก

เนื้อเรื่องที่แปลกและน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้คือ การพูดถึง “กฎแห่งการดึงดูด” โลกของเรามีแรงดึงดูด ที่เป็นพลังงานที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่พวกเราสามารถสัมผัสมันได้ ซึ่งผู้เขียนมีความเชื่อว่าตัวเราเองก็สามารถสร้างแรงดึงดูดได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการสิ่งดีหรือไม่ดี ถ้าหากเราคิดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งบ่อยๆ เรื่องนั้นก็มักจะเกิดขึ้นจริง เช่น ถ้าเราคิดถึงแต่สิ่งดีๆ คิดแต่เรื่องดีๆ สิ่งดีๆนั้นก็จะเกิดขึ้นกับตัวเรา แต่ในทางกลับกัน ถ้าเรามัวครุ่นคิดแต่เรื่องที่ไม่ดี หรือกังวลในเรื่องใดเรื่องหนึ่งบ่อยๆ สิ่งที่เราคิดก็อาจจะเกิดขึ้นจริงได้ เพราะจิตของเรามีพลังมหาศาล พูดง่ายๆ คือ ถ้าหากเราคิดแต่สิ่งที่ดีๆแล้ว สิ่งดีๆ จะถูกดึงดูดเข้ามาหาเราเอง ซึ่งกฎนี้ก็คล้ายกับหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาของเราด้วย คือ “การทำดีได้ ทำชั่วได้ชั่ว” เพราะถ้าคิดดีย่อมได้ผลลัพธ์ที่ดี

นอกจากนี้ยังมีทฤษฎี “รู้คุณ รู้จักขอบคุณ และชื่นชม” โดยเฉพาะการรู้คุณ ที่ผู้เขียนถึงขั้นแนะนำเลยว่า ถ้าคุณคิดจะเลือกใช้ความรู้จาก เดอะ ซีเคร็ต เพียงข้อเดียว ควรเลือกข้อสำนึกในบุญคุณ เพราะการที่เรารู้จักสำนึกในบุญคุณคนนั้นย่อมเป็นการเริ่มต้นไปสู่การคิดดี ทำดีต่อไป และการรู้จักของคุณ และชื่นชมผู้อื่น ก็ถือเป็นการสอนให้เรารู้จักมองโลกในแง่ดีด้วย เช่น “แทนที่คุณจะน้อยใจว่าพ่อแม่ดุด่า คุณจงมองเสียใหม่ว่า ขอบคุณที่ทุกวันนี้ยังได้ยินเสียงของพ่อแม่ และท่านยังได้มีทุกข์สุขร่วมกับเรา”และ“แทนที่คุณจะมองว่าอาหารมื้อนี้น้อยเกินไป กินไม่อิ่ม คุณจงมองเสียใหม่ว่า ขอบคุณที่ทุกวันนี้คุณยังมีข้าวมีอาหารให้ได้กิน” เป็นต้น

ถ้าท่านผู้ใดกำลังมีความทุกข์ใจ มีปัญหาใดๆในชีวิต หรือไม่จำเป็นเฉพาะผู้ที่กำลังมีปัญหา บุคคลทั่วไปหรือผู้ที่กำลังมีความสุขหรือสมหวังอยู่ ก็สามารถหาอ่านหนังสือเล่มนี้ได้ เพราะดิฉันเชื่อว่า หนังสือเล่มนี้ จะช่วยเผยความลับสำคัญของชีวิต ที่ว่าด้วยเรื่อง กฎแห่งการดึงดูด กฎข้อสำคัญที่ทำให้ชีวิตท่านสมความปรารถนาในทุกประการและสร้างแรงบันดาลใจให้ท่านสามารถเปลี่ยนชีวิตและความคิดไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งสามารถนำพาไปสู่ความสำเร็จในชีวิตได้ค่ะ

หทัยวรรณ

ไล่ตงจิ้น ลูกขอทานผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต


ไล่ตงจิ้น ลูกขอทานผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต
LAI DON JIN เขียน
วิลาวัลย์ สกุลบริรักษ์ แปล
248 หน้า ราคา 165 บาท
พิมพ์ครั้งที่ 29 สำนักพิมพ์ INSPIRE

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสืออัตชีวประวัติของอดีตขอทานที่ทุกคนเคยเย้ยหยัน มีพ่อตาบอด แม่กับน้องชายคนโตปัญญาอ่อน ทั้งหมด 14 ชีวิตที่เขาต้องเลี้ยงดู เขาต่อสู้กับชีวิตจนได้เป็น “บุคคลดีเด่นแห่งปีของไต้หวัน” เพราะใจที่...ไม่ยอมแพ้เพียงคำเดียว ไล่ตงจิ้นผู้แต่งและบุคคลผู้เป็นต้นเรื่องกล่าวไว้บนปกหลังของหนังสือว่า “แค่อยากแสดงให้เห็นว่า... แม้ชีวิตจะเลวร้ายยิ่งกว่านี้ขอเพียงมุมานะอดทนเท่านั้นที่สุดก็จะต้องมีวันได้ดีเช่นกัน” หนังสือเล่มนี้คือหนังสือที่ขายดีที่สุดของไต้หวัน มียอดขายมากกว่าล้านเล่ม ได้รับการยกย่องและแนะนำให้อ่านโดยประธานาธิบดีเฉินสุ่ยเปียนแห่งไต้หวัน เป็นแบบอย่างของคนกตัญญู สู้ชีวิต อดทน และมุ่งมั่น เป็นแรงใจให้กับทุกคนที่ท้อแท้กับชีวิต “ไล่ตงจิ้น ลูกขอทานผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต”

ไล่ตงจิ้นเป็นอดีตเด็กขอทานในไต้หวัน สถานที่ที่เขาลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรก คือ สุสาน ต้องใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่เช่นนั้นมานานนับ 10 ปี มีพ่อที่เป็นขอทานตาบอด ส่วนแม่เป็นคนปัญญาอ่อน มีน้องอีก 10 คน ที่คลานตามกันออกมาให้เขาต้องดูแลในฐานะลูกชายคนโต เขาและครอบครัว “ยังชีพ” ด้วยการขอทาน การได้เรียนหนังสือคือความใฝ่ฝันที่ไม่มีวันเป็นจริงได้

คนๆเดียวที่ให้ความอบอุ่นและคอยปลอบโยนเขาเสมอคือพี่สาวคนโต เธอเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนและเอื้ออารี ทุกครั้งที่ถูกพ่อตีสองพี่น้องจะปลอบโยนซึ่งกันและกัน หรือคราวใดที่ไปขอทานแล้วต้องโดนผู้คนดูถูกดุด่าว่ากล่าว กำลังใจและถ้อยคำของพี่สาวเปรียบเสมือนหยาดฝนคอยหล่อเลี้ยงชีวิตอันแห้งฝากสำหรับอาจิ้นเสมอ

นานเข้าฐานะครอบครัวยิ่งเลวร้ายยากจนเข้าขั้นแร้นแค้นหนัก แต่ทุกคนต่างอดทนกันเรื่อยมา กระทั่งวันหนึ่งพ่อบอกว่าตัวเขาจะได้เรียนหนังสือ ความฝันของเขาเป็นจริงเพราะพ่อขายพี่สาวซึ่งตอนนั้นมีอายุเพียง 13 ปี ให้กับซ่องโสเภณีแห่งหนึ่ง เพื่อนำเงินมาจุนเจือครอบครัวและเพื่อให้เขาผู้เป็นลูกชายคนโตได้เรียนหนังสือ พี่สาวคนเดียวในชีวิต พี่สาวที่ตนรัก พี่สาวที่คอยอยู่เคียงข้างและปลอบโยนเรื่อยมาต้องขายตัวเพื่อทุกคน หัวใจของเขาราวกับจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ... เขาตระหนักเสมอว่า เขาได้เรียนหนังสือ ก็เพราะเงินของพี่สาวที่ได้มาจากการขายตัว เวลาไปเรียนหนังสือแล้วมีนักเรียนคนอื่นๆมาล้อเล่นว่าเป็นลูกขอทาน เขาไม่เคยตอบโต้ได้แต่อดทนเสมอมาทั้งนี้ก็เพราะความลำบากของพี่ เขาจึงคิดที่จะตั้งใจเรียนเพื่อพี่สาว เพื่อพ่อแม่ และเพื่อน้องของเขา

อาจิ้นไม่เคยยอมแพ้ต่อคำดูถูกและคำสบประมาท แต่นำมาเป็นแรงผลักดันให้เกิดความมานะพยายาม ในที่สุดเขาก็ได้รับการยอมรับจากเพื่อนๆ ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าชั้นตลอดมา มีผลการเรียนดี เป็นนักกีฬาที่เก่ง ได้รับเกียรติบัตรจากความรู้ความสามารถในด้านต่างๆมากกว่า 80 ใบ และทุกใบประกาศเขาได้ที่หนึ่ง

หลังจากมุมานะเรียนจนจบเทคนิคสาขาวิชาที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีไฟฟ้า ปัจจุบันอาจิ้นมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าโรงงานของบริษัทจงเหม่ย บริษัทผลิตอุปกรณ์ป้องกันอัคคีภัยที่เขามีส่วนเป็นผู้ร่วมบุกเบิก ฐานะของเขาและครอบครัวมีความเป็นอยู่สุขสบายไม่ลำบากเหมือนก่อนแล้ว พี่สาวเองก็เช่นกัน แม้จะมีข้อจำกัดมากมายในชีวิต ไล่ตงจิ้นไม่เคยหมดกำลังใจที่จะต่อสู้ การต่อสู้ครั้งสำคัญคือการเอาชนะใจครอบครัวของหญิงสาวที่เขารัก ทุกวันนี้ไล่ตงจิ้นมีครอบครัวที่อบอุ่นมีลูกชายลูกสาวที่น่ารัก เขาดูแลแม่และน้องชายปัญญาอ่อนเป็นอย่างดี

หนังสือเล่มนี้ไล่ตงจิ้นผู้เขียนเป็นผู้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของเขาเอง ที่น่าประทับใจคือ แม้จะเป็นชีวิตที่สมัยนี้อาจจะใช้ศัพท์ว่า “น้ำเน่า” ที่ดูเหมือนว่า พอเกิดมาก็ต้องรับภาระอันยิ่งใหญ่และอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แสนจะทุกข์ระทมขมขื่นขนาดนั้น แต่การเล่าเรื่องชีวิตของเขากลับทำให้ผู้อ่านไม่รู้สึกอึดอัด มิหนำซ้ำยังแฝงอารมณ์ขัน และถึงแม้ว่าจะเศร้าจนน้ำตาไหลบ้างในบางตอน แต่สิ่งสำคัญคือ อ่านแล้วเกิดความมุมานะและมีกำลังใจขึ้นอย่างมาก

หากทุกวันนี่คุณเป็นคนหนึ่งที่รู้สึกว่าชีวิตของคุณเต็มไปด้วยปัญหา ชีวิตคุณมืดมนไร้ซึ่งทางออก “ไล่ตงจิ้น ลูกขอทานผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต” เล่มนี้คงนำพาสายลมแห่งความหวังและปีกแห่งกำลังใจมาให้คุณได้บ้างไม่มากก็น้อย ผู้เขียนมิได้บอกให้คุณมองดูเรื่องราวของอาจิ้นแล้วหยิบยกว่าเรายังโชคดีกว่ามาก แต่ผู้เขียนอยากให้คุณผู้อ่านได้เรียนรู้หัวใจสำคัญของการเป็น “ไล่ตงจิ้น” หัวใจแห่งการต่อสู้ที่ไม่ใช่การต่อสู้เพื่อประหัตประหารกัน แต่เป็นการต่อสู้เพื่อความรัก ความกตัญญู เพื่อความสุขของคนรอบข้าง เรียนรู้และดูไว้เป็นแบบอย่างในสภาวการณ์ที่เราต้องอยู่ในวังวนของสังคมที่อวดอ้างเอาชนะคะคานกันเพื่อตนเองเช่นนี้

สุวัฒนา

อ่านหนังสือเล่มนี้เถอะ. .ที่รัก


อ่านหนังสือเล่มนี้เถอะ. .ที่รัก
ไพลิน รุ้งรัตน์
พุทธศักราช ๒๕๓๙
สำนักพิมพ์คมบาง
๑๘๑ หน้า ภาพประกอบ
๑๓๐ บาท


ไพลิน รุ้งรัตน์เป็นนามปากกาของนักเขียนชื่อดัง ชมัยภร แสงกระจ่าง ซึ่งมีผลงานที่เป็นที่รู้จักหลายเล่ม เช่น หน้าต่างสีชมพู ประตูสีฟ้า และ กุหลาบในสวนเล็กๆ เป็นต้น อ่านหนังสือเล่มนี้เถอะ. .ที่รักเป็นงานเขียนเพื่อคนรักหนังสือลำดับที่ ๕ โดยใช้นามปากกาว่า ไพลิน รุ้งรัตน์ ผู้เขียนถ่ายทอดเรื่องราวในรูปแบบของนวนิยายโดยผ่านตัวละครซึ่งเป็นตัวแทนของคนรักหนังสือ


เพียงแค่ชื่อ อ่านหนังสือเล่มนี้เถอะ. .ที่รัก ก็สะดุดหู รู้สึกได้ถึงความหวานจากคำว่า “ที่รัก” ก่อนที่จะลงมืออ่าน ฉันคิดว่าหนังสือเล่มนี้คงจะหวานจนเลี่ยนและอบอวลไปด้วยเรื่องราวของความรัก แต่เมื่อได้เข้าไปสัมผัสกับทุกตัวอักษรของหนังสือเล่มนี้ ได้รับรู้รสแห่งจินตนาการของผู้เขียนแล้ว ฉันรู้สึกว่าผลงานชิ้นนี้ไม่ได้หวานเลี่ยนแบบที่คิดไว้ตอนแรก ตรงกันข้าม หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาที่สนุกสนาน ใช้สำนวนภาษาเรียบง่าย กระชับ อ่านแล้วสามารถเข้าใจได้ง่าย

ผู้แต่งนำเสนอเรื่องราวของหมอจุล นายแพทย์หนุ่ม ผู้ซึ่งอยู่ห่างไกลจากคำว่า หนอนหนังสือ เขากำลังเบื่อหน่ายกับชีวิตและหมดไฟในการทำงาน วันหนึ่ง เขาได้ตกหลุมรักบรรณารักษ์สาวนามว่า ลมเย็น เธอผู้นี้เป็นหนอนหนังสือตัวยงและรักการอ่านเป็นชีวิตจิตใจ ในตอนแรก หมอจุลอยากอ่านหนังสือเพียงเพราะต้องการที่จะใกล้ชิดและอยากจะเข้าไปมีส่วนร่วมในโลกของผู้หญิงที่เขาหมายปอง แต่เมื่อได้อ่านหนังสือที่ลมเย็นแนะนำแล้ว หมอจุลเริ่มสนใจและเห็นประโยชน์จากการอ่านหนังสือมากขึ้น แม้ว่าหนังสือบางเล่มที่อ่านจะทำให้เขารู้สึกเหมือน “ ตกอยู่ในนรกตัวหนังสือ ” เช่น เรื่อง จอห์นนี่ไปรบ ของดอลตัน ทรัมโบ ซึ่งเป็นเรื่องของหมอที่ต้องรักษาทหารที่เจ็บหนักจากสงคราม หมอต้องตัดแขน ตัดขา และตัดหน้าของคนไข้ออกเหลือเพียงรูปร่างเหมือนแท่งๆ หนึ่งเท่านั้น

แม้ว่าหมอจุลจะรู้สึกสะเทือนใจกับหนังสือเล่มแรกที่เขาอ่าน แต่เมื่อเขาได้อ่านหนังสือต่อไปตามคำแนะนำของลมเย็น เขาก็ได้ค้นพบว่า หนังสือได้เปลี่ยนแปลงชีวิตเขาและช่วยเปิดโลกแคบๆ ที่มีแต่คนไข้ของเขาให้กว้างขึ้น การรับรู้ความเป็นไปของชีวิตผ่านทางตัวอักษร ทำให้หมอจุลเข้าใจความเป็นไปของชีวิตและเข้าใจคนอื่นมากขึ้น เขาได้ปรับความเข้าใจกับพ่อซึ่งเคยมีความขัดแย้งกันมานาน ลมเย็นทำให้ชายหนุ่มรู้ว่ายังมี “ หนังสือเล่มใน” ที่เขายังไม่เคยอ่าน ซึ่งก็คือ การอ่านใจของตนเอง การรู้ความต้องการของตน และการทำความรู้จักตนเอง

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือซ้อนหนังสือ มีการแนะนำหนังสือดีๆ ที่น่าสนใจหลายเล่ม เช่น ชั่วชีวิต ของ อ.อุดากร เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้น เรื่องหนึ่งชื่อว่า ตึกกรอสส์ เป็นเรื่องของนักศึกษาแพทย์ที่ต้องผ่าชำแหละศพพ่อของเขาเอง นอกจากนี้ยังมี ข้างหลังภาพ และสงครามชีวิตของศรีบูรพา เป็นต้น การกล่าวถึงหนังสือที่ตัวละครอ่านหลายต่อหลายเล่ม ทำให้อยากไปหาหนังสือเหล่านั้นมาอ่านตามตัวละครในเรื่องบ้าง

ในด้านลีลาการเขียน ผู้แต่งให้ตัวละครเอกเป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ เหมือนเล่าให้ผู้อ่านฟัง การเขียนในลักษณะนี้จะทำให้น่าติดตามและไม่น่าเบื่อ มีการสอดแทรกอารมณ์ขัน บรรยายลักษณะของตัวละครไม่มากนัก แต่ผู้อ่านก็สามารถรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของตัวละครได้ โดยดูจากการแสดงออกและสภาวะแวดล้อมที่ปรากฏในเรื่อง มีการใช้ภาษาที่มองเห็นภาพ เช่น “ พระจันทร์สวยเสียจนผมอยากจะขับรถชนไปเลย” และ “ หัวใจฟูของผมระเบิดออกกลายเป็นหัวใจแตก” เป็นต้น

หนังสือแต่ละเล่มล้วนให้ข้อคิดและคติสอนใจที่แตกต่างกันไป สำหรับหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนได้สอดแทรกคติสอนใจไว้ในการดำเนินชีวิตของตัวละคร ให้ใช้ชีวิตอย่างมีสติ เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกและทำความรู้จักกับตนเองเหมือนที่หมอจุลทำในตอนท้ายของเรื่อง

โดยภาพรวมแล้ว อ่านหนังสือเล่มนี้เถอะ. .ที่รัก เป็นหนังสือที่มีครบถ้วนทั้งสาระและความบันเทิง อ่านง่าย รวมทั้งชี้ให้เห็นถึงคุณค่าและความสำคัญของหนังสือ ปัจจุบันคนไทยสนใจการอ่านน้อยลง เพราะต้องใช้เวลาและมีเทคโนโลยีอย่างอื่นที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายและรวดเร็วกว่า เช่น วิทยุ โทรทัศน์ และอินเทอร์เน็ต เป็นต้น หนังสือเล่มนี้ทำให้ผู้อ่านเล็งเห็นถึงประโยชน์ของการอ่านหนังสือมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัวและไม่ควรมองข้าม เพราะฉะนั้น อ่านหนังสือเล่มนี้เถอะ. .ที่รัก จึงเป็นผลงานที่มีคุณค่าอีกชิ้นหนึ่งที่บรรดานักอ่านไม่ควรพลาด


สุภาวดี

นางนวลกับมวลแมวผู้สอนให้นกบิน


นางนวลกับมวลแมวผู้สอนให้นกบิน
หลุยส์ เซปุล์เบดา เขียน
สถาพร ทิพยศักดิ์ แปล
พ.ศ. ๒๕๕๑
สำนักพิมพ์ผีเสื้อ
๑๗๖ หน้า ภาพประกอบ
๑๕๓.๕๐ บาท

หลุยส์ เซปุล์เบดา เป็นนักเขียนนวนิยาย นักเล่านิทาน นักสร้างภาพยนตร์ นักบันทึกการเดินทาง หัวข้องานเขียนของเขามีหลากหลายแนว เห็นได้ชัดตั้งแต่การล่าผลาญอารยธรรมในป่าดงดิบ การสังหารปลาวาฬทางตอนใต้ของชิลี การปล่อยน้ำมันดิบลงทะเล รวมทั้งการผจญภัยต่างๆ เขาเป็นผู้ริเริ่มการสร้างเค้าโครงเรื่องและนำเสนอแนวคิดสำคัญไม่ซ้ำแบบ บรรยากาศการเล่าเรื่องนั้นเป็นแนวเหมือนจริงแฝงอำนาจศักดิ์สิทธิ์ ท่ามกลางสภาพความจริงทางสังคมและภูมิศาสตร์

งานเขียนของเขาเป็นที่รู้จักและยอมรับกันในยุโรปและอเมริกา เคยได้รับรางวัลวรรณกรรมมากมาย เช่น รางวัล ติเกร์ ฆวน จากเรื่อง ชายชราผู้อ่านนิยายรัก รางวัล ฆวน ชาบาส ประเภทนวนิยายขนาดสั้น รางวัล กาเบรียลา มิสตรัล์ รางวัล โรมูโร กาเยโก้ ฯลฯ

นางนวลกับมวลแมวผู้สอนให้นกบิน วรรณกรรมเยาชนเรื่องนี้นับเป็นผลงานสุดยอดอีกเรื่องหนึ่งของเขา
ถ้อยคำแนะนำและความนำใดเล่า จะวิเศษยิ่งกว่า คำกล่าวของตัวละครในเรื่องนี้ ที่บอกแก่ผองเพื่อนทั้งหลายว่า
“ฉันเคยได้ยินเขาอ่าน สิ่งที่เขาเขียน เป็นถ้อยคำไพเราะ ทำให้รู้สึกยินดี บางครั้งก็ให้เศร้าใจ แต่มักทำให้หัวใจเป็นสุข และอยากฟังต่อ”

นกนางนวล ชื่อเคงกาฮ์ ที่ตั้งท้องและถูกคราบน้ำมันปิโตรเลียมในท้องทะเลเกาะตามส่วนต่างๆ ของขน ทำให้ไม่สามารถบินได้ แต่นกนางนวลได้ใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายบินหนีจากท้องทะเลที่เต็มไปด้วยมหันตภัยสีดำจากคราบน้ำมัน บินมาตกยังบ้านหลังหนึ่ง และหล่นใส่แมวอ้วนพีสีดำ ชื่อซอร์บาสที่นอนอาบแดดอยู่ นกนางนวลได้เล่าเรื่องราวและบอกกับแมวว่าจะออกไข่ทิ้งไว้หนึ่งฟอง เพราะเห็นว่าแมวเป็นสัตว์ที่ดี จิตใจสูงส่งที่พยายามช่วยเหลือตน และขอให้แมวให้สัญญาสามข้อ คือ จะไม่กินไข่ที่เธอไข่ออกมา จะดูแลรักษาไข่จนกว่าจะฟักออกมาเป็นตัว และจะสอนให้มันบิน

ซอร์บาสไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า วันหนึ่งแมวอ้วนตัวผู้อย่างมันจะต้องกลายมาเป็นแม่ลูกอ่อน คอยดูแลปกป้องลูกนกนางนวล แต่คำสัญญาก็คือคำสัญญาและต้องเป็นไปเช่นนั้น จากนั้นซอร์บาสได้ขอความช่วยเหลือจากมวลแมวทั้งหลาย เจ้าโกโลเนลโลแมวอาวุโส เจ้าเลขานุการ และเจ้าแสนรู้ผู้รักการอ่านสารานุกรมเป็นชีวิตจิตใจ

“ปัญหาของแมวท่าเรือตัวหนึ่ง ก็คือปัญหาของแมวท่าเรือทุกตัว และคำสัญญาเกียรติยศของแมวท่าเรือตัวหนึ่งมีผลต่อแมวท่าเรือทุกตัว” โกโลเนลโลประกาศลั่น
คำประกาศของโกโลเนลโลนั้น หากนำมาประยุกต์ใช้กับมนุษย์ได้ก็จะดีมาก คือ “ปัญหาของคนคนหนึ่ง ก็คือปัญหาของคนทุกคน” เมื่อทุกคนเห็นด้วยเช่นนี้แล้วโลกนี้จะมีแต่ความเอื้อเฟื้อให้แก่กัน มีมิตรภาพและรอยยิ้ม มีความสมัครสมานสามัคคีร่วมกันแก้ปัญหาให้ผ่านพ้นไปได้ ท่านว่าจริงไหม

หลังจากซอร์บาสกกไข่นานถึงยี่สิบวันลูกนกนางนวลก็จิกเปลือกไข่ออกมาสัมผัสผิวโลก การเป็นแม่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ซอร์บาสก็ทำหน้าที่ของแม่ได้สมบูรณ์ทั้งด้านอาหาร และการคุ้มกันภัยต่างๆ จนลูกนกเติบโตและเหล่ามวลแมวตั้งชื่อว่า โชคดี

บัดนี้โชคดีพร้อมบินแล้ว ดังในบทกวีของ เบร์นาร์โด อาซากา ชื่อว่า ฝูงนกนางนวล

“แต่หัวใจดวงน้อยของมัน ซึ่งเป็นหัวใจของนักกายกรรม ไม่ถวิลหาสิ่งใดยิ่งกว่า
สายฝนธรรมชาติทั้งมวล อันมักนำมาซึ่งสายลม มักนำมาซึ่งดวงตะวัน”

“ฉันบินได้แล้ว แม่จ๋า ฉันบินได้แล้วจ้ะแม่”
“ผู้กล้าบินเท่านั้น จึงจะบินได้” ซอร์บาสร้องบอก

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือวรรณกรรมเยาวชนแปลภาษาสเปน เหมาะสำหรับผู้อ่านที่มีอายุตั้งแต่ ๘ – ๘๘ ปี มีการออกแบบหน้าปกและหลังปกเหมาะสมกับชื่อเรื่อง เพราะเมื่อฉันเห็นภาพแมวอ้วนพีสีดำกับนกน้อยก็ชวนให้หยิบมาอ่านแล้ว

นอกจากผู้อ่านจะได้เพลิดเพลินกับเนื้อหาที่สนุกสนาน อีกทั้งการใช้ภาษาก็เรียบง่ายชัดเจนมีภาพประกอบสวยงามและแฝงไปด้วยข้อคิดเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมทางทะเลอันเกิดจากการกระทำของมนุษย์ทั้งสิ้นแล้ว ยังได้เกร็ดความรู้เรื่องสถานที่ และพยัญชนะภาษาสเปนประกอบในท้ายบทของบางตอนอีกด้วย
ฉันประทับใจคำพูดของซอร์บาสที่ว่า “ผู้กล้าบินเท่านั้น จึงจะบินได้” ประโยคนี้เป็นประโยคที่ให้กำลังใจแก่ผู้ท้อถอยทุกคน ทั้งยังช่วยเติมพลังชีวิตให้คนเรากล้าคิด กล้าทำ ในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม เพราะการทำความดีนั้นต้องเปี่ยมไปด้วยกำลังใจที่กล้าแข็ง ต้องชนะใจตนเอง และพร้อมทำดีด้วยความเต็มใจเสมอ ผู้กล้าทำเท่านั้นจึงจะทำได้

“นางนวลกับมวลแมวผู้สอนให้นกบิน” เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ฉันอยากแนะนำให้กับผู้อ่านทุกท่าน นอกจากท่านจะได้เห็นความน่ารักของสรรพสัตว์ทั้งหลายแล้ว ยังสอดแทรกข้อคิดดีๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นผู้ให้ที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าการเป็นผู้รับ และเรียนรู้ที่จะยอมรับความแตกต่างของผู้อื่นเพื่อดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข


สุธิดา

โตเกียวไม่มีขา


โตเกียวไม่มีขา
นิ้วกลม
พิมพ์ครั้งที่ ๘
พ.ศ. ๒๕๕๑
สำนักพิมพ์ a book
๓๘๑ หน้า ภาพประกอบ
๑๗๐ บาท


“โตเกียวไม่มีขา” เป็นผลงานชิ้นแรกของนักเขียนนามปากกาที่รู้จักกันดีว่านิ้วกลม เป็นหนึ่งใน ๗ เล่ม ของหนังสือชุด the first hand ที่สำนักพิมพ์ a book ต้องการผลิตนักเขียนหน้าใหม่ที่มีความสามารถขึ้นมา โดยเนื้อหาผู้แต่งได้ถ่ายทอดเรื่องราวสุดแสนประทับใจจากการเดินทางของตนเองกับเพื่อนชายอีกคนหนึ่งที่ชื่อน้ำ ไปท่องเที่ยวเมืองโตเกียวประเทศญี่ปุ่น ที่ถือได้ว่าเป็นเมืองที่มีค่าครองชีพสูงที่สุดในโลก โดยเขาและเพื่อนมีเงินติดตัวรวมกันแค่เพียง ๑๒,๐๐๐ บาท และต้องใช้ชีวิตอยู่ถึง ๙ วันในเมืองใหญ่แห่งนี้

หลายคนมีความคิดความฝันที่อยากจะเดินทางท่องเที่ยวไปประเทศที่ตนเองชื่นชอบสักครั้ง เช่นเดียวกับนิ้วกลมและน้ำที่อยากจะเดินทางไปท่องเที่ยวญี่ปุ่น พอมีโอกาสเหมาะที่ทั้งสองคนมีเวลาว่างตรงกัน จึงตัดสินใจเก็บสัมภาระและออกเดินทางไปด้วยกันโดยที่ไม่มีมัคคุเทศก์นำทางไปเลย และอย่างที่รู้กันดีชาวญี่ปุ่นเป็นคนที่รักชาติของตนเป็นอย่างมาก ดังนั้นประชากรเกินกว่า ๙๐ เปอร์เซ็นต์ในญี่ปุ่นจึงไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ รวมทั้งนิ้วกลมและน้ำก็ไม่สามารถพูดภาษาญี่ปุ่นได้เช่นเดียวกัน นี้จึงเป็นความท้าทายและน่าติดตามกับการผจญภัยของนักท่องเที่ยวทั้งสองคนในเมืองหลวงโตเกียว

นิ้วกลมเริ่มเรื่องตั้งแต่การขอวีซ่าและของที่จำเป็นในการเดินทางโดยมีกลเม็ดเล็กๆ มาฝากผู้อ่านว่าสการไปต่างประเทศควรทำบัตรนักศึกษาไปด้วยเพื่อใช้เป็นส่วนลดในสถานที่ท่องเที่ยวบางแห่ง เช่นพิพิธภัณฑ์ หลังจากนั้นเขากับเพื่อนก็มุ่งหน้าสู่ประเทศญี่ปุ่น และเมื่อมาถึงเราจะเห็นภาพของความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและสังคมเมืองที่คับคั่งไปด้วยผู้คน

หลายคนเคยกล่าวไว้ว่าสังคมเมืองเป็นสังคมที่เห็นแก่ตัว การจะหาน้ำใจจากคนเมืองนั้นยากเต็มที แต่เห็นว่าคำกล่าวนี้คงจะไม่สามารถใช้ได้เสมอไปกับเมืองโตเกียว จากประสบการณ์ของนิ้วกลมหลายค่ำคืนที่เขาและเพื่อนต้องนอนอย่างคนไร้บ้านคือค่ำไหนนอนนั้น แต่ทุกครั้งเขาก็จะได้รับการแบ่งปันที่นอนจากคนไร้บ้านคนอื่นๆ และก็ไม่เคยมีเจ้าของบ้านคนไหนออกมาไล่เขาไม่ให้นอนหน้าบ้าน รวมทั้งไม่ว่าเขาจะถามทางหรือขอข้อมูลต่างๆ ชาวญี่ปุ่นทุกคนที่เขาเจอได้ให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดี อย่างเหตุการณ์ที่ นิ้วกลมและน้ำต้องการหาที่พักราคาถูก จึงไปถามป้าชาวญี่ปุ่นเจ้าของห้องพัก โดยทั้งสองฝ่ายไม่สามารถสื่อสารกันได้รู้เรื่อง ต่างก็ผลัดกันเปิดคู่มือหนังสือโต้ตอบกันไป จนในที่สุดก็สามารถเข้าใจกันได้ สิ่งหนึ่งที่นิ้วกลมได้เล่าไว้คือ “ตลอดครึ่งชั่วโมงแห่งความไม่รู้เรื่องนั้น เต็มไปด้วยรอยยิ้มและความพยายามอย่างจริงใจในการอธิบาย ถึงไม่ได้เช่าห้องป้าทั้งสองแต่เราก็อดชื่นชมคนทั้งคู่ไม่ได้” แสดงให้เห็นว่าน้ำใจของคนเมืองใหญ่ก็ยังมีอยู่
แม้ว่าการใช้ชีวิตในเมืองโตเกียวจะเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก แต่ก็ยังมีคนทุกข์ยากเป็นจำนวนมากที่ต้องต่อสู้ให้ชีวิตตนเองอยู่รอด มุมเล็กของซอกตึกหลายแห่งอาจเป็นที่อยู่อาศัยที่ดีของใครหลายคนก็ได้ รวมทั้งบนตึกโตเกียวอีกหลายที่อาจมีคนที่ต้องการเงินและพร้อมที่จะยอมแลกทุกอย่างแม้แต่ร่างกายเพื่อความอยู่รอดของพวกเขา นิ้วกลมได้เสนอเรื่องราวหลากหลายแง่มุม ทั้งด้านสว่างและด้านมืดของสังคมเมืองโตเกียวไปควบคู่กัน

การเดินทางของนิ้วกลมยังได้สะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นที่เป็นคนมีวินัย มีความรับผิดชอบสูง และมีจิตสำนึกต่อส่วนรวมสูงมาก ฉะนั้นภาพคนญี่ปุ่นต่อแถว เป็นภาพที่มีให้เห็นทุกที่ทั้งป้ายรถเมล์ สถานีรถไฟ ตลาด เป็นต้น สิ่งหนึ่งที่ชาวญี่ปุ่นให้ความสำคัญมากที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องการศึกษา นอกจากจะมีมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงหลายแห่งแล้ว คนญี่ปุ่นยังแสวงหาความรู้ด้วยการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ที่มีในเมืองโตเกียวเป็นจำนวนมาก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชาวญี่ปุ่นจะสามารถพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว

วัฒนธรรมเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นเอกลักษณ์ของชาวญี่ปุ่นได้อย่างชัดเจน ในเมืองโตเกียวมีวัฒนธรรมหลายอย่างที่ชาวญี่ปุ่นอนุรักษ์ไว้ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงละครคาบูกิ หรือพิธีชงชา ที่จะมีหญิงชราและหญิงสาวชาวญี่ปุ่นใส่ชุดกิโมโนเข้าร่วม การชงชาเป็นพิธีที่ต้องใช้สมาธิและความละเอียดอ่อน เป็นการผสมผสานระหว่างตะวันตกกับตะวันออก ซึ่งแสดงให้เห็นวัฒนธรรมที่แตกต่างแต่สามารถอยู่ร่วมกันได้

หนังสือเรื่อง “โตเกียวไม่มีขา” นิ้วกลมได้ถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้อย่างสนุกสนาน ใช้ภาษาที่กะทัดรัดและเข้าใจง่าย อีกทั้งยังมีการใช้ภาพพจน์พรรณาโวหารที่บรรยายเรื่องราวต่างๆได้อย่างละเอียดจนสามารถจินตนาการให้เกิดภาพตามที่ผู้เขียนต้องการสื่อได้ รวมทั้งผู้เขียนได้มองสิ่งรอบตัวในมุมมองที่แตกต่างไปอย่างที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน จึงเป็นการช่วยเปิดโลกทัศน์ให้กว้างไกลมากขึ้น

นอกจากนี้ นิ้วกลมยังได้สอดแทรกข้อคิดดีๆ ระหว่างการเดินทางให้กับผู้อ่านสามารถนำมาใช้ใน ชีวิตประจำวันได้ ดิฉันประทับใจคำพูดประโยคสุดท้ายของหนังสือเล่มนี้ที่ว่า “ความฝันก็เหมือนกันกับโตเกียว มันไม่มีขา ถ้าอยากไปต้องเดินหาเอง” ทำให้ฉันได้เรียนรู้ ไม่ว่าสิ่งไหนที่เราอยากทำ ที่ไหนที่เราอยากไป ประสบการณ์แบบไหนที่เราอยากเจอ เราต้องพยายามและอย่ารอช้าเพราะบางครั้งความฝันก็ไม่ได้เดินมาหา แต่เป็นเราที่จะต้องเดินเข้าหาความฝันนั้นเอง
ถ้าผู้อ่านท่านใดกำลังมองหาหนังสือดีๆอ่านสักเล่ม ดิฉันขอแนะนำ “โตเกียวไม่มีขา” ของนิ้วกลม แล้วท่านจะได้ร่วมเพลิดเพลินกับการเดินทางที่แม้จะเต็มไปด้วยอุปสรรคแต่ก็เป็นการเดินทางที่น่าจดจำ รวมทั้งอาจเป็นแรงบันดาลใจให้ใครอีกหลายๆคน คิดอยากออกเดินทางด้วยตัวเองสักครั้งก็ได้


สุดาทิพย์

เด็กหญิงนางฟ้า


เด็กหญิงนางฟ้า
ขวัญใจ เอมใจ
พิมพ์ครั้งที่ ๗ ๒๕๔๘
บริษัทอมรินทร์บุ๊คเซ็นเตอร์จำกัด
๑๘๑ หน้า ภาพประกอบ
๙๕ บาท

เมื่อพูดถึงนางฟ้า หลายคนคงจินตนาการภาพของนางฟ้า ว่าต้องเป็นผู้หญิงสาวแสนสวย เหมือนคำเปรียบที่ว่า “สวยเหมือนนางฟ้า” ใส่ชุดสีขาวฟูฟ่องแล้วต้องมีไม้วิเศษที่ใช้เสกสรรสิ่งต่างให้คนได้สมหวังดังใจ นี่เป็นภาพนางฟ้าในจินตนาการแบบเดิม แต่หากว่าคุณอยากรู้จักกับนางฟ้าองค์ใหม่ที่ไม่มีในสิ่งเหล่านี้เลย ลองหยิบ เด็กหญิงนางฟ้า มาอ่านแล้วคุณจะรู้คำตอบ

เด็กหญิงนางฟ้าเป็นวรรณกรรมเยาวชน ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศนายอินทร์อะวอร์ดประจำปี ๒๕๔๔ เขียนโดยขวัญใจ เอมใจ ซึ่งใช้นามปากกาว่า ดาราราย เป็นเรื่องราวของเดี่ยว เด็กชายฐานะยากจนคนหนึ่ง เขาอาศัยอยู่ในห้องเช่าเล็กๆกับแม่เพียงสองคน แม่มีอาชีพร้อยพวงมาลัยขาย ด้วยความใฝ่ดีและความกตัญญูของเดี่ยว เขาอยากได้ถุงมือวิเศษโดยคิดไปเองว่า หากมีถุงมือวิเศษแล้วเขาคงช่วยแม่ร้อยพวงมาลัยได้ จนมีวันหนึ่งในขณะที่เดี่ยวเดินกลับบ้านไปกับนัฐและนุ่น พวกเขาต้องประหลาดใจเมื่อเจอกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งโดยบังเอิญ ซึ่งเธอไม่ได้เป็นเพียงเด็กหญิงธรรมดาๆแต่เธอเป็น “เด็กหญิงนางฟ้า” ที่ตกลงมาจากสวรรค์ เรื่องราวสนุกๆจึงได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันนั้น

เมื่อเดี่ยวอยากช่วยแม่หาเงินใส่กล่องสังกะสี เงินที่เป็นค่าเรียนคอมพิวเตอร์ของเดี่ยว เขาจึงเริ่มคิดหาหนทาง โดยได้รับความช่วยเหลือจากสองพี่น้องนัฐกับนุ่น และที่สำคัญคือ เด็กหญิงนางฟ้า แต่เธอเป็นเพียงนางฟ้าที่ไม่มีพรวิเศษใดๆ เธอทำได้เพียงเป็นกำลังใจให้เดี่ยวได้เรียนรู้และต่อสู้ชีวิตด้วยตัวเอง ทั้งหมดจึงก่อเกิดเป็นมิตรภาพที่แสนประทับใจของคนกับนางฟ้าองค์น้อย และเดี่ยวยังได้เรียนรู้สิ่งหนึ่งจากคำพูดของนางฟ้าด้วยว่า “ทำไมต้องรอนางฟ้าเสกให้ล่ะ ทำไมไม่ทำเอง แม่ของฟ้าบอกว่า ทุกคนมีมือวิเศษ มีขาวิเศษ หัวใจวิเศษอยู่แล้ว ไม่ต้องไปขอใครที่ไหนอีกหรอก ทำได้หมดทุกอย่างเลย ถ้าหัดทำ ถ้าตั้งใจทำ”

หนังสือเรื่องนี้เป็นแนวจริงผสมจินตนาการ ที่ผสมผสานเองราวได้อย่างลงตัว สะท้อนภาพชีวิตของเด็กที่มีฐานะยากจนคนหนึ่ง ที่ใฝ่ดี มีความกตัญญู รู้จักใช้ความคิดและมีความมุมานะพยายามอย่างไม่ย่อท้อ มีความรู้สึกรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง ทั้งแสดงถึงมิตรภาพในวัยเด็กระหว่างเพื่อนที่แสนอบอุ่นและจริงใจ เนื้อเรื่องเป็นเรื่องราวใกล้ตัวที่มีให้เห็นในสังคมปัจจุบัน จึงทำให้เราคล้อยตามกับเรื่องที่อ่านได้ง่ายและจะรู้สึกซาบซึ้งกินใจกับความดีของเด็กชายคนหนึ่งถึงขั้นน้ำตาซึมเลยทีเดียว

เด็กหญิงนางฟ้าเป็นวรรณกรรมเยาวชนที่มีองค์ประกอบที่สมบูรณ์แบบ กล่าวคือมีโครงเรื่องน่าสนใจชวนให้ติดตาม เนื้อหาสนุกสนานแฝงอารมณ์ขัน และอาจทำให้คุณเข้าใจความคิดของเด็กๆมากขึ้น จนย้อนนึกถึงความคิดและจินตนาการของคุณในวัยเด็กด้วยเช่นกัน ใช้ภาษาราบรื่นเหมาะกับเนื้อหา ทั้งยังสร้างตัวละครเด็กๆทั้งหลายให้โลดแล่นมีชีวิตชีวาและมีความน่ารักสมวัย

เด็กหญิงนางฟ้าเป็นหนังสือที่เหมาะสมกับทุกเพศทุกวัยโดยเฉพาะเยาวชนเพราะเป็นเรื่องราวของเด็กๆซึ่งอยู่ในวัยใกล้เคียงกัน อ่านง่านอ่านสนุก อีกทั้งให้ข้อคิดคติสอนใจที่ดีมาก ซึ่งเรื่องนี้มีจุดเด่นที่แตกต่างจากวรรณกรรมหรือนิทานเรื่องอื่นๆตรงที่ภาพจินตนาการของนางฟ้า โดยที่เรื่องอื่นๆนางฟ้าจะให้พรหรือให้ของขวัญ หากเด็กๆเป็นเด็กดี แต่เรื่องนี้นางฟ้าไม่มีพรวิเศษใดๆเลย เป็นเพียงเด็กหญิงนางฟ้าตัวเล็กๆที่ทำได้เพียงเป็นเพื่อนและคอยช่วยให้กำลังใจเท่านั้น และส่วนนี้ได้สื่อความหมายให้เยาวชนผู้อ่านได้เป็นอย่างดีว่า การที่ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการนั้น เป็นเรื่องที่ต้องมาจากความคิดและการกระทำของตัวเองเป็นหลัก มิใช่จะรอขอพรให้นางฟ้าดลบันดาลให้

หากใครอยากสัมผัสกับความน่ารักไร้เดียงสาของเหล่าเด็กๆและนางฟ้าองค์น้อยที่ได้สร้างเรื่องราวมิตรภาพระหว่างกัน และความผูกพัน ความจริงใจของคำว่า “เพื่อน” หนังสือเล่มนี้น่าจะเหมาะที่สุด รับรองว่าคุณจะได้รับความประทับใจตั้งแต่บรรทัดแรกจนถึงบรรทัดสุดท้าย พร้อมกับใบหน้าที่ทั้งอมยิ้มทั้งน้ำตาซึมไปพร้อมๆกัน


สุคนธา

ต้องเป็นที่หนึ่งให้ได้


ต้องเป็นที่หนึ่งให้ได้
บัณฑิต อึ้งรังษี
พิมพ์ครั้งที่ ๔
สำนักพิมพ์มติชน
๑๗๕ หน้า ภาพประกอบ
๑๗๐ บาท

“วันหนึ่งผมเดินหลงทางในนิวยอร์ก ก็เลยไปถามคนที่เดินผ่านมาว่า ผมจะไปคาร์เนกี้ ฮอล์ได้อย่างไร เขาก็ตอบผมมาว่า คุณก็ต้องซ้อม ซ้อม ซ้อม และก็ซ้อม” คำพูดที่คุ้นหูนี้เป็นคำพูดในโฆษณาชุดหนึ่งของคุณบัณฑิต อึ้งรังษี วาทยกรชาวไทยระดับโลกคนแรก ที่ทำให้หลายคนตื่นตัวอยากรู้จักเขาขึ้นมาทันที ด้วยความสามารถอันโดดเด่นของเขา การจะก้าวไปสู่เวทีระดับโลกและได้รับการยอมรับจากนานาชาติ ที่ผ่านมาสำหรับคนไทยแล้วความคิดนี้เป็นเรื่องที่เป็นไปได้อยาก แต่บัณฑิต อึ้งรังษีคนนี้ได้พิสูจน์ให้ประจักษ์แก่สายตาชาวไทยแล้วว่า “คนไทยทำอะไรไม่แพ้ชาติใดในโลก” การที่คนไทยคนหนึ่งเช่นเขาได้ไปยืนอยู่บนเวทีกำกับวงออร์เคสตร้าระดับนานาชาติ ได้ก่อให้เกิดความรู้สึกชื่นชม และเลื่อมใสในตัวคนนี้ขึ้นมาทันที


อะไรที่ทำให้เขาฝ่าฟันอุปสรรคจนสามารถประสบความสำเร็จ และชื่อของเขาได้กลายเป็นหนึ่งในผู้ที่มีชื่อเสียงระดับโลก คำถามนั้นก้องอยู่ในใจของฉัน แล้วคุณบัณฑิต อึ้งรังษีก็ได้แบ่งปันถ่ายทอดเคล็ดลับ และแนวคิดสู่ความสำเร็จของเขามอบให้แก่ชาวไทยโดยเฉพาะ ในหนังสือเล่มเล็กเล่มนี้ “ต้องเป็นที่หนึ่งให้ได้” หนังสือที่ทำให้ฉันต้องอึ้งกับวิธีคิดสู่ความสำเร็จอันน่าทึ่งของเขาคนนี้

เพื่อให้ผู้อ่านเข้าถึง “สุดยอดแรงบันดาลใจ” คุณบัณฑิตได้จุดประกายความเชื่อมั่นด้วยการเปิดมุมมองแนวคิดใหม่ว่าทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตได้เพียงแค่เปลี่ยนความคิดของตนเอง เพราะไม่ว่าสถานการณ์ปัจจุบันจะดีหรือร้าย ทุกอย่างเกิดจากความคิดอันส่งผลไปถึงการตัดสินใจและการกระทำ ผู้มีชื่อเสียงที่ประสบความสำเร็จในสาขาอาชีพต่างๆที่พิสูจน์ว่าแล้วว่า ในโลกนี้ไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้ บุคคลเหล่านี้ได้รับเลือกให้มาเป็นข้อพิสูจน์เพื่อยืนยันแนวความคิดจุดเริ่มต้นความสำเร็จของวาทยกรผู้นี้

หลังจากมีความคิดที่เปลี่ยน บวกกับความเชื่อมั่นที่เต็มเปี่ยม ในก้าวต่อไปเป็นการ “เดินหน้าหาทาง” ที่คุณบัณฑิตนำประสบการณ์ทั้งหมดที่ผ่านการลองผิดลองถูกมาด้วยตัวเองมาบอกเล่าให้แก่นักล่าฝัน ทั้งการเตรียมพร้อม “วิธีการเรียนรู้อย่างรวดเร็วเพื่อเอาชนะ” และพัฒนาไปได้ไกลกว่าเดิม วิธีการเรียนรู้ที่ไม่ใช่แค่การเรียนรู้ในสิ่งที่เรากำลังทำ แต่หากเป็นการเรียนรู้วิธีหรือเทคนิคที่สมบูรณ์แบบของการก้าวสู่ความสำเร็จที่ไม่ใช่เพียงเป็นเพียงแค่ความสำเร็จ แต่เป็นความสำเร็จที่อยู่ยั่งยืน
หากใครคิดว่าการที่เป็นคนเก่งหรือชำนาญในสิ่งที่ตนเองทำนั้นเพียงพอแล้ว คุณคิดถูกเพียงครึ่งเดียว ในเล่มนี้คุณบัณฑิตจะต่อยอดความคิดของคุณ รวมทั้งเปิดมุมมองของคุณให้เป็นแบบสามมิติครอบคลุมรอบด้านมากขึ้น

เมื่อนักล่าฝันก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาท้อแท้และเหนื่อยล้า เช่นเดียวกับที่คุณบัณฑิตเคยประสบพบพานมา หลายคนคงทราบกันดีว่าสำหรับคนเอเชีย โดยเฉพาะทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งหนึ่งในนั้นได้รวมถึงคุณบัณฑิต อึ้งรังษีที่กว่าจะประสบความสำเร็จเป็นที่ยอมรับในระดับโลกได้นั้นก็ฝ่าฟันมาอย่างยากลำบาก เนื่องจากปัญหาที่ยังคงแฝงเร้นในระดับนานาประเทศเช่นการกีดกันสีผิวและเชื้อชาติ แต่เขาก็สามารถก้าวออกจากช่วงเวลานั้นได้ด้วยวิธีคิดการมองปัญหาอุปสรรคต่างๆที่จะสร้างกำลังใจให้กับตนเองได้ก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและไม่หวั่นไหว พร้อมทั้งการคิดใหม่เพื่อกำจัดความคิดที่ทำลายความก้าวหน้าของตนเอง ที่คุณบัณฑิตได้นำมาแบ่งปันให้กับเพื่อนนักล่าฝันเช่นกัน

ภาพของคุณบัณฑิต อึ้งรังษีบนหนังสือพิมพ์ชื่อดังในต่างประเทศ ถูกนำมาตัดแปะลงในหนังสือเล่มเล็กเล่มนี้เป็นสิ่งยืนยันความสำเร็จที่ไม่ธรรมดาของวาทยกรไฟแรงไม่มีวันดับคนนี้ และเป็นสิ่งกระตุ้นแรงบันดาลใจให้กับผู้อ่านกล้าเดินตามฝันของตนเอง

ไม่ต้องเสียเวลาอ่านหนังสือจิตวิทยาความสำเร็จหลายๆเล่ม ภายในหนังสือเล่มนี้คุณบัณฑิตได้นำประสบการณ์ของตนเองโดยตรงมารวบรวมสรุปเป็น “39ข้อคิดแห่งความสำเร็จ” ด้วยหวังจะให้ผู้ที่ทำตามความฝันไม่ต้องเสียเวลาคลำทางลองผิดลองถูกให้เสียเวลามากเช่นตัวเขา

ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ ผู้ชายหรือผู้หญิงทุกคนย่อมมีความฝัน เพราะทุกคนมีสิทธิที่จะฝันให้ยิ่งใหญ่ได้ เพียงแต่คุณจะปล่อยให้ความฝันของคุณนั้นเป็นเพียงแค่กลุ่มละอองเล็กในอากาศที่คุณได้แต่มองเท่านั้น หรือจะก้าวออกมาทำตามความฝันของตนเอง หากคำตอบของคุณคือทางเลือกที่สอง หนังสือเล่มนี้คือคำตอบที่มาของความสำเร็จสำหรับคุณ


สิริแพรว

โลกของหนูแหวน (วัยซน)


โลกของหนูแหวน (วัยซน)
ผู้เขียน: ศราวก
ปี: 2549
จำนวนหน้า : ปกอ่อน /156 หน้า
ราคาปกติ : 110 บาท

โลกของหนุแหวน(วัยซน) เป็นหนังสือวิทยาศาสตร์แนวแฟนตาซี ซึ่งเป็นหนังสือได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน หนังสือดี 88 เล่ม ที่เด็กและเยาวชนไทยควรอ่าน เพราะโลกของหนูแหวน(วัยซน) ช่วยเปิดโลกแห่งจินตนาการ ช่วยแต่งเติมความฝันและช่วยรังสรรค์ความคิดให้กับเด็กๆ
โลกของหนูแหวนเป็นหนังสือปกอ่อนเล่มบาง กะทัดรัด พร้อมทั้งมีรูปภาพประกอบเป็นเด็กหญิงน่ารัก สดใส แต่ขณะเดียวกันภายในเล่มก็มีรูปภาพสีหน้าต่างๆ ของหนูแหวน ที่ขึ้นอยู่กับอารมณ์ มีทั้งสุข ทุกข์ โกรธ สงสัย และสดใสร่าเริง แสดงให้เห็นถึงความเป็นเด็ก


โลกของหนูแหวน(วัยซน) เป็นเรื่องราวของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อหนูแหวน เป็นเด็กหญิงที่แวดล้อมด้วยสภาพและสังคมชนบทที่ธรรมชาติรอบกาย ซึ่งยังคงหลงเหลือความบริสุทธิ์ ดังนั้นหนูแหวนจึงเป็นเด็กที่มีความสดใสร่าเริง ไร้เดียงสา เด็กหญิงช่างสงสัยอย่างหนูแหวนมักจะมีคำถามที่เราเรียกว่า คำถามแบบเด็กๆเกิดขึ้นบ่อยๆ โดยการถามคำถามและตอบคำถามเหล่านั้น ในเรื่องหนูแหวนก็เจรจาผ่านสิ่งแวดล้อมรอบตัว ทั้งพืชและสัตว์ อย่างเช่น หอยทาก หนอนแก้ว แมลงปอ หรือต้นดอกไม้ เป็นต้น

ถึงแม้ว่าคำถามของหนูแหวนเป็นคำถามแบบเด็กๆ แต่บางคำถามเราเองซึ่งเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่สามารถตอบคำถามนั้นได้ และบางทียังประหลาดใจว่าทำไมหนูแหวนถึงมีคำถามที่เราไม่เคยนึกสงสัยมาก่อน

“โลกของหนูแหวนยังเป็นโลกที่สดใสร่าเริง ที่จะทำให้ผู้อ่านสามารถสัมผัสโลกนี้ได้ทุกบททุกตอน ความสดใสร่าเริงของหนูแหวนนี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการอยู่กับโลกปัจจุบันที่ขาดความสมดุลไปเรื่อยจนเกิดบรรยากาศหดหู่ รุนแรง เบื่อหน่าย และหงอยเหงาเดียวดายปกคลุมไปทั่ว หนูแหวนยังเด็กเกินไปที่จะต่อสู้เปลี่ยนแปลงโลกที่ไม่ได้สมดุลนี้ แต่เธอก็โตพอที่จะรู้วิธีต่อสู้กับมัน ไม่ให้ผลกระทบด้านลบเหล่านี้มาทายโลกส่วนตัวของเธอ…”

โลกของหนูแหวน (วัยซน) เป็นหนังสือที่เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะกับวัยเด็ก เป็นหนังสือที่ช่วยเปิดโลกจินตนาการ และรังสรรค์ความคิดให้กับพวกเขาได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าผู้ใหญ่ได้ลองหยิบขึ้นมาอ่านอาจจะทำให้เข้าใจความคิดแบบเด็กมากขึ้น และรู้สึกว่าตัวเองได้กลับมาเป็นเด็กอีกครั้ง

แง่คิดที่ได้จากหนังสือ โลกของหนูแหวน(วัยซน) จะเห็นได้ว่าในสังคมปัจจุบันนี้ วัฒนธรรมเมืองได้แผ่เข้ามาในชนบท เช่นผ่านรายการโทรทัศน์ และการซื้อสิ้นค้าเงินผ่อน ดังนั้นโลกของหนูแหวนจึงดูหดแคบลง แต่โลกทางวัตถุ สิ้นค้า และการแข่งขันกันสูงก็ทำให้คนเรียกหาและต้องการกลับคืนสู่ธรรมชาติอีกครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนวุ่นวายและแสวงหาความสุขทางจิตใจ ดังนั้นโลกของหนุแหวนยิ่งจะกว้างใหญ่และจำเป็นขึ้นเสียอีก

เมื่อชีวิตเสียสมดุลไปเนื่องจากการแข่งขันที่ไม่รู้จบ การบริโภคที่ไม่รู้อิ่ม การต้องการเด่นดังที่ไม่รู้จักพอ ความเร่าร้อนทีไม่เคยหายไป ก็ถึงเวลาที่จะต้องปรับการดำเนินชีวิตใหม่ให้ได้สมดุล ถึงเวลาที่จะหวนคืนสู่ธรรมชาติ อยู่ในอ้อมกอดธรรมชาติ เรียนรู้ว่าตนเองคือใคร และอะไรคือสิ่งที่ดีในชีวิต

โลกของหนูแหวน(วัยซน) คงจะตอบปัญหาทุกข้อไม่ได้ แต่จะเปิดแนวทางให้เห็นว่า เมื่อเราเพิ่มความสนใจในสิ่งที่เรามองข้าม เมื่อเราให้ความสำคัญแก่ความหลากหลายที่ต่างดำเนินไปตามทางที่ควรจะเป็น เมื่อเราคิดถึงสิ่งที่ไม่เคยคิดมาก่อน เราก็จะพบคำตอบางคำตอบสำหรับแก้ปัญหาจำนวนมากได้

ถ้าหากว่าคุณกำลังมองหาหนังสือดีๆสักเล่ม ดิฉันขอแนะนำให้คุณลองหยิบหนังสือโลกขอหนูแหวน(วัยซน) ขึ้นมาอ่านจะพบว่าวิธีการนำเสนอของผู้เขียนมีเสน่ห์น่าสนใจ จนคุณต้องอ่านให้จบรวดเดียว ลีลาการเขียนที่ผู้เขียนใช้แต่งแต้มให้ตัวละครมีบทบาทที่สดใสร่าเริง และการใช้โวหารในการพรรณนาที่รื่นไหลไม่ติดขัด เข้ากับฉากบรรยากาศในเนื้อเรื่องซึ่งก็คือภาพบรรยากาศชนบท ทำให้ผู้อ่านเพลิดเพลินไปกับจินตนาการภาพ ทำให้คุณวางไม่ลง

สโรช

ลูกผู้ชาย ชื่อ นายขนุน


ลูกผู้ชาย ชื่อ นายขนุน



หนังสือเรื่อง “ลูกผู้ชาย ชื่อ นายขนุน” เป็นหนังสือเกี่ยวกับสุนัขบลูด๊อกตัวหนึ่ง ซึ่งมีความน่ารัก ภายในหนังสือเป็นตัวหนังสือน่ารักสดใสน่าอ่าน อีกทั้งยังมีรูปภาพของนายขนุนและผองเพื่อนให้ได้ชมกันอย่างเพลิดเพลินขณะอ่านอีกด้วย หนังสือเล่มนี้แต่งโดย น้ำผึ้ง สิงห์วงศ์วัฒนะ มีทั้งหมด 135 หน้า ราคา 195 บาท ผู้แต่งเป็นเจ้าของของนายขนุนซึ่งได้เขียนแบบเล่าเรื่องราวอย่างสนุกน่าติดตามตลอดทั้งเรื่อง

นายขนุนเป็นสุนัขพันธุ์บลูด๊อก เพศผู้ แม่ผึ้งซื้อมาตั้งแต่เล็ก เฝ้าดูแล และรักษาประดุจลูกชาย เมื่อนายขนุนโตขึ้นกลับมีนิสัยที่แปลกประหลาดไปจากบลูด๊อกตัวอื่น ๆ เนื่องจากปกติแล้วบลูด๊อกจะเป็นมิตรกับทุกคน แต่นายขนุนกลับมีนิสัยดุ ชอบกัดแขก ซ้ำยังชอบเล่นตัวอีกเวลาาแม่ผึ้งเรียกก็จะไม่ยอมมาหา แต่กลับเป็นสุนัขที่ค่อนข้างเรียกร้องความสนใจจากแม่ผึ้ง นอกจากนี้ยังเป็นสุนัขไฮโซ กินของธรรมดาไม่ได้ ต้องกินของแพง และนอนตากแอร์อีกด้วย เมื่อขนุนเริ่มโตพอที่จะเป็นผู้ใหญ่แล้ว แม่ผึ้งจึงหาภรรยาให้กับขนุน ตัวแรกพอท้องติดเจ้าของก็ขายสุนัขทิ้งไป ทำให้อดเห็นหน้ากันไปตาม ๆ กัน ตัวที่สองตั้งท้องและคลอดลูกได้เจ็ดตัว แม่ผึ้งมักจะชอบให้ขนุนหัดทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่าง เช่น ว่ายน้ำ ถ่ายแบบ ทำให้แม่ผึ้งตั้งความหวังไว้กับขนุนพอสมควร

เมื่อมีการแข่งขันสุนัขว่ายน้ำ ขนุนก็ลงประกวดแต่กลับว่ายขึ้นฝั่งทันที ทำให้ขนุนได้ออกทีวี แต่ขนุนเคย ถ่ายแบบมาแล้ว จึงออกทีวีได้ดีทีเดียว หลังจากนั้นแม่ผึ้งคิดว่าขนุนเหงา จึงเริ่มหาเพื่อนมาให้ขนุน สรุปได้สุนัขบลูด๊อกอีกตามเคย ชื่อ ยางยืด เป็นเพศผู้เช่นกัน ยางยืดเป็นสุนัขที่มีนิสัยบลูด๊อกของแท้ จะเป็นมิตรและขี้เล่นมาก ขี้เล่นมากเสียจนทำให้ข้าวของและขนุนรำคาญไปตาม ๆ กันทีเดียว นอกจากขนุนกับยางยืดแล้ว ยังมีญาติอีกด้วย ชื่อ วิลม่า เป็นสุนัขพันธุ์เวสตี้เป็นเพศเมีย แม่เลี้ยงผึ้งก็วุ่นวายจัดหาสามีให้กับวิลม่า จนตั้งท้องและคลอดลูกสี่ตัว ตายตัวหนึ่งซึ่งเป็นเพศผู้หมดเลยทั้งห้าตัว

ผู้เขียนมีกลวิธีในการนำเสนอเรื่องที่เป็นตอน แต่ละตอนจะมีประเด็นที่น่าสนใจหนึ่งประเด็น มีการใช้ตัวอักษรที่น่ารักสดใส ตัวไม่ใหญ่เกินไม่เล็กเกิน ทำให้น่าอ่าน อีกทั้งยังมีรูปภาพประกอบซึ่งรูปภาพประกอบ ก็ดูตรงกับประเด็นที่จะนำเสนอด้วย ทำให้รู้สึกสนุกและตลกบ้างในบางโอกาส ผู้เขียนใช้คำง่าย ๆ ในการสื่อความหมาย ไม่ได้ใช้คำที่เป็นทางการมากนัก ผู้เขียนใช้กลวิธีการแต่งที่แสดงความรู้สึกนึกคิดของสุนัขผ่านสายตาของผู้เลี้ยง ทำให้ลักษณะท่าทางบางอย่างของสุนัขถูกถ่ายทอดออกมาให้ผู้เลี้ยงบางคนได้รับรู้ว่า การที่สุนัขแสดงท่าทีเช่นนี้ หมายความว่ามันกำลังคิดเช่นนี้อยู่ นอกจากนี้ในตอนสุดท้ายของหนังสือ ผู้เขียนยังสอดแทรกแง่คิดอีกด้วย มีการรณรงค์ให้มีการรักสัตว์ ดูแลมันมาก ๆ หากไม่สามารถเลี้ยงได้ก็อย่าซื้อมา โดยเฉพาะอย่างไม่ควรซื้อมาเป็นของฝากหรือของขวัญให้กับใคร เนื่องจากสัตว์เลี้ยงเป็นสิ่งมีชีวิต ไม่ใช่ของเล่นที่จะทิ้งเมื่อ่ใดก็ได้

เมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ทำให้รู้สึกสนุก สดใส ไปกับความน่ารักของสุนัข การแสดงท่าทีของสุนัขที่ไม่เคยคิดได้เลยว่ามันกำลังจะสื่ออะไรให้กับเจ้าของได้รู้ ก็สามารถรู้ได้จากหนังสือเล่มนี้ เนื่องจากผู้เขียนได้สอนวิธีการดูแล เอาใจใส่ ไม่เพียงแต่การเลี้ยงดูเท่านั้น แต่เป็นการเข้าอกเข้าใจและนึกถึงจิตใจของสัตว์เลี้ยงซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตร่วมโลกกับมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างหนังสือเล่มนี้ไม่ได้ให้เพียงแค่ความบันเทิงแต่อย่างใด แต่ยังให้ข้อคิดฝากไว้กับผู้อ่านทุกท่านด้วย ซึ่งสำหรับผู้เลี้ยงบางคนแล้ว อาจจะอยากเลี้ยงตามแฟชั่น มีมหาพันธ์แพง ๆ น่ารัก ๆ ไว้ประดับบ้านโดยไม่ได้ให้ความดูแลเอาใจใส่ หรือ บางคนแค่ทำตามความรู้สึกชั่ววูบว่ามันน่ารักดีจึงอยากเลี้ยง แต่ไม่มีเวลาเลี้ยง ไม่มีเงินเลี้ยง ไม่มีเนื้อที่สำหรับมัน ทางออกจึงกลายเป็นปล่อยทิ้งไว้ให้เป็นที่เดือดร้อนของผู้อื่น และเป็นที่ลำบากของสัตว์เลี้ยง


ศราวุธ

เข็มทิศเพื่อความสุข

เข็มทิศเพื่อความสุข
วรางคณา นุติพงษ์
ปีพิมพ์ : 1 / 2549
จำนวนหน้า : 128หน้า
ราคา 99 บาท

“เข็มทิศเพื่อความสุข” เป็นหนังสือที่จะพาทุกท่านไปค้นหาความหมายของชีวิตในแง่มุมดีๆที่เราไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ใครก็ตามที่กำลังต้องการหนังสือที่ช่วยเสริมจรรโลงใจ อ่านแล้วได้ข้อคิดดีๆขอแนะนำว่าให้อ่านหนังสือเล่มนี้เป็นที่สุด

รูปแบบของหนังสือและหน้าปกถึงแม้จะดูเรียบง่ายแต่แฝงความสวยงามและสบายตาด้วยโทนสีสดใส เป็นรูปสายรุ้งและธรรมชาติเช่น ต้นไม้ ดวงอาทิตย์ ซึ่งช่วยให้ผู้อ่านรู้สึกเย็นตา

การใช้ภาษาในหนังสือเล่มนี้ เป็นภาษาที่เรียบง่ายอ่านแล้วเข้าใจ เนื้อหามีความกระชับ และมีการเรียงลำดับเนื้อหาที่ดีเป็นขั้นตอน ถึงแม้ว่าผู้เขียนจะถือว่าเป็นนักเขียนหน้าใหม่ของวงการแต่ฝีมือการเขียนถือว่าดีมาก เพราะทำให้ผู้อ่านได้รับข้อคิดและความรู้รวมทั้งหลักในการดำเนินชีวิตที่ดีให้พบกับความสุขอันเป็นจุดประสงค์ของการเขียนหนังสือเล่มนี้

และส่วนที่น่าประทับใจที่สุดในหนังสือเล่มนี้ก็น่าจะเป็นเนื้อหาที่แฝงคำคมและข้อคิดจากทั้งตัวผู้เขียนเองและเหล่านักปราชญ์ทั่วโลกที่ประสบความสำเร็จในชีวิตและมีหลักการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข

“อยากเห็นโลกและสังคมเป็นอย่างไร เราก็ต้องเป็นอย่างนั้นให้ได้เสียก่อน” นี่คือหนึ่งในข้อคิดเด็ดๆของนักสู้เพื่อเสรีภาพ ท่านมหาตมะ คานธี ซึ่งเมื่ออ่านแล้วก็ทำให้เราตระหนักคิดได้ว่า ขณะที่เราต้องการให้โลกและสังคมเป็นเช่นไรเรามีแต่คาดหวังจากคนอื่น แต่เราไม่เคยย้อนมองตัวเราเองเลยว่าเราได้ทำอะไรบ้างให้กับโลก ฉะนั้นถ้าอยากให้โลกไม่มีปัญหา เราก็ต้องไม่ทำตัวให้เป็นปัญหาต่อโลก

“ความเรียบง่ายคือความธรรมดา ความธรรมดาเป็นพื้นฐานของความสุข” นี่ก็ถือเป็นวลีเด็ดจากหนังสือเพื่อรับมือกับความเครียดอันเกิดจากความวุ่นวายและยุ่งยากในการทำงาน ซึ่งเกิดจากการที่เราทำให้มันเป็นเรื่องซับซ้อน แต่ถ้าหากมองให้ดีแล้วชีวิตที่เรียบง่ายถือว่าเป็นชีวิตที่สงบที่สุดและเสี่ยงต่อความทุกข์มากที่สุด

ข้างต้นคือส่วนหนึ่งของเนื้อหาที่เป็นแง่คิดที่ดีสำหรับการเริ่มต้นทางความคิดที่เป็นสุข เพราะอย่าลืมว่าหากต้องการที่จะมีความสุขสิ่งสำคัญอันดับแรกควรเริ่มมาจากความคิดที่ดีและจิตใจที่สมบูรณ์ก่อน เมื่อคิดดีและจิตดีแล้วการกระทำก็จะดีตามมา

เนื้อหาภายในหนังสือเล่มนี้จะเป็นข้อคิดดีๆในการดำเนินชีวิต วิธีรับมือกับปัญหาต่างๆที่เข้ามาในชีวิต จนทำให้เรารู้สึกทุกข์ใจและไม่มีทางออก บางทีแล้วหนังสือเล่มนี้อาจเปรียบเสมือนแสงสว่างแห่งปัญญาเพื่อพาเราหลุดพ้นจากความทุกข์ที่มีอยู่รายล้อมและพบกับสิ่งที่เรียกว่า “ความสุข”ที่ว่อนต้วอยู่ภายในสิ่งที่ไม่ดีก็เป็นได้

ดังนั้นใครก็ตามที่อยากได้หนังสือดีๆให้แง่คิดที่เป็นประโยชน์ อีกทั้งไม่เป็นหนังสือธรรมะที่อ่านยาก มีเนื้อหาชัดเจนรัดกุม อีกทั้งราคาไม่แพง อ่านแล้วสบายใจและช่วยยกระดับจิตใจแล้ว ไม่ควรพลาดหนังสือเล่มนี้ เพราะเชื่อว่าหากใครก็ตามที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว อยากน้อยต้องได้ข้อคิดดีๆเป็นอย่างน้อย และหากใครก็ตามที่ปฏิบัติได้ตามที่หนังสือแนะนำแล้ว เชื่อได้ว่าความสุขก็คงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมมือคุณหรือไม่คุณก็อาจกำลังถือความสุขอยู่ในมือของคุณก็เป็นได้

“ความสุขทางใจไม่ต้องอาศัยการลงทุนและวัตถุใดๆ
ไม่ต้องยื้อแย่งแข่งขันเพื่อให้ได้มา
เพียงเราทำจิตใจให้สงบก็พบกับความสุขแล้ว”

ศุภาวีร์

เทวากับซาตาน Angels & Demons


เทวากับซาตาน Angels & Demons
แดน บราวน์ เขียน
อรดี สุวรรณโกมลและอนุรักษ์ นครินทร์ แปล
พิมพ์ครั้งที่ ๔
๖๐๒ หน้า ๓๔๕ บาท
แพรวสำนักพิมพ์

นวนิยายลึกลับตื่นเต้นชวนติดตามเรื่อง เทวากับซาตาน ที่ อรดี สุวรรณโกมล และ อนุรักษ์ นครินทร์ ได้แปลมาจาก Angels & Demons นี้ เป็นผลงานการประพันธ์เรื่องที่สามของแดน บราวน์ ผู้แต่ง The Da Vinci Code หรือ รหัสลับดาวินชี ที่เป็นที่ยอมรับในวงการหนังสือทั่วโลกมาแล้ว

เทวากับซาตานเล่มนี้จะมีปริศนามากมายหลากหลายมาให้ผู้อ่านได้ติดตามและขบคิดไปตามเนื้อเรื่องอีกครั้ง เหมือนกับ การถอดรหัสและการตีความบทกวีโบราณจาก รหัสลับดาวินชี รวมทั้งสิ่งประดิษฐ์จากมันสมองอันอัจฉริยะของศิลปิน ซึ่งก็คือ รูปสมมาตร ของหน้าปก ที่ทุกคนเห็นแล้วต้องทึ่งกับตัวอักษรเหล่านี้ โดยผู้แต่ง แดน บราวน์ ได้ใช้ภาษาสื่อออกมาด้วยความประณีตและขัดเกลาจนมีเสน่ห์ น่าค้นหา และน่าติดตาม ผจญภัยไปกับเนื้อเรื่องราวกับว่าเราได้เข้าร่วมผจญภัยไปกับเนื้อเรื่อง

จุดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์แดน บราวน์ คือการดำเนินเนื้อเรื่องราวกับว่าเป็นตัวละครนั้น เมื่อเห็นสถานที่เป็นอย่างไรก็อธิบายไปเช่นนั้น คำอธิบายของเขาแต่ละประโยค ช่วยทำให้ผู้อ่านเห็นภาพ ราวกับว่าอยู่ในสถานที่นั้น ประกอบกับกลวิธีในการคิดของเขา ทำให้เราไม่สามารถคาดเดาได้ว่าตอนท้ายสุดของเรื่องจะจบลงเช่นไร

โรเบิร์ต แลงดอน ศาสตราจารย์ด้านศาสตร์สัญลักษณ์แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ตัวเอกเดียวกับ รหัสลับดาวินชี เพียงแต่ว่าเหตุการณ์ใน เทวากับซาตาน เกิดก่อนเรื่อง รหัสลับดาวินชี เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในนครรัฐวาติกัน ที่ประทับแห่งสมเด็จพระสันตะปาปา ประมุขแห่งคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิก ทั้งยังเกี่ยวข้องกับเรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้นในวาติกัน และสถานที่ต่างๆในสำนักวาติกันอันเป็นความลับสำหรับบุคคลภายนอกอีกด้วย ผลงานศิลปะ หลุมฝังศพ อุโมงค์ และสถาปัตยกรรมในกรุงโรม ที่อ้างถึงทั้งหมดเป็นสิ่งที่อยู่จริงทั้งสิ้น รวมทั้งตำแหน่งที่ตั้งด้วย และทุกวันนี้ยังสามารถพบเห็นสิ่งต่างๆเหล่านี้ได้

การตายของยอดนักวิทยาศาสตร์และการเสด็จสวรรคตขององค์พระสันตะปาปา ทำให้แลงดอนต้องเข้ามาไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งระหว่างศาสนากับวิทยาศาสตร์อย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยมีสาวสวยบุตรสาวของผู้ที่ถูกฆาตกรรม วิตโตเรีย เวตรา นักวิทยาศาสตร์ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการคิดค้นผลิตอนุภาคของปฏิสสาร เป็นผู้ช่วย ทั้งสองช่วยกันแก้ปัญหา แก้โจทย์สัญลักษณ์ต่างๆที่องค์กรลับ อิลลูมินาติสร้างขึ้นเพื่อนำไปสู่สิ่งที่ก่อให้เกิดปัญหาทั้งหมด ปฏิสสารที่มีอานุภาพทำลายล้างเหนือปรมาณู ๒๐เท่าได้ถูกซ่อนไว้ ณ ในกลางของนครรัฐวาติกัน รวมไปถึงการยับยั้งเจ้าฆาตรกรที่วางแผนสังหารพระคาร์ดินัลทั้งสี่ ทั้งหมดต้องแข่งกับเวลาอันเร่งด่วนก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ แม้จะพบกับความลำบากในการค้นหาสัญลักษณ์ของอิลลูมินาติเพียงใด แลงดอนกับวิตโตเรียไม่เคยย่อท้อต่อและอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า ตนเองเท่านั้นที่สามารถนำตัวเราเองไปสู่จุดหมายได้

นอกจากเป็นเนื้อเรื่องที่สนุกและชวนน่าติดตามแล้วแดน บราวน์ยังสื่อสะท้อนให้เห็นถึงความจริงเกี่ยวกับมนุษย์และโลกในปัจจุบันว่า พระเจ้าไม่ได้เป็นผู้กำหนดชะตาชีวิต คนเราเองตะหากที่เป็นผู้กำหนดทางเดินของชีวิต หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่อยากจะแนะนำผู้อ่านได้อ่าน เพราะเป็นหนังสือแปลที่มีคุณค่าอย่างแท้จริง เนื้อหาภายในเรื่องเต็มไปด้วยความรู้หลายๆอย่างไม่ว่าจะเป็นความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ ด้านประวัติศาสตร์ โบราณสถานและประติมากรรมต่างๆที่ผู้อ่านอาจจะยังไม่เคยได้รับรู้และทำให้ผู้อ่านเหมือนอยู่ในเหตุการณ์ได้ผจญภัยไปกับเนื้อเรื่อง และเชื่อว่าผู้อ่านจะได้รับความสนุกและความเพลิดเพลินจาหนังสือเล่มนี้จนไม่สามารถวางได้ลงหรือละสายตาไปจากหนังสือเล่มนี้และอาจจะย้อนกลับมาอ่านใหม่อีกครั้งในครั้งต่อไป

ศศิพงศ์

อัจฉริยะบนทางสีขาว ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา



ศศิธร สังข์ทอง ๐๕๔๙๐๓๗๖อัจฉริยะบนทางสีขาว ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
สานุพันธ์ ตันติศิริวัฒน์
พิมพ์ครั้งที่ ๕
สำนักพิมพ์ฟรีมายด์
๒๑๕ หน้า ภาพประกอบ
๑๙๕ บาท

หลายคนคงรู้จัก ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา จากภาพยนตร์โฆษณาชุดหนึ่งที่กล่าวถึง ดร.อาจองว่า เป็นผู้คิดค้นระบบคลื่นสัญญาณติดตั้งบนยานไวกิ้ง ให้ลงจอดบนดาวอังคารได้สำเร็จ แต่นั่นเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของความสามารถในตัวดร.อาจองผู้นี้ ประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมามาของท่านมีหลากหลายแขนงไม่ว่าจะเป็นวิศวกร อาจารย์ นักธุรกิจ นักการเมือง นักการศึกษา ยิ่งไปกว่านั้นยังเคยได้รับเชิญไปแสดงภาพยนต์เรื่องข้างหลังภาพอีกด้วย

หนังสือเรื่อง “อัจฉริยะบนทางสีขาว ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา” เล่มนี้ เรียบเรียงโดย สานุพันธ์ ตันติศิริวัฒน์ นักเขียนผู้มีอุดมการณ์ที่จะสร้างสรรค์หนังสืออันมีคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน ได้รวบรวมและถ่ายทอดชีวิตของดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ออกมาได้อย่างครบถ้วนและมีชีวิตชีวา ประดุจนั่งฟังเรื่องเล่าอันน่าอิ่มเอมใจ ใครที่ได้อ่านคงมีความรู้สึกไม่ต่างจากฉันว่าชีวิตยังมีสิ่งดีๆอีกมาก หากเราใช้ชีวิตอย่างเข้าใจ

เริ่มเรื่องโดยกล่าวถึงชีวิตในปัจจบันของดร.อาจอง ว่า “ท่านได้หลีกเร้นไปจากสังคมส่วนใหญ่ ด้วยวัยที่ผ่านโลกมากว่า หกทศวรรษ หันไปใช้ชีวิตในบทบาทของ ‘ครู’ ผู้สอนวิชาความรู้และชี้แนวทางแห่งธรรมะที่คิดว่าเหมาะสม ให้แก่นักเรียนตัวน้อยๆ” ซึ่งผู้เขียนกล่าวว่าสถานที่แห่งนั้นเปรียบเป็น “ดินแดนแห่งสรวงสวรรค์” เนื่องจากที่แห่งนั้น “ห้อมล้อมด้วยธรรมชาติ สวยงาม สงบ และคนที่นั่นยังเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม....ความรักและความเมตตา”

หลังจากนั้นจึงเล่าถึงชีวิตของดร.อาจอง ว่าท่านเกิดในช่วงเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งตอนเกิด พ่อและแม่ของท่านคิดว่าต้องได้ลูกสาวจึงเตรียมซื้อข้าวของสำหรับเด็กผู้หญิง แต่ปรากฎว่าเป็นผู้ชาย พ่อแม่เลยตกใจ จึงได้ชื่อเล่นว่า “เด็กชายเอ๊ะ”

ชีวิตของดร.อาจอง มีเรื่องราวเกิดขึ้นมาก กล่าวคือ ตั้งแต่เด็กต้องเดินทางไปยังจังหวัดหนองคาย พร้อมกับแม่และพี่ชาย เพื่อหลบภัยสงครามที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ หลังจากสงครามยุติลงจึงได้กลับมากรุงเทพฯอีกครั้ง และ “หลังจากนั้นการเปลี่ยนแปลงของชีวิตก็เริ่มต้นขึ้น” เมื่อท่านต้องเดินทางไปกับครอบครัวเพื่อติดตามบิดาไปทำงานที่ประเทศฝรั่งเศส หลังจากนั้นก็ได้ไปเรียนยังประเทศอังกฤษตามความมุ่งหวังของบิดา และเล่าเรียนจนได้รับรางวัลมากมายและศึกษาจนจบปริญญาเอก จึงตัดสินใจนำความรู้ความสามารถกลับมาใช้ประโยชน์ในประเทศไทย โดยทำหน้าที่ตั้งแต่การเป็นอาจารย์ให้แก่นิสิตนักศึกษา เป็นนักการเมือง ‘น้ำดี’ และเป็นนักการศึกษาผู้เปี่ยมด้วยคุณธรรม

ท่านก่อตั้ง “โรงเรียนสัตยาไส” ขึ้นที่จังหวัดลพบุรี ซึ่งถือเป็น “โรงเรียนชีวิต โรงเรียนธรรมชาติ โรงเรียนคุณธรรมที่มีลักษณะกลมกลืนกับกระบวนการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” ที่สำคัญโรงเรียนแห่งนี้ไม่คิดค่าเล่าเรียน และในการเรียนการสอนจะมีการสอดแทรกธรรมะอยู่เสมอ เห็นได้จากในตอนเช้าก็จะมีการนั่งสมาธิกันตั้งแต่ตีห้าครึ่ง การนั่งสมาธิจะแปลกไปจากที่พบมาคือมีการใช้เสียงดนตรีประกอบการนั่งสวดมนต์และนั่งสมาธิ ซึ่งการนั่งสมาธินี้เป็นวิธีการสั่งจิตใต้สำนึก ที่ ดร.อาจอง คิดขึ้นมาเพื่อให้เด็กๆคิดแต่สิ่งดี เพราะดร.อาจองมีปณิธานว่า “เราต้องการคนดีเหนือสิ่งอื่นใด เราต้องการสร้างคนที่มีคุณธรรมสูง ไม่ใช่สร้างคนเก่ง เพราะคนเก่งแล้วเห็นแก่ตัว อันตราย แต่ถ้าเค้าดีแล้ว เค้าจะเก่งเอง มีสมาธิดี ความจำดี ทุกอย่างจะดีขึ้น”

ทุกวันนี้ ดร.อาจองใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ทุ่มเททุกอย่างเพื่อโรงเรียนสัตยาไส เพื่อการศึกษาของเด็กๆ โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆจากการทำงาน

หนังสือเล่มนี้รวบรวมชีวประวัติของดร.อาจองเอาไว้อย่างดีเยี่ยมและน่าสนใจ เขียนในลักษณะเป็นกันเองกับผู้อ่าน กล่าวคือไม่ได้เขียนชนิดที่เรียกว่าเคร่งครัดกับข้อมูลชีวประวัติจนเกินไป การบรรยายเป็นไปอย่างเรียบง่ายแต่ไม่น่าเบื่อ การเรียกดร.อาจอง ในแต่ละช่วงอายุก็เสนอออกมาได้อย่างน่าเอ็นดู คือเรียก ดร.อาจองด้วยชื่อเล่น คือ ในช่วงวัยเด็กจะเรียกว่า “เด็กชายเอ๊ะ” หลังจากนั้นเปลี่ยนมาเป็น “นายเอ๊ะ” จนกลายเป็น “ดร.อาจอง” ในเวลาต่อๆมา

นอกจากชีวประวัติที่ครบถ้วนแล้ว ผู้เขียนได้แทรกเกร็ดชีวิตด้านเล็กๆแต่มีประโยชน์มหาศาลของดร.อาจองไว้หลากหลาย เช่น เมื่อตอนดร.อาจองอายุ ๑๕ ปี ท่านได้ทดลองนั่งสมาธิแบบ “อาณาปานสติ” หลังจากนั้นชีวิตของท่านก็เปลี่ยนไป คือกลายเป็นคนใจเย็น มีสมาธิ และผลการเรียนก็ดีขึ้นเรื่อยๆจึงใช้การนั่งสมาธิเป็นเครื่องขัดเกลาจิตใจมาตลอด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการนั่งสมาธิมีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน หรือแม้แต่เรื่องการรับประทานมังสวิรัติ ที่บอกว่า
ผู้รับประทานอาหารประเภทนี้จะมีสุขภาพแข็งแรงและป้องกันโรคร้ายต่างๆซึ่งความคิดการรับประทานมังสวิรัตินี้ เกิดขึ้นตอนที่ดร.อาจอง แผ่เมตตาให้สัตว์ทั้งหลาย แต่มาคิดได้ว่าเราแผ่เมตตาให้พวกมันแต่เรายังกินเนื้อมันเป็นอาหารอยู่ ดังนั้นท่านจึงเลิกรับประทานเนื้อสัตว์เป็นต้นมา

สิ่งประทับใจที่สุดจากหนังสือเล่มนี้คือ แนวทางการดำเนินชีวิตที่ดร.อาจองฝากไว้แก่คนรุ่นหลังว่า... “ทุกคนสามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้ เพียงแต่เราต้องสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง และความมั่นใจจะเกิดขึ้นจากการที่เรารู้จักตัวเอง มนุษย์จะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดถ้าเรารู้จักตัวเอง”

ไม่เพียงแต่จะเป็นหนังสือชีวประวัติเท่านั้น แต่ “อัจฉริยะบนทางสีขาวฯ” เล่มนี้ยังเป็นหนังสือที่แฝงไปด้วยข้อคิดที่ดีงามเหมาะสมกับการดำเนินชีวิต ของทุกคน

ผู้อ่าน แม้ไม่ใช่อัจฉริยะทางความคิด แต่อ่านจบแล้ว อาจเป็นอัจฉริยะทางจิตใจก็เป็นได้


ศศิธร

บารมีพระแม่ป้อง ปกพื้นธรณิน


บารมีพระแม่ป้อง ปกพื้นธรณิน
คุณหญิงวินิตา ดิถียนต์
พิมพ์ครั้งที่ ๒ /๒๕๔๗
สำนักพิมพ์เพื่อนดี
๒๒๙ หน้า ภาพประกอบ
๑๓๐ บาท


‘บารมีพระแม่ป้อง ปกพื้นธรณิน’ เป็นนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ผลงานการประพันธ์ของ “แก้วเก้า” (รองศาสตราจารย์ ดร.คุณหญิงวินิตา ดิถียนต์) นักเขียนฝีมือชั้นครูผู้มีผลงานการเขียนทั้งนวนิยาย เรื่องสั้น เรื่องแปล และบทความมากมาย รางวัลวรรณกรรมดีเด่นจากภาครัฐและเอกชนมากถึง ๑๖ รางวัลคงเป็นเครื่องยืนยันคุณภาพได้ว่างานเขียนของท่านเป็นดังงานศิลปกรรมที่รังสรรค์ขึ้นด้วยความประณีต ละเอียดลออ และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย

เรื่องเริ่มต้นด้วยด้วยปวินท์และพัตรา ตัวละครเอกของเรื่องมาไหว้พระบรมราชานุสาวรีย์ของสมเด็จพระศรีสุริโยทัย ด้วยเหตุที่หญิงสาวไปศึกษาต่อต่างประเทศเป็นเวลานานจึงไม่ทราบประวัติศาสตร์ของชาติไทยมากนัก ปวินท์จึงเล่าพระวีรกรรมของสมเด็จพระศรีสุริโยทัยให้พัตราฟัง ทั้งคู่ตกลงกันว่าจะแวะทานอาหารก่อนกลับกรุงเทพฯ เมื่อขับรถออกมาพวกเขากลับย้อนอดีตไปสู่สมัยกรุงศรีอยุธยาเพราะคำพูดที่ว่า

“เราไม่ควรจะสูญเสียสมเด็จพระสุริโยทัยไป”

ทั้งสองได้พบพระมหานาคซึ่งเป็นพระผู้เทศนาให้เหล่าเชื้อพระวงศ์ฟังและสนทนากับท่านได้เพียงเล็กน้อย จากนั้นทั้งคู่ได้พบลำพู เด็กสาวผู้มีน้ำใจงามตามแบบฉบับของคนไทยโบราณ ลำพูให้ที่พักอาศัยและช่วยเหลือพวกเขาทุกอย่าง ต่อมาพระมหานาคได้พาปวินท์เข้าเฝ้าสมเด็จพระศรีสุริโยทัย เขามีโอกาสกราบทูลเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หลักฐานเพียงชิ้นเดียวที่จะสามารถยืนยันได้ว่าเขามาจากต่างยุคก็คือ นาฬิกาข้อมือ พระสุริโยทัยทรงไว้วางใจจึงทรงฝากฝังให้ปวินท์และพัตราไปอาศัยอยู่ที่บ้านของพระมหามนตรี ขุนศึกหนุ่มผู้จงรักภักดี

พัตราได้พบรักกับพระมหามนตรี ทั้งคู่ได้แลกแหวนเพื่อเป็นสื่อรัก ไม่นานพระมหามนตรีได้พาพัตราเข้าเฝ้าพระสุริโยทัยในวังตามพระราชเสาวนีย์ พระองค์ตรัสว่าจะทรงเข้าร่วมรบในศึกหงสาวดีครั้งนี้แม้ว่าจะทรงทราบดีว่าผลของสงครามจะเป็นเช่นไรทำให้พัตราปลาบปลื้มในความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยวของพระองค์
ครั้นพอถึงฤกษ์ดี อยุธยาก็จัดกองทัพโดยมีพระมหาธรรมราชาเป็นผู้นำทัพ พระศรีสุริโยทัย พระราชธิดาพระองค์เล็ก และพระมหามนตรีก็ออกศึกในครั้งนี้ด้วย ผลของสงครามก่อให้เกิดความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ พระสุริโยทัยและพระราชธิดาพระองค์เล็กสิ้นพระชนม์ พระมหามนตรีก็สิ้นชีพเช่นกัน เมื่อพัตราทราบข่าวก็เสียใจเป็นอย่างมาก เธอร่ำไห้กับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของชายผู้เป็นที่รัก พัตราพบแหวนของเธอในห้องของขุนศึกหนุ่ม เธอจึงแลกแหวนของเธอกลับคืน

เมื่อหน้าประวัติศาสตร์เป็นไปตามที่บันทึกไว้และไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงได้จึงถึงเวลาที่ทั้งคู่จะต้องกลับสู่โลกปัจจุบัน พวกเขาไปพบพระมหานาคที่ท้ายวังและได้พบรถยนต์ที่ขับมาเมื่อหลายวันก่อน ลำพูมาส่งพวกเขาเพื่ออำลาเป็นครั้งสุดท้าย ภาพของอดีตได้หายไปสิ้น กลับกลายเป็นโลกปัจจุบันราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนขณะทั้งคู่ขับรถออกมา เมื่อกลับมาถึงพัตราจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ เธอคิดว่าแค่เพียงฝันไป เรื่องราวจบลงที่ทั้งคู่กลับมาไหว้พระบรมราชานุสาวรีย์พระศรีสุริโยทัยอีกครั้ง

เรื่องนี้มีการบรรยายฉากที่น่าสนใจคือ เปิดเรื่องและปิดเรื่องด้วยการไปไหว้พระบรมราชานุสาวรีย์พระศรีสุริโยทัย และการเข้าสู่เรื่องในแต่ละบทจะขึ้นต้นด้วยข้อความที่มีความหมายโดยนัยเพื่อให้เรื่องน่าสนใจ มีการบรรยายให้เห็นฉากบ้านเมืองในสมัยอยุธยาและความโอ่อ่าของพระบรมมหาราชวัง เราจะเห็นสภาพความเป็นอยู่และวิถีชีวิตของคนในสมัยก่อนได้อย่างชัดเจนราวกับว่าเราเดินทางไปพร้อมกับตัวละคร

ผู้แต่งได้เพิ่มตัวละครสมมติเข้าไปผสมกับเรื่องจริงเพื่อไม่ให้นวนิยายอิงประวัติศาสตร์เล่มนี้น่าเบื่อ และเข้าถึงผู้อ่านได้ในวงกว้างมากขึ้น จึงนับว่าเป็นเรื่องเหนือจริงที่สมจริงโดยใช้วรรณศิลป์ทางภาษาเรียงร้อยถ้อยคำอย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้เกิดเป็นงานศิลปะที่ทรงคุณค่า

เหตุการณ์ในเรื่องทำให้เรารับรู้ได้ว่า ผู้เขียนเทิดทูนในความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยวของวีรกษัตรีไทย โดยแสดงให้เห็นถึงความสามารถ ความโอบอ้อมอารี ความมีน้ำใจ และการเสียสละครั้งยิ่งใหญ่เพื่อให้ประเทศชาติอยู่รอดได้ ทำให้ไทยเป็นไทอยู่ได้จนทุกวันนี้ ผู้แต่งมีความรู้สึกสุขใจและภูมิใจที่สร้างสรรค์งานศิลปกรรมชิ้นนี้สำเร็จ ซึ่งจะทำให้ผู้อ่านมีความสุขและมีความภูมิใจในพระวีรกรรมซึ่งป็นประวัติศาสตร์ตอนสำคัญของชาติที่จะจารึกไว้ในจิตใจของคนไทยไปตราบนานเท่านาน

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์เล่มนี้จึงเป็นดัง “สมบัติของแผ่นดิน” อันควรค่าแก่ความภูมิใจของคนไทยซึ่งผู้อ่านจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศของความสุข ความเศร้า และความสะเทือนใจสูงสุดตั้งแต่เริ่มแรกเรื่องจนถึงบทสุดท้าย จึงขอเชิญชวนให้ผู้อ่านทุกท่านย้อนอดีตไปสู่สมัยกรุงศรีอยุธยาพร้อมกับหนังสือ จินตนิยายอิงประวัติศาสตร์เล่มนี้ ‘บารมีพระแม่ป้อง ปกพื้นธรณิน’


วุฒิพงษ์

ที่อยู่ของความรัก



วิษณุ สวาสุด ๐๕๔๙๐๓๖๗ กลุ่ม ๒ (๔๑๑ ๒๐๗)ที่อยู่ของความรัก
จิตรกร บุษบา
พิมพ์ครั้งที่ ๒
ปีที่พิมพ์ ๒๕๕๐
สำนักพิมพ์บานชื่น
๑๒๗ หน้า ภาพประกอบ
๑๑๐ บาท

ความรักหาได้มีรสอย่างเกลือ น้ำตาล หรือน้ำปลา หากแต่รสชาติแปรเปลี่ยนไปตามส่วนผสมต่างๆ ที่ปรุงแต่งเข้าด้วยกัน ดังนั้นคนแต่ละคนจึงมีนิยามของคำว่า “รัก” แตกต่างกันไป เวลาที่พูดถึงความรักโดยการพยายามจะหาคำจำกัดความจึงไม่ง่าย เพราะความรักมีใจความกว้างใหญ่เสียจนไม่อาจหานิยามที่ครอบคลุม หรือสิ้นสุดได้ ทว่าทางที่ง่ายกว่า และงามกว่าก็คือ เราต้องพยายามมองให้เห็นว่าอะไรคือความรักบ้าง ไม่ใช่มองจากมุมเดิมๆ ว่าความรักคืออะไร ดังที่หนังสือเล่มอุ่นนี้ได้เอื้อนเอ่ยอย่างอารี

จิตกร บุษบา คือนักเขียนที่นิยมความเรียบง่าย แต่ไม่ประหยัดมุมมอง เขาพร้อมแจกแจงมุมที่ควรเห็นให้เป็นทางเลือกใหม่ๆ แก่ผู้อ่าน ด้วยภาษาที่อ่อนหวาน อ่อนไหว โดยเฉพาะภาษาใน “ที่อยู่แห่งความรัก” นี้ เพื่อที่จะทำให้ผู้อ่านมองเห็น “รัก” ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

เขาพูดอยู่เสมอว่าโลกใบนี้คือ “ทุ่งดอกรัก” ที่มีความรักผลิบานอยู่รอบตัวคน คนจึงมีหน้าที่ที่จะเห็นและหาที่อยู่ของความรัก เพราะความรักไม่ควรถูกทิ้งขว้างให้ต้องพเนจรร่อนเร่

ความรักจะอยู่ในใจก็ได้ อยู่ในดอกไม้ก็ได้ อยู่ในบ้านก็ได้ อยู่ตรงรั้วก็ได้ หรืออยู่ในอาหารสักจานหนึ่งก็ได้ จานที่คุณรักมัน เพียงแต่คุณเคยเห็นไหม เห็นความรักในอาหารจานโปรด ในดอกไม้สักชนิดหนึ่งที่คุณหลงใหล หรือเสื้อยืดตัวเก่าซอมซ่อสักตัวที่คุณยังใส่และไม่ยอมทิ้ง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรายอมเปิดพื้นที่ให้สิ่งนั้นอยู่เป็นส่วนหนึ่งของเรา ทำให้เราเต็ม ทำให้เราครบ ทำให้เราอิ่ม ทำให้เราเย็น ทำให้เราสว่าง นี่แหละ......คือความรัก

หนังสือเล่มนี้เหมือนกับการพาผู้อ่านไปทัศนะศึกษาว่าความรักอยู่ที่ใดบ้าง สวยงามไหม โดยที่บางครั้งความรักไม่จำเป็นต้องเกิดจากเรา ไม่ใช่ของเรา อาจเป็นความรักของคนอื่น แต่เราเห็นความรักได้ ยิ้มให้กับความรักได้ และความรักก็ส่งยิ้มตอบให้เราได้ด้วย ความรักคือมิตร คือสิ่งสวยงามทำไมเราต้องไปคิดแค่เพียงว่าเราต้องเป็นเจ้าของความรักเท่านั้นแล้วเราจะมีความสุข

ส่วนแรกในหนังสือเล่มนี้ จิตรกรเปรียบเทียบว่า คล้ายกับสวนหน้าบ้านของบ้านสักหลังหนึ่งที่เมื่อใครก็ตามเดินเข้ามา จะสัมผัสได้ถึงความราบรื่น สวยงาม สบายตาสบายใจ รู้สึกได้ว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านของคนชนิดไหน ต่างจากบ้านที่คุณเคยอยู่หรือไม่

บอกรักซึ่งอยู่ในส่วนแรกเป็นเหมือนเพลงโหมโรง เชิญชวนและนำทางให้ผู้อ่านเข้ามาสัมผัสกับบรรยากาศแห่งความรัก ให้ผู้อ่านสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของความรักก่อนทีละน้อย จนเกิดความอิ่มใจในทางต่างๆ ซึ่งอาจจะไม่ตรงกับที่ผู้อ่านเคยรู้จัก หรือเคยรู้สึก

ส่วนที่สองของเนื้อหาเปรียบเหมือนคำทักทาย และการต้อนรับที่อบอุ่นเป็นกันเองสำหรับทุกคนที่ก้าวเท้าเข้าไปในบ้าน โดยการเล่านิทานให้ฟังอย่างอิ่มใจ
ขวบปีของความรัก คือนิทานสิบสองเรื่อง ที่แสดงระยะการเติบโตของความรักในแต่ละเดือน ในนิทานจะมีตัวละครหลักคือคนสวนกับดอกกุหลาบ บางครั้งคนสวนรู้ บางครั้งคนสวนก็ไม่รู้ บางครั้งดอกกุหลาบถาม บางครั้งดอกกุหลาบตอบ บางครั้งคนสวนก็เอาสิ่งที่ตัวเองเรียนรู้ไปเล่าให้เด็กคนหนึ่งฟัง หรือเล่าให้คนโน้นคนนี้ฟัง นี่คือการถ่ายทอดความเข้าใจเรื่องความรักให้แก่กันและกัน

ส่วนที่สาม ผู้เขียนเปรียบเหมือนการเดินชมบ้าน ชมห้องต่างๆ ว่ามีกี่ห้องในแต่ละห้องใครเคยอยู่ และอยู่เพื่อใคร ทำไมจึงเป็นบ้านขึ้นมาได้ และทำไมยังคงเป็นบ้านอยู่

บ้านที่มีความรักเป็นทุนรอนและส่วนประกอบ

คนในรัก เรียกได้ว่าเป็นหัวใจของหนังสือเล่มนี้ เนื้อหากล่าวถึงความรักแรกๆ ที่เกิดขึ้นกับทุกคน คือความรักจากคนในครอบครัว จากคนในชีวิต ผมคิดว่าก่อนที่เราจะรักใครสักคนเป็น หรืออยากจะรักใครสักคน แม้ได้ผ่านช่วงเวลาที่มีคนรักเรามาก่อน ทว่าสุดท้ายเรามักจะลืมคนเหล่านั้น เราลืมความรักที่เคยได้รับเหล่านี้แล้วก็เที่ยวไปวิ่งไล่ตามความรักเสียจนเหน็ดเหนื่อย ทั้งที่เรามีความรักและคนที่รักเราอยู่แล้ว สิ่งสำคัญคือเรารักเขาหรือเปล่า เราอิ่มกับความรักที่มีขณะนี้หรือเปล่า เราเคยใช้ความรักหรือเปล่า ในฐานะที่ความรักเป็นต้นทุนทางชีวิตของเรา

ส่วนที่สี่ เปรียบเหมือนของฝากที่ผู้มาเยี่ยมเยือนจะได้รับติดไม้ติดมือกลับบ้าน แน่นอนว่าความรักคือของดีของบ้านนี้ ดังนั้นของฝากจากบ้านนี้ก็ต้องเป็นความรัก ซึ่งเจ้าของบ้านมอบให้ด้วยน้ำใจไมตรี

ในส่วนนี้มีเรื่องสั้นสองเรื่อง ทิ้งท้ายไว้เป็นของฝาก ดุจจะบอกกับผู้อ่านว่า ไม่ว่าความรักจะอยู่ที่ไหน ในมือเรา หรือมือใครเราก็สุขได้ ให้เห็นว่ารักก็คือรัก ความรักต้องการที่อยู่ ที่ที่ความรักเลือกอยู่เพราะอยากจะอยู่

ตัวหนังสือในบ้านกระดาษเล่มนี้น่าจะมีพลานุภาพพอที่จะกระทบอารมณ์ผู้อ่าน ให้หัวใจผู้อ่านได้เต้นแรงบ้าง น้ำตาเอ่อบ้าง เพื่อจะได้แน่ใจว่าหัวใจยังอยู่กับเขา

หัวใจยังทำงานอยู่ แทบทุกเรื่องจะชักจูงผู้อ่านให้เดินออกจากตัวเอง อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่เดินกลับเข้ามาหาตัวเองอีกครั้งผู้อ่านจะได้เห็นความกว้างยิ่งขึ้นของชีวิต และรักชีวิตมากขึ้น รักสิ่งที่ชีวิตตัวเองมี ที่ที่ตัวเองอยู่ และสิ่งที่ตัวเองเป็น

ความรักคงไม่ได้ให้แค่ความสุขหรือความทุกข์อย่างเดียว แต่ได้ให้โจทย์และการเรียนรู้แก่ชีวิตด้วย ที่สำคัญก็คือ เมื่อคุณทำให้ความรักเกิดขึ้นแล้ว คุณก็มีหน้าที่ที่ต้องรับรู้ถึงการมีอยู่ของความรัก พูดคุย หล่อเลี้ยงความรัก บอกความรักด้วยว่าควรจะอยู่อย่างไร ตลอดจนต้องหาที่อยู่ที่เหมาะสมให้กับความรักด้วย เพื่อที่ความรักจะได้อยู่กับคุณตลอดไป ดังเช่นบ้านกระดาษแห่งความรักหลังนี้แสดงให้คุณประจักษ์


วิษณุ

ปุลากง


ปุลากง
โสภาค สุวรรณ
ฉบับพิมพ์ พ.ศ.๒๕๔๒
โรงพิมพ์กรุงธนพัฒนา จำกัด
๔๒๑ หน้า
ราคา ๑๑๐ บาท

โสภาค สุวรรณ นักประพันธ์ที่ได้รับความสนใจจากนักอ่านอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานานหลายปี มีผลงานเป็นที่รู้จักหลายเรื่อง อาทิ สายโลหิต สงครามดอกรัก ฟ้าจรดทราย เป็นต้น และ “ปุลากง” ก็เป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกของท่าน หนังสือเล่มนี้ได้รับรางวัลชมเชยประเภทนวนิยายจากการประกวดหนังสือในงานครบรอบร้อยปีของพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ นอกจากนี้ในปีการศึกษา ๒๕๒๐ กระทรวงศึกษาธิการได้คัดเลือกให้เป็นหนังสืออ่านนอกเวลา วิชาภาษาไทย สำหรับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายอีกด้วย

“ปุลากง” เป็นเรื่องของนายตำรวจหนุ่ม (เข้ม) และพัฒนากรสาว (หนูตุ่น) ได้รับหน้าที่ไปประจำอยู่ที่ตำบลปุลากง โดยมีจุดประสงค์เพื่อช่วยพัฒนาสร้างความมั่นคงเป็นปึกแผ่นให้แก่ครอบครัวชนบทเพื่อป้องกันการรุกรานจากกลุ่มก่อการร้ายที่เข้ามายุยงให้เกิดความแตกแยกภายในประเทศ ทั้งสองทำงานตามอุดมคติโดยสิ่งที่คนทั้งสองต้องการนั้นมิใช่เงินเดือน แต่เป็นความภาคภูมิใจที่อย่างน้อยชีวิตหนึ่งที่ได้เกิดมาเป็นคน ได้มีโอกาสทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติ พวกเขาใฝ่หาสันติและเสรีภาพโดยมิได้หวังว่าชื่อของตนจะถูกจารึกลงในประวัติศาสตร์บทไหน

ผู้แต่งได้มีการผูกปมปัญหาในชีวิตของตัวละครเอกทั้งสองเอาไว้อย่างแยบยล ตั้งแต่ปมปัญหาในสมัยเด็ก “เข้ม” นั้นมีพ่อที่มีหน้าที่การงานใหญ่โตและไม่ค่อยสนใจแม่ซึ่งเป็นภรรยาน้อย ทำให้เข้มมีปมปัญหาในใจ เข้มจึงตั้งปณิธานเอาไว้ว่า เมื่อโตขึ้นเขาจะไม่เป็นแบบพ่อ และทำงานเพื่ออุดมคติมิใช่เพื่อยศถาบรรดาศักดิ์ ในเรื่องความสัมพันธ์กับ”หนูตุ่น”นั้น ทั้งสองคนเคยเป็นเพื่อนบ้านกันมาตั้งแต่เด็กๆและไม่ค่อยชอบหน้ากัน มักทะเลาะกันเป็นประจำ แต่เมื่อโตขึ้นกลับต้องมาทำงานที่มีอุดมการณ์เหมือนกัน อยู่ใกล้ชิดกันจนเกิดมีความรู้สึกแปลกๆเกิดขึ้นในใจของทั้งคู่

ผลงานชิ้นนี้ของ โสภาค สุวรรณ นำประเด็นการเรียกร้องแบ่งแยกดินแดนของกลุ่มก่อการร้ายเป็นปมปัญหาใหญ่ของเรื่อง ซึ่งยังคงเป็นปัญหาที่มีมาจนถึงปัจจุบันนี้ โดยตัวผู้แต่งได้สอดแทรกแนวคิดการแก้ไขปัญหานี้โดยผ่านตัวละคร “หนูตุ่น” พัฒนากรสาวที่เข้าไปพัฒนาหมู่บ้านปุลากงซึ่งมีแนวความคิดที่จะพัฒนากลุ่มชาวบ้านไปพร้อมกับการสร้างความเข้มแข็งให้กับคนในหมู่บ้านโดยยึดพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงประทานแก่นักพัฒนากรว่า “การสร้างความมั่นคงเป็นปึกแผ่นแก่ครอบครัวชนบทเป็นการป้องกันประเทศชาติด้านหนึ่ง”

นอกจากนี้ “ปุลากง” ยังได้สอดแทรกข้อคิดเรื่องการสำนึกรักบ้านเกิด โดยการบรรยายให้เห็นภาพของสังคมชนบทที่กำลังรอคอยความหวังว่าจะมีผู้มาปรับปรุงหมู่บ้านให้มีความเจริญทันต่อยุคสมัย และได้แทรกข้อคิดนี้ผ่านความคิดของตัวละครเด็กในหมู่บ้านปุลากงที่มีความคิดที่อยากจะสร้างความผาสุกในหมู่บ้านและพัฒนาหมู่บ้านให้ก้าวหน้าขึ้น จึงตั้งใจเรียนเพื่อจะได้เข้าไปศึกษาต่อในเมืองแล้วกลับมาเป็นครูสอนเด็กๆในหมู่บ้าน

ในข้อคิดต่างๆของเรื่องนี้ ส่วนที่น่าประทับใจมากที่สุด คือ ความคิดของ “หนูตุ่น” พัฒนากรสาวที่กล่าวว่า “อยากจะให้พวกคนรุ่นหลังสำนึกในผืนแผ่นดินไทยที่เขาเป็นเจ้าของ เขาจะต้องรักในฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่ง ซึ่งต่างกันเพียงศาสนา ภาษาที่เขาพูดกันเป็นพื้นนั้นเป็นเพียงวัฒนธรรม และประเพณีของท้องถิ่น ไม่ได้แสดงว่าเขาไม่ใช่คนไทย”

นับว่าผลงานของโสภาค สุวรรณ ชิ้นนี้ ได้ให้แง่คิดที่เหมาะกับสภาพสังคมในปัจจุบันในหลายๆด้าน ว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะสร้างความสันติและสามัคคีให้เกิดขึ้นในชาติ ทั้งยังได้ถ่ายทอดอุดมการณ์นี้ให้แก่คนรุ่นหลัง ผลงานชิ้นนี้จะดีหรือไม่นั้น เหลือเพียงรอให้ผู้อ่านเข้ามาตัดสินด้วยตัวเอง

วาสินี

The Secret


The Secret (เดอะซีเคร็ต)
ผู้เขียน : รอนดา เบิร์น
ผู้แปล : จิระนันท์ พิตรปรีชา
พิมพ์ครั้งที่ ๔๐ / ๒๕๕๑
สำนักพิมพ์อมรินทร์
๑๙๙ หน้า ภาพประกอบ
๒๔๕ บาท


The Secret เพียงชื่อหนังสือก็ดึงดูดความสนใจของดิฉันแล้ว คำถามแรกที่เกิดขึ้นในความคิดหลังสะดุดตากับหนังสือปกสีน้ำตาล มีลายมือและเส้นวาดเขียนลายตาจนดูไม่รู้เรื่องเหมือนรหัสลับบางอย่างที่วางอยู่บนแฝงหนังสือนั้นช่างดึงดูดให้หยิบขึ้นมาเปิดอ่าน “ความลับ”อย่างนั้นหรือ อะไรคือความลับที่ผู้เขียนต้องการจะบอก สิ่งใดคือความลับที่คนทั้งโลกปรารถนาจะล่วงรู้ไม่ว่าจะแลกด้วยเงินทองมากมายเพียงใด ความลับอะไรคือปลายเหตุของการช่วงชิงครั้งนี้ และสิ่งสำคัญที่ดึงดูดให้ดิฉันตัดสินใจซื้อหนังสือเล่มนี้มาก็คือ ความลับที่ว่านี้รู้กันเฉพาะในกลุ่มบุคคลที่มีชื่อเสียงของโลกอย่าง ไอน์สไตน์ เชคสเปียร์ เบโธเฟน เอดิสันหรือแม้แต่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครฤๅที่ไม่ปรารถนาจะทราบหากความลับอันยิ่งใหญ่นี้ถูกรวบรวมและตีพิมพ์อยู่ในหนังสือเล่มเล็กเพียงแค่เปิดอ่าน

ผู้เขียน รอนดา เบิร์น ได้ถ่ายทอดประสบการณ์ส่วนตัวตั้งแต่หน้าแรกของ The Secret ชีวิตของเธอที่ตกระกำลำบากจนถึงขีดสุด มนุษย์คนหนึ่งที่ประสบโชคร้ายเสียจนไม่คิดจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ทว่าในความย่ำแย่เหล่านั้นกลับมอบของขวัญพิเศษที่เรียกว่า “ความลับ” นี้ให้เธอได้รับรู้ รอนดาค้นพบว่าความลับนี้เป็นสิ่งมหัศจรรย์และนำมาใช้ได้จริง สิ่งพิเศษอันน่าเหลือเชื่อเหล่านี้ดึงดูดให้เธอสืบหาไปถึงผู้รู้ในอดีตและพบว่าเป็นความลับที่น้อยคนนักจะทราบ อีกทั้งกลุ่มคนเหล่านั้นล้วนมีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ทั้งสิ้น ในที่สุดเธอจึงค้นหากลุ่มบุคคลที่ล่วงรู้ถึงความลับนี้และยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันเพื่อรวบรวมคำบอกเล่าเกี่ยวกับความลับนี้ให้คนทั้งโลกได้รับรู้ กระทั่งสร้างเป็นภาพยนตร์ The Secret ที่บันทึกบทสัมภาษณ์เกี่ยวกับประสบการณ์ของบุคคลเหล่านั้น และถ่ายทอดมาเป็นหนังสือที่ติดอันดับขายดีในอเมริกาเป็นเวลากว่าสี่สิบสัปดาห์และได้รับการแปลเป็นหลายภาษาทั่วโลก

ความลับที่ว่านี้ก็คือ “กฎแห่งการดึงดูด” (Law of Attraction) โดยมีหลักการว่า สิ่งที่เหมือนกันนั้นจะมีแรงดึงดูดเข้าหากัน เวลาที่คิดอะไรไม่ว่าจะดีหรือร้าย ความคิดเหล่านั้นจะถูกส่งต่อผ่านคลื่นความถี่ของความคิดไปสู่จักรวาลและดึงดูดสิ่งที่มีความถี่เหมือนกันเข้ามาหาแหล่งกำเนิดซึ่งก็คือผู้คิด ความคิดสามารถสร้างอนาคตได้ หากคิดอยากจะมี จะเป็น หรือจะทำอะไร เมื่อคลื่นความคิดถูกส่งไปในความถี่ติดๆกันแล้ว ความคิดนั้นก็จะเป็นจริงขึ้นมา ตัวเราก็เปรียบเสมือนเสาอากาศมีชีวิตที่ส่งสัญญาณออกไป และความคิดเหล่านั้นจะปรากฎบนจอภาพนั่นก็คือ ประสบการณ์ชีวิตของเรานั่นเอง เหมือนกับโทรทัศน์ที่เลือกได้เพียงแค่เปลี่ยนช่อง ชีวิตของมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน หากปรารถนาสิ่งใดก็เลือกได้เพียงเปลี่ยนความคิดเท่านั้น

เมื่อทราบถึงหลักการเหล่านี้ในวินาทีแรกนั้น ดิฉันเชื่อว่าทุกคนต้องคิดเช่นเดียวกันว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อ เหมือนเป็นเรื่องไสยศาสตร์ที่ไร้หลักการ น่าแปลกที่สิ่งที่เรียกว่า “ความคิด” นั้นมีอิทธิพลอยู่เหนือสรรพสิ่งทุกอย่างในโลก ไม่ได้เป็นเพียงแค่ปฏิกิริยาในสมองอย่างที่คนส่วนมากเข้าใจเท่านั้น แต่หากลองอ่าน The Secret ที่ผู้เขียนได้รวบรวมความคิดและจัดระเบียบเป็นขั้นตอนที่เรียบง่ายแล้วปมความสงสัยในใจก็จะถูกแก้ออกทีละน้อย เนื้อหาภายในเล่มได้จัดสรรอย่างดีตามรูปแบบความคิด ตั้งแต่การตอบข้อสงสัยที่ว่า ความลับคืออะไร มาจนถึงวิธีการใช้ความลับนี้ และวิธีใช้ความลับในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความลับสู่การมั่งมี ความลับปรับความสัมพันธ์ ความลับการปรับสุขภาพและปรับชีวิต

เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจเมื่อดิฉันอ่าน The Secret และมีข้อสงสัยอะไร ในบทต่อมาก็จะมีคำตอบให้ทันที เรียกได้ว่าผู้เขียนเรียงลำดับเหตุและผลตามลำดับความคิดของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี จึงง่ายต่อการอ่านและทำความเข้าใจ อีกทั้งมีการเน้นหนักคำว่า “คุณ” ซึ่งก็คือผู้อ่าน ราวกับว่าผู้เขียนได้พูดคุยกับผู้อ่านโดยตรง เหล่าวิทยากรที่ผู้เขียนได้ไปสัมภาษณ์นั้นก็เล่าถึงความลับนี้ที่เชื่อมโยงกับศาสตร์แขนงต่างๆที่ตนเป็นผู้เชี่ยวชาญ แทรกทฤษฎีที่อ้างอิงได้ในทางวิทยาศาสตร์ เป็นสิ่งน่าสนใจที่ว่า ความลับนี้ครอบคลุมถึงศาสตร์ทุกสาขาในโลก อันสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตของมนุษย์ทุกคนบนโลกได้

ดิฉันชอบข้อความหนึ่งใน The Secret ที่กล่าวว่า “โรคระบาดที่ร้ายกาจกว่าโรคใดๆที่มนุษยชาติเคยพบเห็นมาได้ระบาดลุกลามมาหลายศตวรรษ นั่นก็คือ “โรคไม่ต้องการ” ผู้คนต่างแพร่เชื้อโรคนี้ไม่ให้สูญไปด้วยการเอาแต่คิด พูด ทำและมุ่งสนใจแต่เรื่องที่ตนเอง “ไม่ต้องการ” แต่คนรุ่นเรานี่แหละที่จะพลิกประวัติศาสตร์ เพราะว่าเรากำลังได้รับรู้ที่จะปลดปล่อยเราจากโรคระบาดนี้” ดิฉันอ่านข้อความข้างต้นแล้วคิดย้อนมาถึงตนเอง ในชีวิตคนเรามักมองสิ่งที่ไม่ต้องการก่อนสิ่งที่ต้องการเสมอ มักจะคิดแต่ว่า “ฉันไม่ต้องการแบบนี้” มากกว่า “ฉันต้องการแบบนี้” เมื่อเปรียบเทียบกับประสบการณ์ที่ผ่านมาในชีวิตก็พบว่าเรื่องราวที่อยู่ใน The Secret นั้นเป็นจริงไม่ผิดเพี้ยน เพราะกฎแห่งการดึงดูดที่ดึงดูดสิ่งที่เราไม่ต้องการเข้ามาทำให้มันเกิดขึ้นจริง

The Secret เป็นความลับฉบับง่ายที่รวบรวมมาให้เหล่ามนุษยชาติได้ล่วงรู้ถึงความลับที่ถูกปิดบังมายาวนาน ความลับที่ในอดีตมีคนเพียง ๑% ในโลกที่รับรู้และบุคคลเหล่านี้เป็นกลุ่มเดียวกับที่กุมรายได้ทั่วโลกกว่า ๙๖% ความลับที่คนอีก ๙๙% ถูกปิดบังมานานกำลังเปิดเผยเพื่อให้ตื่นจากหลับใหลและรู้จักวิธีการใช้ความลับนี้เพื่อจะประสบความสำเร็จในชีวิต

The Secret กระตุ้นให้ผู้อ่านพัฒนาตนเอง เป็นหนังสือแนวจิตวิทยาที่น่าอ่านอีกเล่มหนึ่ง และเหมาะกับมนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนมั่งมีหรือยากจน จะท้อแท้ สิ้นหวังในชีวิตจนไร้หนทางที่จะก้าวเดินต่อไป The Secret จะดึงดูดสิ่งดี ความคิดดี และการใช้ความคิดที่ดีมาสู่ตัวคุณ เพื่อจุดมุ่งหมายสูงสุดก็คือ การทำให้ทุกคนปรับเปลี่ยนรูปแบบชีวิตไปสู่สิ่งที่ตนปรารถนา

หากต้องการประสบความสำเร็จไม่ว่าด้านใดด้านหนึ่ง The Secret เล่มนี้ เป็นหนังสือที่ไม่ควรปล่อยให้คลาดสายตาไปได้

ลัทธพร

ปีกแดง


ปีกแดง

วินทร์ เลียววาริณ
พิมพ์ครั้งที่ ๒/๒๕๔๕
สำนักพิมพ์113
๕๒๐ หน้า ภาพประกอบ
๒๔๕ บาท


ปีกแดง เป็นนวนิยายเรื่องหนึ่งที่ได้รับรางวัลวรรณกรรมดีเด่นจากคณะกรรมการหนังสือแห่งชาติ ประเภทบันเทิงคดี ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๔๕ การที่นวนิยายเรื่องหนึ่งจะได้รับรางวัลดีเด่นถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะบางปีไม่มีหนังสือเรื่องไหนได้รางวัลดีเด่นจากการประกวดหนังสือในเวทีนี้ แต่ ปีกแดง ของ วินทร์ เลียววาริณ สามารถทำได้ เป็นการรับรองคุณภาพว่าหนังสือเล่มนี้มีคุณค่าคู่ควรกับการอ่านมากเพียงใด

ปีกแดง เป็นนวนิยายที่ประพันธ์โดย “วินทร์ เลียววาริณ นักเขียน ๒ ซีไรต์” ผู้เขียนที่ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์แห่งอาเซียน ๒ ครั้ง คือนวนิยายประวัติศาสตร์การเมืองไทยเรื่อง ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน และรวมเรื่องสั้นอีกหนึ่งเล่ม คือ รวมเรื่องสั้นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน และวรรณกรรม ปีกแดง เล่มนี้ ก็เป็นวรรณกรรมดีเด่นในระดับชาติ

ปีกแดง เป็นนวนิยาอิงประวัติศาสตร์การเมือง โดยเรื่องราวจะดำเนินมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๖๐ ตั้งแต่ตัวละครเอกยังไม่เกิด (ตัวละครเอกเกิดปี พ.ศ.๒๔๖๕) โดยใช้วิธีเล่าย้อนไป จนถึงปี พ.ศ.๒๕๓๔ หลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียด มี “รุจน์” เป็นตัวละครที่ดำเนินเรื่องไปตลอด เน้นเรื่องราวของสงครามเย็น ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ทางการเมืองหลังสงครามโดลกครั้งที่ ๒ เป็นต้นมา ผ่านสงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม การตั้งฐานทัพทหารอเมริกันในประเทศไทย จนกระทั่งการล่มสลายของสหภาพโซเวียด อันเป็นการสิ้นสุดสงครามเย็นอย่างเป็นทางการ และเพื่อความง่ายในการลำดับเรื่องราว ผู้เขียนได้แบ่งเรื่องราวออกเป็น ๓ ภาค คือ ภาค ๑ พ.ศ.๒๔๖๐-๒๔๘๙ เป็นภาคที่กล่าวถึงการปูพื้นฐานชีวิตของตัวละครเอก จนถึงเหตุการณ์หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ภาคที่ ๒ พ.ศ.๒๔๙๐-๒๕๐๗ เป็นช่วงที่ตัวละครเอกมีส่วนเขาไปพัวพันกับระบอบคอมมิวนิสต์ทั้งทางตรงและทางอ้อม และภาคสุดท้ายภาคที่ ๓ พ.ศ.๒๕๐๘-๒๕๓๔ เป็นช่วงที่ชีวิตของตัวละครเอกไม่โลดโผนเหมือนช่วงที่ ๒ เป็นช่วงที่นุ่มนวลลง แต่ก็ยังนำเนอเรื่องราวเกี่ยวกับทฤษฎีและเกมทางการเมือง จนถึงการได้รับชัยชนะของโลกเสรีทุนนิยมในปี พ.ศ.๒๕๓๔ การล่มสลายของสหภาพโซเวียด

ผู้เขียนไดกำหนดให้ รุจน์ คัวเอกของเรื่องเป็นบุตรของหลวงประชารุจิเรข ผู้ที่ก่อกบฏล้มเหลวต้องลี้ภัยการเมืองไปอยู่รัสเซียและถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ส่วนมารดาของเขาเป็นหญิงชาวรัสเซีย ดินแดนแห่งคอมมิวนิสต์ เขาจึงอยู่ในสภาพที่ลำบากในการใช้ชีวิตท่ามกลางคนไทย

ชีวิตของรุจน์พบกับความพลิกผันเสมอ บิดาของเขาที่เขานึกว่าเสียชีวิตแล้วแท้จริงยังมีชีวิตอยู่และมาเสียชีวิตต่อหน้าเขาด้วยกระสุนปริศนา เมื่อเขาเดินทางกลับประเทศไทยเพื่อสืบหาคนฆ่าบิดา ก็เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมายจนเป็นสาเหตุให้รุจน์ต้องเข้าไปมีส่วนในเรื่องของคอมมิวนิสต์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาจึงพบความพลิกพันในชีวิตตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้ไปสัมผัสบรรยากาศของสงครามเย็นในสมรภูมิรบตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย จนพบความรัก และอคติที่มีต่อเขาที่เป็นที่ครหาว่าจะเป็นคอมมิวนิสต์นั้น ก็ทำให้เขาต้องติดคุกอีกครั้งในชีวิต

หลังจากนั้น ชีวิตของรุจน์ก็ดำเนินต่อไปด้วยวัยที่สูงขึ้น เขาอยู่ดูความเปลี่ยนแปลงของโลกจนถึงความพ่ายแพ้ของฝ่ายคอมมิวนิสต์ และเผ้าดูชัยชนะของทุนนิยมด้วยความห่วงใย

ผู้เขียนได้เสนอเรื่องราวอย่างเป็นระบบเป็นขั้นตอนและเรียงลำดับเหตุการณ์อย่างไม่สับสน เสนอภาพอย่างชัดเจน โดยใช้ข้อมูลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละยุคแต่ละสมัยมาผสมผสานกับจินตนาการของผู้เขียน ด้วยลักษณะการบรรยายที่เป็นเหตุเป็นผล สอดคล้องกันอย่างลื่นไหลไม่มีสะดุด ทำให้ผู้อ่านบางคนเชื่อว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่รุจน์ได้ประสบพบเจอนั้นเป็นเหตุการณ์จริงทั้งหมดหรือบางคนถึงขั้นเชื่อว่าตัวละครทุกตัวมีจริง ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว “วินทร์ เลียววาริณ” เพียงแต่สมมติตัวละครทุกตัวขึ้นมาจากพื้นฐานความเป็นจริงเพียงแค่นั้น

กลวิธีการแต่งของผู้เขียนมีความน่าสนใจมากทีเดียว เพราะนวนิยายเรื่องนี้ไม่ได้มาจากจินตนาการล้วนแต่เป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์การเมืองในช่วงสงครามเย็น แต่วินทร์ เลียววาริณ ก็นำเสนอเรื่องการเมืองที่ค่อนข้างจะยากในการทำความเข้าใจมานำเสนอในรูปของบันเทิงคดีที่มีสาระและเพลิดเพลินสนุกสนาน การดำเนินเรื่องและการลำดับเรื่องของเขามีเอกลักษณ์โดยเฉพาะในด้านการหักมุม วินทร์มักจะจบเหตุการณ์แต่ละครั้งชนิดที่ผู้อ่านไม่คาดฝันมาก่อน ซึ่งตรงนี้เป็นเหมือนจุดขายของเขาที่ทำให้ผู้อ่านติดใจและติดตามเรื่องราวโดยแทบไม่อยากหยุดพักอ่าน และนี่ก็เป็นเอกลักษณ์ของเขาที่ผู้เขียนคนอื่นเลียนแบบได้ยาก

นวนิยาย “ปีกแดง” เล่มนี้ ไม่แต่เพียงที่จะนำเสนอความบันเทิงให้แก่ผู้อ่านเท่านั้น แต่ยังเสนอสาระและความรู้ทางประวัติศาสตร์ในสมัยหนึ่งให้ผู้อ่านได้เข้าใจ และเพลิดเพลินกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏในเรื่อง คุณค่าของหนังสือเล่มนี้ไม่เพียงตาจะมีรางวัลประกันคุณภาพเท่านั้น ผู้อ่านจะสัมผัสได้ถึงคุณค่าที่ผู้เขียนได้ถ่ายทอดลงไปในทุกตัวอักษรถึงความรู้ที่ได้รับ สะเทือนใจกับตัวละครและเรื่องราวที่เกิดขึ้น เข้าถึงความเพลิดเพลินและสนุกสนานกับเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้น และที่สำคัญผู้อ่านจะได้รับแง่คิดที่ผู้เขียนให้ไว้ผ่านตัวละครโดยเฉพาะตัวละครเอก คือ “รุจน์” ว่าบางครั้งคนเราต้องเป็นในสิ่งที่ไม่อยากเป็น แต่ในเมื่อไม่สามารถเลือก (เกิด) ได้ ก็ต้องปรับตัวให้สมารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ และการยอมรับความผันแปรของชีวิตอันเป็นอนิจจัง ยอมรับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างมีสติและมีกำลังใจไม่ท้อถอย เฉกเช่นรุจน์ที่ปฏิบัติเช่นนั้นและมีพัฒนาการทางความคิดและวิถีชีวิตตามวัยและประสบการณ์

ทุกวันนี้ชีวิตของคนเรามีความวุ่นวายสับสน การหาเวลาพักผ่อนเป็นเรื่องดี การอ่านหนังสือก็เป็นวิธีการพักผ่อนที่ดีอย่างหนึ่ง หากสละเวลาบางส่วนเพื่ออ่านหนังสือนั้นเป็นการไม่เสียหลาย และสำหรับหนังสือปีกแดดงนี้ จะไม่ทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่าเสียเวลาอ่านแม้แต่นิดเดียว

ฤติมา



นิ้วกลม (นามปากกา)
สำนักพิมพ์ a book
๒๕๖ หน้า ภาพประกอบ
๑๖๐ บาท

ณ เป็นงานวรรณกรรมประเภทบันเทิงคดีที่เป็นความเรียงแบ่งเป็นตอนๆทั้งหมดยี่สิบหกตอน รวมรวมจากคอลัมน์ “ณ” ในนิตยสาร a day ซึ่งถ่ายทอดความหมาย บรรจุความทรงจำของสถานที่และสอดแทรกแง่คิดที่น่าสนใจไว้โดยนักเขียนอารมณ์ดีและการมองโลกในแง่ดี ซึ่งนอกจากจะได้ความสนุกสนานเพลิดเพลินของภาษาและการดำเนินเรื่อง ยังเพลิดเพลินไปกับการรื้อความทรงจำเก่าๆในลิ้นชักของเราออกมาสนุกตามไปอีกด้วย

คุณนิ้วกลมเป็นนักเขียนที่มีผลงานมากมายในงานเขียนลักษณะการเดินทางที่แสดงถึงความเป็นนักเดินทางของเขา แต่งานเขียนชิ้นนี้ไม่เน้นการท่องเที่ยวในสถานที่ที่แปลกใหม่แต่เป็นการบอกเล่าถึงสถานที่ที่ผ่านตาทุกวัน ทุกวัน โดยที่ใครๆอาจจะเดินผ่านไปโดยไม่ให้ความสนใจแต่เขาหยิบขึ้นมาบอกเล่าและสอดแทรกความเห็นและมุมมองส่วนตัวในทุกๆสถานที่นั้น

สถานที่พิเศษของครอบครัว สถานที่ที่อยู่ในความทรงจำกับคนรัก สถานที่ธรรมดาที่ผ่านตาทุกวันๆ เช่นร้านตัดผม ร้านก๋วยเตี๋ยว สถานที่อันเป็นส่วนรวมและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์รวมไปถึงบ้านนั้น ล้วนแต่มีความหมายต่อเขาทั้งสิ้น ซึ่งเขาสามารถจับมาเล่าเรื่องผ่านมุมมองของคนที่มองโลกกว้างและละเอียด เช่น มุมมองในชีวิตประจำวัน เช่น ตอนที่กล่าวถึงสถานที่ “สี่แยกไฟแดง” นั้นมีมุมมองที่น่าสนใจของคนที่อยู่ในรถตากแอร์เย็นฉ่ำและห่างออกไปเพียงกระจกกั้นนั้น อากาศร้อนและมลพิษที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ยังมีเด็กขายพวงมาลัยที่ต้องใช้เวลาแทบทั้งวันที่หลายๆคนไม่ใส่ใจและมองข้าม

กระทั่งสถานที่ที่เรียกได้ว่ามีความตึงเครียด เช่น สนามหลวงที่มีการชุมนุมเดินขบวนนั้น เขายังเห็นสิ่งเล็กๆน้อยๆความใส่ใจและความมีน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์เช่นการแบ่งปันอาหาร เครื่องดื่ม ไม่เว้นแม้แต่เสื่อหรือที่นั่งต่างๆ “ภาพการหยิบยื่นจากคนแปลกหน้าสู่คนแปลกหน้าเหล่านั้นชวนให้เขาคิดว่าโดยพื้นฐานแล้วมนุษย์เรามีนิสัยของ ‘ผู้ให้’ อยู่โดยธรรมชาติ แต่อาจด้วยอะไรบางอย่างที่ทำให้บางสถานการณ์ มนุษย์เลือกที่จะแปลงร่างกลับใจกลับกลายเป็น ‘ผู้เอาเปรียบ’” เป็นการมองโลกในแง่ดีขัดกับสถานที่นั้นแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่สังคมขาดไปในปัจจุบันและปรากฎให้เห็นภาพอย่างชัดเจน

หนังสือเล่มนี้จบด้วยบทที่ชื่อว่า “ณ ตอนอวสาน” เป็นชื่อที่หยอกล้อละครทางโทรทัศน์ ซึ่งในตอนนี้ก็ให้แง่คิดของการจบที่นำไปเชื่อมโยงกับการดำรงชีวิตของมนุษย์ ลักษณะการทำงานเพื่อเขียนคอลัมน์นี้ สิ่งที่เขาได้จากการเขียนคอลัมน์นี้ทุกเดือนๆ และจบท้ายด้วยการขอบคุณผู้อ่านที่ติดตามผลงาน

ภาพประกอบมีความแปลกใหม่และมีความสร้างสรรค์ในแง่การนำภาพที่ใช้ในการออกแบบสถานที่ทางสถาปัตยกรรม เช่น การออกแบบสถานก่อสร้าง นำมาจัดทำเป็นรูปประกอบที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ที่จะกล่าวถึงซึ่งมีความแปลกใหม่และน่าสนใจเป็นอย่างมาก

ภาษาที่ใช้ในหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนได้ใช้ภาษาตั้งแต่ภาษาระดับล่างที่เรียกว่าภาษาปากหรือภาษาพ่อขุนรามฯ ไปจนถึงภาษาระดับกึ่งทางการตามคู่สนทนาและสถานที่นั้นๆ แสดงให้เห็นถึงการเลือกใช้ภาษาที่ถูกกาลเทศะและแสดงให้เห็นถึงความเป็นกันเองระหว่างผู้เขียนและผู้อ่านซึ่งอาจถึงขั้นที่เรียกได้ว่า “ตีสนิท” กันซึ่งๆหน้าเลยทีเดียว

มีการใช้ความเปรียบที่ทำให้เห็นภาพและเข้าใจได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเพื่อให้ผู้ที่อ่านนำไปคิดต่อหลังอ่านจบ “ผมจ้องมองไปยังกระจกรถตรงหน้า แล้วคิดถึงสิ่งที่เราเรียกกันว่า ‘หัวใจ’... มันจะใส ก็ต่อเมื่อเราเช็ด” นอกจากนี้ยังมีการใช้เนื้อเพลงในการดำเนินเรื่องในตอนหนึ่งที่ใช้ถ่ายทอดความรู้สึกและอารมณ์ของผู้เล่าแทนคำพูดบรรยายในสถานที่นั้นๆอีกด้วย

ด้วยวิถีชีวิตที่ความเครียดคืบคลานเข้าสู่คนทุกเพศ ทุกวัยมากขึ้น การผ่อนคลายความเครียดด้วยการอ่านหนังสือถือว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย หากท่านเป็นผู้หนึ่งที่กำลังมองหาหนังสือที่นอกจากจะให้ความสนุกสนานแล้ว ยังมีมุมมองดีๆในการมองโลกใบนี้รออยู่ ท้ายนี้หวังว่าหนังสือเล่มนี้คงจะได้ทำหน้าที่ของมันกับท่านผู้อ่านคนอื่นๆเป็นอย่างดีต่อไป

รุ่งทิวา