วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2551

แมวดำในสวนสีชมพู


แมวดำในสวนสีชมพู
ชมัยภร แสงกระจ่าง

พิมพ์ครั้งที่ 1
สำนักพิมพ์ชมนาด
211 หน้า

180 บาท


“ไม่ใช่แค่เรื่องของแมวแต่เป็นเรื่องของใจ” เป็นคำโปรยบนหน้าปกในบรรทัดถัดลงมาจากชื่อหนังสือ ทำให้เราสงสัยใคร่รู้ว่า แล้วแมวมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องของใจกันหนอ แค่ชื่อหนังสือและคำโปรยบนหน้าปกก็ชวนอมยิ้ม รวมถึงชื่อของคุณชมัยภร แสงกระจ่างที่การันตีความสนุก ก็ทำให้อดไม่ได้ที่จะลองหยิบมาพลิกๆดูเสียหน่อย

เรื่องราวของแมวดำในสวนสีชมพูนี้ กล่าวถึงนิทร เด็กชายพิการที่อาศัยอยู่กับแม่แค่สองคน จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้แมวดำตัวจิ๋วชื่อเจ้ายักษ์มาเลี้ยง แต่แม่ของเขากลับมองแมวตัวนี้เป็นหนูยักษ์ ทำให้นิทต้องหลบๆซ่อนๆเลี้ยง จนกระทั่งวันหนึ่ง น้าขวัญ น้องของแม่ซึ่งเป็นพยาบาลเข้ามาดูแลเขาแทน โดยแม่บอกเขาว่าจะไปทำธุระและหายตัวไป น้าขวัญนั้นมองเห็นแมวจิ๋วตัวนี้ต่างออกไปจากนิทและแม่ โดยมองเห็นเป็นลิงยักษ์ น้าขวัญนั้นดูแลนิทอย่างดีแต่เจ้ายักษ์นั้นกลับทำให้นิทเกิดความรู้สึกระแวงในตัวน้าขวัญขึ้นมาและหาทางหนีไปจากน้าขวัญโดยมีเจ้าแมวจิ๋วเป็นผู้พาไปตามที่ใจเขาปรารถนา

เมื่อท่องเที่ยวไปกับเจ้าแมวจิ๋ว นิทได้ทุกสิ่งที่ต้องการ นิทได้เข้าไปในสวนสีชมพูแปลกตาซึ่งเจ้ายักษ์บอกว่าเป็นสนามทดลองของพ่อของเขาที่ไม่ได้พบมานานแล้ว ในที่นี้ เด็กชายพบบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีชายหญิงแปลกหน้ากลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่ ในบ้านหลังนี้เขาได้ทุกสิ่งที่เขาต้องการ ทั้งขนม ของเล่น และได้ไปเที่ยวสวนสนุก แต่ถึงแม้แมวจะพาเขาไปในที่ต่างๆ แต่ตัวเขากลับมีความรู้สึกอยากจะออกห่างจากแมวตัวนี้แต่ไม่สามารถทำได้

ในความรู้สึกของเด็กชายนั้นคือ ทั้งรัก คือรักแมวตัวนี้ แมวที่เขาแอบเลี้ยง แต่อีกใจหนึ่งเขาก็ชังมันที่ชอบพูดจาวกวน กวนประสาทและทำให้เขารู้สึก “ตื่นเต้น” และ “เสี่ยงอันตราย” ไปพร้อมๆกัน ถึงแม้เจ้ายักษ์จะกินเลือดเขา เยาะเย้ยเขา แต่เขาก็รู้ตัวแล้วว่า ในตอนนี้เขาไม่สามารถกำจัดมันออกไปจากชีวิตได้ ผู้เขียนได้ใช้วิธีการซ่อนสิ่งที่ต้องการสื่อเอาไว้ในการผจญภัยของเด็กชายในครั้งนี้

เมื่อเด็กชายตื่นขึ้นในห้องของตัวเอง ปรากฏว่าขาที่เคยพิการก็กลับเดินได้เป็นปกติ แต่ในบ้านกลับเงียบเหงาไม่มีใครสักคน ทั้งแม่ น้าขวัญ หรือเจ้าแมวจิ๋ว เขาเดินออกไปเรื่อยๆจนถึงโรงพยาบาลและได้พบว่า ทั้งเจ้าแมวจิ๋วและน้าขวัญต่างก็พักรักษาตัวอยู่ที่นี่

แต่น้าขวัญและเจ้าแมวจิ๋วนั้นไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ ถ้าฝ่ายหนึ่งอยู่ อีกฝ่ายก็ต้องไป ซึ่งทำให้เด็กชายรู้สึกลังเล ว่าตนเองก็ไม่อยากทิ้งน้าขวัญ แต่ก็ตัดใจทิ้งเจ้าแมวจิ๋วไม่ลงเช่นกัน ซึ่งในจุดนี้แสดงให้เห็นถึงความลังเลในจิตใจของเด็กชายที่ไม่ต้องการตัดสินใจเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง อย่างเช่นแมวจิ๋ว ถึงแม้มันจะโกหกสารพัด ทำสิ่งที่เขาไม่ชอบมากมาย แต่เขาก็ยังโหยหามัน ในขณะที่น้าขวัญซึ่งพูดตรงและมีแต่ความจริงก็ทำให้เขารู้สึกดีเช่นกัน

ด้วยความลังเลนี้เอง ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เด็กชายต้องตัดสินใจเลือก เมื่อแมวจิ๋วได้กัดน้าขวัญและเขาต้องไปซื้อยาที่ “ร้านขายยาสวนสีชมพู” เพื่อมิให้น้าขวัญตาย ในระหว่างทางนั้นเขาได้พบแม่ แม่พูดกับเขาว่า “ลูกต้องเลือกเพียงหนึ่ง เลือกสองไม่ได้ จำไว้นะ” “และแม่ก็รู้ด้วยว่าลูกรู้ว่าควรจะเลือกใคร ใช่ไหม” ถึงแม้ว่าเขาจะเชื่อคำพูดของแม่ แต่เมื่อเขาเห็นหน้าเจ้าแมว เขาก็อดที่จะใจอ่อนและลังเลขึ้นมาอีกไม่ได้ เมื่อได้ยาที่ต้องการมาเรียบร้อยแล้ว เขาก็พาเจ้าแมวกลับบ้านไปด้วยพร้อมกับที่ขอให้มันทำตัวให้ใหญ่ขึ้นเท่าแมวปกติ และสุดท้ายมันก็กลายร่างเป็นเสือขาวพร้อมกับคำพูดที่ว่า “เราโตเกินกว่าที่แกคาดมากนัก โตเพราะแก” เด็กชายพยายามขอร้องไม่ใช้มันทำร้ายน้าขวัญ แต่มันกลับพูดว่า “แกพูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้” พร้อมกับทำร้ายเด็กชายและตั้งตนขึ้นเป็นผู้ควบคุมเด็กชายเสียเอง เด็กชายพยายามขัดขืน แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะบัดนี้มันได้เข้าไปอยู่ข้างในตัวตนของเขาเสียแล้ว และน้าขวัญก็จากเขาไป

เด็กชายต่อว่าเจ้าแมวที่บัดนี้กลายเป็นเสือไปเสียแล้วว่าทำให้ชีวิตของเขาย่อยยับ แต่มันกลับบอกว่า “ฉันเป็นเพียงแค่เครื่องมือที่ช่วยให้แกประสบความสำเร็จ ฉันเป็นหนทาง ฉันเป็นสะพาน ใช่ไหม...ในความเป็นจริงคือแกอยากออกไปไหนๆอยู่แล้ว แกอยากล่องลอยไป แกอยากทำตามใจตัวเอง แกอยากเป็นอิสระ ฉันช่วยให้แกสมหวังทุกอย่าง ฉันช่วยให้แกไปสู่จุดมุ่งหมาย และฉันเป็นแก...” สะท้อนให้เห็นภาพว่า ทั้งหมดที่ทำมานั้นเป็นเพราะตัวของเด็กชายเองทั้งสิ้น มิใช่เพราะเจ้าแมวเลย เพื่อหาทางกำจัดเจ้าเสือตัวนี้ เด็กชายจึงสนทนากับมัน

“ถ้าข้างในเราไม่มืด แกก็อยู่ไม่ได้ใช่ไหม” คำพูดนี้ของเด็กชายที่พูดออกมาทำให้มันนิ่งเงียบ และมองเห็นความหวัง เมื่อเขาเริ่มเย็นลง ไตร่ตรองให้มากขึ้น น้าขวัญก็กลับมาหาเขาอีกครั้งและบอกกับเขาว่า “เราเป็นเพียงตัวเลือกของหลาน ในโอกาสที่หลานรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว...ก็เท่านั้น” นิทได้คุยกับน้าขวัญอีกยาวนาน ทั้งสองเดินกลับบ้านด้วยกันพร้อมกับประโยคของน้าขวัญที่ว่า “การเดินไม่จำเป็นต้องใช้ขาเสมอไป” และนิทก็ได้พบกับแม่ในที่สุด

จุดเด่นของเรื่องนี้นั้นอยู่ที่การใช้สัญลักษณ์ของผู้เขียนที่มีมากมายตั้งแต่แมวดำจิ๋วที่ผู้คนมองเห็นต่างกันไปจนถึงลักษณะการพูดและที่ที่มันอยู่ คือในอกของเด็กชาย การที่น้าขวัญเข้ามาดูแลแทน หรือแม้แต่การจินตนาการของเด็กชาย ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความหมายและสามารถตีความได้ในหลายแง่มุม รวมถึงเรื่อง “ความฝัน” และ “ความจริง” ที่ดูเหมือนจะแยกจากกันไม่ออกเมื่ออยู่กับเจ้าแมวประหลาดตัวนี้ ซึ่งแมวในที่นี้ก็คือมาร ยิ่งอ่านก็ยิ่งเข้าใจ เมื่ออ่านรอบแรกแล้วเราอาจจะงงกับสัญลักษณ์เหล่านี้ แต่เมื่ออ่านจบแล้วจะเกิดความรู้สึกอยากอ่านอีกรอบ ซึ่งนับได้ว่าคุณชมัยภรนั้นได้ “วางกับดัก” ในการอ่านเรื่องนี้เอาไว้อย่างแยบยลทีเดียว เพราะทุกสิ่งมีความหมายเกี่ยวเนื่องและสัมพันธ์กันทั้งหมด นอกจากนี้ยังทำให้เราได้มีโอกาสคิดถึง “แมวดำ” ที่อยู่ในตัวของเราทุกคนอีกด้วย ว่าเมื่อมีเหตุการณ์ที่ทำให้เราต้องตัดสินใจ เราเลือกที่จะเชื่อใครระหว่าง “น้าขวัญ” ที่ถึงแม้จะไม่หวานหอมอย่างที่เราชอบ แต่ก็พูดความจริงเสมอ กับ “แมวจิ๋ว” ที่ให้ความตื่นเต้น สนุกสนานแก่ชีวิต แต่ก็ทำให้เราเจ็บปวดเหลือคณาเช่นกัน

นับว่า “แมวดำในสวนสีชมพู” เล่มนี้ได้ทำหน้าที่ถ่ายทอดและสอนอะไรแก่ผู้อ่านหลายๆอย่างในการดำเนินชีวิต เมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้มาจนถึงบรรทัดสุดท้ายแล้ว ขอให้ลองคิดให้ดีๆว่า คุณจะเลือกอยู่กับใครระหว่าง “น้าขวัญ” หรือ “แมวจิ๋ว”

รัชนิดา

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ย่อหน้าแรกไม่ชวนติดตามเข้าสู่เนื้อหาในบทแนะนำ เรื่องเล่าค่อนข้างยาว การใช้ภาษาดีพอใช้

7.5