วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

มหัศจรรย์ร้านของเล่นพิลึกโลก : Mr.Magorium’s Wonder Emporium


เอื้อบุญ จงสมชัย 05490483


คุณมาโกเรี่ยมบอกว่า “เชื่อในสิ่งที่เฮ็ด เฮ็ดในสิ่งที่เชื่อ”

นานเท่าไรแล้วนะ ที่ฉันกับน้องเล่นสมมติเป็นเจ้าหญิงเจ้าชาย เล่นเป็นแม่มดผู้มีเวทมนตร์คาถา เล่นพูดคุยกับตุ๊กตา แล้วเมื่อไรกันที่เราเลิกเล่นแบบนี้ และเลิกเชื่อเรื่องเวทมนตร์คาถา คำถามเหล่านี้ผุดขึ้นมาและวนเวียนอยู่ในหัวของฉันหลังจากได้ชมภาพยนตร์เรื่อง มหัศจรรย์ร้านของเล่นพิลึกโลก
มหัศจรรย์ร้านของเล่นพิลึกโลก : Mr.Magorium’s Wonder Emporium เป็นภาพยนตร์สัญชาติอเมริกันแต่ถ่ายทำที่ประเทศแคนาดา โดยสตูดิโอ Walden Media กำกับและเขียนบทโดย Zach Helm

ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอเรื่องราวของ มาโฮนี่ มอลลี่หญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเมื่อวัยเด็กเธอกวาดรางวัลการแข่งขันเปียโนจากทุกเวทีจนเป็นที่กล่าวขวัญ เธอเป็นผู้จัดการห้างของเล่นมหัศจรรย์ของคุณมาโกเรียม ชายแก่อารมณ์ดีวัย 234 ปี ที่กำลังจะเกษียณตัวเองและยกร้านให้กับมาโฮนี่ผู้ไม่เคยมั่นใจกับความสามารถของตน คุณมาโกเรี่ยมได้จ้างเฮนรี่นักบัญชีหนุ่มแสนเย็นชามาดูแลเรื่องการเงิน เขาคร่ำเคร่งอยู่กับงานตลอดเวลาจนได้เจอเอริคเด็กชายวัย 9 ขวบที่ชอบมาขลุกอยู่ห้างทั้งวัน จากนั้นทั้งสองก็เป็นเพื่อนกัน คุณมาโกเรียมได้มอบกล่องไม้ใบหนึ่งให้กับมาโฮนี่เธอนำกล่องกลับไปวางไว้ที่บ้านแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มาโฮนี่ยังคงเล่นเปียโนทุกเช้าและมาเปิดห้างทุกวัน จนวันหนึ่งเธอได้รับรู้ความจริงว่าคุณมาโกเรียมกำลังจะจากโลกนี้ไปและหวังว่าเธอจะเป็นผู้ดูแลกิจการต่อจากเขา และราวกับว่าเจ้าร้านของเล่นจะรับรู้เรื่องนี้ จากร้านที่สดใสกลับกลายเป็นร้านที่หม่นเศร้าทึมเทาและเกรี้ยวกราด มาโฮนี่จึงทำทุกอย่างเพื่อให้คุณมาโกเรี่ยมรู้สึกว่าโลกนี้น่าอยู่และไม่อยากจากโลกนี้ไป แต่สิ่งเหล่านั้นก็ไม่เป็นผล คุณมาโกเรียมได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ ห้างและของเล่นทั้งหลายกลายเป็นสีดำ มาโฮนี่จึงปิดร้านและประกาศขายกิจการ เฮนรี่กับเอริคจึงขอร้องให้เธอดำเนินกิจการต่อพร้อมกับให้กำลังใจเธอ แล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นเมื่อมาโฮนี่เชื่อมั่นในตัวเอง ห้างและของเล่นทั้งหลายจึงกลายจากสีดำเป็นสีสันสดใสและมีชีวิตชีวาเหมือนเมื่อครั้งที่คุณมาโกเรี่ยมยังมีชีวิตอยู่ มาโฮนี่และเฮนรี่จึงดำเนินกิจการร้านของเล่นมหัศจรรย์ต่อไปด้วยความเชื่อมั่น

ภาพยนตร์เปิดฉากที่เบลินี่ในห้องใต้ดินของร้านซึ่งเป็นคนทำหนังสือและประวัติของคุณมาโกเรี่ยม โดยมีเสียงของเด็กชายเอริคเป็นผู้เล่าเรื่องจากสิ่งที่เบลินี่ได้บันทึกไว้ จากนั้นเรื่องก็ดำเนินไป เห็นบรรยากาศร้านของเล่นที่มหัศจรรย์น่าตื่นตาตื่นใจและเต็มไปด้วยจินตนาการ
เช้าวันนั้นนั่นเองคุณมาโกเรี่ยมได้มอบกล่องไม้ให้กับเธอ แล้วก็มีเหตุการณ์ที่น่าสงสัยตามมาหลายอย่างในวันนั้น ทั้งการเข้ามาของสมุห์บัญชี ร้านของเล่นที่เกรี้ยวกราดใส่ลูกค้า และการประกาศอำลาของคุณมาโกเรี่ยม มาโฮนี่สับสนและเกิดความขัดแย้งขึ้นในใจของเธอ และความขัดแย้งระหว่างเธอกับเฮนรี่ เธอคิดว่าเธอทำห้างไม่ได้เพราะเธอไม่มีเวทย์มนต์ และเธอก็ไม่ชอบเฮนรี่เพราะเฮนรี่เป็นเหมือนคนทั่ว ๆ ไปที่เห็นทุกอย่างเป็นแค่สิ่งที่มันเป็น ไม่เคยใส่ใจความรู้สึกของสิ่งอื่น ๆ รอบข้าง
มาโฮนี่เป็นตัวแทนของผู้ใหญ่ที่ไม่มีความมั่นใจในตนเอง เธอเชื่อในทุกสิ่ง เชื่อว่าคุณมาโกเรียมมีเวทย์มนต์ แต่กลับไม่เคยเชื่อมั่นในตัวเอง แต่คุณมาโกเรียมคอยให้กำลังใจกับเธอเสมอว่า สักวันหนึ่งโลกจะต้องตะลึงกับ บทเพลงมาโฮนี่หมายเลข 1 ของเธอ แม้กระทั่งการตายของคุณมาโกเรียมยังเปิดโอกาสให้เธอได้พิสูจน์ความเชื่อมั่นในตัวของเธอเอง ดังที่เขาบอกกับเธอว่า “ชีวิตเธอคือโอกาส จงผงาดให้ได้”
คุณมาโกเรียมเป็นตัวแทนของผู้ใหญ่ที่ผ่านประสบการณ์มามากมาย เดินทางมานักต่อนัก สังเกตจากกล้องมักจะจับไปที่รองเท้าและเท้าของเขา เป็นผู้ใหญ่ที่เป็นผู้ใหญ่จริง ๆ กล่าวคือ เข้าใจเด็ก เข้าใจชีวิต วิธีการใช้ชีวิตของเขาจึงเป็นตัวอย่างที่น่าเอาเยี่ยง เขาใช้ชีวิตอย่างเบิกบาน และคุ้มค่า เผชิญหน้ากับความตายด้วยรอยยิ้ม เขาเปรียบการตายของตนว่าเป็นการจบเรื่องเพื่อให้โอกาสสำหรับเรื่องใหม่ที่จะเริ่มขึ้น
เฮนรี่เป็นตัวละคร ที่ไร้อารมณ์ในตอนแรก ทุกขณะจิตคืองาน งาน และ งาน อย่างที่เขาบอกกับเอริคว่า เขาไม่เคยหยุดทำงาน เฮนรี่ขาดปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ไม่มีเวลาเล่น ไม่มีเวลาพักผ่อน ขาดความรื่นรมย์ กระทั่งเขาลองเปิดใจให้กับเอริค เขาจึงใส่ใจกับคนรอบข้างมากขึ้น
จุดวิกฤติเริ่มขึ้นหลังจากที่คุณมาโกเรี่ยมได้จากไป พร้อมกับร้านของเล่นที่กลายเป็นสีดำราวกับไว้อาลัยให้เจ้าของร้าน มาโฮนี่ประกาศขายร้านและมีผู้มาติดต่อขอซื้อร้าน คืนนั้นเองเฮนรี่ได้มาหาเธอที่ร้านเรื่องลูกค้าเร่งมาว่าอยากได้ร้านเร็ว ๆ มาโฮนี่สับสนว่าเธอจะขายร้านดีไหม แต่เฮนรี่แนะนำเธอในฐานะเพื่อนว่าเธอควรเก็บห้างนี้ไว้ ขณะเดียวกันนั้นเขาก็เหลือบไปเห็นกล่องไม้ เธอบอกเขาว่ามันเป็นกล่องไม้ที่จะช่วยไขปริศนาได้ และเธอเชื่ออย่างเต็มหัวใจว่ากล่องไม้นี้มีความมหัศจรรย์อยู่ ทันใดนั้นเองกล่องไม้ก็ออกวิ่งและบินไปรอบ ๆ ร้าน
เรื่องคลายปมที่ เฮนรี่เองได้เห็นกับตาจึงเชื่อว่าสิ่งมหัศจรรย์มีจริง และบอกกับมาโฮนี่ว่ากล่องไม้คือตัวเธอ สิ่งที่เธอต้องเชื่อไม่ใช่กล่องไม้แต่เป็นตัวของเธอเองต่างหาก คำพูดนี้กระทบใจเธอเข้าเธอจึงรู้สึกถึงความเชื่อมั่น ปมในใจของเธอก็ได้คลี่คลายไปพร้อมกับการเปิดหัวใจรับเฮนรี่
ความเชื่อมั่นได้แผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูของหัวใจ เมื่อเธอกระดิกนิ้วเหมือนเล่นเปียโนจึงมีเสียงเพลงดังขึ้นจริง ๆ แววตาของเธอเต้นเป็นประกาย เธอใช้มืออันพลิ้วไหวของเธอร่ายไปรอบ ๆ เหล่าของเล่นทั้งหลายและห้างก็กลับกลายเป็นสีสันสดใสและมีชีวิตชีวาดังเดิม
ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เด็กเท่านั้นที่ดูได้ ถึงแม้ว่าฉากและบรรยากาศจะใช้สีที่เรียกได้ว่าเป็นสีลูกกวาด แต่ข้อคิดที่แฝงไว้ข้างในเปี่ยมล้นจริง ๆ หากจะเปรียบกับหนังสือก็คงคล้าย ๆ กันกับเจ้าชายน้อย ไม่ได้คล้ายตรงที่โครงเรื่องแต่คล้ายกันในประเด็นที่ว่า หากผู้ชมเป็นเด็กก็จะสนุกสนานเพลิดเพลินและตื่นตาตื่นใจไปกับของเล่นมหัศจรรย์และเวทย์มนต์ ถ้าเป็นผู้ใหญ่ ก็ได้แง่คิดหลายอย่างเลยทีเดียว
ดูแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าก็ในเมื่อตอนเด็ก ๆ เรายังเป็นเจ้าหญิงได้ แล้วตอนนี้จะทำในสิ่งที่ฝันไม่ได้เชียวหรือ ?? ....ฉันว่าได้นะ ขอแค่เราเชื่อมั่นในตนเอง เชื่อมั่นว่าเราทำได้ หากคุณมาโกเรียมเป็นคนอีสานเขาคงต้องบอกว่า “ เชื่อในสิ่งที่เฮ็ด เฮ็ดในสิ่งที่เชื่อ” เป็นแน่แท้ แต่เชื่อแล้วนอนรอเฉย ๆ คงไม่เกิดผลแน่ ๆ เชื่อมั่นแล้วให้ลงมือทำทันทีไม่ว่าอะไร คงไม่ไกลเกินความสามารถของมนุษย์อย่างแน่นอน

ด้วยโลหิต แด่อิสรภาพ (Children of Glory)


นางสาวพรรณิดา เจริญแสงเพชร
๐๕๔๙๐๒๕๕

“ด้วยโลหิต แด่อิสรภาพ” เป็นหนังสัญชาติฮังการีโดยการสร้างของคริสตินา โกดา ในเนื้อ เรื่องได้เล่าถึงวิถีชีวิตของนักกีฬาโปโลน้ำฝีมือเยี่ยมอย่าง คาร์ซิ ที่มีความฝัน และอนาคตที่จะไปสู่สนามโอลิมปิกให้ได้ ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองอันคุกรุ่นของฮังการี ที่อยู่ภายใต้การปกครองของสหภาพโซเวียต คาร์ซิไม่คิดว่าการลุกขึ้นมาเป็นปรปักษ์กับรัสเซียจะให้ข้อดีอะไรแก่เขา จนเมื่อคาร์ซิได้พบกับ วิกิ หญิงสาวหัวก้าวหน้าที่มองเห็นอนาคตภายภาคหน้าว่าชาวฮังการีควรมีอิสระทางความคิด ไม่โดนปิดหูปิดตาจากทางการเมืองรัสเซีย เธอเลือกเดินทางไปตามความถูกต้องพร้อมกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของเธอ คาร์ซิตกหลุมรักหญิงแกร่งผู้นี้ และยังรู้สึกได้อีกด้วยว่า หากเขาถลำลึกลงไปมากกว่านี้จะเกิดอะไรขึ้นกับเส้นทางสู่โอลิมปิกของเขาหากว่าเขาเข้าร่วมการปฏิวัติในครั้งนี้กับเธอ
ในตอนแรก คาร์ซิ ได้เกิดความสับสนว่าจะเลือกสิ่งไหน ระหว่างกีฬาโปโลน้ำอันเป็นเส้นทางสู่โอลิมปิกที่เป็นความใฝ่ฝันของเขามาเนิ่นนาน กับอิสรภาพอันเป็นอุดมการณ์ที่หนักหนาเสียเหลือเกินสำหรับชายหนุ่มที่เคยคิดถึงแต่เรื่องของตัวเองเป็นสำคัญ จนเมื่อเขาได้ใกล้ชิดกับวิกิมากขึ้น เขาได้รับรู้ถึงความนึกคิดของเธอและได้ร่วมเดินขบวนเรียกร้องเสรีภาพไปกับเธอ จึงได้เข้าใจลึกซึ้งถึงความสำคัญของอิสรภาพ ที่ต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้อของผู้ร่วมชะตากรรมกับพวกเขา คาร์ซิเริ่มหันมาเข้าร่วมกลุ่มกับวิกิและสานความสัมพันธ์กับเธอไปพร้อมกัน ความรักของพวกเขาเจริญงอกงามขึ้นท่ามกลางความรุนแรงที่เริ่มก่อตัวเป็นสงครามขนาดย่อม แต่แล้วข่าวดีก็มาถึง เมื่อรัสเซียยอมถอนทัพกลับประเทศของตนไป วิกิจึงเกลี้ยกล่อมให้คาร์ซิกลับเข้าร่วมทีมเพื่อการแข่งขันโอลิมปิกที่ออสเตรเลีย คาร์ซิจำเป็นต้องทิ้งคนรักไว้เบื้องหลัง และมุ่งหน้านำชัยชนะกลับมาให้ได้
ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่จัดขึ้นที่ออสเตรเลียเมื่อเดือนธันวาคมปี ๑๙๕๖ ทีมโปโลน้ำชายของฮังการีก็ได้ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศมาพบกับรัสเซียคู่ปรับตัวสำคัญได้ในที่สุด แต่ในขณะเดียวกัน รัสเซียก็ได้ยกกำลังกลับมาที่ฮังการีอีกครั้งด้วยกองทัพที่เข้มแข็งกว่าเดิม และกวาดล้างพวกที่เป็นปรปักษ์กับรัสเซียไปจนเกือบหมด รวมทั้งวิกิด้วยเช่นกัน คาร์ซิและเพื่อนแข่งชนะรัสเซียมาได้ แต่วิกิคนรักของเขานั้น ปลายทางของเธอจะจบลงที่ใด เขาอาจไม่ได้รับรู้เรื่องของเธออีกเลย
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์จากประเทศฮังการีที่ได้รับเกียรติให้เข้าร่วมฉายเป็นภาพยนตร์เปิดเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพมหานครเมื่อปี ๒๕๕๐ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สร้างขึ้นจากเรื่องจริงที่อ้างอิงจากประวัติศาสตร์ และเสริมแต่งตัวละครต่างๆขึ้นมา
เรื่องนี้มีการเปิดเรื่องด้วยฉากของการแข่งขันโปโลน้ำระหว่างทีมชาติฮังการี และโซเวียตที่เล่นผิดกติกา และเกิดการต่อสู้กันขึ้น ถือเป็นการเปิดเรื่องที่แสดงให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายไม่ถูกกัน หลังจากนั้นก็นำเรื่องไปจนถึงตอนที่ตัวเอกคือ คาร์ซิถูกนำตัวไปสถานีตำรวจถึงเรื่องการทะเลาะวิวาทกับชาติรัสเซีย นั่นแสดงให้เห็นถึงการถูกคุกคามของคนที่ไปมีเรื่องกับรัสเซียว่าจะเกิดอะไรขึ้น และเขาควรอยู่เฉยไว้
ภาพยนตร์เรื่องนี้มีการตั้งชื่อเรื่องที่เหมาะสมกับเนื้อหา เนื่องจากเป็นเหตุการณ์ที่มีความรุนแรง ชัดเจน และแสดงให้เห็นว่าสิทธิเสรีภาพของประชาชนนั้นก็อาจจะต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้อ และชีวิตของผู้คนอีกมากมาย ซึ่งล้วนมาจากความมุ่งมั่นในอุดมการณ์ และยืนหยัดต่อสู้กับอุปสรรคทั้งหลายที่เข้ามาในชีวิตแม้จนวาระสุดท้าย
เรื่องนี้มีความน่าสนใจตั้งแต่การเลือกเรื่อง ที่เป็นผลมาจากความต้องการชมภาพยนตร์ที่อิงกับความเป็นจริงและประวัติศาสตร์ของโลก ที่ทำให้เรานึกตามไปถึงช่วงนั้นๆได้ และเกิดความสะเทือนอารมณ์ได้สมจริงกว่า ที่เลือกใช้คำว่าสมจริงก็เนื่องมาจากธรรมชาติของบุคคล ที่มักสนใจในความเป็นจริง ในประวัติศาสตร์ หรือตำนาน มากกว่านิยายเพ้อฝันหลักลอยที่ชมแล้ว คิดหลงแล้วก็ลืม แล้วเลยผ่านมันไป

เฟรนชิพ


สราวุธ ก่องศรีสุข
05490399

ปัจจุบันนี้ ภาพยนตร์ไทยได้รับความนิยมจากคนไทยมากขึ้น โดยเฉพาะแนวความรัก ซึ่งตอนนี้ภาพยนตร์ไทยแนวความรักที่กำลังมาแรงก็คือ “เฟรนชิพ” เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักของเด็กนักเรียนมัธยมปลายชายหญิง และความรักของเพื่อนที่มีต่อเพื่อน เป็นบทภาพยนตร์ของ ปวันรัตน์ กำกับการแสดงโดย ไรท์ เบรนทีม เข้าฉายที่โรงภาพยนตร์เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม
ตัวละครเอกฝ่ายชาย ชื่อ สิงหา (สิงห์) กำลังรอรถประจำทางเพื่อไปโรงเรียน ขณะนั้นมีหญิงพิการคนหนึ่ง ซึ่งหูหนวกเป็นใบ้ ถูกกลุ่มนักเรียนชนหกล้ม สิงหาจึงช่วยพยุงหญิงพิการคนนั้นขึ้นมา ตอนนั้นตัวละครเอกฝ่ายหญิง ชื่อมิถุนา กำลังจะวิ่งเข้ามาเพื่อช่วยแม่ของตนที่หกล้ม แต่ว่าได้เห็นสิงหาช่วยเอาไว้ก่อน โดยที่สิงหาไม่รู้ตัวเลย วันนั้นเป็นวันเปิดภาคการศึกษา มีนักเรียนใหม่ย้ายเข้ามา 2 คน คนแรกเป็นผู้ชายชื่อ สายันต์ หรือ แหลม และอีกคนหนึ่งเป็นผู้หญิง ซึ่งมาสายชื่อ มิถุนา มิถุนาได้รู้จักกับเพื่อนหญิง 2 คน คือ แจ๊สซึ่งนั่งข้างเธอ กับดา ซึ่งนั่งหน้าเธอ กลุ่มผู้ชายต่างแซวเธอ แต่เธอเงียบ จนสิงหาล้อเธอว่าเธอเป็นใบ้ วันหนึ่งสิงหาออกมาจากห้องน้ำ แล้วชนกับนักเรียนคนหนึ่ง ซึ่งบุหรี่หล่นแล้วสิงหาก็เหยียบบุหรี่นั้นเข้า จึงมีการทะเลาะวิวาทเกิดขึ้น สายันต์เข้ามาช่วยสิงหาไว้ จึงได้สนิทกับกลุ่มเพื่อนสิงหา กลุ่มสิงหาไปดื่มสุราโดยที่มีสายันต์นำไป สายันต์เล่าความหลังของตนให้กับสิงหาฟัง วันหนึ่งขณะนั่งรถประจำทางกลับบ้าน ซึ่งขึ้นคันเดียวกันกับมิถุนา สิงหาได้แซวล้อเธอ จนเธอโกรธแล้วทุบตีสิงหา วันนั้นเพื่อน ๆ กำลังจะตั้งวงสุรากัน แต่สิงหาขอตัวกลับก่อน ขณะที่กำลังกลับ เจอรถตำรวจกำลังไล่จับผู้ร้าย ซึ่งผู้ร้ายนั้น ก็คือ เด็กนักเรียนที่มีเรื่องกับสิงหานั่นเอง วันต่อมาสิงหาเริ่มรู้สึกผิดจึงตามมิถุนาไป เห็นมิถุนาช่วยสอนภาษาใบ้ให้กับเด็กพิการ สิงหาจึงโผล่มากล่าวขอโทษมิถุนา มิถุนายกโทษให้โดยการทำท่าที่สิงหาเคยล้อเลียนเธอ คืนนั้นสิงหานอนไม่หลับ ได้แต่คิดถึงมิถุนาแล้วพลางยิ้มไป หลังเลิกเรียนวันหนึ่ง สิงหาตามขอโทษมิถุนาอีกครั้ง ขณะนั้น มีเด็กช่างตีกัน สิงหาจึงปกป้องโดยการโอบกอดมิถุนาไว้ สิงหากับเพื่อน ๆ พากันมาที่บ้านของมิถุนา เพื่อที่จะขออนุญาตแม่ของเธอว่า จะพาเธอไปค่ายอาสาช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาส ที่บ้านเขาค้อ เพชรบุรีบ้านเกิดของสายันต์ คืนนั้นเห็นดาวตก สายันต์จึงอวยพรให้ทุกคนรักกัน แล้วให้ทุกคนเปิดใจคุยกัน ระบายความในใจ สิงหาพูดว่า เขาได้เหยียบดอกไม้ เขาอยากจะแก้ตัวขอดูแลดอกไม้นั้นให้ดี จากทุกคนมาช่วยกันทำงานที่บ้านของมิถุนา เธอจึงเล่าความหลังของเธอให้กับเพื่อน ๆ ฟัง ทำให้ทุกคนสนิทกันมากขึ้น สิงหากับมิถุนาเริ่มแสดงความรักต่อกัน วันหนึ่งกลุ่มผู้ชายกำลังจะไปดื่มสุราฉลองกัน แต่สายันต์ลืมสุราไว้จึงกลับไปซื้อใหม่ ขณะเดินทางกลับมา ใกล้จะถึงที่หมายแล้ว รถของอริสิงหาจอดเข้ามา แล้วลงมาตี สายันต์ถูกมีดแทงจนเสียชีวิต วันสอบปลายภาคสิงหาเอาเฟรนชิพมาให้มิถุนา ซึ่งมิถุนาจะต้องไปต่างจังหวัด จึงนัดกันวันฟังผลสอบ ว่าจะเอาเฟรนชิพมาให้ เมื่อถึงวันฟังผลสอบ สิงหาถูกเพื่อนรบเร้าให้ไปดื่มสุรา ทำให้สิงหากับมิถุนาคลาดกัน มิถุนาวิ่งตามหาสิงหาที่โรงเรียน ที่บ้าน และที่สวนสาธารณะ ขณะเดียวกันสิงหาก็วิ่งตามหามิถุนาในสถานที่เดียวกัน เพียงแต่คลาดกันด้วยเวลาอันสั้น ณ สถานที่สุดท้ายที่สวนสาธารณะ มิถุนาจะกลับไปตามหาสิงหาที่โรงเรียนอีกครั้ง แต่พบกับอริของสิงหาขี่รถมอเตอร์ไซค์ผ่านมา ในคืนนั้นสิงหามานั่งตากฝนที่สวนสาธารณะ ตำรวจเข้ามาจับกุมสิงหา แต่มีตำรวจนายหนึ่งรู้ว่า เป็นลูกของเมษา จึงปล่อยไป รถตำรวจที่จับกุมผู้ร้ายผ่านห้าสิงหาไป ผู้ร้ายที่นั่งอยู่บนกระบะรถตำรวจก็คือ อริของสิงหานั่นเอง อริของสิงหาแอบมองหน้าสิงหาด้วยความสะใจ แต่สิงหาไม่รู้ตัวเลย ผ่านมาหลายปี ทุกคนโตเป็นผู้ใหญ่ มีการมีงานทำ แต่นัดเจอกันอยู่บ่อย ๆ เมื่อสิงหาได้ยินเพลงจึงหวนคิดถึงมิถุนา สิงหาบังเอิญได้พบกับแม่ของมิถุนา จึงถามหามิถุนา แม่พาไปที่ห้องของมิถุนา เธอป่วยอยู่ สิงหาจึงเข้าไปนั่งอยู่ข้าง ๆ สิงหาจะกลับบ้าน แต่มิถุนาอยากให้สิงหาอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าเธอจะหลับ พอเช้ามาปรากฏว่า มิถุนาได้เสียชีวิตลงแล้ว แม่ของเธอนำเฟรนชิพของเธอมาให้กับสิงหา สิงหาเปิดอ่านข้อความจึงได้รู้เรื่องราวทั้งหมด ที่มิถุนาได้พบกับผู้ชายที่สำคัญที่สุดของเธอ ซึ่งชายผู้นั้นได้ช่วยแม่ของเธอเอาไว้ที่ป้ายรถประจำทาง และสิงหาได้รู้ความจริงว่า ในวันฟังผลสอบ มิถุนาได้ออกไปตามหาสิงหา แต่เจออริของสิงหาเสียก่อน...
การเปิดเรื่องเป็นการเปิดเรื่องโดยการเปิดตัวละครหลัก ๆ ชายคนหนึ่งกำลังนอนหลับอยู่ แล้วมีโทรศัพท์เข้ามา แต่หยิบผิดไปหยิบที่หน้าอกของภรรยา อีกคนหนึ่งเป็นนักแสดงภาพยนตร์ ชายอีกคนเป็นผู้ตัดข่าว ผู้ชายคนสุดท้ายเป็นผู้จัดรายการสยองขวัญ สุดท้ายหญิงห้าวคนหนึ่งกับการถ่ายแบบชุดว่ายน้ำของหญิงสาว เมื่อหมดเวลาทำงาน ทุกคนจึงมานัดพบฉลองกัน มีการคุยหยอกกันอย่างสนิทสนม ฉากเป็นบรรยากาศของร้านอาหาร ที่มีทั้งอาหารทั่วไป กับสุรา ทุกคนสนิทสนมกันมาก จากนั้นเกิดจุดสงสัยนำพาเข้าสู่เนื้อเรื่อง เมื่อมีเพลงหนึ่งดังขึ้น ทำให้สิงหาได้คิดถึงเรื่องภายในอดีต แก่นเรื่องเป็นเรื่องของความรักหนุ่มสาว ตัวละครเอกฝ่ายหญิงหลงรักตัวละครเอกฝ่ายชาย ตั้งแต่เห็นครั้งแรก แต่เกิดความขัดแย้งของมนุษย์กับกับจิตใจ เนื่องจากแจ๊สปรามมิถุนาไว้ว่า กลุ่มสิงหาเป็นผู้ชายลามก อย่าเข้าไปยุ่งด้วย ทั้งที่มิถุนาก็ชอบสิงหา แต่ขัดแย้งกับตัวเองว่าจะทำอย่างไรดี นอกจากนี้มิถุนายังขัดแย้งกับสิงหาอีกด้วย ถึงแม้มิถุนาจะชอบสิงหา แต่เนื่องด้วยสิงหาชอบล้อเลียนว่าเธอเป็นใบ้ ทำให้เธอรู้สึกแย่กับสิงหามากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากแม่ของเธอก็เป็นใบ้ ส่วนจุด Climax ของเรื่องนี้อยู่ตอนที่ มิถุนาตามหาสิงหา แต่ไปเจอกับอริของสิงหา จากความคิดเห็นของดิฉัน ดิฉันคิดว่า เธอถูกข่มขืน เนื่องจากคืนนั้นอริของสิงหาทำหน้าตาสะใจ เมื่อเห็นหน้าสิงหา ราวกับว่า ได้ทำลายของรักของหวงของคนที่ตนเกลียด จากนั้นมิถุนาจึงเป็นโรคเอดส์ ไม่สามารถออกไปไหนได้ และต้องอยู่คนเดียวในห้อง วันสุดท้ายได้พบกับสิงหา และตายในที่สุด จุด Climax คือ มิถุนาถูกข่มขืนเป็นการขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ส่วนการตายด้วยโรคเอดส์เป็นการทำให้เรื่องที่อยู่ที่จุดสุดยอด คลี่คลายลง เป็นการขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ จบเรื่องด้วยการที่ตัวละครเอกฝ่ายชายได้อ่านคำสารภาพของตัวละคนเอกฝ่ายหญิง ในเรื่องของพฤติกรรมตัวละครนั้น ตัวละครฝ่ายชายค่อนข้างเป็นเด็กเกเร ปากเสีย เจ้าชู้ พ่อเป็นตำรวจ แม่ขายขนม มีพี่ชายหนึ่งคน ครอบครัวอบอุ่น ส่วนตัวละครเอกฝ่ายหญิง เป็นคนเงียบ ๆ พ่อเป็นอธิการบดี วันหนึ่งขับรถพบอุบัติเหตุ จากนั้นแม่พิการ เป็นใบ้หูหนวก และพ่อของเธอก็ทิ้งเธอไปให้อยู่กับแม่ ส่วนตัวละครอื่นไม่มีบทบาทต่อตัวละครสองตัวนี้มากนัก แต่เป็นตัวละครที่สนับสนุนเรื่องไห้ดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ในด้านของชื่อเรื่องนั้น “เฟรนชิพ” เป็นการตั้งชื่อเรื่องที่ดี เกี่ยวข้องกันกับเนื้อเรื่อง ถึงแม้ว่า ฉากที่สิงหามอบเฟรนชิพให้มิถุนาเขียนเฟรนชิพนั้นจะเป็นฉากสั้น ๆ ก็ตาม แต่เฟรนชิพนั้นเป็นตัวคลี่คลายเรื่องทั้งหมด ให้เรื่องกระจ่างมากยิ่งขึ้น
เฟรนชิพเป็นเรื่องที่จบลงด้วยโศกนาฏกรรม อย่างไรก็ตามก็เป็นโศกนาฏกรรมที่ความรักลึกซึ้ง เป็นภาพยนตร์ที่เข้าใจง่าย เนื้อเรื่องไม่ซับซ้อน อีกทั้งเนื้อเรื่องยังสบาย ๆ เป็นความรักใส ๆ ราบเรียบ นอกจากนี้ยังสอดแทรกความรักของเพื่อนที่มีต่อเพื่อนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นอดีต หรือปัจจุบัน ไม่ว่าจะเวลานานเพียงไหน ทุกคนก็ยังเป็นเพื่อนที่สนิทสนม รักใคร่กันอยู่ ให้ความรู้สึกถึงความสำคัญของการเป็นเพื่อน และความรู้สึกของความรักที่มีต่อเพื่อน ทำให้รู้สึกรักเพื่อนมากขึ้น

ปิดเทอมใหญ่...หัวใจว้าวุ่น


นางสาวสุวีณา แช่มช้อย 05490439

ปิดเทอมใหญ่...หัวใจว้าวุ่น
ปิดเทอมใหญ่...หัวใจว้าวุ่น เป็นภาพยนตร์ไทย สร้างในปี พ.ศ. 2551สังกัดค่าย GTH ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอเรื่องราวของความรักโดยผ่านตัวละครหลากช่วงวัย ตั้งแต่วัยมัธยมศึกษาตอนต้นจนกระทั่งถึงวัยมหาวิทยาลัย ที่มีความแตกต่างในเรื่องความรัก โดยนำเสนอความรักใน 4 รูปแบบ คือ
1. รักหักเหลี่ยม
ความรักของเด็กมัธยมต้นชื่อว่า พุ และ ไม้ ทั้งสองเป็นเด็กผู้ชายที่หน้าตาดี
จึงเป็นที่ชื่นชอบของรุ่นพี่ผู้หญิงทั้งโรงเรียน เกมส์ที่พุและไม้ชื่นชอบมากที่สุดคือ การแข่งขันขอเบอร์ผู้หญิง จนกระทั่งการกลับมาของเพื่อนเก่าสมัยอนุบาลชื่อ นานา เธอทำให้พุกับไม้ต้องแตกคอกัน เพราะต่างคนต่างรุมจีบขอเบอร์นานา แต่ท้ายที่สุดทั้งคู่ก็ได้เบอร์นานาไปคนละครึ่ง
2. รักเกินเอื้อม
ความรักของเด็กมัธยมปลายชื่อว่า โอ๋เล็ก ที่มีต่อดารานักร้องไต้หวันชื่อว่า
ตี่ตี๋ เธอสะสมของทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขาและที่สำคัญที่สุด เธอตั้งตารอดูคอนเสิร์ตของตี่ตี๋ แต่กลับถูกทางต้นสังกัดค่ายเพลงยกเลิก จึงทำให้โอ๋เล็กผิดหวังและท้อแท้ในชีวิต จนกระทั่งได้มาเจอตี่ตี๋โดยบังเอิญจึงทำให้ชีวิตของเธอดีขึ้น
3. รักข้างเดียว
ความรักของเด็กมหาวิทยาลัยชื่อ โจ้ ซึ่งเขาแอบหลงรักเพื่อนสนิทร่วมกลุ่ม
ชื่อ ซี โจ้เริ่มวางแผนเฉลยความในใจต่างๆให้ซีประทับใจ แต่ท้ายที่สุดแล้วซีกลับคิดว่าการกระทำของโจ้เป็นสิ่งที่ยัดเยียด เพราะซีคิดกับโจ้แค่เพียงเพื่อนไม่ใช่คนรัก
4. รักนอกใจ
ความรักของเด็กมหาวิทยาลัยระหว่าง เหิร กับ นวล เมื่อนวลไปฝึกงานที่
จังหวัดตรัง ทำให้เหิรรู้สึกเป็นอิสระอยากทำอะไรก็ได้ทำ แต่เขาก็ยังคิดถึงนวลอยู่ดี เขาจึงตัดสินใจไปหานวลที่ตรังก่อนวันหมาย 1 วัน บนรถไฟเหิรได้เจอกับ อาโออิ สาวญี่ปุ่น ซึ่งเธอได้ชวนเหิรไปร่วมงานปาร์ตี้ ฟูลมูนที่เกาะพงัน เหิรจึงไม่ได้ไปตามนัดของนวล ทั้งสองจึงไม่เข้าใจกันจนทำให้ต้องเลิกรากัน

การเปิดเรื่องเป็นช่วงวันสอบวันสุดท้าย ซึ่งพุและไม้กำลังแข่งขันกันทำข้อสอบโดยที่ทั้งคู่ไม่ได้อ่านคำถามในข้อสอบเลย เพราะหากใครเสร็จส่งถึงมืออาจารย์ก่อนคนนั้นจะเป็นผู้ชนะ
ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความโดดเด่นในเรื่องเนื้อหาที่นำเสนอเรื่องความรักในหลากหลายรูปแบบ หลากหลายช่วงวัยที่มีความแตกต่างกัน เช่น ความรักของเด็กมัธยมศึกษาที่มีตัวละครเป็นตัวแทนคือ พุ และ ไม้ ที่มีต่อ นานา เป็นความรักเพื่อเอาชนะโดยมีสิ่งเดิมพัน เป็นความรักที่ไม่จริงใจและไม่แน่นอน แต่ทางกลับกันความรักระหว่าง เหิร กับ นวล ซึ่งเป็นตัวแทนความรักของเด็กมหาวิทยาลัย เป็นความรักที่มีความจริงใจต่อกัน ห่วงใยกัน ต้องการความเป็นเจ้าของ ซึ่งเป็นความรักที่พัฒนามาจากช่วงวัยมัธยมศึกษา จึงทำให้ผู้ชมได้เห็นพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลของความรักในแต่ละขั้น
ตัวละครก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าเนื้อเรื่อง เนื่องจากตัวละครมีพัฒนาการทางด้านอารมณ์ ความรู้สึกชัดเจนคือ พุ กับ ไม้ ที่ไม่เคยยอมแพ้ในเรื่องผู้หญิงซึ่งกันและกัน แต่ท้ายที่สุดทั้งสองกลับเสียสละให้แก่กัน ไม่แย่งชิงกัน ตัวละครทั้งหมดในเรื่องมีเพียงพฤติกรรมเดียวคือ มีความรักต่อใครก็จะรักคนนั้นอย่างมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ถึงแม้อาจมีสิ่งยั่วยุให้นอกกรอบไปบ้าง แต่ตัวละครในเรื่องก็ยังยึดในความรักของตัวเอง
ความขัดแย้งในเรื่องมีเพียงความขัดแย้งเดียวคือ ความขัดแย้งภายในจิตใจของตนเอง ตัวละครมักมีความลังเลใจเมื่อให้เลือกกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น ตอนที่อาโออิ ชวนเหิรไปร่วมปาร์ตี้ที่เกาะพงัน เหิรลังเลใจเพราะคิดถึงนวลที่รอเขาอยู่ แต่ภายในใจก็ยังไปร่วมปาร์ตี้กับสาวญี่ปุ่นคนนี้ จึงทำให้เขาต้องชั่งใจในความลังเลจนเขาตัดสินใจไปร่วมงานปาร์ตี้กับอาโออิด้วย
ฉากและบรรยากาศในเรื่องเป็นช่วงเวลาปิดเทอมภาคฤดูร้อน ส่วนใหญ่สถานที่ในเรื่องคือ โรงเรียน มหาวิทยาลัย และบ้านพัก เป็นบรรยากาศที่ผู้ชมคุ้นชินอยู่แล้วจึงไม่ได้สร้างความแปลกใหม่ให้กับผู้ชม โดยมีอยู่แค่ฉากเดียวที่ทำให้ผู้ชมได้รับบรรยากาศที่แปลกแนวไปคือ ตอนที่เหิรไปร่วมงานฟูลมูนที่เกาะพงัน เป็นฉากริมหาดชายทะเล มีแสงสีตระการตาที่สามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมได้
ชื่อเรื่อง ปิดเทอมใหญ่...หัวใจว้าวุ่น ทำให้ผู้ชมรู้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องดำเนินเรื่องในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน และเป็นช่วงที่ก่อให้เกิดความรัก ก่อให้เกิดความวุ่นวายต่างๆ จึงทำให้ชื่อเรื่องกับเนื้อเรื่องมีความสัมพันธ์กัน
การปิดเรื่องเป็นตอนที่นวลนั่งรถไฟไปทำกิจกรรมรับน้องที่ต่างจังหวัดแล้วได้เจอเหิรด้วยความบังเอิญ ทั้งคู่ได้แสดงความอาลัยอาวรณ์ต่อกัน ซึ่งก่อนหน้านี้ทั้งคู่ได้เลิกรากันไปแล้ว และจบท้ายที่เหิรรับโทรศัพท์ของนวล ซึ่งภาพยนตร์ได้ทิ้งท้ายไว้ให้คนดูคิดเอง แสดงว่านวลอาจจะอยากกลับคืนดีกับเหิรก็ได้
ภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ข้อคิดมากมายเกี่ยวกับมุมมองความรัก เช่น ความรักต้องการความเป็นเจ้าของ ต้องอาศัยการเอาใจใส่ ทะนุถนอม ความรักนั้นจึงจะอยู่ได้อย่างยืนยาว “เพราะความรักไม่มีวันหยุดพักเหมือนการเรียน”

Pay It Forward…หากใจเราพร้อมจะให้(ใจ) เราจะได้มากกว่าหนึ่ง


น.ส.ลักษมณ พีรประภากร 05490330

Pay It Forward…หากใจเราพร้อมจะให้(ใจ) เราจะได้มากกว่าหนึ่ง

หากว่าคุณกำลังมองหาภาพยนตร์ดีๆสักเรื่อง คุณก็ไม่ควรพลาดที่จะชม Pay It Forward ภาพยนตร์ของประเทศอเมริกา กำกับโดยมีมี่ เลเดอร์ ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นภาพยนตร์ที่สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมเหมือนเรื่องทั่วๆไป แล้วความรู้สึกก็จบลงเมื่อภาพยนตร์จบเท่านั้น แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้สร้างกระแสให้กับผู้ชมทั่วโลกในการทำความดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ นอกเสียจากให้คนๆนั้นทำความดีกับคนอื่นต่อไป แม้ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเข้าฉายไปนานแล้ว ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2544 แต่กระแสการทำความดีแบบลูกโซ่ก็ยังไม่จบลง และยังทวีความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นที่ว่ามีการเปิดเว็บไซด์มากมายเพื่อรับสมัครสมาชิกในการทำความดี โดยหวังว่าสักวันหนึ่งโลกใบนี้จะกลายเป็นสังคมที่มีแต่ความสงบสุข เหมือนกับที่ตัวละครเอกของเรื่องคาดหวังไว้
Pay It Forward เป็นเรื่องราวของแทรเวอร์ เด็กชายวัยเพียง 11 ปี อาศัยอยู่กับแม่ในแถบชุมชมผู้มีรายได้น้อยของลาสเวกัส แม่ของเขาทำงานหนัก และติดเหล้าจนไม่ค่อยมีเวลาดูแล
แทรเวอร์ ส่วนพ่อก็ทิ้งครอบครัวไปนานแล้ว ทำให้แทรเวอร์ต้องดูแลตัวเอง เขาจึงเป็นเด็กที่มีความเป็นผู้ใหญ่เกินตัว
ในวันแรกของการเรียนเกรด 7 ซึ่งเป็นชั้นสุดท้ายของวัยประถม เขาได้พบกับ
ครูซิมโมเน็ท ครูสังคมคนใหม่ ซึ่งได้จุดประกายความคิดของเขา โดยการให้การบ้านกับเด็กๆว่าให้คิดหาวิธีที่จะเปลี่ยนแปลงโลก และที่สำคัญคือต้องนำความคิดนั้นไปปฏิบัติด้วย ซึ่งถือว่าเป็นการบ้านที่ค่อนข้างยากสำหรับเด็กวัยเพียง 11 ปี แต่แทรเวอร์จริงจังกับการทำการบ้านชิ้นนี้มาก เขาได้คิดทฤษฎี “Pay it forward” หรือ “จ่ายให้คนต่อไป” ขึ้นมา เป็นการทำความดีเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนใดๆ นอกเสียจากว่าให้คนๆนั้นช่วยเหลือคนอื่นต่อไปอีก 3 คน และแต่ละคนที่ได้รับการช่วยเหลือก็จะทำเช่นนี้ต่อไปอีกคนละสามครั้งต่อไปเรื่อยๆเป็นลูกโซ่ โดยแทรเวอร์หวังว่าสักวันหนึ่งมันจะขยายกว้างออกไปเรื่อยๆ โลกของเราก็จะกลายเป็นสังคมที่สงบสุข และเป็นสังคมในอุดมคติตามแนวความคิดแบบยูโทเปียซึ่งเชื่อในโลกที่มีความสมบูรณ์
เขาเริ่มทำการเปลี่ยนแปลงโลกโดยช่วยเหลือชายจรจัดติดยาที่ชื่อเจอร์รี โดยการให้เงินและอาหารเพื่อหวังว่าเขาจะสามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ แต่ท้ายที่สุดเขาก็กลับไปเสพยาตามเดิม คนต่อมาที่เขาช่วยเหลือคือครูซิมโมเน็ท โดยการพยายามจับคู่เขากับแม่ของตนเอง แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อครูมีปมในจิตใจตั้งแต่สมัยเด็กๆที่ถูกพ่อเอาน้ำมันราดและจุดไฟเผา จนเกิดรอยแผลเป็นน่ากลัวอยู่ทั่วร่างกาย ส่งผลให้ครูไม่กล้าที่จะเปิดเผยตัวตนและเปิดใจให้แก่ใครจริงๆ ส่วนแม่ของเขาเองก็ใจอ่อนเมื่อพ่อที่ทิ้งพวกเขาไปกลับมาขอคืนดี ทำให้แทรเวอร์เริ่มท้อใจเมื่อแผนการที่จะเปลี่ยนโลกของเขาไม่มีท่าทีว่าจะสำเร็จเลยสักอย่างเดียว
แต่ไม่นานนักทุกอย่างก็เริ่มพลิกผัน เมื่อวันหนึ่งขณะที่เจอร์รีเดินข้ามสะพาน พร้อมกับคิดว่าเขาจะสามารถไปหายาจากที่ไหนมาเสพได้ เขาก็ได้พบและช่วยเหลือผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งกำลังจะฆ่าตัวตายเอาไว้ได้ ส่วนครูซิมโมเน็ทกับแม่ของเขาก็เริ่มเปิดใจให้กันและกันมากขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงจุดเริ่มต้นของความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงโลกของเจอร์รี แล้วคนที่ได้รับการช่วยเหลือก็ช่วยเหลือคนอื่นต่อไปเรื่อยๆ จนกระแสของ Pay it forward แพร่กระจายไปทั่วลาสเวกัส และรัฐอื่นๆของอเมริกาโดยที่เจอร์รีเองก็ไม่รู้ตัว
กระแสของ Pay It Forward หรือ จ่ายให้คนต่อไปโด่งดังจนไปเกิดขึ้นกับนักข่าวคนหนึ่ง เขาจึงออกเดินทางตามหาเจ้าของความคิดนี้ จนกระทั่งมาเจอแทรเวอร์ และได้สัมภาษณ์แทรเวอร์ออกรายการโทรทัศน์ ยิ่งทำให้ผู้คนทั่วสหรัฐอเมริการู้จักกับการจ่ายให้คนต่อไปมากยิ่งขึ้น แต่ในเย็นวันนั้นเอง เรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ขณะที่แทรเวอร์กำลังจะกลับบ้าน เขาเจอเพื่อนในห้องคนหนึ่งกำลังถูกรุมรังแก เขาจึงรีบเข้าไปช่วยแต่ตนเองกลับถูกแทงที่ท้องจนเสียชีวิตซะเอง และถึงแม้เขาจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่กระแสการทำความดีที่เขาสร้างขึ้นก็ยังคงอยู่สืบไป
ภาพยนตร์เรื่อง Pay It Forward นี้มีการดำเนินเรื่องจากปัจจุบันแล้วเล่าย้อนไปถึงเหตุการณ์ในอดีต โดยเริ่มเปิดเรื่องจากนักข่าวคนหนึ่งที่ไปทำข่าวผู้ร้ายจับกุมผู้หญิงเป็นตัวประกัน แต่ผู้ร้ายเกิดขับรถหลบหนีออกมาชนกับรถของเขาเข้า ในขณะที่เขากำลังอารมณ์เสียที่รถพังอยู่นั้น ก็มีชายคนหนึ่งยื่นกุญแจรถจาร์กัวคันใหม่ของตนเองให้เขาใช้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน และนั่นเองที่เป็นจุดเริ่มต้นของการตามหาเจ้าของความคิด Pay It Forward แล้วหลังจากนั้นเรื่องจึงเริ่มย้อนเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 4 เดือนที่แล้ว โดยเริ่มตั้งแต่ที่แทรเวอร์ได้รับการบ้านจากครูซิมโมเน็ทให้คิดแนวทางที่จะเปลี่ยนแปลงโลก และลงมือปฏิบัติตาม
จากนั้นเหตุการณ์ก็เริ่มพัฒนาไปเรื่อยๆ โดยค่อยๆให้รายละเอียดเกี่ยวกับแทรเวอร์ซึ่งเป็นตัวละครเอกว่าเป็นใคร สถานะความเป็นอยู่ทางสังคมเป็นอย่างไรบ้าง ทำให้ผู้ชมพอทราบคร่าวๆว่าเขาเป็นเด็กอายุ 11 ปี ที่ค่อนข้างจะมีความคิดเป็นผู้ใหญ่ และการดำเนินเรื่องก็ทวีความน่าสนใจมากขึ้นไปอีก เมื่อผู้ชมเห็นสิ่งต่างๆที่แทรเวอร์ตั้งใจทำ ตั้งแต่ที่พาชายจรจัดเข้ามาในบ้าน จนถึงพยายามจับคู่ของครูกับแม่ของเขา แต่ในตอนแรกเริ่มดูเหมือนว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไปตามอย่างที่เขาคิดไว้ จึงทำให้ผู้ชมอยากจะติดตามต่อไปอีกว่าแทรเวอร์จะทำอย่างไรต่อไป
ความขัดแย้งในเรื่องที่ต้องการจะนำเสนอออกมาก็คือความขัดแย้งภายในจิตใจของตนเอง ซึ่งในเรื่องจะพบได้ว่าตัวละครแต่ละตัวจะมีความลังเลใจเกิดขึ้นเมื่อต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ตนเองเคยชินและเป็นอยู่ เช่นเจอร์รีต้องต่อสู้อย่างมากเพื่อจะเลิกเสพยาให้ได้ แม่ของแทรเวอร์ต้องพยายามที่จะเลิกเหล้าและตัดใจจากสามีของตนเองให้ได้ ส่วนครูซิมโมเน็ทก็ต้องพยายามที่จะเปิดใจของตนเองให้ผู้อื่นเข้าถึงได้บ้าง มีประโยคหนึ่งที่แทรเวอร์ได้พูดเอาไว้ขณะที่ถูกสัมภาษณ์ออกรายการโทรทัศน์ที่บ่งบอกถึงความขัดแย้งในเรื่องได้เป็นอย่างดี คือ “ผมคิดว่ายากที่จะเปลี่ยน สำหรับคนที่เคยชินกับอย่างหนึ่งแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่ดี เขาก็เลยยอมแพ้ แล้วพอเขายอม ทุกคนก็เลยพ่ายแพ้”
นอกจากเนื้อเรื่องที่มีความน่าสนใจแล้ว ตัวละครเอกของเรื่องก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน เริ่มตั้งแต่ฉากเปิดตัวแทรเวอร์ที่โรงเรียน ก็ชี้ให้เห็นว่าเขาเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งซึ่งเมื่อเทียบกับเด็กคนอื่นๆที่อายุเท่ากันแล้วจะเห็นว่าเขาตัวเล็กกว่าเพื่อนๆทุกคน แต่สิ่งที่เขาต้องการจะทำเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกนั้นยิ่งใหญ่มาก ซึ่งผู้ใหญ่บางคนกลับละเลยที่จะปฏิบัติ
แม้แต่ฉากในเรื่องทั้งหมดก็มีความสำคัญเช่นกัน สถานที่ที่เกิดเหตุการณ์นี้ก็คือลาสเวกัส ซึ่งรู้กันดีว่าเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยบ่อนการพนัน แสงสี และสภาพแวดล้อมก็ค่อนข้างแห้งแล้ง
ซึ่งสามารถสื่อได้ถึงจิตใจของคนที่สับสนวุ่นวาย และเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว การที่จะหาคนดีสักคนเพื่อทำความดีเพื่อคนอื่นอาจจะเป็นเรื่องยากเต็มที การเลือกสถานที่เกิดเหตุเป็นที่นี่ก็เพราะต้องการสื่อว่าแม้การเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นจะเป็นเรื่องยาก แต่คนเราก็สามารถทำได้หากมีความพยายามจริงๆ
ส่วนการตั้งชื่อเรื่องว่า Pay It Forward ก็สามารถบอกผู้ชมได้เป็นอย่างดีว่าแก่นของเรื่องคืออะไร เพราะส่วนสำคัญที่สุดของเรื่องก็คือเนื้อเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำความดีต่อกันไปเรื่อยๆแบบเป็นลูกโซ่ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ผู้สร้างต้องการนำเสนอไปยังผู้ชม เพื่อกระตุ้นและสร้างแรงจูงใจให้กับคนที่หมดหวังกับการทำความดีให้มีพลังขึ้นมาอีกครั้ง
กล่าวโดยรวมแล้วภาพยนตร์เรื่อง Pay It Forward หรือ หากใจเราพร้อมจะให้(ใจ) เราจะได้มากกว่าหนึ่ง มีหัวใจสำคัญอยู่ที่ตัวเนื้อเรื่องที่สะท้อนภาพสังคมที่มีแต่ความวุ่นวาย และไม่มีคนที่คิดจะเปลี่ยนแปลงสังคมที่เลวร้ายเช่นนั้นให้ดีขึ้น จึงเลือกนำตัวละครเด็กมาถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกที่อยากจะเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น เพื่อให้คนดูซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในวัยรุ่นขึ้นไปจนถึงวัยผู้ใหญ่เกิดความรู้สึกละอายใจที่จะทำความผิด และกระตุ้นให้คนเหล่านี้หันมาทำอะไรสักอย่างเพื่อสังคม ตรงส่วนนี้เองที่ทำให้ข้าพเจ้าชอบภาพยนตร์เรื่องนี้มาก เพราะดูจบแล้วแต่อารมณ์และความซาบซึ้งที่ได้รับมายังไม่จบลงเพียงแค่นั้น และอยากแนะนำให้ใครหลายๆคนได้ชมกัน โดยไม่ใช่เป็นการชมเพื่อเสพความบันเทิงแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่อยากให้นำกลับมาคิดและปฏิบัติตามด้วย เพราะถึงแม้ความคิดจะวิเศษเพียงใด แต่ถ้าไม่ปฎิบัติก็ไม่มีผลดีใดๆเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

จัน ดารา


นพเก้า วงศ์ธวัช 05490176


จัน ดารา
เป็นภาพยนตร์ที่ถูกดัดแปลงมาจากนวนิยายเชิงสังวาสของ “อุษณา เพลิงธรรม” ได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์โดยฝีมือการกำกับของ นนทรีย์ นิมิบุตร ในนามของค่ายหนัง “ไท เอ็นเตอร์เท็นเม้นต์” ร่วมกับ “แอ๊พพลอส พิคเจอร์ส” ซึ่งหนังเรื่องนี้ ได้รับการการันตีจากรางวัลอันทรงเกียรติถึง 6 รางวัลพระสุรัสวดี เพื่อเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงคุณภาพของหนังเรื่องนี้ได้อย่างดีเยี่ยม
จัน ดารา เป็นเรื่องราวชีวิตของ “จัน” ภายใต้หลังคาบ้าน “วิสนันท์” ที่ใช้ชีวิตอยู่บนความโกรธแค้นและชิงชังซึ่งกันและกันระหว่างเขากับคุณหลวงผู้เป็นพ่อ ในขณะที่เขาไม่ได้รับความรักจากคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อ ทำให้เขาโหยหาความรักจากแม่ จึงพยายามหาทางออกโดยการเสพสังวาสกับผู้หญิงมากมายภายในบ้าน และพยายามค้นหาอดีตของตนเองกับพ่อที่แท้จริงของเขา จนในที่สุด ตัวเขาเองได้ค้นพบความจริงว่า ตัวเขานั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรกับคุณหลวงผู้ที่เขาเกลียดชังมากที่สุด จนกลายมาเป็นเรื่องราวระหว่างพ่อกับลูกที่ได้กระทำกรรมต่อกัน ซึ่งทั้งสองมีความสัมพันธ์กันเพียงแค่ในนาม และดำเนินชีวิตด้วยความเกลียดชังซึ่งกันและกัน หากแต่เป็นเสมือนกระจกสะท้อนเงาของกันและกัน และได้สะท้อนให้เห็นถึงความจริงบางอย่างในชีวิตอันน่าขนลุกขนพองภายใต้จิตใจที่แท้จริงของมนุษย์

เรื่องราวเปิดฉากขึ้น ในขณะที่จันตื่นขึ้นในกลางดึกคืนหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยเสียงฟ้าร้องกึกก้อง เขาได้พบว่า คุณหลวงผู้เป็นพ่อกำลังเสพสังวาสกับน้าวาดผู้เป็นน้าของเขาภายใต้มุ้งนอนของเขาเอง และเขาก็ได้อธิบายประกอบด้วยว่า นี่เป็นภาพแรกในชีวิตของเขา
เหตุการณ์พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เมื่อวันหนึ่งในขณะที่จันกำลังเดินร้องเพลง “คุณหลวงอยู่ในกระทรวงมหาดไทย” อยู่นั้น คุณหลวงซึ่งกำลังจิบน้ำชาอยู่ได้ยินเข้า จึงคิดว่าจันร้องเพลงล้อเลียน คุณหลวง โกรธมาก จึงปาถ้วยน้ำชาใส่ศรีษะจันจนเลือดออก นั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้จันรู้ว่า คุณหลวงผู้เป็นพ่อของงเขานั้นเกลียดชังเขามากเพียงไหน และทำให้เขาเริ่มโหยหาความรักจากผู้เป็นแม่
จุดสงสัยของจันได้เริ่มขึ้นในวันหนึ่ง น้าวาดได้พาคุณแก้วซึ่งเป็นลูกของเธอกับจันไปถ่ายรูป คุณแก้วได้พยายามขัดขวางจันไม่ให้ถ่ายรูปกับน้าวาด พร้อมทั้งพูดว่า จันไม่ใช่ลูกของแม่เธอหรือของพ่อเธอ ทำให้จันเริ่มคิดว่า “คุณหลวงไม่ใช่พ่อที่แท้จริงของเขา แล้วพ่อที่แท้จริงของเขาหล่ะไปอยู่ที่ไหน”
ความขัดแย้งได้ก่อตัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ความขัดแย้งนี้เป็นความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ นั่นก็คือตัวของจันเองกับคุณหลวง ในขณะที่ความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้น ระหว่างนั้นเองจันก็ได้แอบลักลอบสังวาสกับคุณบุญเลื่องภรรยาของคุณหลวง แต่เหตุการณ์ยังคงดำเนินต่อไปอีกจนกระทั่งถึงขีดสุด คุณแก้วได้ใส่ความจันว่า จันจับเธอไปทำมิดีมิร้าย ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างจันกับคุณหลวงขาดสะบั้นลง คุณหลวงไล่จันออกจากบ้านและห้ามไม่ให้จันใช้นามสกุลของเขาอีก นั่นจึงเป็น
ที่มาของนามสกุลใหม่ของเขา ที่เขาตั้งตามชื่อแม่ว่า จัน ดารา
หลังจากจันถูกไล่ออกจากบ้านมาเป็นเวลา 4-5 ปี จุดวิกฤติของเรื่องก็ได้ถือกำเนิดเกิดขึ้นเมื่อคุณแก้วได้ตั้งท้อง ทำให้คุณหลวงกับน้าวาดไม่มีทางเลือก จึงได้ตามจันกลับมาเพื่อขอให้จันแต่งงานกับคุณแก้ว โดยสัญญาจะยกบ้านวิสนันท์คืนให้กับจัน ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ได้ซ้ำรอยเดิมกับเหตุการณ์ครั้งอดีตของคุณณหลวงกับแม่ของจัน
หลังจากที่จันเริ่มต้นใช้ชีวิตภายในบ้านวิสนันท์ได้ไม่นาน จันก็ได้ดำเนินรอยตามคุณหลวงทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการสังวาสกับสาวใช้มากหน้าหลายตา ไปจนกระทั่งกระทำการอันเลวทรามต่ำช้าโดยการข่มขืน
คุณแก้วก็ตามที ในที่สุดเรื่องก็ดำเนินมาจนถึงจุดไคลแม็กซ์ของเรื่อง นั่นก็คือ วันหนึ่งจันกับคุณบุญเลื่องร่วมสังวาสกันในห้องนอนของคุณบุญเลื่อง แต่แล้วสิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อคุณหลวงได้เดินเข้ามาภายในห้อง และเห็นภาพจันกับคุณบุญเลื่องกำลังร่วมสังวาสกัน คล้ายกับเหตุการณ์ที่จันได้เห็นในวัยเด็ก จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำให้คุณหลวงช็อคจนกลายเป็นอัมพาต ไม่สามารถร่วมสังวาสกับใครได้อีก ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และต้องนั่งรถเข็นไปตลอดชีวิต ในขณะที่จันก็ต้องสูญเสียลูกของตนเองกับคุณแก้ว เนื่องจากคุณแก้วได้ตัดสินใจทำร้ายตนเองจนกระทั่งแท้งลูก จากเหตุการณ์นี้เองที่ทำให้จันได้กลายสภาพเป็นเหมือนกับคุณหลวงนั่นก็คือ หมดอารมณ์ทางเพศ และไม่สามารถร่วมสังวาสกับใครได้อีก
ต่อมาภายหลังคุณแก้วได้ถอยไปอยู่เรือนหลังเล็ก สร้างอาณาจักรรักร่วมเพศของตน ไม่ขึ้นกับใครอีกต่อไป ส่วนด้านคุณหลวง สิ่งเดียวที่ยังยืนยันได้ว่ายังมีชีวิตอยู่นั่นก็คือ คุณหลวงยังคงมีลมหายใจแต่ก็ไม่สามารถกลับไปเป็นอย่างเก่า ได้แต่นอนอยู่บนเตียงเท่านั้น และคุณหลวงกับจันก็ยังคงต้องใช้หนี้กรรมในการเป็นกระจกเงาสะท้อนซึ่งกันและกัน และต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันต่อไป หลังจากนั้นจันก็ได้เฉลยถึงพ่อที่แท้จริงของเขา ว่าเป็นใครมาจากไหน ซึ่งแท้จริงแล้วเขาก็ไม่สามารถบอกได้ว่าพ่อของเขาเป็นใคร เพราะว่าแม่ของเขาถูกข่มขืนด้วยชายหลายคน จนจันเองก็ไม่อาจรู้ได้ว่าชายที่ข่มขืนแม่ของเขานั้น คนไหนคือพ่อที่แท้จริงของเขา และนี่ก็เป็นการปิดเรื่องจัน ดาราในท้ายที่สุด
สัญลักษณ์สำคัญที่เป็นเอกภาพของเรื่องจัน ดารา คือ แหวนทองที่จันนำมาใส่สร้อยคล้องคอเอาไว้กับตัว เพื่อเป็นการระลึกถึงแม่ เนื่องจากแหวนทองเป็นสิ่งเดียวของแม่ ที่จันได้พกติดตัว พร้อมกับมีความเชื่อลึกๆว่า ตัวของเขาจะไม่มีวันเป็นและทำอย่างคุณหลวง นั่นคือ ร่วมสังวาสกับผู้หญิงต่อหน้าแม่ของตนเอง ในที่นี้ต่อหน้าแม่ของจันเอง จันได้หมายความถึงภาพของแม่ที่แขวนอยู่บนฝาผนังในห้องหนังสือ ที่คุณหลวงได้ร่วมสังวาสกับสาวใช้บ่อยครั้ง แต่ในท้ายที่สุดเขาก็ได้ค้นพบตัวเองว่า เขาเองก็ไม่ต่างกับคุณหลวง และอาจจะเลวกว่าด้วยซ้ำ เพราะในวันแต่งงานของเขากับคุณแก้ว จันก็ได้ร่วมสังวาสกับสาวใช้ ต่อหน้ารูปภาพแม่ของตนเอง โดยที่เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจ ในระหว่างนั้นเองแหวนทองที่จันนำมาใส่สร้อยคล้องคอไว้ก็ได้ขาดสะบั้นลงและจันเองก็ไม่สามารถหาแหวนวงนั้นพบอีก นั่นจึงเป็นการอุปมาว่า ความเชื่อ และความมั่นใจในตนเองของจันเกี่ยวกับเรื่องที่เขาไม่มีวันเหมือนคุณหลวงนั้น ได้ขาดสะบั้นลงไปพร้อมๆกับสร้อยคล้องคอนั่นเอง
ภาพยนต์เรื่อง จัน ดารา นี้ มีเจตนาที่จะหวังตีแผ่เรื่องราวด้านมืดในจิตใจมนุษย์ ที่ถูกหล่อหลอมขึ้นมาด้วยกิเลสตัณหา โดยอาศัยพฤติกรรมและความขัดแย้งของตัวละครเป็นตัวนำเสนอและตีแผ่เรื่องราวในชีวิตของตัวละครเหล่านี้ เพื่อให้ง่ายแก่การเข้าใจมากยิ่งขึ้น
สิ่งที่ข้าพเจ้าชื่นชอบมากที่สุดหลังจากได้ดูภาพยนต์เรื่องจัน ดารา คือ เสียงเพลงประกอบภาพยนต์และภาพที่มีสีแบบคลาสสิค เสียงเพลงประกอบภาพยนต์ เป็นตัวช่วยกระตุ้นอารมณ์ของผู้ชมให้มีความรู้สึกเหงา โดดเดี่ยว อ้างว้าง และพริ้วไหวไปตามตัวละครได้เป็นอย่างดี ทำให้ได้ถึงแก่นอารมณ์ของตัวละครว่า ตัวละครนี้มีความเศร้ามากเพียงไร และกำลังมีความรู้สึกแบบไหน สังเกตุได้จาก พอตัวละครเอกพูดถึงเรื่องความรันทดและความอัปปรีย์ของชาติกำเนิดตัวเอง รวมไปถึงความรู้สึกถวิลหามารดาอันเป็นที่รัก เสียงเพลงประกอบภาพยนต์ก็จะมีจังหวะเศร้าตามไปด้วย ทำให้ผู้ชมเข้าใจถึงสถานะ บทบาท รวมไปถึงความรู้สึกของตัวละครเอกที่มีต่อเหตุการณ์นั้นๆ
สีของภาพก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้ข้าพเจ้าดูภาพยนตร์แล้วรู้สึกไม่ขัดแย้งกับความเป็นจริง ที่ต้องการนำเสนอเรื่องราวของคนในยุคนั้น สีของภาพที่ออกแนวคลาสสิคให้ความรู้สึกกลมกลืน ดูแล้วสบายตา อีกทั้งยังแฝงด้วยอารมณ์เศร้า เพราะสีของภาพจะออกแนวเป็น สีส้มอมเหลือง ซึ่งเป็นสีที่ทำให้เกิดอารมณ์หดหู่ และชวนให้คิดถึงบรรยากาศของเรื่องที่ผลสรุปต้องออกมาเป็นแนวโศกนาฏกรรมสำหรับตัวข้าพเจ้าเองนั้น ข้าพเจ้ามีความคิดว่า ภาพยนตร์เรื่องจัน ดารา นั้น เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องที่ควรค่าแก่การรับชม เนื่องจากมีโอกาสไม่มากนักที่ผู้กำกับหรือใครสักคนหนึ่ง จะกล้านำเรื่องราวเหล่านี้มาตีแผ่ให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของคนในสังคม ในขณะที่สังคมของเราเป็นเช่นนี้ กล่าวคือ มักมีพวกมือถือสากปากถือศีลอยู่เต็มไปหมด และคนในสังคมมักไม่ยอมรับความเป็นจริง นอกจากภาพยนต์เรื่องนี้จะสอนให้เรารู้จักที่จะหันมาดูตัวเอง และมีการยับยั้งชั่งใจในเรื่องกิเลสตัณหาแล้ว ยังสอนให้รู้อีกด้วยว่า ในตัวของมนุษย์ทุกคนย่อมมีด้านมืดด้วยกันทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่าใครจะรู้จักยับยั้งและปล่อยให้ด้านมืดนั้นออกมาทำลายตนเองมากหรือน้อยแค่ไหน และที่สำคัญที่สุดคือภาพยนต์เรื่องนี้ถือเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับผู้ชม เนื่องจากเราสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนใจ ไม่ให้หลงไปมัวเมากับกิเลสตัณหา เนื่องจากเรารู้แล้วว่า ถ้าเราหลงไปมัวเมากับมันแล้ว ผลที่ได้รับตามมานั้นมีจุดจบเช่น

Heaven before I die หนุ่มก๊องสติเฟื่อง


สิทธิเดช ภาคสกุณี

05490409


เป็นเรื่องราวของชายหนุ่มชาวอิสราเอลที่ชื่อว่า “จาคอป” เขามีความพิการทางขา คือ ลักษณะเหมือนชาร์ลี แชปปลินทั้ง 2 ข้างมาตั้งแต่กำเนิด เขาสูญเสียกำลังใจและเบื่อหน่ายกับสิ่งซ้ำซากที่ย่างกรายเข้ามาในชีวิต คลวามหวังที่จะเป็นคนปกติได้เป็นแรงบันดาลใจให้เขาเดินทางเข้าสู่เมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดา ในการตามหาชีวิตและดำเนินความฝันของตนเอง เริ่มต้นด้วยการอยู่กับกลุ่มโจรกรรมตู้เอทีเอ็มที่ทำให้เขาได้ค้นพบปรัชญาแห่งการดำรงชีวิตเขาก็คิดว่าทุกวันของเขามีความสุขดีอยู่แล้ว “ชารีฟ” หัวหน้ากลุ่มโจรพยายามให้เขาได้สัญชาติแคนาดาด้วยการจะให้แต่งงานกับ “โมน่า” ลูกสาวของเพื่อนชารีฟแต่ไม่สำเร็จ จนกระทั่งพรหมลิขิตชักนำชีวิตอันโดดเดี่ยวเดียวดายให้พบกับพนักงานเสิร์ฟสาวแสนสวยที่คอยช่วยหาตัวตนที่แท้จริง และสอนให้เขาเรียนรู้เรื่องราวของ ชาลี แชปปลิน ต้นตำรับราชาตลกระดับโลกที่ทำให้เขาได้ค้นพบแบบอย่างของหนทางแห่งความสำเร็จที่น่าติดตาม แล้วเขาก็กระทำจนประสบความสำเร็จ เขาโด่งดังไปทั่วอเมริกาเหนือ วันหนึ่งเขาได้พูดคุยกับนักปรัชญา ทำให้เขาเปลี่ยนทัศนคติเดิม ปลดเปลื้องชีวิตแห่งความทุกข์เดิมๆ แล้วเริ่มต้นชีวิตแบบใหม่
การเปิดเรื่อง ของเรื่องนี้เริ่มต้นด้วยการบรรยายประวัติชีวิตของจาคอปและครอบครัวของเขา การใช้ชีวิตอย่างคนพิการตั้งแต่เล็กจนโตของเขาทำให้เหมือนกับว่าเขามีปมอยู่ตลอด
ต่อมา เหตุการณ์เริ่มพัฒนา เมื่อจาคอปผิดหวังจาก “ นอร่า ” กวีหญิงผู้เป็นรักแรกของเขา ทำให้เขามีทัศนคติแง่ลบกับบทกวีจากคำพูดหนึ่งของจาคอปที่ว่า “ ผมเกลียดบทกลอน ” และนั่นน่าจะรวมถึงการมีอคติกับความงามทางศิลปะทั้งหลายด้วย ไม่นานก็เกิดสงครามภายในประเทศขึ้น เขาเดินไปเรื่อยๆบนสองข้างทางเต็มไปด้วยความแห้งแล้งของแมกไม้พร้อมกับบ่นพึมพำความรู้สึกตนเองที่มีต่อสภาพแวดล้อม
จุดสงสัย อยู่ที่เหตุการณ์ดำเนินมาจนกระทั่งเขาเดินมาถึงร่มไม้ที่มิชชันนรีกำลังสอนชาวบ้าน จาคอปได้ยินคำพูดว่าควรจะไปที่แคนนาดา ดินแดนอันเปรียบดังสรวงสวรรค์ และนั่นเป็นจุดประกายความคิดที่เขาปรารถนาจะเดินทางไปสู่แคนาดา
ความขัดแย้ง มีหลายลักษณะที่ปรากฏในเรื่องนี้ ในการที่จาคอปกับนอร่าและบทกลอนของเธอ, การที่พ่อของโมน่าเห็นว่าจาคอปเป็นคนไม่มีหัวนอนปลายเท้าก็ถือเป็นความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ความพิการที่ทำให้คนล้อเลียนจาคอปจนเขาไม่พอใจ, การที่จาคอปไม่พอใจสหประชาชาติที่ให้ความช่วยเหลือเขาไม่ได้, ความเอือมระอาในสงครามกลางเมือง, การที่จาคอปเพิ่งรู้ว่าโลกที่เขาอยู่นี้มีนักแสดงอย่างชาลี แชปปลินจนทำให้เขาคิดว่าคนที่ดินแดนแห่งสวรรค์นี้ก็ไม่ต่างอะไรจากพวกที่ชอบล้อเลียนเขาที่อิสราเอลก็จัดเป็นความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับสังคม การที่เขาไม่พอใจในสภาพบ้านเมืองหลังสงครามที่อิสราเอลก็เป็นความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ
จุดวิกฤต สืบเนื่องมาจากการที่ จาคอป อยู่ในกลุ่มโจรปล้นเอทีเอ็มทุกครั้ง จนเมื่อเขาถูกจับทั้งที่ยังเป็นคนผิดกฎหมาย แต่ ชารีฟ หัวหน้าโจรรอดไปได้ จุดแตกหักของปัญหา นี้ จบลงแล้วคลี่คลายตรงที่ศาลพิพากษาว่าจาคอปไม่น่าเป็นบุคคลที่เป็นภัยต่อประเทศ จนเมื่อเซลม่าสาวเสิร์ฟเพื่อนสนิทแนะนำให้เขาฝึกทำการแสดงข้างถนน จนมีแมวมองมาพบ แล้วมีผู้มาติดต่อให้ไปเล่นภาพยนตร์โฆษณาจนกลายเป็นคนโด่งดังและอีกเรื่องหนึ่งคือเมื่อจาคอปทราบข่าวการเสียชีวิตของพ่อผู้ที่เขาปรารถนาที่จะกลับไปหาอีกครั้งแล้ว ทำให้เขาหมดกำลังใจที่จะดำเนินความฝันของเขาต่อ แต่เซลม่าก็ได้ปลอบโยน แล้วชารีฟก็ได้ช่วยเป็นธุระติดต่อข้ามประเทศกับทางบ้านของจาคอปให้ จนทำให้เขามีกำลังใจที่จะดำเนินชีวิตต่อไป
เรื่องนี้ใช้ การจบเรื่องและการปิดเรื่อง โดยการที่จาคอปกลับไปที่หลุมศพของพ่อเขาเอง แล้วพูดคุยถึงความรู้สึกของเขา ทัศนคติใหม่ที่เปลี่ยนแปรจากอคติเดิม แล้วแสดงให้เห็นว่า จาคอปไม่มีอคติกับศิลปะต่อไปจากการที่เขาร่วมเต้นรำกับนักวิโอล่าที่ผ่านมาที่หลุมศพและทำการบรรเลงเพลงอยู่
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างแฝงการตีความอยู่ ในเรื่องการใช้สีจะเห็นได้จากการแต่งกายของตัวละคร จะเห็นได้จาก
- จาคอป ใส่แต่เสื้อผ้าสีขาวกับดำ ซึ่งน่าจะหมายถึงคนที่ไม่มีสีสัน ใช้ชีวิตอยู่อย่างอมทุกข์
- ชารีฟ มักจะใส่เสื้อผ้าสีน้ำเงินเสมอ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นคนโอบอ้อมอารี อาจารย์เคยกล่าวไว้ว่าคนใส่เสื้อผ้าสีนี้มักเป็นคนเรียบง่าย มนุษยสัมพันธ์ดี ซึ่งก็ตรงกับชารีฟ ทั้งยังสื่อได้ถึงความร่มเย็นที่เขามีให้ต่อจาคอปอีกด้วย
- ส่วนพ่อของโมน่า ออกเพียงฉากเดียวแต่ทำให้เห็นว่า คนที่ไม่สนใจความเป็นไปของบ้านเมือง รักความสงบและบันเทิง จากคำพูดของเขาตอนที่ชารีฟแนะนำตัวที่ว่า “ ผมเกลียดการเมือง อย่ามาพูดเรื่องการเมืองในบ้านผม ” ซึ่งแทนด้วยการใส่เสื้อสีเหลืองสว่างลายดอกพร้อย
นอกจากนี้ยังมีส่วนที่ใช้การแสดงสัญลักษณ์ด้วยฉาก เห็นได้จากตอนที่นอร่ากล่าวตัดสัมพันธ์จาคอป
ระหว่างทางที่เขาเดินทางนั้นเต็มไปด้วยต้นหญ้าอันเหี่ยวแห้ง ภูเขาที่พรุนไปด้วยรอยกระสุนอยู่รอบข้าง ซึ่งเป็นสื่อแทนความหมายของความหมดสิ้นทุกอย่างในชีวิตของเขาแล้ว แต่เมื่อเขามาพบมิชชันนรี ซึ่งสอนชาวบ้านนั้น บริเวณรอบข้างต็มไปด้วยร่มไม้อันเขียวชอุ่ม เสมือนแทนความหมายว่าชีวิตของเขากำลังจะงอกงามในไม่ช้า เป็นต้น
ความรู้สึกแรกก่อนที่จะชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ข้าพเจ้านึกว่าจะเป็นภาพยนตร์แนวตลกขบขัน เพราะเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่าชาลี แชปปลินเป็นดาวตลกระดับโลก แต่ด้วยเนื้อเรื่องแล้วข้าพเจ้ากลับเห็นว่าเป็นเรื่องที่ให้กำลังใจกับผู้ที่มีปมด้อย ให้สู้ฟันฝ่าอุปสรรคของตน ตามหาสิ่งที่ตนปรารถนาและใฝ่ฝัน ทั้งยังเร้าให้ผู้ที่มีปัญหานั้นอย่าจมปลักอยู่กับสิ่งนั้น ลบอคติด้วยการสร้างทัศนคติที่ดี ทั้งยังแฝงไปด้วยคติอีกมากมาย นับเป็นภาพยนตร์ที่น่าดูเรื่องหนึ่งทีเดียว

เพื่อน...กูรักมึงว่ะ


สุกานดา นาคเล็ก

05490415

“เรื่องราวความรักของชายหนุ่มสองคนที่รักกัน แต่ไม่มีวันสมหวัง
ในความรัก นี่คือเรื่องราวของความรัก ที่แม้ไม่สมควรเกิด
แต่เมื่อมันพร้อมก็ไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้นได้”

เพื่อน...กูรักมึงว่ะ เป็นภาพยนตร์ไทยที่ออกฉายในเดือนกันยายน พ.ศ. 2550 ภาพยนตร์แนวโรแมนติก-ดราม่า ผลงานการกำกับของผู้กำกับ พจน์ อานนท์ เป็นภาพยนตร์ที่ได้รับเลือกให้เป็นหนังเปิดเทศกาลภาพยนตร์ “ Hong Kong Lesbian & Gay Film Festival ” ที่เกาะฮ่องกง เมื่อเดือนธันวาคม 2550 อีกทั้งยังได้รับคัดเลือกให้ไปฉายในเทศกาลภาพยนตร์ผู้สร้างอิสระ บรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ครั้งที่ 34 และได้รับรางวัลสูงสุด ( The Grand Award in all Categories )
เรื่องราวชีวิตและความรักระหว่างชายหนุ่มสองคนที่ชีวิตของทั้งคู่เป็นเหมือนเส้นขนานที่ไม่อาจวนมาบรรจบกันได้ แต่โชคชะตาก็ทำให้คนทั้งคู่โคจรมาพบกัน
เมฆ ชายหนุ่มผู้เคร่งขรึม พูดน้อย เขาไม่เคยรักใครและไม่คิดจะรักใคร นอกจากแม่และหมอกน้องชายคนเดียวของเขา เมฆไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง เขาอาศัยอยู่คนเดียวด้วยเหตุผลของเรื่องงาน งานที่ไม่มีความแน่นอน ทุกวินาทีของชีวิตเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย อาชีพของเขาไม่สมควรมีความรัก เมฆเป็นมือปืนรับจ้าง
วันหนึ่งเมฆได้รับคำสั่งภารกิจฆ่าชิ้นใหม่ เป้าหมายของเขาคือ อิฐ ชายหนุ่มหน้าตาดี มีฐานะ ว่าที่เจ้าบ่าวที่กำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับ ทราย แต่อิฐยังรู้สึกว่าชีวิตเหมือนยังขาดอะไรบางอย่างไป
เมฆเฝ้าติดตามอิฐทุกฝีก้าวเพื่อทำงานชิ้นนี้ให้สำเร็จ และด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้เมฆและอิฐได้มาพบกัน แต่การพบกันของทั้งสองไม่ใช่ภาพที่น่าประทับใจ เพราะเมฆได้รับบาดเจ็บจากการฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าที่ไม่ยอมฆ่าอิฐ แต่กลับช่วยเหลือเมื่อรู้ว่าอิฐเป็นคนดี จึงทำให้เมฆและอิฐถูกหัวหน้าของอิฐตามล่า ต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปหลบซ่อนยังที่พักของเมฆ ที่นี่เองที่ความรู้สึกดีๆของทั้งคู่ค่อยๆก่อตัวขึ้น อิฐคอยดูแลรักษาเมฆที่บาดเจ็บจนอาการดีขึ้น
จากความใกล้ชิดที่มีต่อกันก่อให้เกิดความรู้สึกบางอย่างลึกๆในใจของคนทั้งคู่ และภายหลังก็แปร เปลี่ยนมาเป็นความโหยหา แต่เมฆไม่อาจทำใจยอมรับความสัมพันธ์ที่อาจจะกลายเป็นสิ่งลึกซึ้งได้ และด้วยความสับสนในใจของตนเอง ทำให้เมฆพยายามหนีและหลบหน้าอิฐ ส่วนอิฐเองก็ออกตามหาเมฆอย่างไม่ละความพยายาม
ขณะนั้นเมฆก็ตัดสินใจที่จะกลับมาสะสางงานชิ้นสุดท้ายให้เสร็จ เพื่อที่จะพาแม่กับน้องที่ติดเอดส์จากพ่อเลี้ยงไปรักษาตัวและอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวอีกครั้ง แต่ทุกอย่างก็ไม่เป็นไปตามที่เมฆคาดหวังไว้ ภารกิจสุดท้าย ฆ่าหัวหน้าใหญ่และผู้ว่าจ้างได้สำเร็จ แต่เขาต้องสูญเสียแม่และน้องไป ส่วนตัวเองก็ถูกจับกุม
ทางด้านอิฐก็ได้แต่เฝ้ารอ รอวันที่จะได้พบกับเมฆอีกครั้ง และบอกความในใจให้เขารู้ก่อนที่จะสายเกินไป และแล้ววันที่ทั้งคู่ได้พบกันและน่าจะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ก็มาถึง เมฆได้รับอิสรภาพในปี 2575 โดยมีอิฐมารอรับที่หน้าเรือนจำ
เรื่องน่าจะจบลงอย่างมีความสุข แต่ทว่า โชคชะตาก็ย้อนกลับมาเล่นตลกกับความรักของคนทั้งคู่อีกครั้ง เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัดพร้อมๆกับร่างของเมฆก็ค่อยๆทรุดลงท่ามกลางสายฝนโปรยปรายและเสียงร้องเรียกของอิฐ

ประเด็นสำคัญของเรื่องคือ การถ่ายทอดเรื่องราวความรักระหว่างชายหนุ่มสองคนที่ไม่มีกฎเกณฑ์มาคั่นกลาง จบลงด้วยโศกนาฏกรรม
เริ่มเรื่องด้วยตัวละครเอกคือ เมฆ ถ่ายทอดชีวิตที่เร่งรีบและอาชีพในด้านมืดของเขาซึ่งก็คือมือปืนรับจ้าง
สะท้อนผ่านฉากและบรรยากาศที่ใช้โทนสีดำเป็นหลัก ภาพส่วนใหญ่ที่ถ่ายออกมาจะเป็นฉากตอนกลางคืน และแม้จะเป็นกลางวันก็ยังใช้ภาพโทนสีดำ ซึ่งบ่งบอกได้ถึงอารมณ์ ความรู้สึกของตัวละคร
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมี 2 ประเภท คือ
1. ความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ คือ เมฆ กับ หัวหน้า จากเหตุการณ์ที่เมฆไม่ยอมฆ่าอิฐ จึงทำให้ทั้งสองถูกหัวหน้าตามล่า
2. ความขัดแย้งภายในจิตใจของตัวละคร คือ เมฆ เกิดความสับสนไม่อาจทำใจยอมรับความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับอิฐได้ จึงพยายามหนีและหลบหน้าอิฐ

เพื่อน...กูรักมึงว่ะ เป็นหนังที่มีทั้งจุดเด่นและจุดด้อย จุดเด่นก็คือ การกำกับศิลป์ที่ใช้แสงสี และมุมกล้องได้สวยงาม ตัวอย่าง


ภาษาที่ใช้นั้นก็มีความไพเราะ เช่น ถ้าความรักทำให้คนหายเหงา ทำไมบางคนจึงปฏิเสธที่จะรัก หรือ เป็นเพราะผมรักคุณมากเกินไป ผมถึงได้เกลียดตัวเองนัก เป็นต้น การดำเนินเรื่องเป็นไปเรื่อยๆและมีดนตรีประกอบ ทำให้ผู้ชมดื่มด่ำและไม่รู้สึกเบื่อ จุดด้อยคือการยัดเยียดความโชคร้ายให้กับตัวละคร เช่น ตัวละคร หมอก เป็นโรคเอดส์ แม่ก็เป็น ทุกครั้งที่ออกจากบ้านหมอกก็ถูกวัยรุ่นแถวบ้านรุมซ้อม ต้องไปขายตัวเพื่อหาเงินมาซื้อข้าว มันเป็นชีวิตที่รันทดเกินไป เหมือนผู้สร้างพยายามสร้างให้ตัวละครทั้งสองนี้น่าสงสาร จนบางครั้งก็ทำให้ความสำคัญของตัวเอกลดลง
นอกจากนี้หนังยังสร้างคำถามให้กับผู้ชมอยู่ตลอด อย่างเมื่อเริ่มต้นเรื่อง ทำไมเมฆต้องฆ่าอิฐๆไปรู้ความลับอะไรมา แล้วอิฐเป็นตำรวจไหม? ตัวละครตัวนี้ไม่มีความชัดเจน อีกทั้งหนังเรื่องนี้ยังให้ความสำคัญและรายละเอียดของเรือนร่างผู้ชายมากเกินไป เกือบทุกฉากที่อิฐและเมฆอยู่ด้วยกัน ตัวละครทั้งสองมักจะใส่แค่กางเกงเพียงตัวเดียว ซึ่งอวดร่างกายท่อนบน มันก็ดี แต่มันมากเกิน
การแสดงความรักของเมฆและอิฐใช้สัญลักษณ์เป็นเหตุการณ์ฝนตก ฟ้าร้อง ที่แสดงถึงความปรารถนา ความโหยหาต่อกันอย่างมาก และสัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งก็คือ ขวดปลา ซึ่งเป็นของหมอกๆทำขวดแตกและนั่งมองปลาโชคร้ายตัวนั้น ซึ่งเหมือนกับชีวิตของตัวเองที่ต้องนั่งรอวันตาย
โดยภาพรวมแล้ว หนังเรื่องนี้ถือว่าเป็นหนังที่ดี ให้แง่คิดมุมมองการมองโลกโดยผ่านตัวละคร เป็นหนังที่ถ่ายทอดอารมณ์ความรักได้อย่างลึกซึ้งและกินใจ การรอคอยคนที่รักคือจุดหมายสูงสุดที่ต้องการ และความรักก็ทำให้คนเราอ่อนโยนได้
ดูหนังเรื่องนี้แล้ว ก็อย่าลืมดูแลคนที่คุณรักให้ดีๆ

A Series of unfortunate events อยากให้เรื่องนี้ไม่มีโชคร้าย


นางสาว หทัยวรรณ มณีวงษ์

05490444

อยากให้เรื่องนี้ไม่มีโชคร้าย
( A Series of unfortunate events)


“อยากให้เรื่องนี้ไม่มีโชคร้าย (A Series of unfortunate events)” เป็นภาพยนตร์ประเทศอังกฤษ แนวแฟนตาซี ผจญภัย ที่กำกับโดย Brad Silberling นำมาจากวรรณกรรมเยาวชนที่ได้รับความนิยมอย่างมากในทั่วโลก ถึงขนาดที่ว่าสามารถโค่นแชมป์อย่าง Harry Potter ให้ลงจากอันดับ 1 หนังสือขายดีได้ในสถิติหลายแห่งเลยทีเดียวแต่งขึ้นโดย แดเนียล แฮนด์เลอร์ ภายใต้นามปากกา Lemony snickets
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่แสดงถึงความโชคร้ายของ3พี่น้อง ที่ได้รับความโชคร้ายซ้ำแล้วซ้ำ เล่า จากจอมวายร้ายที่หวังจะครอบครองสมบัติของพวกเขา จนบางครั้งดูหนังเรื่องนี้มาก็พลางนึกอยู่ในใจเป็นประโยคเหมือนอย่างชื่อหนัง “อยากให้เรื่องนี้ไม่มีโชคร้าย”
เนื้อเรื่องได้กล่าวถึง 3 พี่น้องตระกูลโบดแลร์ คือ ไวโอเล็ต โบดแลร์ ,เคลาส์ โบดแลร์ และซันนี่ โบดแลร์ ได้รับข่าวร้ายอย่างกะทันหันว่าคฤหาสน์อันใหญ่โตของพวกเขาได้เกิดอุบัติเหตุถูกเพลิงไหม้และพ่อแม่ของพวกเขาก็ได้เสียชีวิตไปพร้อมกับคฤหาสน์หลังนั้นด้วย ทิ้งไว้เพียงกล้องส่องทางไกลอยู่ในโต๊ะทำงานของพ่อซึ่งเป็นปริศนากับพวกเขาว่าทำไมโต๊ะทำงานพ่อจึงมีกล้องส่องทางไกล
พวกเขาได้ถูกส่งไปอยู่กับญาติห่างๆหลายคน และคนแรกที่ใกล้ชิดที่สุดคือ เคาต์ โอลาฟ ซึ่งเป็นคนที่ชั่วร้ายมาก เคาต์ โอลาฟได้พยายามฆ่าเด็กทั้ง3 เพื่อหวังที่จะได้มรดกอันมากมายที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ แต่ในครั้งแรกเด็กๆรอดมาได้ และได้ย้ายไปอยู่กับคุณลุงมอนตี้แสนใจดีที่เป็นนักวิทยาศาสตร์วิจัยเกี่ยวกับงูมีพิษ และกำลังจะไปเปรูเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่โชคร้ายก็ตามมาหลอกหลอนเมื่อเคาต์ โอลาฟ ได้ปลอมตัวมาเป็นผู้ช่วยของลุงและฆ่าคุณลุงตายในคืนก่อนที่จะไปเปรู โดยสร้างหลักฐานให้เหมือนโดนงูกัดตาย ทำให้ไม่มีใครสามารถเอาผิดเขาได้
หลังจากนั้นเด็กๆก็ได้ถูกส่งให้ไปอยู่กับคุณป้าโซเฟียผู้แสนประหลาด เธอเป็นผู้ที่มีความหวาดระแวงในทุกเรื่องและเศร้าหมองอยู่กับการจากไปของคุณลุงไอซ์ผู้เป็นสามี และเมื่อทุกอย่างดูเหมือนจะลงตัวทุกคนกำลังจะมีชีวิตใหม่อีกครั้ง เคาต์ โอลาฟก็ได้เข้ามาสร้างความวุ่นวายอีก โดยวางแผนที่จะเป็นผู้ปกครองของเด็กๆและฆ่าป้าโซเฟียโดยปล่อยให้ปลิงทะเลกินอย่างเลือดเย็น แล้วเด็กๆก็ได้กลับมาอยู่กับโอลาฟผู้ใจร้ายอีกครั้ง
เมื่อโอลาฟเห็นว่าไม่มีทางที่จะฆ่าเด็กๆได้ จึงหาวิธีใหม่คือการจัดงานแต่งงานกับไวโอเล็ตและจดทะเบียนสมรส เพื่อจะได้มีสิทธิ์ในมรดกอันมหาศาลของ3พี่น้องนี้ เคาต์ โอลาฟได้วางแผนแกล้งจัดการแสดงละครขึ้นมาโดยเชิญผู้คนมาชมเพื่อเป็นสักขีพยานและเชิญทนายตัวจริงมาร่วมแสดงเพื่อหวังที่จะให้พิธีนี้ถูกต้องตามกฎหมาย และบังคับให้ไวโอเล็ตยอมจดทะเบียนสมรสโดยการจับซันนี่น้องสุดท้องไว้ในกรงและแขวนไว้บนหอคอยและขู่ว่าจะทิ้งซันนี่ลงมาถ้าไม่ยินยอม ในขณะที่กำลังแสดงอยู่นั้น เคลาส์ได้พยายามปีนขึ้นไปช่วยซันนี่บนหอคอย เมื่อไปถึงหอคอย เคลาส์เห็นแว่นขยายขนาดมหึมาอันหนึ่งตั้งอยู่ข้างหน้าต่างที่กำลังหันไปทางคฤหาสน์โบดแลร์และตรงกับแสงอาทิตย์เมื่อแสงอาทิตย์สาดแสงมา ทำให้เคลาส์ค้นพบอะไรบางอย่างว่าเพลิงไหม้ของคฤหาสน์โบดแลร์ต้องไม่ใช่อุบัติเหตุอย่างแน่นอน
ที่ข้างล่าง ไวโอเล็ตกำลังเซ็นต์ใบจดทะเบียนอย่างจนใจและพยายามประกาศให้ทุกคนในงานรู้ว่านี่เป็นแผนของโอลาฟที่หวังได้สมบัติจากเธอ โอลาฟลุกขึ้นสารภาพอย่างผู้ชนะพร้อมใบจดทะเบียนในมือ ขณะนั้นในจังหวะที่พระอาทิตย์ส่องลงมาที่แว่นขยายเคลาส์ก็หันแว่นไปตรงกระดาษใบนั้นความร้อนจากดวงอาทิตย์ทำให้เกิดไฟลุกไหม้กระดาษถูกทำลาย ทุกคนรู้ความจริงในความชั่วร้ายของโอลาฟ และสุดท้ายเรื่องมันควรจะจบที่เคาต์ โอลาฟถูกจับไปลงโทษ แต่เขาก็หนีการจับกุมไปได้ และเด็กๆก็ต้องดำเนินชีวิตต่อไปพร้อมกับจดหมายและกล้องส่องทางไกลซึ่งเป็นสิ่งสุดท้ายที่พ่อแม่ได้ทิ้งไว้ให้
สำหรับการเริ่มเรื่อง มีลักษณะเป็นการเล่าเรื่องโดยจะเริ่มด้วยผู้แต่งกำลังนั่งพิมพ์พร้อมกับเล่าแนะนำตัวละครสำคัญและลักษณะพิเศษของตัวละครแต่ละตัว เพื่อให้ผู้ชมได้รู้จักตัวละคร และตามด้วยการเล่าเหตุการณ์ที่เป็นต้นเหตุของความโชคร้ายของเรื่องพร้อมมีปมปริศนาเล็กๆ เพื่อให้ผู้ชมได้ติดตามและคาดเดาไปพร้อมกับตัวละคร เช่น คฤหาสน์ถูกเพลิงไหม้หมด เหลือเพียงกล้องส่องทางไกลในโต๊ะทำงานของพ่อ ทำให้เราเริ่มสงสัยไปกับตัวละครแล้วว่า ทำไมในโต๊ะทำงานต้องมีกล้องส่งทางไกล
และได้สร้างความตื่นเต้นเร้าใจมากขึ้นเมื่อตัวละครเจอกับเรื่องที่เกือบเอาชีวิตไม่รอดหรือกำลังจะเจอหลักฐานสำคัญก็เกิดเรื่องขึ้นอีกทำให้ผู้ชมลุ้นและตื่นเต้นว่าเหตุการณ์ต่อไปจะเป็นอย่างไร
ลักษณะการดำเนินเรื่องก็จะมีภาพที่ผู้แต่งกำลังนั่งพิมพ์และเล่าเรื่องเป็นระยะ โดยเฉพาะฉากที่งูอสรพิษกำลังจะเข้ามาหาซันนี่โดยใช้เสียงและภาพที่น่าตื่นเต้นตกใจว่าซันนี่จะโดนงูกัดหรือไม่ ฉากก็ตัดไปที่ผู้แต่งโดยฉับพลัน ทำให้ผู้ชมลุ้นว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร
ฉากในภาพยนตร์จะเน้นสีสัน เป็นภาพที่เหมือนภาพเขียนการ์ตูนและใส่เอฟเฟคเข้าไปในภาพมากมายทำให้ภาพดูสวย น่าสนใจ เพิ่มอรรถรสในการชม
ความขัดแย้งในภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ เห็นได้จากการที่
เคาต์ โอลาฟต้องการสมบัติของตระกูลโบดแลร์ซึ่งไม่ใช่สมบัติของตน และพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้ครอบครองสมบัติ แม้จะเป็นการฆ่าผู้อื่นเพื่อไม่ให้มีใครขวางทางการได้ครอบครองสมบัติของตน
สิ่งที่ผู้ชมได้รับจากภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้แก่ข้อคิดที่ว่า สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นโชคร้าย จริงๆแล้วคือก้าวแรกของชีวิต เห็นได้จากตอนจบของเรื่องคือ พ่อแม่ได้ทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งไว้เพื่อให้กำลังใจและให้คติเตือนใจลูกๆก่อนที่จะเกิดเรื่องว่าให้พี่น้องมีความรักและสามัคคีกันไม่ทิ้งกัน และอีกอย่างคือกล้องส่องทางไกล ซึ่งถ้าผู้ชมสังเกตดีๆกล้องส่องทางไกลจะมีนัยสำคัญ2 ประการคือ กล้องส่องทางไกลเป็นแว่นขยาย และเคลาส์ก็รู้เหตุเพลิงไหม้ของคฤหาสน์ว่าไม่ใช่อุบัติเหตุแต่เป็นเพราะฝีมือของเคาต์โอลาฟ จากแว่นขยายขนาดมหึมาของโอลาฟบนหอคอย ที่เมื่อตั้งตรงกับแสงอาทิตย์แล้วส่องมาที่คฤหาสน์จะทำให้เกิดความร้อนและเป็นเพลิงลุกไหม้ได้
และนัยสำคัญอีกประการหนึ่งคือ เป็นสิ่งที่พ่อแม่ของเด็กทั้ง 3 ใช้เตือนใจลูกๆว่า คนเราต้องรู้จักมองให้ไกล อย่าคิดว่าปัญหาหรือสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่แย่ที่สุดในชีวิต แต่ชีวิตของคนเราต้องเดินทางไปอีกยาวไกล ดังนั้นหนทางข้างหน้าอาจจะมีเรื่องราวอีกมากมาย ขอแค่เราอยากท้อแท้กับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่จงเก็บไว้เป็นบทเรียนและประสบการณ์ในการดำเนินชีวิตต่อไป
และข้อคิดเตือนใจอีกข้อหนึ่งก็คือ “บางครั้งโลกก็ดูร้ายกาจ น่ากลัว แต่เชื่อเถอะว่าสิ่งดีๆต้องมากกว่าสิ่งเลวๆเสมอ”

The devil wears Prada


นายสมัชญ์ โสขุมา
05490218


แอนเดียร์ แซก หญิงสาวธรรมดาที่ไม่เคยใส่ใจกับเรื่องของความสวยความงามและการแต่งตัวเธอมีความฝันที่อยากจะเป็นนักข่าวโดยแลกกลับการสละสิทธิรับทุนเพื่อไปเรียนต่อทางด้านกฎหมายหลังจากที่เธอเรียนจบแล้วที่มหาวิทยาลัย Northwestern University เธอมีผลงานมากมายเคยชนะเลิศการประกวดการเขียนข่าวระดับชาติ และเคยเป็น บ.ก. บริหารของมหาวิทยาลัย ดังนั้นเธอจึงได้ออกมาหางานทำโดยอาศัยอยู่กับแฟนหนุ่มของเธอที่ชื่อ เน็ท เขามีอาชีพเป็นผู้ช่วยพ่อครัวอยู่ในร้านอาหารเล็กๆ
วันหนึ่งเธอได้รับการตอบรับให้ไปสัมภาษณ์งานที่บริษัทหนังสือนิตยาสารแฟร์ชั่นชื่อดังของอเมริกาชื่อว่า Runway ซึ่งเธอไม่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้มาก่อนเลยในชีวิตแต่เธอถูกรับเลือกให้ทำงานในตำแหน่งให้เป็นเลขาอันดับที่ 2 ของ มิรันด้า พรีสลีย์ บ.ก.ชื่อดังผู้มีนิสัยแปลกประหลาดเอาใจยากไม่เคยยิ้มให้ใครเลยแต่มีความสามารถในการการทำงานสูงและไม่มีใครที่ไม่รู้จักเธอ เอมิรี่ เลขาอันดับ 1ของมิรันด้า คอยฝึกสอนงานและใช้ แอนเดียร์ ต่ออีกทีหนึ่งเธอให้ความสนใจกับงานแสดงแฟร์ชั่นที่ปารีสมากเพราะกำลังจะมาถึงและเธอก็เป็นผู้ที่ถูกเลือกให้ไปดูงานกับ มิรันด้า ด้วย แอนเดียร์ ต้องฟังคำเย้ยหยั้นของ มิรันด้าที่ดูถูกว่าเธอทำงานไม่เป็นรวมถึงเพื่อนร่วมงานและ เอมิรี่ มองเธอว่าเป็นคนแต่งตัวไม่เป็นและล้าสมัยอยู่เสมอเธอจึงมีทัศนะคติที่ไม่ดีต่อ
มิรันด้า เป็นอย่างมากดังนั้นจึงทำให้เธอตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองจากการที่เธอไม่เคยที่จะต้องใส่ใจในการดูแลตัวเองและความทันสมัยของวงการแฟร์ชั่นกลับทำให้เธอต้องรู้จักที่จะต้องเรียนรู้กับเรื่องเหล่านี้เพื่อให้อยู่รอดได้ในบริษัทและไม่ให้ถูกไล่ออกเพื่อความใฝ่ฝันของเธอที่อยากจะเป็นนักข่าวงานนี้จึงเรียกได้ว่าเป็นบันไดเพื่อไปสู่จุดมุ่งหมายของเธอ แอนเดียร์ ได้ให้
ไนเจล หัวหน้าฝ่ายออกแบบและดูแลเนื้อหาบรรณาธิการ ผู้ที่ มิรันด้า ได้ให้ความไว้วางใจและอยู่ร่วมกันมาตั้งแต่เริ่มมาบริหารงานที่บริษัทนี้ช่วยเหลือเพราะ ไนเจล รู้และเข้าใจทุกอย่างเกี่ยวกับในสิ่งที่มิรันด้า ชอบและเกลียด เธอปฏิวัติเปลี่ยนแปลงโฉมตัวเอง ทั้งเสื้อผ้าการแต่งตัว,ของใช้และนิสัยในการทำงานเพื่อเอาชนะใจ มิรันด้า ให้ได้จนในที่สุดเธอก็กลายเป็นผู้ช่วยหมายเลข 1ของ มิรันด้า แทน เอมีรี่ เธอได้ทำงานอยู่ในวงการแฟร์ชั่นและได้พบกับนักเขียนต่างๆมากมายที่เธอชื่นชอบและหนึ่งในนั้นก็คือ คริสเตียน ทอมสัน หนุ่มใหญ่แห่งวงการนักเขียนที่เลื่องชื่อเขาได้ตามจีบ แอนเดียร์ มาตลอดแต่เธอนั้นก็ไม่ได้ให้ความใส่ใจกับเขาแต่อย่างใด
อุปสรรคของ แอนเดียร์ ก็ยังไม่หมดไปแต่อย่างใดเธอกลับต้องพบกับการกลั่นแกล้ง ของ
มิรันด้า อีกครั้งหนึ่ง เพราะการที่เธอเข้าไปอยู่ผิดที่ผิดเวลาในขณะที่ มิรันด้า กำลังทะเลาะกับสามีคนที่ 2 ของเธอ มิรันด้า รู้สึกอับอายและไม่ชอบให้ใครรู้เรื่องส่วนตัวที่ล้มเหลวของเธอซึ่งตรงกับข้ามกับชีวิตการทำงานที่มีแต่ประสบความสำเร็จอย่างมากมายเธอสั่งให้ แอนเดียร์ไปหาหนังสือ แฮร์รี่ พอตเตอร์ เล่มล่าสุดที่กำลังจะตีพิมพ์ใหม่เตรียมตัวออกวางขายในปีหน้าให้กับลูกแฝดของเธอซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะทำได้เลยทำให้ แอนเดียร์ไม่ชอบ มิรันด้า มากขึ้นไปอีก แอนเดียร์จนหนทางและคิดว่าตัวเองต้องถูกไล่ออกอย่างแน่นอนแต่ในที่สุดแล้วก็ได้ให้ คริสเตียน ทอมสันช่วยเหลือ เขาหาหนังสือ แฮร์รี่ พอตเตอร์มาให้ได้ทันเวลาจึงทำให้ มิรันด้า ทึ่งในความสามารถของ แอนเดียร์ และกลับไว้ใจให้เธอทำงานมากยิ่งขึ้นและสอนการทำงานให้กับ แอนเดียร์ หลายอย่างเธอได้พา แอนเดียร์ออกงานบ่อยครั้งขึ้นและมีอยู่ครั้งหนึ่งซึ่งเป็นงานการกุศลของบริษัทซึ่งเป็นวันที่ตรงกับวันเกิดของของ เน็ท แอนเดียร์ ปลีกตัวออกมาจากงานไม่ได้เธอเลยมางานวันเกิดของแฟนหนุ่มสายจนทุกคนกลับไปหมดแล้วเหตุการณ์นี้กลับทำให้ความสัมพันธ์ของเธอและแฟนหนุ่มห่างเหินกันมากขึ้น ในขณะที่การงานของ แอนเดียร์ กลับดีขึ้นเรื่อยๆ แฟนหนุ่มของเธอก็กลายเป็นคนไกลตัวมากขึ้นตามกันและเมื่อวันที่สำคัญของบริษัท Runway มาถึงการที่ แอนเดียร์ถูกเลือกให้ไปดูงานแสดงแฟร์ชันที่ปารีสแทน เอมิรี่ ที่ป่วยอยู่เธอขัดแย้งกับความรู้สึกเป็นอย่างมากเพราะ เอมิรี่ต้องการจะไปงานนี้ตั้งแต่แรกแล้ว มิรันด้า ให้แอนเดียร์ ไปบอกกับ เอมิรี่ ว่า เธอให้แอนเดียร์ไปแทนแล้ว แอนเดียร์ลำบากใจเป็นอย่างมากแต่ด้วยปฏิเสธกับ มิรันด้า ไม่ได้เธอก็ต้องไปในที่สุดและบอกกับ เอมิรี่ อย่างเศร้าใจแต่การเปลี่ยนแปลงตัวเองและการไปปารีสในครั้งนี้กลับทำให้ แอนเดียร์ ต้องสูญเสียกับสิ่งที่เธอรักไปคือ เน็ท แฟนหนุ่มของเธอและที่สำคัญคือความเป็นตัวเองของเธอที่ถูกครอบงำโดยด้วยชุดสวยๆและสังคมที่ไฮโซ เน็ท กับแอนเดียร์ ทะเลาะกันและขอแยกกันอยู่สักพัก การไปปารีสของแอนเดียร์จึงเป็นช่วงเวลาที่จะใช้คิดทบทวนว่าสาเหตุของปัญหานั้นคืออะไรเธอตัดสินใจลองคบกับ คริสเตียน ทอมสัน แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ใช่คนที่เธอต้องการ เหตุการณ์สำคัญอีกเรื่องก็เกิดขึ้นขณะที่ แอนเดียร์ อยู่ที่ฝรั่งเศส คือ ผู้บริหารสูงสุดของ Runway มีนโยบายเปลี่ยนแปลงผู้บริหารโดยจะปลด มิรันด้า พรีสลี่ย์ ออกและให้ แจ็กกาลีน ฟรอเรส มาทำงานแทน แอนเดียร์ รู้มาจาก คริสเตียน ทอมสัน ที่จะมาทำงานในส่วนของบรรณาธิการการเขียนใน Runway ที่จะเปลี่ยนแปลงผู้บริหารใหม่ด้วยเธอจึงพยายามที่จะเตือน มิรันด้า แต่ มิรันด้า กับทำเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อการแถลงงานเกิดขึ้น มิรันด้า ได้ชิงลงมือปรับเปลี่ยนตำแหน่งใน Runway ก่อนโดยปลด ไนเจลไม่ให้ไปรับตำแหน่งหุ้นส่วนของ บริษัท James Hope โดยให้ แจ็กกาลีน ไปแทน ทั้งๆที่ ไนเจล เป็นเพื่อนที่สนิทและ มิรันด้า เองก็เป็นผู้ติดต่อให้ไนเจลได้ไปทำงานตำแหน่งนี้อยู่ก่อนแล้วจุดนี้ แอนเดียไม่เข้าใจ หลังจากที่งานเลิก มิรันด้า ได้นั่งรถกลับไปพร้อม แอนเดียร์ เธอบอกกับแอนเดียร์ว่า เธอรู้ซาบซึ้งในการพยายามที่จะมาเตือนแต่เธอรู้มาก่อนล่วงหน้านี้แล้วและนี้คือทางออกที่ดีที่เธอเตรียมเอาไว้แล้ว มิรันด้า ยิ้มและพูดกับ แอนเดียร์ต่อว่าเธอมอง แอนเดียร์ ว่าคล้ายกับเธอมาก แต่แอนเดียร์ก็ตอบกลับมาว่า เธอไม่เหมือนกับมิรันด้าเลยเพราะเธอจะไม่เลือกวิธีในการแก้ปัญหาโดยใช้ ไนเจล เป็นทางออกอย่างนั้น มิรันด้าก็ตอบกลับมาว่าเธอได้ทำไปแล้ว เพราะเธอเลือกที่มาดูงานที่ปารีสแทนเพื่อน คือ เอมิรี่ เพื่อความก้าวหน้าแต่แอนเดียร์ ก็พูดอะไรไม่ออกเพราะเป็นสิ่งที่เธอเลือกทำลงไปจริงแม้ว่าจะไม่มีทางเลือกก็ตาม เธอเสียใจและตัดสินใจคิดทบทวนก่อนที่จะเดินออกมาจากรถของ มิรันด้าทันที เพราะเธอพึ่งจะเข้าใจว่าทั้งหมดนั้นปัญหาคืออะไรสิ่งที่เป็นตัวเธอทั้งหมดคืออะไรและเธอก็กลับไปหาแฟนหนุ่มที่อเมริกาและไปสมัครงานใหม่ที่โรงพิมพ์เล็กๆแทนในตอนสุดท้าย

……………………………

Plot (โครงเรื่อง) ประกอบด้วย
1. การเปิดเรื่อง
เริ่มจาการการนำผู้หญิงมา 2 กลุ่มซึ่งนั่นก็คือ นางเอก และอีกกลุ่มก็คือผู้หญิงที่ทำงานในตัวเมือง มาแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตที่แตกต่าง ในการตื่นนอน อาบน้ำ การแต่งตัว เสื้อผ้า และการกินอาหารให้เห็นถึงความแตกต่างโดยเน้นที่นางเอกจะเป็นคนที่ไม่ค่อยใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องการแต่งตัว และเสื้อผ้า เครื่องประดับ ซึ่งจะแตกต่างกับกลุ่มผู้หญิงที่นำมาเสนอให้เห็นถึงการเปรียบเทียบระหว่างคน 2 ประเภท

2. เหตุการณ์เริ่มพัฒนา
แอนเดียร์ ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองจากการที่เธอไม่เคยที่จะต้องใส่ใจในการดูแลตัวเองและความทันสมัยของวงการแฟร์ชั่นกลับทำให้เธอต้องรู้จักเรียนรู้กับเรื่องเหล่านี้เพื่อให้อยู่รอดได้ในบริษัทและไม่ให้ถูกไล่ออกและ เพื่อความใฝ่ฝันของเธอที่อยากจะเป็นนักข่าวงานนี้จึงเรียกได้ว่าเป็นบันไดเพื่อไปสู่จุดมุ่งหมายโดยให้ ไนเจล ผู้ที่ มิรันด้า ได้ให้ความไว้วางใจช่วยเหลือ

3. จุดสงสัย <>
แอนเดียร์ใช้เวลาในช่วงการไปปารีสคิดทบทวนดูว่าอะไรคือสาเหตุของปัญหาที่ทำให้เธอกับแฟนหนุ่มต้องห่างกัน

4.ความขัดแย้ง <>
มิรันด้า ยิ้มและพูดกับ แอนเดียร์ต่อว่าเธอมอง แอนเดียร์ ว่าคล้ายกับเธอมาก แต่แอนเดียร์ก็ตอบกลับมาว่า เธอไม่เหมือนกับมิรันด้าเพราะเธอจะไม่เลือกวิธีในการแก้ปัญหาโดยใช้ ไนเจล เป็นทางออกอย่างนั้น มิรันด้าก็บอกว่าเธอได้ทำไปแล้ว เพราะเธอเลือกที่มาดูงานที่ปารีสแทนเพื่อน คือ เอมิรี่ เพื่อความก้าวหน้า



5. จุดวิกฤติ <>
แอนเดียร์ ก็พูดอะไรไม่ออกเพราะเป็นสิ่งที่เธอเลือกทำลงไปจริงๆแม้ว่าจะไม่มีทางเลือกก็ตาม เธอเลือกแย่งการมาดูงานที่ปารีสจาก เอมิรี่ เธอฟัง มิรันด้าพูดอย่างไม่สามารถโต้เถียงได้

6.จุดไคลแม็กซ์ <>
เธอตัดสินใจเดินลงมาจากรถของ มิรันด้า ทันทีเพราะเธอพึ่งจะเข้าใจว่าทั้งหมดนั้นปัญหาคืออะไรสิ่งที่เป็นตัวเธอทั้งหมดคืออะไรและเธอก็กลับไปหาแฟนหนุ่มที่อเมริกาและไปสมัครงานที่โรงพิมพ์เล็กๆแทนในตอนสุดท้าย

7. การปิดเรื่อง
แอนเดียร์ เดิน มาตามถนนหลังจากที่เธอไปสมัครงานที่ใหม่เธอเจอ กับ มิรันด้า โดยบังเอิญ ซึ่งอยู่ อีกฝั่งด้านหนึ่ง เธอหยุดมองและคิดถึงสิ่งเธอได้จากการทำงานตอนอยู่ที่ Runway มิรันด้า ก็หันหน้าพอดีเธอมอง แอนเดียร์ ด้วยสายตา แข็งกระด้างผ่านแว่นตากันแดด แอนเดียร์ก็โบกมือให้ส่วน มิรันด้านั้นไม่สนใจอะไรกลับขึ้นรถไปในทันทีและนั่งคิดอยู่สักครู่ก่อนที่จะยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่ไม่มีใครเคยเห็น

แสดงความคิดเห็น
ข้าพเจ้าเห็นว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ได้สะท้อนให้เห็นสังคมในรูปแบบของ วัตถุนิยมที่กำลังขยายตัวไปอย่างกว้างขึ้นทุกวันโดยการสะท้อนให้เห็นผ่านการแสดงของตัวละครที่ยึดติดกับกับความทันสมัยและความสวยหรูของอุปกรณ์ในการแต่งตัวส่วนในแง่ของจิตใจนั้น กลับตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิงเพราะยังมีการแสดงออกของทัศนะคติในตัวละครต่อสังคมว่าการทำงานนั้นเพื่อประโยชน์ของตัวเองสามารถแลกกับอะไรก็ตามที่ผลักดันให้ตนเองก้าวไปข้างหน้าได้โดยไม่สนใจต่อพื้นฐานจิตใจของคนอื่นทั้งสิ้นว่า จะเป็นเพื่อนที่สนิท หรือ คนรัก ก็ตามแต่สุดท้ายแล้วตอนจบของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยังแสดงออกถึงจุดจบในด้านบวกออกมาเมื่อตัวละครเอกสามารถเข้าใจและตระหนักได้ว่าสิ่งที่ตนเองกำลังทำลงไปนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ตัวเองต้องสูญเสียกับทุกสิ่งทุกอย่างไป

Seven Years in Tibet


นางสาวพิมพ์อัณณ์ ราโชกาญจน์
รหัส 0548192

Seven Years in Tibet เป็นหนังอเมริกันที่ออกฉายในปี 1997 หนึ่งในผลงานการกำกับภาพยนตร์ของ ฌอง ฌากส์ อันโนด์ ผู้กำกับชาวฝรั่งเศสที่สร้างมาจากเรื่องจริง โดยอิงจากหนังสืออัตชีวประวัติของไฮน์ริค แฮร์เรอร์ นักไต่เขาชื่อดังชาวออสเตรีย
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1939 เมื่อไฮร์ริคเลือกที่จะเข้าร่วมทีมพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดของเทือกเขาหิมาลัยแทนที่จะอยู่กับภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ลูกคนแรกของเขาในออสเตรียบ้านเกิด ด้วยสภาพอากาศที่เลวร้ายระหว่างเส้นทางการปีนเขา ทำให้ไฮร์ริคต้องถอยลงมาตั้งหลักใหม่ด้านล่าง แต่แล้วการเดินทางครั้งนี้ต้องจบลง เมื่อไฮร์ริคถูกจับกุมในฐานะเชลยศึกของฝ่ายอังกฤษ เขาถูกส่งตัวไปอยู่ในค่ายกักกันทางตอนเหนือของอินเดีย ระหว่างนี้ไฮร์ริคพยายามหลบหนีหลายต่อหลายครั้ง จนกระทั้งในปีค.ศ.1943 เขาจึงหลบหนีออกมาได้ ต่อมาไฮร์ริคและปีเตอร์ผู้ซึ่งหนีจากค่ายกักกันพร้อมกันได้ตัดสินใจเดินทางกลับบ้านร่วมกัน โดยใช้เส้นทางจากอินเดียผ่านทิเบตไปสู่จีน จนกระทั่งใน ค.ศ. 1944 คนทั้งสองได้เดินทางซัดเซพเนจรพลัดหลงเข้ามาในกรุงลาสาเมืองหลวงของทิเบต อันเป็นที่ตั้งของวังประทับขององค์ดาไลลามะผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวทิเบต ต่อมาไฮน์ริคได้เป็นครูสอนความรู้ให้แก่องค์ดาไลลามะ และนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นในความสัมพันธ์ของเขากับองค์ดาไลลามะ ณ สถานที่แห่งนี้การเดินทางผจญภัยในการค้นหาความต้องการภายในใจของเขาได้เริ่มต้นขึ้น จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1951 ไฮร์ริคจึงเดินทางออกจากทิเบตเพื่อกลับบ้านพร้อมกับประสบการณ์ที่มีคุณค่ายิ่งกับระยะเวลาเจ็ดปีในทิเบต
ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดฉาก ณ สถานที่แห่งหนึ่งในทิเบตด้วยภาพรอยยิ้มขององค์ดาไลลามะในวัย 2 ขวบซึ่งดีใจที่ได้รับกล่องดนตรี จากนั้นจึงตัดฉากไปที่ไฮน์ริค(ตัวละครเอก)ซึ่งรีบร้อนเดินทางไปขึ้นขบวนรถไฟเพื่อร่วมเดินทางไปพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดของเทือกเขาหิมาลัย เราจะเห็นการผูกปมความขัดแย้งในใจของไฮน์ริคที่เริ่มขึ้นเมื่อขบวนรถไฟเคลื่อนตัวออกจากชานชลา ไฮน์ริคเกิดความรู้สึกสับสนว่าสิ่งที่เขาต้องการที่สุดคือความสำเร็จในการพิชิตยอดเขาหรือการได้อยู่รอคอยเวลาอันมีค่าที่สุดของการเป็นพ่อคน จากนั้นเนื้อเรื่องมีการดำเนินไปเรื่อยๆ โดยชี้ให้เห็นลักษณะของตัวละครในการเดินทางว่าเป็นผู้ที่ไม่เคยให้ความสำคัญกับใครนอกจากตัวเอง และมีการย้ำปมในใจอีกครั้งเมื่อภรรยาส่งใบหย่าให้เขาพร้อมทั้งบอกว่าได้ให้ลูกเรียกพ่อเลี้ยงว่าพ่อ
เหตุการณ์ของเรื่องเริ่มมีการพัฒนาเมื่อไฮน์ริคและเพื่อนหนีโจรจนกระทั่งหลงเข้าไปในกรุงลาสาเมืองหลวงของทิเบต Iณ ที่แห่งนี้ไฮน์ริคได้เห็นความแตกต่างทางด้านความคิด ความเป็นอยู่ของผู้คนที่ต่างจากเขาโดยสิ้นเชิง ไฮน์ริคและเพื่อนได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี้ระหว่างรอให้สงครามยุติ ไฮน์ริคเริ่มปรับตัวให้ชินกับสภาพความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายเขาเริ่มจะมีความสุขในความแตกต่าง แต่แล้วเขาก็ได้รับจดหมายจากลูกชายที่ตอบตัดความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกอย่างไม่ใยดี ประกอบกับการที่เพื่อนร่วมทางแยกย้ายไปมีครอบครัว ความขัดแย้งในจิตใจของตัวละครจึงเกิดขึ้น
ไฮน์ริคไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด ทุกคนจึงไม่เลือกเขา ไม่ว่าจะเป็น ภรรยา เพื่อนหรือแม้กระทั่งลูกชายซึ่งเป็นคนที่เขารักมากที่สุด ทั้งที่เขาประสบความสำเร็จในการปีนเขา เขาเป็นคนที่ทุกคนกล่าวถึง ไฮน์ริคเริ่มรู้สึกได้ถึงความสิ้นหวังในชีวิต แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อไฮน์ริคได้รู้จักกับองค์ดาไลลามะผู้ซึ่งเป็นดังเงาสะท้อนของลูกชายที่ขาดหายไปในชีวิตของเขา องค์ดาไลลามะได้เปิดมุมมองใหม่ให้แก่ไฮน์ริคในการใช้ชีวิตอย่างเข้าใจ ความสดใส บริสุทธิ์และจิตใจอันดีงามขององค์ดาไลลามะ ส่งผลให้ไฮน์ริคเริ่มหันมามองและใส่ใจสิ่งอื่นนอกจากตัวเอง
จุดวิกฤตเริ่มต้นเมื่อไฮน์ริคเสนอให้องค์ดาไลลามะลี้ภัยสงครามไปอยู่กับตน แต่แล้วองค์ดาไลลามะกลับเป็นผู้เตือนสติไฮน์ริคว่า “ผมไม่ใช่ลูกของคุณ และคุณก็ไม่ใช่พ่อของผม กลับไปเป็นพ่อของเขาเถอะ งานของคุณเสร็จแล้ว คุณไม่คิดถึงลูกเหรอ” จุดนี้เองที่ทำให้ไฮน์ริคสะเทือนใจจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เมื่อสำนึกได้ว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่เขาต้องการคือความรัก ที่ผ่านมาเขาแทบจะไร้เพื่อน ไร้ครอบครัว และที่สำคัญที่สุดคือไม่มีเวลาไหนที่เขาจะไม่คิดถึงลูก มันทำให้ไฮน์ริครู้ว่าความทุกข์ในใจของเขาไม่เคยจางหาย ความรู้สึกคิดถึงลูกเป็นสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจของตนเองตลอดเวลา แม้ว่าเขาจะพยายามนำเอาองค์ดาไลลามะมาแทนที่ลูกของเขาก็ตาม
ไฮน์ริคจึงเลือกที่จะเผชิญความจริงด้วยการกลับออสเตรีย หลังจากใช้ความพยายามอยู่หลายปี สุดท้ายลูกชายก็เปิดใจรับไฮน์ริคเป็นพ่อ ความขัดแย้งภายในใจของตัวละครจึงคลี่คลายลง ไฮน์ริคได้เรียนรู้ที่จะยอมรับความจริงและเผชิญหน้ากับปัญหาจากองค์ดาไลลามะ เขาเติบโตขึ้น เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขจากสิ่งที่มีอยู่รอบตัว เข้าใจและใส่ใจคนอื่นมากขึ้น และไม่ยึดตนเองเป็นที่ตั้งอีกต่อไป
ในฉากจบของภาพยนตร์ ไฮน์ริคได้สอนลูกชายให้ใช้เชือกในการปีนเขาอย่างไม่รีบร้อน เห็นได้ว่าการปีนเขาในครั้งนี้แตกต่างไปจากเดิม ไฮน์ริคไม่ได้ปีนเขาเพื่อสนองความต้องการในการครอบครองหรือแสดงให้เห็นความสำเร็จแต่อย่างใด หากแต่เป็นการปีนเพื่อสอนคนที่เขารักที่สุดให้มีความสุขกับสิ่งรอบตัว และในวันนี้เขาไม่ได้ปีนเขาเพียงลำพังอีกต่อไป(ตอนต้นเรื่องถึงแม้ไฮน์ริคจะปีนเขากับคณะแต่เรารู้สึกได้ถึงความห่างเหิน และโดดเดี่ยวของเขา)ความเคร่งเครียดในใบหน้าของไฮน์ริคในตอนต้นเรื่องถูกแทนที่ด้วยความเข้าใจถึงความสุขที่แท้จริงในชีวิต
ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้แสดงให้เห็นถึงกระบวนเรียนรู้และการพัฒนาของตัวละคร ผ่านสัญลักษณ์ของการปีนเขาที่แสดงให้เห็นถึงความทะยานอยากของมนุษย์ ในตอนต้นเรื่องจะเห็นได้ว่าตัวละครเอกนั้นมีความมุ่งมั่นที่จะพิชิตยอดเขาให้ได้ เขาดิ้นรนตะเกียกตะกาย ต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เขาเรียกว่าความสำเร็จ หวังในชัยชนะ ชื่อเสียง และความต้องการยึดครอง ในตอนกลางเรื่ององค์ดาไลลามะถามตัวละครเอกว่า “ทำไมถึงรักการปีนเขา”คำตอบของตัวละครเอกที่ว่า “การปีนเขามันทำให้เขารู้สึกเข้าใจธรรมชาติ มันเรียบง่าย สมองเขาโปร่ง ไม่สับสน รู้จักตัวเองมากขึ้น ได้ฟังเสียงตัวเอง และสำคัญที่สุดคือ ความรู้สึกที่มีตอนปีนเขาไม่แตกต่างจากความรู้สึกที่ได้อยู่กับองค์ดาไลลามะ”ทำให้เรารับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางความคิดและจิตใจของตัวละครเอก จนกระทั่งตอนจบของเรื่อง การปีนเขาของตัวละครเอกเป็นไปอย่างไม่เร่งรีบ เขาเลือกที่จะมองเห็นและมีความสุขกับการปีนเขา การปีนเขาในตอนจบจึงเป็นการปีนเขาที่งดงามและสมบูรณ์ในตัวเอง
การผจญภัยของไฮน์ริคจึงเรียกได้ว่าเป็นการผจญภัยทางด้านจิตใจ การเดินทางของไฮน์ริคที่ผ่านมามักเป็นการเดินทางที่ไม่มีการหยุดพักอย่างแท้จริง เขามักจะเดินทางจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งอยู่เสมอ การเดินทางก้าวเข้ามาในทิเบตครั้งนี้จึงถือได้ว่าเป็นการพักอย่างแท้จริง ระยะเวลาเจ็ดปีในทิเบตนั้นทำให้ไฮน์ริคได้พักกายและใจ แล้วใช้เวลาค้นหาความต้องการของตัวเองอย่างแท้จริงพร้อมทั้งสำรวจความบกพร่องของตนเองเพื่อนำมาสู่การปรับปรุง เจ็ดปีในทิเบตได้ช่วยสอนให้เขาเข้าใจโลก เข้าใจชีวิต เข้าใจสัจธรรม จึงเรียกได้ว่าเวลาเจ็ดปีในทิเบตนั้นเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของไฮน์ริคก็ว่าได้
Seven Years in Tibet จึงไม่ใช่การเดินทางผจญภัยธรรมดาทั่วไปของนักปีนเขาคนหนึ่ง หากแต่เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าความรักความผูกพันธ์ ความเอื้ออาทรที่มนุษย์พึงมีต่อกันนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง อีกทั้งเป็นการย้ำให้เห็นว่าแท้จริงแล้วความสุขในชีวิตเป็นสิ่งที่เรียบง่ายและธรรมดาซึ่งมีอยู่ในตัวตนของทุกคน ความสำเร็จสูงสุดในชีวิตจึงไม่ได้หมายถึงชื่อเสียง เกียรติยศ วัตถุที่แสดงความสำเร็จ

HANCOCK


น.ส.ชามาศ อรุณเรือง
05490103

ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของฮีโร่ที่เกิดมาจากมนุษย์ธรรมดาที่เชื่อว่าเป็นมนุษย์ที่ถูกสร้างมาให้เหนือธรรมชาติ เป็นฮีโร่ที่ไม่มีวันแก่และไม่มีวันตายยกเว้นด้วยเงื่อนไขบางประการ
HANCOCK หรือ JOHN HANCOCK เป็นชื่อที่ได้มาจากชื่อของเหล้าชนิดหนึ่ง คือ HANCOCK เขาได้ประสบอุบัติเหตุบางอย่างทำให้เขาต้องเข้าโรงพยาบาลเนื่องจากกะโหลกศีรษะแตก แต่แล้วจู่ๆ กะโหลกของเขาก็เกิดกลับมาผสานกันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เมื่อเขาฟื้นขึ้นมาก็พบว่าตนเองสูญเสียความทรงจำ และไม่มีอะไรสามารถบอกได้เลยว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน นอกจากหมากฝรั่งในกระเป๋าของเขาและตั๋วหนังสองใบ ชื่อที่เขาได้ยิน (JOHN HANCOCK) คือเหล้าที่พยาบาลใกล้ๆเขาพูดขึ้น เขาจึงกำหนดชื่อตัวเองว่าคือ JOHN HANCOCK
ด้วยความที่เขารู้สึกว่าการที่เขาดูเป็นมนุษย์ที่แปลกแยก เขาจึงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวมาตลอดเป็นระยะเวลา 80 ปี และเขาก็เคยนึกน้อยใจว่าทำไมหลังจากที่เขาประสบอุบัติเหตุจึงไม่มีใครเคยแสดงตัวว่ารู้จักเขาเลย หรือเขาอาจจะเคยเป็นคนที่นิสัยแย่มากๆ จนไม่มีใครอยากรู้จักก็เป็นได้ ทั้งๆที่เขาเองก็อยากทำความดีให้กับโลกใบนี้ แต่ผลจากสิ่งที่เขาแสดงออกมานั้นคือการทำลาย ไม่ว่าเวลาที่เขาจะเหาะขึ้นหรือร่อนลง ก็สร้างความเสียหายให้พื้นถนน ตึก ทางด่วน บ้าน ทุกๆที่ที่เขาไป เป็นต้องพังพินาศหมด จนทุกคนต่างเกลียดชังเขาไม่ว่าจะเป็นพวกวายร้ายที่ถูกเขาตามจับ พวกตำรวจที่ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเขา เพราะเขามักจะให้ผลร้ายมากกว่าผลดี หรือแม้กระทั่งประชาชนทั่วไปที่ต้องเดือดร้อนจากการทำลาย และต่างเรียกเขาว่า คุณถ่อย!!! ซึ่งเป็นคำที่จุดชนวนให้เขาระเบิดอารมณ์ได้ตลอดเวลา
จนวันหนึ่งที่เขาได้มีโอกาสช่วย เรย์ ชายคนหนึ่งที่ติดอยู่ในรถเอาไว้ให้รอดจากการถูกรถไฟชนโดยการที่ HANCOCK พลิกรถของเรย์ออกแล้วรถไฟต้องมาชนตัวเองสร้างความเสียหายให้กับโบกี้สินค้าอย่างมหาศาล เป็นเหตุให้ HANCOCK ต้องถูกประชาชนด่าทอ แต่กระนั้นเอง เรย์ยังอยากจะช่วยเขาให้เป็นที่รักใคร่ของทุกคน โดยเสนอให้ HANCOCK ยอมติดคุกเพื่อให้ทุกคนรู้สึกว่าต้องการเขา และให้เขาออกมาทำความดี แผนการของเรย์ดำเนินไปได้ด้วยดี แต่ทว่า มีปัญหาเกิดขึ้นเมื่อความจริงแล้ว ภรรยาของเรย์หรือแมร์รี่ก็คือภรรยาของ HANCOCK เมื่อครั้งก่อนสูญเสียความทรงจำ และเธอเองก็มีอำนาจเช่นเดียวกับ HANCOCK เธอบอกว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์เช่นนี้ขึ้นมาเป็นคู่ หากคู่ใดได้มาเจอกันและอยู่ด้วยกัน อำนาจทุกอย่างจะค่อยๆหายไป จนกลับมาเป็นคนปกติ และทุกคู่ได้ตายหมดแล้วเหลือเพียงแต่เธอและ HANCOCK เธอเลือกที่จะไปจาก HANCOCK เพื่อให้ HANCOCK คงมีพลังอำนาจเฉกเช่นเดิม
และเมื่อเธอและ HANCOCK กลับมาเจอกันอีกครั้งทำให้พลังเหนือมนุษย์ค่อยๆหมดลง ผู้ร้ายสามคนที่เคยถูกเขาจับและทำให้อับอาย ได้แหกคุกออกมาเพื่อทำร้ายเขา แต่กระสุนกลับไปโดนแมร์รี่ เมื่ออำนาจของทั้งคู่ลดลงทำให้ทั้งคู่ได้รับบาดเจ็บมาก HANCOCK จึงตัดสินใจเป็นฝ่ายเสียสละจากไป เพื่อให้ทั้งเขาและแมร์รี่ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ และเพื่อให้ทุกฝ่ายมีความสุข แมร์รี่จึงได้ใช้ชีวิตกับเรย์อย่างมีความสุขต่อไป ส่วน HANCOCK ก็ได้กลับไปใช้ชีวิตอย่างที่เขาเคยเป็นกับภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่คือการเป็นฮีโร่ที่ดีให้ได้นั่นเอง
เรื่อง HANCOCK เปิดฉากมาด้วยภาพที่ HANCOCK นอนอยู่บนม้านั่งตัวยาวข้างถนน แต่งตัวสกปรกเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาหลายวัน ราวกับพวกไร้บ้าน จากนั้นก็มีเด็กผู้ชายตัวเล็กๆมาสะกิดเพื่อปลุกให้ตื่น แล้วเรียกชื่อ HANCOCK ก่อนชี้ไปที่ทีวีที่มีข่าวตำรวจกำลังไล่ล่าเหล่าร้ายอยู่ Hancock ก็ยังนิ่งเฉยก่อนจะถามหาคุ้กกี้ และเมื่อมีสาวสวยเดินผ่านเขาก็ตีก้นสาว และเขาก็หยิบขวดเหล้าออกมาจากใต้ม้านั่งก่อนที่จะเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าและทิ้งความเสียหายไว้ยังจุดที่เขาเหาะขึ้นไป จะเห็นได้ว่าคนทั่วไปรู้จักเขาดีแม้กระทั่งเด็กตัวเล็กๆก็ยังรู้จักชื่อของเขา แต่ HANCOCK ก็ยังสื่อให้เราเห็นว่าเขาช่างเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ที่แปลกประหลาดและไร้ประโยชน์มากๆ เขาไม่ได้ดูโก้หรูเหมือนซุปเปอร์ฮีโร่คนอื่นๆ เขานอนข้างถนน ทำตัวแปลกแยก ไม่สนใจใคร ไม่มีเครื่องแบบของฮีโร่เหมือน สไปเดอร์แมน หรือ แบทแมน เขาเป็นคนขี้โมโห ถ้าโมโหแล้วก็จะระงับอารมณ์ได้ยากจึงมักปรากฏให้เห็นภาพที่เขาทำลายข้าวของเสียหายเป็นมูลค่ามหาศาล ขนาดไปช่วยปลาวาฬเกยตื้นก็ยังโยนออกทะเลไปโดนเรือใบจนล่มอีก เมื่อไปช่วยคน..ก็ยังเหาะไปชนป้ายบอกทางล้ม ใครๆ ก็รู้ดีว่าซุปเปอร์ฮีโร่ ต้องมีพลังวิเศษ และมีภาระหน้าที่มากมาย แต่ไม่ใช่ Hancock ที่ได้รับฉายานามว่าเป็นฮีโร่มาดเซอร์ผู้ไม่เอาอ่าว แถมยังเป็นนักดื่มตัวยง จึงกลายเป็นที่เกลียดชังของคนทั้งเมือง เพราะที่ไหนมี Hancock ที่นั้นจะต้องมีแต่ความเสียหาย ภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องการจะเสนอภาพลักษณ์ของซุปเปอร์ฮีโร่ให้แตกต่างจากภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่เรื่องอื่นๆ และก็นำเสนอออกมาได้ดีมาก ทำให้เราได้เห็นภาพของซุปเปอร์ฮีโร่แนวใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน
ความขัดแย้งในเรื่องเกิดขึ้นหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างแมร์รี่กับเรย์ เมื่อแมร์รี่บอกเรย์ว่าเธอไม่ชอบคนแบบ Hancock และเธอก็ไม่ต้องการให้สามีของเธอเอาชีวิตเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเขา จึงเกิดการโต้เถียงกันขึ้นระหว่างสามีภรรยา แต่เรย์ก็ยังยืนยันที่จะทดแทนบุญคุณของ Hancock โดยการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับเขาเพราะเรย์ต้องการเปลี่ยนให้เขาเป็นที่รักของประชาชนแทนที่จะเป็นบุคคลที่ถูกเกลียดชังและโดนเรียกว่า “คุณถ่อย” และยังมีความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่าง Hancock กับประชาชนทั่วไป ซึ่งเขาเป็นคนที่ไม่สนใจใคร มักทำอะไรตามใจตัวเอง จึงทำให้เขากลายเป็นที่เกลียดชังของคนทั่วไป ไม่ว่าเขาจะไปไหนหรือทำอะไร แทนที่เขาจะได้รับการยกย่องในฐานะซุปเปอร์ฮีโร่แต่กลับถูกดูถูกเหยียดหยาม นอกจากนี้ยังมีความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของ Hancock เมื่อเขาต้องระงับจิตใจไม่ให้อยากดื่มเหล้า ต้องระงับอารมณ์ไม่ให้เกิดความโกรธ เพื่อรักษาภาพพจน์ของตัวเองตามนโยบายสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของเรย์
และเขาก็ทำได้ดี เมื่อเขายอมติดคุกโดยไม่บินทะลุหลังคาคุกออกมา
Hancock สามารถสะท้อนอารมณ์ของเขาออกมาได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์โกรธ อารมณ์เศร้า หรืออารมณ์รัก ภาพยนตร์เรื่องนี้มีการวางพล็อตเรื่อง ตัวแสดง และการดำเนินเรื่องได้ดีมาก ตัวละคร Hancock สามารถสื่อทุกๆอารมณ์ของเขาออกมาทางสายตาและสีหน้า แสดงความเจ็บปวดได้อย่างลึกซึ้ง จนคนดูเชื่อว่าเขาเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ที่น่าสงสารสุดๆ จริงๆ ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังสอดแทรกประเด็นดราม่าได้อย่างน่าสนใจ ทำให้เรื่องดูน่าตื่นเต้นและฮาสุดๆ เนื้อเรื่องไม่น่าเบื่อเลยสักนิด ทั้งเรื่องมีมุขอยู่ตลอดเวลา ฉากต่อสู้ก็ดูตื่นตา
จุดไคลแมกซ์ของเรื่องก็คงจะเป็นตอนที่เรย์และ HANCOCK ได้รู้ว่าเขาทั้งสองคนมีภรรยาคนเดียวกัน เพราะแมร์รี่เป็นภรรยาของ HANCOCK ก่อนที่เขาจะสูญเสียความทรงจำนั่นเอง ถึงแม้ว่า HANCOCK จะจำอะไรไม่ได้เลย แต่แมร์รี่รู้อยู่ตลอดเวลาว่า HANCOCK คือสามีของเธอและพยายามจะปลีกตัวออกห่างจากเขาเพราะเธอรู้ดีว่าถ้าเขาและเธออยู่ใกล้กันจะทำให้พลังของทั้งคู่เสื่อม และเธอก็ไม่อยากเปิดเผยความจริงให้เรย์รู้ เพราะเธอยังอยากใช้ชีวิตกับเรย์อย่างคนธรรมดาตลอดไป แต่ความลับก็ไม่มีในโลกเมื่อ HANCOCK สามารถสัมผัสความรู้สึกบางอย่างได้เมื่อเขาอยู่ใกล้เธอ

ภาพยนตร์เรื่องนี้พยายามนำเสนอว่าซุปเปอร์ฮีโร่นั้น แท้จริงแล้วก็เป็นคนธรรมดาสามัญทั่วไป สามารถมีรัก โลภ โกรธ หลง ได้เหมือนกัน คนส่วนใหญ่ติดอยู่กับภาพที่เห็นซุปเปอร์ฮีโร่ของตนแต่งตัวสะอาดเรียบร้อย หน้าตาหล่อเหลา ขับรถหรูๆ หรือไม่ก็เป็นคนเรียบร้อย ขี้อาย แต่ HANCOCK เป็นทุกอย่างที่ตรงกันข้ามกับฮีโร่ทุกๆคน ซึ่งเขาก็ยังมีข้อดีบางอย่างที่เหมือนกับฮีโร่คนอื่นก็คือ เขาสามารถช่วยเหลือคนที่ตกอยู่ในอันตรายและช่วยตำรวจจับโจรผู้ร้ายได้ เขามีอำนาจเหนือมนุษย์ แค่ดูภายนอกจะไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าคนผู้นี้มีอำนาจวิเศษ ในตอนจบของเรื่องก็ยังนำเสนอความเสียสละของ HANCOCK เพื่อคนที่เขารักทั้งสองคนคือ เรย์ และ แมร์รี่ เขายอมจากไปเพื่อให้คนทั้งสองครองคู่กันโดยที่ตัวเขาเองอาจจะไม่เหลือใคร และเขาก็ยอมเปลี่ยนตัวเองจากฮีโร่ผู้ไร้ประโยชน์มาเป็นฮีโร่ในดวงใจของใครหลายๆคน แสดงให้เห็นว่าตัวเขาเองก็ไม่ได้เป็นคนที่เห็นแก่ตัวเสมอไป เขาอาจมีปมบางอย่างซ่อนอยู่ภายในจิตใจ และพร้อมจะเผยความเสียสละออกมาเสมอเมื่อเขาเจอคนที่เห็นคุณค่าในตัวเขานั่นเอง

The Sound of Music มนต์รัก...เพลงสวรรค์


นางสาวฉัตรแก้ว ธำรงลักษณ์
รหัส ๐๕๔๙๐๐๗๕

The Sound of Music หรือมนต์รักเพลงสวรรค์นี้ออกฉายเป็นครั้งแรกในปี 1965 เป็นหนังที่ได้รับการเสนอเข้าชิงตุ๊กตาทอง 10 ตัวรวมทั้ง Best Picture ซึ่งถือเป็นรางวัลเกียรติยศของวงการหนัง แต่ทว่าได้รับออสการ์เพียง 5 ตัวเท่านั้น แต่สองใน 5 ตัวนั้นก็คือรางวัลที่ทรงเกียรติ์ที่สุดของวงการภาพยนต์อเมริกัน คือ Best Picture Oscar และ Best Director Oscar (Robert Wise) อีกสามรางวัลที่ได้รับคือ Best Film Editing Oscar, Best Music Scoring Oscar และ Best Sound Oscar
เรื่องนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับ มาเรีย สาวน้อยชาวออสเตรีย ผู้ที่ชะตาพลิกผันจากแม่ชี ให้ไปเป็นพี่เลี้ยงลูกๆทั้ง 7 คนของกัปตันฟรอนท์แทรป เดิมทีบ้านของกัปตันนั้นจะมีเสียงเพลงกล่อมตลอด นับตั้งแต่ที่กัปตันสูญเสียภรรยาอันเป็นที่รักไป ทำให้บ้านทั้งบ้านเงียบเหงา มีแต่กฎระเบียบ และที่สำคัญ ห้ามร้องเพลงอีกด้วย เมื่อมาเรียเข้ามา บ้านทั้งบ้านก็เริ่มเปลี่ยนไป มาเรียสอนเด็กๆให้ร้องเพลง กัปตันและมาเรียเริ่มหลงรักซึ่งกันและกัน อยู่มาวันหนึ่งมีคนชวนให้เด็กๆทั้ง 7 คนไปประกวดร้องเพลงในงานเทศกาลดนตรีที่จะจัด ณ ใจกลางเมือง ตอนแรกกัปตันบอกปฏิเสธไป แต่ทว่า กัปตันถูกเรียกตัวจากทางการให้ไปรับราชการกับนาซี กัปตันไม่ไปเพราะเป็นคนรักชาติมาก กัปตันเลยคิดแผนที่จะหนีไปประเทศสวิสเซอร์แลนด์ โดยการให้ทั้งครอบครัวไปประกวดร้องเพลงที่งานเทศกาล ระหว่างการประกาศผลรางวัลนั้นเอง ทั้งครอบครัวก็ได้หนีไปโดยไปหลบอยู่ที่สำนักชีที่มาเรียนเคยอยู่ จากนั้นก็เริ่มเดินทางไปประเทศสวิสเซอร์แลนด์โดยการเดินข้ามเขาไปทีละลูกๆ โดยไม่ย่อท้อ
The Sound of Music มนต์รัก...เพลงสวรรค์ เปิดฉากด้วยภาพทิวทัศน์ของภูเขาในประเทศออสเตรีย แล้วก็ฉายมายนังตัวมาเรียที่กำลังร้องเพลงอย่างมีความสุข เหตุการณ์เริ่มพัฒนาตอนที่แม่ชีแอกเนสบอกให้มาเรียนไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กแทนที่จะเป็นแม่ชี ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คือ
1. ความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ เห็นได้จากตอนที่กัปตันถูกนายทหารนาซีบังคับให้ไปรับราชการแต่กัปตันก็ไม่ไป
2. ความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับจิตใจ ในตอนที่มาเรียเริ่มหลงรักกัปตัน มีคนมาบอกว่าเธอไม่เหมาะสมกับท่าน มาเรียสับสนว่าจะอยู่ที่บ้านหลังนี้ต่อ หรือ กลับไปโบสถ์ดี แต่สุดท้าย มาเรียก็เลือกที่จะกลับไปที่โบสถ์
จุดไคลแมกซ์ของเรื่องอยู่ตรงที่กัปตันถูกพวกนาซีให้ไปรับราชการอีกครั้ง ในหนังจะมีตอนหนึ่งที่กัปตันกลับจากการฮันนีมูน พอถึงบ้านก็เห็นธงนาซีแขวนอยู่ กัปตันจึงฉีกธงทิ้งไป ผู้สร้างภาพยนตร์ได้ปิดเรื่องโดยการที่ทั้งครอบครัวฟรอน์แทรปหนีการตามล่าจากนาซีโดยการเดินข้ามเขาไปถึงประเทศสวิสเซอร์แลนด์
เหตุผลที่ข้าพเจ้าเลือกภาพยนตร์เรื่องนี้เพราะว่า เป็นภาพยนตร์ที่ดูมาตั้งแต่เด็กๆ และดูมาเรื่อยๆจนถึงปัจจุบัน ด้วยความที่ข้าพเจ้าเป็นคนชอบดนตรีอยู่แล้ว ทำให้ดูเรื่องนี้แล้วรู้สึกชอบมากๆ ข้าพเจ้าดูภาพยนตร์เรื่องนี้หลายรอบมากจนจำบทพูดและเพลงในเรื่องได้หมด นอกจากจะชอบในเสียงเพลงแล้ว ข้าพเจ้ายังชอบที่ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอเรื่องความรักในครอบครัว ที่ไม่ว่าจะสุข หรือ ทุกข์ ก็จะร่วมเผชิญไปพร้อมๆกัน
ข้าพเจ้าคิดว่า ถ้าใครที่ได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว ก็จะชอบเหมือนที่ข้าพเจ้าชอบแน่นอน

Windstruck ยัยตัวร้ายกับนายเซ่อซ่า


อรจิรา ยิ้มอยู่
05490462


ภาพยนตร์เรื่อง Windstruck หรือในชื่อภาษาไทยว่า ยัยตัวร้ายกับนายเซ่อซ่า เป็นภาพยนตร์เกาหลี แนวโรแมนติกคอมเมดี้ ซึ่งอำนวยการสร้างโดย Bill Kong หรือ William Kong ผู้อำนวยการสร้างระดับรางวัลออสการ์ และกำกับภาพยนตร์โดย KWAK Jae-yong ผู้กำกับที่ประสบความสำเร็จมาแล้วกับภาพยนตร์เรื่อง My Sassy Girl และ The Classing ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดย JEON Ji-hyun นักแสดงหญิงที่ได้รับความนิยมอย่างมากในเกาหลี และ JANG Hyuck นักแสดงชายผู้มากความสามารถ
สำหรับภาพยนตร์เรื่อง Windstruck เข้าฉายไปเมื่อปี 2547
ภาพยนตร์เรื่อง Windstruck เป็นเรื่องราวของ โยคุนจิน ตำรวจหญิง เธอเป็นแฟนกับ โกมุนวู อาจารย์สอนฟิสิกซ์ของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง วันหนึ่งขณะที่โยคุนจินกำลังไล่ล่าตามอาชญากรตัวร้าย
โกมุนวูรู้เข้าจึงพยายามจะมาช่วยเธอ แต่ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เมื่อโกมุนวูถูกยิงเสียชีวิต ซึ่งเธอคิดว่าเธอเป็นคนผิด และเธอพยายามจะฆ่าตัวตายตามคนรักของเธอหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ เธอมีความเชื่อว่าคนรักของเธอจะมาหาเธอในวันที่ 49 หลังจากเสียชีวิต และโกมุนวูก็มาหาเธอจริงๆในรูปของวิญญาณ และขอให้เธอมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อเจอกับใครซักคนที่เหมือนกับเขา และเขาจะคอยเป็นสายลมอยู่เคียงข้างตัวเธอตลอดไป
ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดเรื่องด้วยภาพของโยคุนจินหญิงสาวที่ยืนอยู่บนตึกสูงมีสายลมพัด และเธอก็กระโดดลงมา ลอยอยู่ในอากาศ และย้อนกลับไปเป็นภาพของเหตุการณ์ที่โยคุนจินกับโกมุนวูเจอกันในครั้งแรก คือเหตุการณ์ที่โกมุนวูพยายามวิ่งตามคนร้ายกระชากกระเป๋า แต่โยคุนจินเห็นเข้าและเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นคนร้าย จึงจับโกมุนวูมาโรงพัก
เหตุการณ์เริ่มพัฒนา เมื่อโยคุนจินและโกมุนวู ได้มาร่วมงานกัน เพราะโกมุนวูมาสมัครเป็นตำรวจอาสาและต้องจับคู่ปฏิบัติงานกับโยคุนจิน มีเหตุการณ์ที่ทำให้ทั้งคู่ต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืนเพราะ ถูกล็อคด้วยกุญแจมือันเดียวกัน ทั้งคู่เริ่มใกล้ชิดสนิทสนมและเข้าใจกันมากขึ้นจนตกลงเป็นแฟนกัน
สำหรับความขัดแย้งของภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ คือความขัดแย้งระหว่างตำรวจกับผู้ร้าย จนเป็นเหตุให้โยคุนจินต้องสูญเสียโกมุนวูชายคนรักไปในระหว่างการปฏิบัติงาน และความขัดแย้งของมนุษย์กับภายในจิตใจของตัวเอง คือโยคุนจินที่พยายามจะฆ่าตัวตายตามคนรักไป แต่แล้วเธอก็เลือกที่จะมีชีวิตอยู่
จุดวิกฤตของภาพยนตร์เรื่องนี้คือเหตุการณ์วันที่โกมุนวูพยายามจะไปช่วยโยคุนจินที่กำลังไล่ล่าอาชญากรตัวร้ายรายหนึ่ง แต่โชคร้ายที่โกมุนวูถูกยิงเสียชีวิต ซึ่งโยคุนจินคิดว่าเป็นความผิดของตัวเอง เธอเสียใจมากและพยายามที่จะฆ่าตัวตายตามคนรักของเธอก่อนที่จะถึงวันที่ 49 หลังจากการเสียชีวิตของโกมุนวู เพราะเธอเชื่อว่าโกมุนวูจะกลับมาหาเธอในวันที่ 49 และจากเธอไปตลอดกาล
จุดไคลแมกซ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้คือเหตุการณ์วันที่ 49 หลังจากโกมุนวูเสียชีวิต เขากลับมาหาโยคุนจินอีกครั้งในรูปแบบของวิญญาณ และขอให้เธอมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อเจอกับใครซักคนที่มีหัวใจเหมือนกับเขา และเขาจะเป็นสายลมคอยอยู่เคียงข้างตัวเธอตลอดไป และแล้วก็ถึงวันที่เธอได้พบกับคนๆนั้นจริงๆ จากหนังสือและรูปภาพที่โกมุนวูตั้งใจจะมอบให้เธอ ซึ่งมีคนเก็บมาคืนให้
ภาพยนตร์เรื่องนี้ปิดเรื่องด้วยฉากที่โยคุนจินวิ่งตามคนที่เก็บหนังสือมาคืนให้เธอจนไปถึงสถานีรถไฟฟ้า เธอพบกับชายหนุ่มคนหนึ่ง ทั้งสองคนต่างมองกันและกัน และโคยุนจินรู้สึกได้ว่าคนนี้แหละที่โกมุนวูหมายถึง และจบลงด้วยคำพูดที่เป็นการบอกเล่าของชายคนนั้นซึ่งเป็นคำพูดที่คล้ายกับคำพูดที่โกมุนวูพูดไว้ในตอนต้นเรื่อง
ฉากในภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็เป็นสถานที่ทั่วไป แต่ที่มีความสำคัญคือจะเห็นได้ว่ามีหลายฉากที่มีสายลมพัดผ่านให้ได้เห็น ดังนั้นสายลมจึงถือเป็นสัญลักษณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้
ตัวละครที่เป็นตัวละครเอกของภาพยนตร์เรื่องนี้คือ โยคุนจินและโกมุนวู โดยมีโกมุนวูเป็นผู้บอกเล่าเรื่องราวเป็นระยะๆ แต่จะเน้นไปที่เรื่องราวของโยคุนจินมากกว่า สำหรับโยคุนจินเป็นหญิงสาวที่ภายในจิตใจลึกๆแล้วเต็มไปด้วยความเหงาและความเศร้า เพราะเธอต้องสูญเสียพี่สาวฝาแฝดไป และที่เธอมาเป็นตำรวจก็เพราะเป็นความฝันของพี่สาวเธอ ซึ่งภายนอกเธออาจจะดูเข้มแข็ง แต่ลึกๆแล้วเธอเต็มไปด้วยความเหงา พอมีโกมุนวูเข้ามาในชีวิตจึงทำให้เธอมีชีวิตชีวาขึ้น ดังนั้นเมื่อเธอต้องสูญเสียโกมุนวูไปเธอจึงเสียใจมาก และไม่อยากมีชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป
ชื่อของภาพยนตร์เรื่อง Windstruck ยัยตัวร้ายกับนายเซ่อซ่า สำหรับชื่อภาษาไทยนั้นไม่ค่อยมีความสัมพันธ์กับเนื้อเรื่องซักเท่าใดนัก เพราะเป็นการตั้งชื่อให้เป็นจุดขาย โดยเน้นไปที่ตัวนักแสดงนำฝ่ายหญิง นั่นคือ JEON Ji-hyun ซึ่งยัยตัวร้ายถือเป็นสัญลักษณ์ของเธอ แต่สำหรับชื่อภาษาอังกฤษคือ Windstruck นั้น สัมพันธ์กับเนื้อเรื่องโดยตรง ที่โกมุนวูอยากไปเกิดเป็นลม และบอกโยคุนจินเสมอว่า เมื่อใดที่สายลมพัดผ่านนั่นแหละคือเขา
สำหรับแก่นของเรื่องหรือความคิดสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้คือเรื่องของความรัก โดยต้องการจะสื่อให้เห็นว่าคนเรานั้นมีเวลาอยู่ด้วยกันไม่มากนัก ดังนั้นควรจะใช้ช่วงเวลาที่มีอยู่ให้มีค่ามากที่สุด เหมือนกับตัวโกมุนวูที่เลือกจะให้คนรักของเขามีชีวิตอยู่ต่อไป และโยคุนจินที่เลือกที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อพบกับคนรักของเขาอีกครั้ง เป็นการย้ำให้เห็นว่าคนเราควรเลือกที่จะอยู่มากกว่าการเลือกที่จะตาย อยู่เพื่อทำทุกอย่าให้มีค่าที่สุด และทำทุกเวลาให้มีค่ามากที่สุด
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่มีครบทุกอารมณ์ มีทั้งความสุข ความเศร้า และความสนุกสนาน
อีกทั้งมีฉากแอคชั่นให้ได้ตื่นเต้น รวมทั้งเรื่องราวปาฏิหาริย์เกิดขึ้นด้วย เชื่อได้ว่าผู้ที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้จะได้ทั้งเสียงหัวเราะและคราบน้ำตา รวมทั้งได้ข้อคิดดีๆที่ว่าจงอยู่เพื่อความรักและจงอยู่เพื่อใช้เวลาให้มีค่าที่สุด

รักแห่งสยาม


นางสาวนิชา มานะประดิษฐ์ ๐๕๔๙๐๑๙๗

“มีความจริงอยู่ในความรักตั้งมากมาย” ท่อนหนึ่งจากบทเพลงที่ถ่ายทอดผ่านตัวละคร การค้นหาความหมายของความรักได้เริ่มต้นขึ้น... ‘รักแห่งสยาม’ ภาพยนตร์รักของไทยที่การันตีด้วยรางวัลสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจาก 5 สถาบันใหญ่ เบื้องหลังความสำเร็จโดยชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุลหรือมะเดี่ยว ผู้เขียนบทและผู้กำกับหนุ่มไฟแรง ซึ่งแสดงผลงานมาแล้วในเรื่องคน ผี ปีศาจ และ 13 เกมสยอง รักแห่งสยามได้เริ่มถ่ายทำเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2549 ใช้เวลาถ่ายทำร่วม 5 เดือน หนังจึงออกฉายเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 นำแสดงโดยสินจัย เปล่งพานิช , ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี , เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ , มาริโอ้ เมาเร่อ และวิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล ความจริงในความรักยังรอการค้นหาต่อไป หากแต่มีเพียงสิ่งเดียวที่จะไขคำตอบ นั่นคือ ‘หัวใจ’
ภาพยนตร์เรื่อง ‘รักแห่งสยาม’ เป็นเรื่องของเด็กหนุ่มสองคน คือมิวและโต้งซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก เพราะบ้านของทั้งสองอยู่ตรงข้ามกัน มิวมาจากครอบครัวคนจีนที่ร่ำรวย ซึ่งมีปัญหาครอบครัว พ่อกับแม่เลิกกันทำให้มิวต้องอยู่กับอาม่าและป้า ส่วนครอบครัวของโต้งเป็นครอบครัวคาทอลิกที่อบอุ่นมีพ่อ แม่ พี่สาวชื่อแตง และโต้ง วันหนึ่งครอบครัวโต้งไปเที่ยวเชียงใหม่ แต่แตงขอไปเที่ยวกับเพื่อนต่อ และเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น คือแตงหายสาบสูญไป แตงหายตัวไปพร้อมกับความอบอุ่นของครอบครัว พ่อของโต้งรับไม่ได้ หันไปใช้เหล้าแก้ปัญหา ส่วนแม่เมื่อเหลือโต้งคนเดียว จึงดูแลไปรับไปส่งทุกวัน ทำให้โต้งขาดความเป็นอิสระ ครอบครัวโต้งย้ายบ้าน ซึ่งทำให้โต้งและมิวต้องจากกันตั้งแต่นั้น วันเวลาผ่านไปจวบจนทั้งสองเป็นหนุ่มมัธยมปลาย ทั้งคู่ก็ได้กลับมาเจอกันอีกครั้งที่สยามเซ็นเตอร์ ในขณะที่โต้งมาซื้อซีดีเพลงของวงออกัส ซึ่งเป็นวงที่มิวเป็นนักร้องนำ จากวันนั้นความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เริ่มก่อตัวขึ้นจนเกินกว่าคำว่าเพื่อน โต้งรู้สึกว่ามิวเป็นสิ่งดีๆ ที่เข้ามาเติมเต็มชีวิตที่หดหู่ มิวแนะนำโต้งให้รู้จักกับจูนผู้ดูแลวงออกัส ซึ่งหน้าเหมือนกับพี่แตงพี่สาวของโต้งที่หายตัวไป จูนไปทำงานพิเศษที่บ้านโต้งโดยแกล้งปลอมเป็นแตงเพื่อช่วยพ่อให้หายติดเหล้า อาการของพ่อดีขึ้น แต่วันหนึ่งจูนก็จากไป แม่รู้ว่ามิวกับโต้งมีใจให้กันจึงไปพูดกับมิวให้เลิกยุ่งกับโต้ง ความสับสนของโต้งทำให้แม่และหลายคนเจ็บปวด แต่สุดท้ายโต้งก็เลือกที่จะเดินจากไป เลือกที่จะหยุดความสัมพันธ์กับมิวไว้แค่คำว่าเพื่อน
‘รักแห่งสยาม’ เริ่มต้นจากความเป็นปัจจุบันของตัวละครในวัยเด็กด้วยการถ่ายทอดให้เห็นเรื่องราวชีวิตความเป็นอยู่ภายในบ้านและสภาพครอบครัวสลับกันไปมาระหว่างโต้งและมิว โดยผูกโยงให้คนดูรู้สึกถึงความเกี่ยวพันของตัวละครทั้งสองอย่างละมุนละไมด้วยทำนองเพลงไพเราะบาดความรู้สึก จากนั้นเรื่องดำเนินไปสู่ปมขัดแย้งที่ผู้กำกับสอดแทรกไว้อย่างกลมกลืนผ่านชีวิตของตัวละครเอกคือโต้ง ซึ่งเป็นความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับสังคม โต้งชายผู้มีมอบรักอันบริสุทธิ์ให้กับมิว ซึ่งความรักของทั้งสองเป็น ‘รักต้องห้าม’ ในสายตาของสังคม ‘รักที่ผิดธรรมชาติ’ ในสายตาของแม่และครอบครัวคาทอลิกที่เคร่งครัด ความต่อต้านและสับสนระหว่างความรู้สึกในใจโต้งกับสิ่งที่สังคมรอบข้างคาดหวังจึงเกิดขึ้น ทำให้โต้งอยู่ในภาวะต้องเลือกระหว่างความถูกต้องกับความต้องการของตนเอง จุดวิกฤติของเรื่องนี้คือตอนที่โต้งเดินเข้าไปหามิวและขอคุยด้วย และจากนั้นเรื่องก็ดำเนินมาถึงจุดไคลแม็กซ์ในตอนที่โต้งบอกกับมิวว่า “เราคงคบกับมิวเป็นแฟนไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเราไม่ได้รักมิวนะ” เรื่องดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุดที่มิว จากใบหน้าอมยิ้มและเปื้อนน้ำตาของมิวกลับไม่ทำให้คนดูรู้สึกเจ็บปวด แต่เกิดเป็นความพองฟูเต็มอยู่ในหัวใจ
ภาพยนตร์เรื่องนี้ความโดดเด่นคงหนีไม่พ้น ‘สยามสแควร์’ สถานที่ซึ่งถ่ายทอดชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนมากมายในละแวกนั้น กิจกรรม การค้าขาย สภาพสังคม และมุมมองที่ถ่ายทอดความเป็นสังคมเมืองในปัจจุบันอย่างชัดเจน แวดล้อมด้วยบรรยากาศในทุกๆ ช่วงเวลาตั้งแต่เช้าถึงยามเย็น แม้จะผสมผสานความรีบเร่งและความชุลมุนวุ่นวายในตอนกลางวัน ร่วมด้วยความตื่นตาละลานใจในเวลาค่ำคืนกับช่วงเทศกาลวันศริสต์มาสและวันปีใหม่ในฤดูหนาว แต่ทุกช่วงเวลายังอบอวลด้วยรักของผู้คนมากมาย จากความรักในแต่ละแบบของแต่ละคน
‘โต้ง’ ตัวละครเอกของเรื่องเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นหน้าตาดี เป็นนักเรียนม.6 โรงเรียนกรุงเทพวิทยาลัย มีแฟนชื่อโดนัท โต้งเป็นเด็กวัยรุ่นทั่วไปที่ใช้เวลาไปกับการเรียนและอยู่กับเพื่อน จากเด็กชายที่ร่าเริงในวัยเด็ก กลายเป็นเด็กหนุ่มที่เงียบขรึม ขาดความมั่นใจในตนเอง มีชีวิตที่จำเจ ซ้ำซาก เหตุเพราะมีปมความเจ็บปวดในใจ การหายตัวไปของแตงพี่สาว ทำให้โต้งรู้สึกขาด และรับถึงความกดดันจากความผิดหวังของครอบครัว ช่วงชีวิตวัยรุ่นของโต้งจึงไม่น่าตื่นเต้นและสนุกสนานเหมือนเด็กทั่วไป ผิดกับตัวละครรอง คือ มิวที่เป็นชายหนุ่มผู้มีความฝันและพรสวรรค์ทางด้านดนตรี นักเรียนม.6 โรงเรียนเซนต์นิโคลัส ชายผู้มีความอ่อนโยน เรียบร้อย และสดใส แต่ลึกๆ แล้วความเหงาและโดดเดี่ยวก็ยังฝังอยู่ในหัวใจมิวนับตั้งแต่อาม่าได้จากไป ชีวิตของมิวเหมือนท่วงทำนองที่ไพเราะ และโต้งก็คือเนื้อร้องอันซาบซึ้งที่มิวต้องการ เพื่อนำมาเติมเต็มบทเพลงให้สมบูรณ์สวยงาม
‘ตุ๊กตาติดต้นคริสต์มาส’ ตุ๊กตาเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงของแม่ ในวันคริสต์มาสแม่ให้โต้งเลือกตุ๊กตาที่จะนำมาตบแต่งต้นคริสต์มาส ตุ๊กตาเป็นสัญลักษณ์แทนคนที่โต้งเลือก โต้งลังเลโดยไม่รู้จะเลือกตัวใดระหว่างตุ๊กตาเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิง โต้งตัดสินใจเลือกจากคำพูดของแม่ที่ว่า “เลือกที่ตัวเองคิดว่าดีที่สุด” โต้งจึงเลือกตุ๊กตาเด็กผู้ชาย หมายความว่า โต้งได้สารภาพกับแม่แล้วว่าโต้งเลือกที่จะชอบผู้ชาย
จากตุ๊กตาติดต้นคริสต์มาสมาถึง ‘ตุ๊กตาไม้ตัวตลก’ สัญลักษณ์แทนตัวมิวซึ่งเป็นของขวัญชิ้นแรกที่โต้งให้กับมิว ตุ๊กตามีชิ้นส่วนที่ขาดหายไปคือ จมูก เปรียบเสมือนชีวิตของมิวที่มีอะไรขาดหายมาตลอดนับตั้งแต่โต้งย้ายบ้าน และอาม่าได้จากโลกไปคราวนั้น จนมิวได้มาพบกับโต้งอีกครั้งสิ่งที่ขาดหายก็เหมือนจะเริ่มเติมเต็ม โต้งซื้อจมูกตุ๊กตาไม้ให้เป็นของขวัญวันคริสต์มาสกับมิว แต่เมื่อมิวเอาจมูกที่โต้งให้มาประกอบกับตุ๊กตาตัวเดิมกลับใส่ไม่พอดี จมูกเปรียบกับโต้ง ส่วนตุ๊กตาไม้คือมิว เมื่อสองชิ้นส่วนไม่สามารถประกอบกันเข้าได้อย่างลงตัวแล้ว ย่อมเหมือนกับโต้งและมิวที่ไม่สามารถเป็นคนรักได้อย่างเปิดเผยในสังคม แต่การที่ตุ๊กตามีจมูกเข้ามาเพิ่มจนครบองค์ประกอบ เปรียบได้กับความรักและความรู้สึกดีๆ ของคนทั้งสองที่ยังสามารถอยู่ต่อไปได้เสมอ และมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รับรู้
‘รักแห่งสยาม’ ชื่อที่เมื่อได้ยินครั้งแรกจะให้ความรู้สึกไปถึงความรักในสยามประเทศ นับว่าเป็นการเล่นหลอกคำให้มีความหมายกำกวมได้อย่างดี จากเนื้อเรื่องนับว่ามีความสอดคล้องกับชื่อเรื่องอย่างดียิ่งด้วยอารมณ์ของตัวละครที่มีความสัมพันธ์กับสถานที่อย่างแยกกันไม่ออก ผู้กำกับต้องการสื่อเรื่องราวความรัก ความทุกข์ ความสนุก และผิดหวังผ่านสถานที่ คือ สยามสแควร์ได้อย่างกลมกลืน ไม่ว่าจุดเริ่มต้นของความรักหรือจุดสิ้นสุดของการตัดสินใจเสนอผ่านตัวละครเอกคือโต้ง ก็ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นที่สยามทั้งสิ้น
‘มะเดี่ยว’ ผู้กำกับภาพยนตร์ได้พยายามบิดเบือนตัวอย่างหนังแบบจงใจลวงจากแนวเรื่องที่แท้จริงคือ เรื่องเกย์ มาโฆษณาผ่านมุมมองหนังรักกุ๊กกิ๊กชายหญิง พ่อแง่แม่งอนตามแบบฉบับวัยรุ่นนิยม นับว่าผู้กำกับมีจุดประสงค์อ้อนวอนขอความเห็นใจ และการเปิดใจจากกลุ่มเป้าหมายที่ต่อต้านเรื่องรักร่วมเพศให้มาสัมผัสมุมมองใหม่ในเรื่องการบีบรัดของสังคมไทยทางอ้อม ซึ่งส่งผลให้คนที่อยู่ภายใต้แรงกดดันของสังคมนั้นๆ ต้องยอมเดินตามทางที่สังคมเป็นผู้กำหนดและตัดสินว่าเป็นทางที่ถูกต้อง
ภาพยนตร์เรื่องรักแห่งสยามได้นำเสนอมุมมองความรักในแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรักเพื่อน รักครอบครัว รักข้างเดียว รักชายหญิง จนถึงรักร่วมเพศทำให้รู้สึกว่าความรักไม่มีข้อจำกัด ไม่มีเหตุผล ขอเพียงแต่เป็นความรักที่บริสุทธิ์ก็ย่อมเป็นความรักที่น่าชื่นชมยิ่ง และที่สำคัญภาพยนตร์เรื่องนี้นับว่าน่าสนใจเป็นอย่างมากในส่วนของการนำเสนอเรื่องแบบทวนกระแสสังคมในเรื่อง ‘ชายรักชาย’ ซึ่งนับว่าเป็นรักที่ไม่ได้รับการยอมรับอย่างเปิดเผยในสังคมไทย การค้นหาความหมายและความสำคัญของความรักต่อการมีชีวิตอยู่ ผ่านสายตาของเด็กชายวัยรุ่นสองคนที่กำลังค้นหาคำตอบให้กับตัวเอง พวกเขาเฝ้ามองและสำรวจชีวิตรอบข้างว่า ความรักแบบไหนคือแบบที่ถูกต้อง และรักแบบไหนคือแบบที่เขาต้องการ โดยความเด่นในเรื่องนี้แฝงชัดอยู่ในความขัดแย้งที่รุนแรง จนกลายเป็น ‘ความงามที่เจ็บปวด’ ผู้กำกับมีวิธีการนำเสนอปมขัดแย้งที่รุนแรงให้กลบเกลื่อนเบาบางลงอย่างแนบเนียน ซึ่งทำให้เกิดความเจ็บปวดลึกๆ กับหัวใจของคนดูอย่างไม่รู้ตัว
แม้หลายคนอาจมีความคิดในแง่ลบต่อ ‘รักแห่งสยาม’ เรื่องนี้ แต่ถ้าเปิดใจให้กว้าง หรือเพียงแค่กลับมาดูอย่างไม่อคติเป็นครั้งที่สอง เราจะเข้าใจตัวละครที่พยายามสื่อให้เรารับรู้ถึงความงดงามในรัก โดยไม่มีข้อแม้ว่าเป็นความรักในรูปแบบใด เราจะได้เรียนรู้ว่าคนเราไม่ได้เกิดมาเพื่ออยู่อย่างโดดเดี่ยว แม้บางครั้งชีวิตจะเดินไปสู่หนทางที่มืดมิด แต่ระหว่างทางหัวใจเรายังจะได้สัมผัสความสวยงามของความรักและความหวังไปด้วยเช่นกัน
จากคำพูดสุดท้ายของเรื่อง “แด่...ทุกความรักที่สร้างเรา To all the loves that bring us to life.”

you, me and Dupree


น.ส.เฟื่องฟ้า ผลมีทรัพย์ 05490285
เคยไหมที่บางครั้งเพื่อนของคุณก่อเรื่องวุ่นวายทำเรื่องยุ่งๆต่างๆนานา ทำให้คุณต้องปวดหัว หรือมีเรื่องต้องทะเลาะกันรุนแรงบ้าง แต่ท้ายที่สุดแล้วเพื่อนก็คือเพื่อน สายสัมพันธ์ระหว่างมิตรภาพของคุณกับเพื่อนก็ไม่เคยตัดกันขาดสักที อย่างในภาพยนตร์เรื่องนี้ที่จะแสดงให้เห็นมิตรภาพระหว่างเพื่อนที่ถึงเวลาจะผ่านไปนานเพียงไร อาจมีเรื่องที่ทำให้เข้าใจผิดกันบ้าง แต่ก็ไม่ทำให้มิตรภาพเปลี่ยนแปลงไป
ภาพยนตร์เรื่อง you, me and Dupree เป็นเรื่องของคู่ที่เพิ่งแต่งงานใหม่อย่างคาร์ลและมอลลี่ กับดูพรีเพื่อนรักของคาร์ล ในช่วงแรกของชีวิตการแต่งงานของคาร์ลกับมอลลี่แทนที่พวกเขาสองคนจะได้ใช้ชีวิตอย่างคู่รักข้าวใหม่ปลามัน แต่กลับต้องถูกรบกวนโดยดูพรีเพื่อนรักของคาร์ลที่มาขออาศัยที่บ้านพวกเขาชั่วคราว เนื่องจากโดนไล่ออกจากงานและไม่มีที่อยู่ โดยเหตุผลที่เขาถูกไล่ออกจากงานนั้นเป็นเพราะเขาขาดงานหนึ่งสัปดาห์เพื่อไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวในงานแต่งงานของคาร์ลที่ฮาวาย คาร์ลได้ให้เข็มกลัดสัญลักษณ์เพื่อนเจ้าบ่าวไว้กับเขา หลังจากนั้นมาเข็มกลัดนี้จึงกลายเป็นของรักของหวงของดูพรี ระหว่างที่อยู่ที่บ้านของคาร์ลนั้นดูพรีได้ก่อความวุ่นวายให้กับมอลลี่อย่างมาก ทั้งทำบ้านสกปรก ไม่ใส่เสื้อผ้านอน เปลี่ยนเสียงฝากข้อความโทรกลับของโทรศัพท์บ้านและทำประดุจตนเองเป็นเจ้าของบ้านเสียเอง ที่ร้ายแรงที่สุดคือ ทำบ้านของพวกเขาไฟไหม้ ซึ่งครั้งนี้คาร์ลกับมอลลี่โกรธมากจึงต้องให้ดูพรีออกจากบ้านไป พวกเขากลับมามีความสุขอย่างคู่ที่เพิ่งแต่งงานอีกครั้ง แต่ก็ไม่นาน ในเย็นวันนั้นเองหลังจากที่คาร์ลกับมอลลี่กลับมาจากรับประทานอาหารเย็น พวกเขาเจอดูพรีนั่งตากฝนอยู่ริมถนน และตัดสินใจให้ดูพรีมาอยู่ที่บ้านด้วยอีกครั้ง ดูพรีขอแก้ตัวใหม่โดยเริ่มต้นจากการทำความสะอาดบ้านที่เขาทำไฟไหม้ไว้ คาร์ลเริ่มทำงานหนักและกลับบ้านดึก เขาถูกกดดันจากพ่อตาของเขาที่เป็นประธานบริษัทอยู่ตลอดเวลา มอลลี่จึงปรึกษากับดูพรีเพื่อที่จะช่วยให้คาร์ลผ่อนคลายจึงช่วยกันทำอาหารเย็นไว้รอคาร์ลกลับมา ในวันนั้นดูพรีติดเข็มกลัดเพื่อนเจ้าบ่าวด้วย แต่คาร์ลก็กลับดึก เขากลับมา เห็นมอลลี่และดูพรีนั่งคุยกันอยู่อย่างสนุกสนาน และทั้งคู่ก็โกรธที่คาร์ลผิดนัด ระหว่างนั้นคาร์ลสังเกตว่ามอลลี่กับดูพรีสนิทสนมกันมากขึ้น ทำให้เขาเริ่มระแวงว่าดูพรีจะแอบชอบมอลลี่ กลางดึกคืนหนึ่งขณะที่มอลลี่ลงมาดื่มน้ำเธอเจอดูพรีกำลังสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองอยู่ ด้วยความที่ตกใจเธอทำแก้วตก และคาร์ลก็ลงมาดู เขาถามดูพรีว่าเอาหนังโป๊มาจากไหนแล้วย้ำดูพรีว่าเอาไปเก็บที่เดิมแล้วหรือยัง ยังไม่ทันได้ตอบมอลลี่ที่เข้าไปเอาน้ำในครัวก็เห็นกล่องของคาร์ลวางอยู่ในครัว ทั้งคู่จึงมีปากเสียงกัน คืนนั้นคาร์ลไล่ดูพรีออกจากบ้านพร้อมทั้งทวงเข็มกลัดเพื่อนเจ้าบ่าวคืน ดูพรีไม่ยอมให้แต่ก็ยอมออกจากบ้านไปโดยดี วันต่อมามอลลี่มีนัดทานข้าวเย็นที่บ้านกับพ่อของเธอจึงบอกให้คาร์ลกลับบ้านเร็ว ดูพรีที่แอบกลับมาเอาของที่บ้านของคาร์ลด้วยการปีนขึ้นไปบนชั้นสองของบ้านและตกลงมา ทุกคนในบ้านจึงรีบออกมาดู พอพบว่าเป็นดูพรีคาร์ลกลับไล่เขาอีกครั้งแต่มอลลี่รีบเข้าไปช่วยและชวนดูพรีทานข้าวเย็นด้วยกัน ดูพรีและพ่อของมอลลี่คุยกันอย่างถูกคอซึ่งยิ่งทำให้คาร์ลยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น เหตุการณ์ยิ่งแย่ลงมากขึ้นเมื่อพ่อของมอลลี่ชวนดูพรีไปตกปลาด้วยกัน เป็นที่รู้กันดีว่าหากพ่อของมอลลี่ชอบใครเขาก็จะชวนคนนั้นไปตกปลาด้วย และคาร์ลก็ไม่เคยได้รับคำชวนนั้นเลย ทำให้เขาโกรธมากจนกระโจนเข้าไปทำร้ายดูพรีแล้วเกือบจะมีเรื่องกับพ่อตาของเขา มอลลี่และพ่อของเธอพาดูพรีไปโรงพยาบาลส่วนคาร์ลก็ออกจากบ้านไปในคืนนั้น ที่โรงพยาบาลมอลลี่ถามพ่อของเธอว่าอยากให้ชีวิตแต่งงานของเธอไปรอดหรือไม่ แต่พ่อของเธอตอบไม่ได้ ดูพรีรอคาร์ลที่บ้านทั้งคืนแต่คาร์ลก็ไม่กลับมา รุ่งเช้าเขาและกลุ่มเด็กๆที่ดูพรีสนิทด้วยจึงช่วยกันออกตามหา ดูพรีไปพบคาร์ลที่ผับที่พวกเขาเคยนัดเจอกันทุกอาทิตย์ก่อนที่คาร์ลจะแต่งงานไปและได้ปรับความใจกันที่นั่น ดูพรีช่วยคาร์ลเปิดทางให้เขาเข้าไปคุยกับพ่อของมอลลี่ในบริษัทด้วยการหลอกล่อยามตัวใหญ่ให้วิ่งไล่ตามเขาแทน เมื่อคาร์ลได้พบกับพ่อของมอลลี่เขาเคลียร์ทุกอย่างที่ติดค้างในใจพร้อมทั้งบอกว่ามอลลี่คือทุกสิ่งของเขา ดูพรีที่หนียามไปซ่อนตัวอยู่บนช่องแอร์ตกลงมาที่ห้องนั้นพอดีพร้อมกับโชว์เข็มกลัดเพื่อนเจ้าบ่าว แล้วคาร์ลก็กลับบ้านกับดูพรีไปปรับความเข้าใจกับมอลลลี่ ต่อมาดูพรีประสบความสำเร็จในการเขียนหนังสือสร้างกำลังใจให้กับผู้ที่ยังไม่ค้นพบตัวเอง เขากล่าวว่า “เราต้องมีความอดทนในการรอที่จะทำความฝันของตนเองให้เป็นจริง”
เรื่องนี้เปิดเรื่องด้วยตัวละครคือคาร์ลกับมอลลี่กำลังคุยเล่นกันอย่างมีความสุขในช่วงของการจัดเตรียมงานแต่งงานที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันถัดมา แล้วเพื่อนในกลุ่มของคาร์ลก็มาเคาะประตูห้องเพื่อมาบอกว่าดูพรีมาถึงแล้ว
เหตุการณ์เริ่มพัฒนา เมื่อดูพรีมาอาศัยอยู่ที่บ้านของคาร์ลกับมอลลี่ เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องให้เรื่องพัฒนาต่อไปสู่เหตุการณ์อื่นๆตามมา
ความขัดแย้ง เป็นความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ระหว่างพ่อของมอลลี่กับคาร์ล พ่อของมอลลี่ยังห่วงลูกสาวอยู่มากทำให้เขาเข้าไปเจ้ากี้เจ้าการกับคาร์ลมากเกินไป ทั้งให้คาร์ลใช้นามสกุลของเขาต่อท้ายนามสกุลเดิมของคาร์ล แนะนำให้คาร์ลไปทำหมัน ปรับเปลี่ยนแผนงานของคาร์ลตามใจตัวเอง สร้างความกดดันให้กับคาร์ลอย่างมากส่งผลให้เขาต้องทำงานหนักเพื่อที่จะเอาชนะพ่อตาให้ได้ จนพัฒนาเป็นเหตุให้คาร์ลขัดแย้งกับตัวละครหลักตัวอื่นๆอีก คือ มอลลี่กับดูพรี
การพัฒนาความขัดแย้งไปจนถึงจุดวิกฤติ ตอนที่ดูพรีย้อนกลับมาเอาของที่บ้านคาร์ล และได้ทานข้าวเย็นร่วมกับพ่อของมอลลี่นั้น เดิมทีคาร์ลโกรธดูพรีอยู่แล้ว แล้วมอลลี่ยังชวนดูพรีทานอาหารเย็นร่วมกันและดูแลดูพรีอย่างดีอีก ก็ทำให้คาร์ลรู้สึกโกรธมากอยู่แล้ว เมื่อพ่อของมอลลี่เอ่ยปากชวนดูพรีไปตกปลาด้วยกัน เป็นที่ทราบดีกันว่าหากพ่อของเธอชอบใครก็จะชวนคนนั้นไปตกปลาด้วย ทั้งๆที่คาร์ลเป็นลูกเขย เขารอมาตลอดให้พ่อของมอลลี่เอ่ยปากชวนเขา แต่ก็ไม่มีวี่แวว พอได้ยินว่าพ่อตาของเขาชวนดูพรีไปตกปลาต่อหน้าเขาแล้วนั้น ความโกรธของเขาก็ระเบิดออกมา
จุดไคลแมกซ์ เมื่อคาร์ลได้ยินพ่อตาของเขาชวนดูพรีไปตกปลาต่อหน้าเขาแล้ว ด้วยความที่โมโหมากจนขาดสติ เขากระโจนเข้าหาเพื่อที่จะทำร้ายดูพรีและหันมามีเรื่องกับพ่อตาของเขาต่อ แต่ถูกตีด้วยเชิงเทียนเสียก่อนจึงหุนหันออกจากบ้านไปทั้งที่ไม่มีเงินและกุญแจรถ
การปิดเรื่อง ดูพรีประสบความสำเร็จในการเขียนหนังสือให้กำลังใจแก่ผู้ที่ยังค้นหาตัวเองไม่เจอ และกำลังรอคอยความฝันนั้นอยู่
เมื่อพิจารณาภาพรวมแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้เน้นที่ตัวละคร ดูได้จากการตั้งชื่อเรื่องซึ่งมีตัวละครเอกคือดูพรีเป็นตัวดำเนินเรื่อง มีบทบาทเป็นผู้กระทำ คือ เป็นคนดำเนินเรื่องให้เกิดเรื่องราวต่างๆขึ้น ผู้สร้างต้องการนำเสนอมิตรภาพความจริงใจของเพื่อน โดยส่งต่อผ่านตัวละครที่ชื่อดูพรีที่ถึงแม้จะเป็นตัวก่อเรื่องยุ่งๆมาให้เพื่อน เขาก็มีความจริงใจและหวังดีกับเพื่อนเสมอ เขาเป็นคนที่รักเพื่อนมากและให้ความสำคัญกับเข็มกลัดที่ติดในงานแต่งงานของคาร์ลมากเหตุการณ์ที่เน้นย้ำให้เห็น คือ ตอนที่เขาและมอลลี่ตั้งใจทำอาหารให้คาร์ลเพื่อช่วยผ่อนคลาย ดูพรีก็ใส่ชุดเพื่อนเจ้าบ่าวที่ใส่ในงานแต่งของคาร์ลและยังติดเข็มกลัดเพื่อนเจ้าบ่าวอีกด้วย ในตอนที่คาร์ลไล่ดูพรีออกจากบ้านแล้วทวงเข็มกลัดเพื่อนเจ้าบ่าวคืนดูพรีก็ไม่ยอมให้ และตอนที่ดูพรีตกลงมาจากช่องแอร์ที่บริษัทของพ่อมอลลี่เขาก็หยิบเข็มกลัดเพื่อนเจ้าบ่าวออกมาให้คาร์ลดู จากเหตุการณ์ที่ยกตัวอย่างมานี้ผู้สร้างต้องการนำเสนอว่าเข็มกลัดเพื่อนเจ้าบ่าวเป็นเหมือนตัวแทนมิตรภาพระหว่างเพื่อน และดูพรีมีความภูมิใจที่เป็นเจ้าของเข็มกลัดเพื่อนเจ้าบ่าวอย่างมาก มันเป็นเหมือนตัวแทนมิตรภาพระหว่างเขากับคาร์ล
ภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ความหมายที่ดีของคำว่าเพื่อน แม้จะไม่ได้แสดงออกมาจากตัวละครที่มีความเพียบพร้อม สร้างความเดือดร้อนให้กับเพื่อนบ้างแต่ก็ไม่ได้ตั้งใจ ตัวละครเอก ดูพรีจริงใจกับมิตรภาพของเขากับคาร์ลมาก ชื่อเรื่องที่ตั้งให้ความหมายสัมพันธ์กับเนื้อเรื่องได้ดี การดำเนินเรื่องไม่ซับซ้อน เข้าใจง่าย มีความตลกขบขันแทรกอยู่และให้สาระกับผู้ชมได้ดี ทั้งมิตรภาพระหว่างเพื่อน การใช้ชีวิตคู่ และการแก้ไขปัญหาต่างๆตามแบบของแต่ละคน โดยเฉพาะในท้ายเรื่องยังแทรกการให้กำลังใจแก่ผู้ชมให้มีความพยายามที่จะทำฝันให้เป็นจริง เหมือนดูพรีที่เริ่มต้นจากไม่มีอะไรเลย ทั้งงานและที่อยู่ ในตอนจบเขาได้ค้นพบตัวเองและทำฝันให้เป็นจริงได้ในที่สุด เป็นบทสรุปจบของเรื่องนี้ได้อย่างสมบูรณ์