วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ARMAGEDDON


นางสาวกนกนภา มั่นศักดิ์
รหัส 05490004


อมาร์เกดดอน:วันโลกาวินาศ....สุขนาฏกรรมบนคราบน้ำตา

“ไม่มีครั้งไหนที่ดูอมาร์เกดดอนแล้วไม่ร้องไห้”...หลายคนมักพูดประโยคนี้ และฉันก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธถึงความรู้สึกซาบซึ้งในทุกครั้งที่ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ ทั้งๆที่ “อมาร์เกดดอน”เป็นภาพยนตร์แอ๊คชั่นผจญภัยแนววิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ...
อมาร์เกดดอนเป็นสุดยอดภาพยนตร์ของบริษัททัชสโตน พิคเจอร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เข้าฉายเมื่อปี 2541 โดยมีผู้กำกับฝีมือดีอย่างไมเคิล เบย์และทีมงานสร้างสรรค์ชั้นยอดของวงการภาพยนตร์ ประกอบกับนักแสดงชั้นนำมากมายที่มาร่วมแสดงบทบาท สร้างสีสันและความประทับใจให้กับผู้ชม ไม่ว่าจะเป็นบรู้ซ วิลลิส, บิลลี่ บ๊อบ ธอร์นตัน, ลิฟ ไทเลอร์และเบ็น แอฟเฟลค เป็นต้น
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของนักขุดเจาะน้ำมันที่ต้องกลายเป็นนักบินอวกาศเฉพาะกิจเพื่อปฏิบัติภารกิจพิทักษ์โลก เมื่อนาซาพบว่าลูกอุกกาบาตหรือที่บางคนเรียกว่าดาวหางขนาดใหญ่เท่ามลรัฐเท็กซัสกำลังจะพุ่งชนโลก ในอีก 18 วันข้างหน้า ทางเดียวที่จะสามารถกู้โลกให้พ้นจากอุบัติภัยล้างโลกครั้งนี้ได้ก็คือต้องส่งนักขุดเจาะน้ำมันทีมแกร่งไปขุดหลุมลึก 800 ฟุต เพื่อฝังหัวรบนิวเคลียร์ในแกนกลางของดาวหางและระเบิดให้แตกเป็นสองเสี่ยง ซึ่งจะทำให้มันเปลี่ยนวิถีออกไปจากโลก และเนื่องจากนาซาขาดบุคลากรผู้เชี่ยวชาญทางด้านการขุดเจาะ แดน ทรูแมน(ธอร์นตัน)ผู้อำนวยการองค์การนาซาจึงได้ขอความช่วยเหลือจากแฮรี่ แสตมป์เปอร์(บรู้ซ วิลลิส) ผู้เชี่ยวชาญที่มีฝีมือ ประสบการณ์และความชำนาญชั้นยอดในอาชีพขุดเจาะน้ำมันพร้อมกับลูกทีมที่ดูเหมือนจะไม่เอาไหนของเขามาร่วมปฏิบัติการในครั้งนี้ หลังการฝึกหัดการเป็นนักบินอวกาศหลักสูตรเร่งรัด กลุ่มนักขุดเจาะน้ำมันก็ถูกแบ่งเป็น 2 ทีมพร้อมกับนักบินอวกาศ ทั้งหมดเป็นความหวังเดียวและความหวังสุดท้ายขององค์การนาซา ชาวสหรัฐฯ และคนทั้งโลก แต่การเดินทางก็มิได้ราบรื่นนัก พวกเขาต้องฝ่าฝันอุปสรรคและความโหดร้ายจากอานุภาพของดาวหางมฤตยูที่รุนแรงขึ้นทุกขณะทำให้เสียเพื่อนร่วมทีมไปหลายคน แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็ได้เกิดขึ้นในอีกเสี้ยวนาทีที่ดาวหางจะพุ่งชนโลก เนื่องจากรีโมตที่ใช้กดระเบิดเกิดขัดข้องใช้งานไม่ได้จึงต้องมีคนอยู่กดระเบิดซึ่งคนนั้นก็คือแฮรี่ และในท้ายที่สุดพวกเขาก็ทำการระเบิดดาวหางได้สำเร็จ ลูกเรือที่เหลือเดินทางกลับสู่พื้นโลกอย่างปลอดภัย ท่ามกลางความชื่นชมยินดีของคนทั่วโลกที่เหมือนมีชีวิตใหม่อีกครั้ง...
แนวเรื่องอาร์มาเกดดอนเน้นเหตุการณ์คือภารกิจทำลายดาวหางที่ดำเนินไปพร้อมๆกับการนำเสนอเรื่องราวในแง่มุมต่างๆที่นอกเหนือจากการผจญภัยในอวกาศ ซี่งมีการผสมผสานกันได้อย่างลงตัวตั้งแต่ต้นจนจบ โดยทุกเหตุการณ์ดำเนินไปอย่างเป็นลำดับ มีความสัมพันธ์และเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน จึงสามารถสะท้อนให้เห็นถึงแง่คิดที่แฝงอยู่ ตลอดจนความเป็นไปและการเติบโตของตัวละครได้เป็นอย่างดี ทำให้อาร์มาเกดดอนเป็นมากกว่าภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์ทั่วๆไป
ความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้เป็นความขัดแย้งที่อาร์มาเกดดอนนำเสนอได้อย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ในเรื่องจะดูขัดกับความเป็นจริงตรงที่มนุษย์สามารถเอาชนะธรรมชาติได้ ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วมนุษย์ไม่สามารถหยุดยั้งดาวหางได้ภายในเสี้ยววินาทีเพราะมันเดินทางเร็วมากและมีน้ำหนักเป็นล้านๆตัน เราต้องหามันให้เจออย่างน้อย 4-5 ปีก่อนที่จะลงมือและต้องใช้เวลา 6 เดือนถึง 1 ปีเป็นอย่างเร็วกว่าจะเดินทางไปถึงดาวหาง ทั้งยังต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะหาอาวุธหรือกลวิธีที่จะสามารถทำลายหรือเบี่ยงมันให้พ้นจากวิถีโลกได้ ดังนั้นถ้ารู้ก่อนเพียงแค่ 18 วันเช่นในเรื่อง มนุษย์คงต้องยอมรับกับความพ่ายแพ้ไปโดยไม่มีทางเลือก ส่วนในเรื่องของการทำลายล้างด้วยวิธีขุดหลุมบนพื้นผิวดาวหางแล้วฝังระเบิดนิวเคลียร์ที่ชั้นใต้สุด เพื่อให้แรงระเบิดแต่ละครั้งช่วยเบี่ยงของวิถีโคจรของดาวหางก็ยังมีทฤษฎีที่อ้างอิงได้อยู่บ้าง นั่นแสดงว่าผู้สร้างสามารถผสมผสานระหว่าง “ความจริง”และ “ความลวง”ให้ออกมาเป็น “ความสมจริง”สู่สายตาผู้ชมได้อย่างเป็นอย่างดี เพราะคนส่วนใหญ่ก็รู้สึกเชื่อและลุ้นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปจนถึงจุดจบของภารกิจนี้ด้วย
อาร์มาเกดดอนเปิดเรื่องด้วยฉากห้วงอวกาศที่มองเห็นโลกสีฟ้าสดใสกับดาวหางที่มีรูปร่างน่าสะพรึงกลัวที่เป็นชนวนสำคัญของเรื่องนี้ เสียงดนตรีค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับคำบรรยายว่า “ที่นี่โลก..เมื่อครั้งอดีตกาลยุคไดโนเสาร์ครอง บนผืนดินอันอุดมสมบูรณ์ แต่แล้วดาวหางกว้าง 6 ไมล์ ได้เปลี่ยนทุกสิ่งเสียสิ้น...มันเคยเกิดขึ้นแล้วและจะเกิดขึ้นอีก แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่” ทำให้สัมผัสได้ถึงความเคว้งคว้างและการสูญเสียอันน่าสยดสยองที่กำลังจะมาถึงในเวลาอันใกล้ และมันก็เกิดขึ้นจริง การทำลายล้างโดยสิ่งที่เรียกว่าธรรมชาติเริ่มส่งสัญญาณมาเตือนมนุษย์ให้เตรียมรับมือกับความเสียหายครั้งยิ่งใหญ่ หลายเมืองได้รับความเสียหายจากเศษอุกกาบาตที่พุ่งชนโดยไม่ทันได้ตั้งตัว แม้กระทั่งนาซาเอง เหตุการณ์เริ่มพัฒนาเมื่อนาซาพบว่าดาวหางขนาดมหึมากำลังจะพุ่งชนโลก จึงได้ขอความร่วมมือจากแฮรี่ นักขุดเจาะน้ำมันผู้เชี่ยวชาญระดับโลก การผจญภัยในอวกาศเพื่อปฏิบัติการกู้โลกอันเป็นเหตุการณ์สำคัญของเรื่องจึงได้เริ่มขึ้น

แฮรี่..เป็นตัวละครเอกที่เป็นผู้ดำเนินเรื่องตั้งแต่ก่อนเริ่มภารกิจ ขณะปฏิบัติภารกิจ ไปจนถึงจุดสิ้นสุดของภารกิจอันนำไปสู่จุดจบของเรื่อง เขาคือตัวละครสำคัญที่ได้สะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกนึกคิดในแง่มุมต่างๆที่นอกเหนือจากการผจญภัยในอวกาศเพื่อทำลายดาวหาง หลายคนอาจเสียน้ำตาเพราะเขา...ด้วยลักษณะนิสัยส่วนตัวของแฮรี่ที่เป็นคนดื้อ ไม่ยอมเชื่อฟังหรือไว้ใจใครนอกจากตัวเอง แต่ภายใต้ลักษณะภายนอกที่ดูแข็งกร้าวนั้นมีจิตใจที่อ่อนโยนซ่อนอยู่ แฮรี่เลี้ยงลูกสาวคนเดียว(เกรซี่หรือเกรซ)ตั้งแต่ยังเด็กท่ามกลางเพื่อนคนงานในแท่นขุดเจาะน้ำมันเพราะแม่ของเธอทิ้งไป เขารักเกรซมาก แต่ด้วยช่องว่างระหว่างวัยของพ่อกับลูกสาวและการแสดงออกซึ่งความรักที่เกรซไม่อาจรับรู้แต่เธอกลับคิดว่าพ่อเลี้ยงดูเธอแบบทิ้งๆขว้างและเป็นพ่อที่ไม่เอาไหน หลังจากที่นาซาเข้ามาขอร้องให้แฮรี่ช่วยในปฏิบัติการกู้โลกแฮรี่ก็ยินดีทั้งๆที่รู้ว่ามันคือภารกิจที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน ในระหว่างที่เรื่องราวต่างๆกำลังดำเนินไป เรื่องราวการแสดงออกถึงความรักระหว่างพ่อและลูกก็ดำเนินไปด้วย บ่อยครั้งเมื่อต้องมีการตัดสินใจหรือมีเรื่องไม่สบายใจแฮรี่และเกรซจะสบตากันเสมอ ในบางครั้งก็จับมือกัน แม้ว่าจะเป็นเพียงจุดเล็กๆแต่ก็ทำให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของแฮรี่และเกรซ...พ่อลูกที่ดูเหมือนจะไม่เคยญาติดีกันมาก่อน อาจเข้าทำนองที่ว่า “ไม่เห็นโลงศพไม่หลังน้ำตา”ก็เป็นได้ เพราะเมื่อแฮรี่ได้ตอบตกลงที่จะร่วมปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ ก็เท่ากับว่าได้เริ่มนับถอยหลังสู่วันที่จะเข้าหาความตายในทันที
แฮรี่..ไม่เพียงถ่ายทอดถึงอารมณ์รักที่ลึกซึ้งระหว่างพ่อลูกเท่านั้น แต่เขายังได้ให้แง่คิดเรื่องการทำงาน เมื่อเขาได้ตอบตกลงที่จะทำภารกิจร่วมกับนาซา เงื่อนไขแรกที่เขาต้องการก็คือ ทีมขุดเจาะน้ำมันของเขาเอง ด้วยเหตุผลที่ว่าการทำงานไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามต้องรู้ให้ละเอียดทั้งศาสตร์และศิลป์ การขุดเจาะน้ำมันก็เช่นเดียวกัน พวกนักบินอวกาศของนาซาเป็นนักบินอวกาศที่ดีก็จริงแต่ไม่รู้เรื่องการขุดเจาะเลย ถึงแม้ว่าสมาชิกในทีมของเขาอาจดูไม่น่าเชื่อถือ บางคนก็ติดการพนัน บางคนก็ติดหญิง แต่ละคนดูไม่ค่อยจะปกตินัก แต่พวกเขาก็มีความสามารถและความเชี่ยวชาญในเรื่องที่เกี่ยวกับการขุดเจาะอย่างน่าทึ่ง และสิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งในการทำงานร่วมกันเป็นทีมก็คือ “ความไว้ใจและเชื่อใจกัน”งานจึงจะสำเร็จได้ ดังเช่นตอนขุดหลุมบนดาวหางที่เหลือเพียงโอกาสสุดท้ายแล้วเพราะอุปกรณ์ขุดเจาะเสียหายไปหมด และเวลาก็เหลือน้อยเต็มที ทั้งๆที่แฮรี่ไม่ชอบทำอะไรที่เสี่ยงเกินไปซี่งตรงข้ามกับเอเจที่กล้าได้กล้าเสียอย่างห้าวหาญ เมื่อแท่นขุดอยู่ในมือเอเจและเขาก็มั่นใจว่าตนต้องทำสำเร็จ แฮรี่ก็เชื่อใจเอเจทั้งๆที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และสุดท้ายเอเจก็สามารถขุดหลุมได้สำเร็จตามที่เขามั่นใจจริงๆ
เมื่อเหตุการณ์ในเรื่องดำเนินมาจนถึงจุดวิกฤต เนื่องจากรีโมตกดระเบิดเกิดใช้งานไม่ได้ ทางเดียวที่จะสามารถระเบิดดาวหางเพื่อให้มวลมนุษยชาติและทุกสรรพสิ่งบนโลกอยู่รอดได้ ก็คือ ต้องมีคนอยู่กดระเบิดและสละชีพไปพร้อมๆกับการสูญสิ้นของดาวหาง ทางออกที่ดูจะยุติธรรมที่สุดที่พวกเขาเลือกก็คือการจับไม้สั้นไม้ยาว และเอเจก็เป็นผู้เสียสละจำเป็นโดยไม่อาจปฏิเสธเพราะเขาจับได้ไม้สั้น เมื่อเวลาใกล้เข้ามาแฮรี่อาสาที่จะไปส่งเอเจบนพื้นผิวดาวหาง และแล้วแฮรี่ก็ได้นำเหตุการณ์ของเรื่องไปสู่จุดไคลแม๊กซ์ เขาผลักเอเจกลับไปในยานอวกาศ รับหน้าที่กดระเบิดแทนเอเจ ทั้งๆเห็นความตายรออยู่ข้างหน้า เขาไม่ได้ต้องการเป็นวีรบุรุษเพื่อให้คนทั้งโลกชื่นชมหรือให้ประวัติศาสตร์ได้จารึกชื่อของเขาเอาไว้ แต่สิ่งที่เขาต้องการที่สุดในชีวิตที่กำลังจะดับไปนี้ ก็เพียงอยากให้ลูกสาวมีคนดูแลและมีความสุขกับคนรักที่ตัวเองเลือกซึ่งก็คือเอเจ ก่อนกดระเบิดแฮรี่ได้คุยกับเกรซ สองพ่อลูกต่างส่งผ่านความรู้สึกของกันและกันผ่านทางหน้าจอเล็กๆ การแสดงความรักของทั้งคู่ทำให้รู้สึกซาบซึ้งคละเคล้ากับความเศร้าโศก เกรซพูดว่า “..หนูโกหกที่บอกว่าไม่อยากเหมือนพ่อ นั่นเป็นเพราะหนูเหมือนพ่อ สิ่งดีๆทุกอย่างในตัวหนู ล้วนมาจากพ่อ หนูรักและภูมิใจในตัวพ่อเหลือเกิน..”แฮรี่ยิ้มทั้งน้ำตาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจที่ลูกยอมรับในความเป็นพ่อ แม้จะในวาระสุดท้ายของชีวิต ฉากนี้คงทำให้ใครหลายคนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ และที่ตอกย้ำให้เห็นว่าลูกสาวคือทุกอย่างในชีวิตของแฮรี่ ตอนกดระเบิดแฮรี่พูดว่า “เราชนะ..เกรซี่” พร้อมกับภาพเก่าๆของเธอตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเป็นเจ้าสาว สุดท้ายเรื่องนี้ก็จบลงอย่างมีความสุขเมื่อลูกเรือที่เหลือกลับสู่พื้นโลกอย่างปลอดภัยท่ามกลางความดีใจของคนทั้งโลก แล้วเรื่องก็จบลงที่บรรยากาศงานแต่งงานของเกรซี่กับเอเจที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขของเขาทั้งคู่และผู้คนที่มาร่วมงานตลอดจนแฮรี่และเหล่าผู้กล้าที่ได้สละชีวิตไปกับปฏิบัติการกู้โลกที่มีภาพถ่ายในชุดอวกาศของนาซาประดับอยู่ในงาน ซึ่งสื่อให้เห็นว่าพวกเขายังคงอยู่ในความทรงจำของทุกคนและควรได้รับรู้ถึงความสุขนี้ด้วย
นอกจากความน่าสนใจของตัวละครและเนื้อเรื่องแล้ว ฉากและบรรยากาศ ตลอดจนแสง สี เสียงต่างๆก็ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญที่มีส่วนช่วยกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกของผู้ชมให้คล้อยตามหรือรู้สึกเชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่องตลอดจนวัสดุ อุปกรณ์ สถานที่ต่างๆนั้นมีอยู่จริง ซึ่งผู้สร้างสามารถผสมผสานสิ่งเหล่านี้ได้อย่างลงตัว ผู้ชมจึงเกิดอารมณ์ร่วมไปกับภาพยนตร์ได้ไม่ยาก ทุกสิ่งทุกอย่างในแต่ละฉากล้วนมีความสำคัญที่อาจสื่อถึงความหมายบางอย่างที่มากไปกว่าความสวยงาม ความลึกลับน่าสยดสยองรวมไปถึงความตื่นเต้น ลุ้นระทึกตลอดเวลา ดังเช่น ฉากที่แฮรี่กับเกรซคุยก่อนที่จะไปปฏิบัติภารกิจ เกรซขอโทษพ่อกับเรื่องที่เคยทำไม่ดีเอาไว้ และให้พ่อสัญญาว่าจะกลับมาพร้อมกับเอเจคู่หมั้นของเธอ สถานที่ที่ทั้งคู่คุยกันเป็น “อนุสรณ์แด่...ผู้เสียสละอันสูงส่ง”ของนาซา ซึ่งถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และมีความหมาย ในอีกนัยหนึ่งผู้สร้างอาจต้องการสื่อถึงอะไรบางอย่างในทำนองที่ว่า... “การจากไปอย่างไม่มีวันกลับ”ดังเช่นเหล่าผู้เสียสละทั้งหลายที่ต้องกลายเป็นเพียงความทรงจำของคนข้างหลังก็เป็นได้
ด้วยองค์ประกอบต่างๆที่เกิดจากการคัดสรรและสร้างสรรค์เป็นอย่างดี จึงไม่น่าแปลกใจที่ภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์เรื่องนี้จะให้อะไรแก่ผู้ชมมากกว่าความสนุกสนาน ตื่นเต้นจากการผจญภัย แต่ยังได้สัมผัสกับความรู้สึกซาบซึ้งในกลิ่นไอแห่งความรัก ตลอดจนแง่มุมต่างๆในการใช้ชีวิตที่สามารถผสมเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัวและน่าประทับใ จ

อมาร์เกดดอนเป็นภาพยนตร์ที่ทำให้ฉันรู้ว่า วีรบุรุษไม่จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่เพื่อรอฟังคำสรรเสริญเยินยอจากผู้คนทั้งหลายในตอนจบหรือรอที่จะพบกับความสำเร็จสูงสุดในชีวิต แต่วีรบุรุษที่แท้จริงจะต้องเป็นผู้ที่กล้าสละความสุขส่วนตัวหรือแม้แต่ชีวิตของตนเองเพื่อต่อชีวิตของผู้คนอีกนับไม่ถ้วนอย่างแฮรี่
...เมื่อมวลมนุษยชาติและสรรพสัตว์ทั้งหลายบนโลกได้ชีวิตที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายกลับคืนมาเพื่อเป็นพลังในการสร้างสรรค์สังคมและโลกมนุษย์ให้คงอยู่ ในขณะที่ต้องสูญเสียวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งไป.....นี่แหละ “สุขนาฏกรรมบนคราบน้ำตา”

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

“..หนูโกหกที่บอกว่าไม่อยากเหมือนพ่อ นั่นเป็นเพราะหนูเหมือนพ่อ สิ่งดีๆทุกอย่างในตัวหนู ล้วนมาจากพ่อ หนูรักและภูมิใจในตัวพ่อเหลือเกิน..” เป็นใครก็ต้องจุกตรงฉากนี้ ทำให้ต้องมองตัวเองแล้วล่ะว่ามีทิฐิกับใครหรือเปล่า?? ต้อง ลด ละ เลิก สิ่งเหล่านี้ หันมาใส่ใจกับคนรอบข้าง คนใกล้ตัวให้มากขึ้น.... ก่อนที่มันจะสาย (บอกกับตัวเอง55+)TTT__TTT