นางสาว หทัยวรรณ มณีวงษ์
05490444
อยากให้เรื่องนี้ไม่มีโชคร้าย
( A Series of unfortunate events)
( A Series of unfortunate events)
“อยากให้เรื่องนี้ไม่มีโชคร้าย (A Series of unfortunate events)” เป็นภาพยนตร์ประเทศอังกฤษ แนวแฟนตาซี ผจญภัย ที่กำกับโดย Brad Silberling นำมาจากวรรณกรรมเยาวชนที่ได้รับความนิยมอย่างมากในทั่วโลก ถึงขนาดที่ว่าสามารถโค่นแชมป์อย่าง Harry Potter ให้ลงจากอันดับ 1 หนังสือขายดีได้ในสถิติหลายแห่งเลยทีเดียวแต่งขึ้นโดย แดเนียล แฮนด์เลอร์ ภายใต้นามปากกา Lemony snickets
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่แสดงถึงความโชคร้ายของ3พี่น้อง ที่ได้รับความโชคร้ายซ้ำแล้วซ้ำ เล่า จากจอมวายร้ายที่หวังจะครอบครองสมบัติของพวกเขา จนบางครั้งดูหนังเรื่องนี้มาก็พลางนึกอยู่ในใจเป็นประโยคเหมือนอย่างชื่อหนัง “อยากให้เรื่องนี้ไม่มีโชคร้าย”
เนื้อเรื่องได้กล่าวถึง 3 พี่น้องตระกูลโบดแลร์ คือ ไวโอเล็ต โบดแลร์ ,เคลาส์ โบดแลร์ และซันนี่ โบดแลร์ ได้รับข่าวร้ายอย่างกะทันหันว่าคฤหาสน์อันใหญ่โตของพวกเขาได้เกิดอุบัติเหตุถูกเพลิงไหม้และพ่อแม่ของพวกเขาก็ได้เสียชีวิตไปพร้อมกับคฤหาสน์หลังนั้นด้วย ทิ้งไว้เพียงกล้องส่องทางไกลอยู่ในโต๊ะทำงานของพ่อซึ่งเป็นปริศนากับพวกเขาว่าทำไมโต๊ะทำงานพ่อจึงมีกล้องส่องทางไกล
พวกเขาได้ถูกส่งไปอยู่กับญาติห่างๆหลายคน และคนแรกที่ใกล้ชิดที่สุดคือ เคาต์ โอลาฟ ซึ่งเป็นคนที่ชั่วร้ายมาก เคาต์ โอลาฟได้พยายามฆ่าเด็กทั้ง3 เพื่อหวังที่จะได้มรดกอันมากมายที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ แต่ในครั้งแรกเด็กๆรอดมาได้ และได้ย้ายไปอยู่กับคุณลุงมอนตี้แสนใจดีที่เป็นนักวิทยาศาสตร์วิจัยเกี่ยวกับงูมีพิษ และกำลังจะไปเปรูเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่โชคร้ายก็ตามมาหลอกหลอนเมื่อเคาต์ โอลาฟ ได้ปลอมตัวมาเป็นผู้ช่วยของลุงและฆ่าคุณลุงตายในคืนก่อนที่จะไปเปรู โดยสร้างหลักฐานให้เหมือนโดนงูกัดตาย ทำให้ไม่มีใครสามารถเอาผิดเขาได้
หลังจากนั้นเด็กๆก็ได้ถูกส่งให้ไปอยู่กับคุณป้าโซเฟียผู้แสนประหลาด เธอเป็นผู้ที่มีความหวาดระแวงในทุกเรื่องและเศร้าหมองอยู่กับการจากไปของคุณลุงไอซ์ผู้เป็นสามี และเมื่อทุกอย่างดูเหมือนจะลงตัวทุกคนกำลังจะมีชีวิตใหม่อีกครั้ง เคาต์ โอลาฟก็ได้เข้ามาสร้างความวุ่นวายอีก โดยวางแผนที่จะเป็นผู้ปกครองของเด็กๆและฆ่าป้าโซเฟียโดยปล่อยให้ปลิงทะเลกินอย่างเลือดเย็น แล้วเด็กๆก็ได้กลับมาอยู่กับโอลาฟผู้ใจร้ายอีกครั้ง
เมื่อโอลาฟเห็นว่าไม่มีทางที่จะฆ่าเด็กๆได้ จึงหาวิธีใหม่คือการจัดงานแต่งงานกับไวโอเล็ตและจดทะเบียนสมรส เพื่อจะได้มีสิทธิ์ในมรดกอันมหาศาลของ3พี่น้องนี้ เคาต์ โอลาฟได้วางแผนแกล้งจัดการแสดงละครขึ้นมาโดยเชิญผู้คนมาชมเพื่อเป็นสักขีพยานและเชิญทนายตัวจริงมาร่วมแสดงเพื่อหวังที่จะให้พิธีนี้ถูกต้องตามกฎหมาย และบังคับให้ไวโอเล็ตยอมจดทะเบียนสมรสโดยการจับซันนี่น้องสุดท้องไว้ในกรงและแขวนไว้บนหอคอยและขู่ว่าจะทิ้งซันนี่ลงมาถ้าไม่ยินยอม ในขณะที่กำลังแสดงอยู่นั้น เคลาส์ได้พยายามปีนขึ้นไปช่วยซันนี่บนหอคอย เมื่อไปถึงหอคอย เคลาส์เห็นแว่นขยายขนาดมหึมาอันหนึ่งตั้งอยู่ข้างหน้าต่างที่กำลังหันไปทางคฤหาสน์โบดแลร์และตรงกับแสงอาทิตย์เมื่อแสงอาทิตย์สาดแสงมา ทำให้เคลาส์ค้นพบอะไรบางอย่างว่าเพลิงไหม้ของคฤหาสน์โบดแลร์ต้องไม่ใช่อุบัติเหตุอย่างแน่นอน
ที่ข้างล่าง ไวโอเล็ตกำลังเซ็นต์ใบจดทะเบียนอย่างจนใจและพยายามประกาศให้ทุกคนในงานรู้ว่านี่เป็นแผนของโอลาฟที่หวังได้สมบัติจากเธอ โอลาฟลุกขึ้นสารภาพอย่างผู้ชนะพร้อมใบจดทะเบียนในมือ ขณะนั้นในจังหวะที่พระอาทิตย์ส่องลงมาที่แว่นขยายเคลาส์ก็หันแว่นไปตรงกระดาษใบนั้นความร้อนจากดวงอาทิตย์ทำให้เกิดไฟลุกไหม้กระดาษถูกทำลาย ทุกคนรู้ความจริงในความชั่วร้ายของโอลาฟ และสุดท้ายเรื่องมันควรจะจบที่เคาต์ โอลาฟถูกจับไปลงโทษ แต่เขาก็หนีการจับกุมไปได้ และเด็กๆก็ต้องดำเนินชีวิตต่อไปพร้อมกับจดหมายและกล้องส่องทางไกลซึ่งเป็นสิ่งสุดท้ายที่พ่อแม่ได้ทิ้งไว้ให้
สำหรับการเริ่มเรื่อง มีลักษณะเป็นการเล่าเรื่องโดยจะเริ่มด้วยผู้แต่งกำลังนั่งพิมพ์พร้อมกับเล่าแนะนำตัวละครสำคัญและลักษณะพิเศษของตัวละครแต่ละตัว เพื่อให้ผู้ชมได้รู้จักตัวละคร และตามด้วยการเล่าเหตุการณ์ที่เป็นต้นเหตุของความโชคร้ายของเรื่องพร้อมมีปมปริศนาเล็กๆ เพื่อให้ผู้ชมได้ติดตามและคาดเดาไปพร้อมกับตัวละคร เช่น คฤหาสน์ถูกเพลิงไหม้หมด เหลือเพียงกล้องส่องทางไกลในโต๊ะทำงานของพ่อ ทำให้เราเริ่มสงสัยไปกับตัวละครแล้วว่า ทำไมในโต๊ะทำงานต้องมีกล้องส่งทางไกล
และได้สร้างความตื่นเต้นเร้าใจมากขึ้นเมื่อตัวละครเจอกับเรื่องที่เกือบเอาชีวิตไม่รอดหรือกำลังจะเจอหลักฐานสำคัญก็เกิดเรื่องขึ้นอีกทำให้ผู้ชมลุ้นและตื่นเต้นว่าเหตุการณ์ต่อไปจะเป็นอย่างไร
ลักษณะการดำเนินเรื่องก็จะมีภาพที่ผู้แต่งกำลังนั่งพิมพ์และเล่าเรื่องเป็นระยะ โดยเฉพาะฉากที่งูอสรพิษกำลังจะเข้ามาหาซันนี่โดยใช้เสียงและภาพที่น่าตื่นเต้นตกใจว่าซันนี่จะโดนงูกัดหรือไม่ ฉากก็ตัดไปที่ผู้แต่งโดยฉับพลัน ทำให้ผู้ชมลุ้นว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร
ฉากในภาพยนตร์จะเน้นสีสัน เป็นภาพที่เหมือนภาพเขียนการ์ตูนและใส่เอฟเฟคเข้าไปในภาพมากมายทำให้ภาพดูสวย น่าสนใจ เพิ่มอรรถรสในการชม
ความขัดแย้งในภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ เห็นได้จากการที่
เคาต์ โอลาฟต้องการสมบัติของตระกูลโบดแลร์ซึ่งไม่ใช่สมบัติของตน และพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้ครอบครองสมบัติ แม้จะเป็นการฆ่าผู้อื่นเพื่อไม่ให้มีใครขวางทางการได้ครอบครองสมบัติของตน
สิ่งที่ผู้ชมได้รับจากภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้แก่ข้อคิดที่ว่า สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นโชคร้าย จริงๆแล้วคือก้าวแรกของชีวิต เห็นได้จากตอนจบของเรื่องคือ พ่อแม่ได้ทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งไว้เพื่อให้กำลังใจและให้คติเตือนใจลูกๆก่อนที่จะเกิดเรื่องว่าให้พี่น้องมีความรักและสามัคคีกันไม่ทิ้งกัน และอีกอย่างคือกล้องส่องทางไกล ซึ่งถ้าผู้ชมสังเกตดีๆกล้องส่องทางไกลจะมีนัยสำคัญ2 ประการคือ กล้องส่องทางไกลเป็นแว่นขยาย และเคลาส์ก็รู้เหตุเพลิงไหม้ของคฤหาสน์ว่าไม่ใช่อุบัติเหตุแต่เป็นเพราะฝีมือของเคาต์โอลาฟ จากแว่นขยายขนาดมหึมาของโอลาฟบนหอคอย ที่เมื่อตั้งตรงกับแสงอาทิตย์แล้วส่องมาที่คฤหาสน์จะทำให้เกิดความร้อนและเป็นเพลิงลุกไหม้ได้
และนัยสำคัญอีกประการหนึ่งคือ เป็นสิ่งที่พ่อแม่ของเด็กทั้ง 3 ใช้เตือนใจลูกๆว่า คนเราต้องรู้จักมองให้ไกล อย่าคิดว่าปัญหาหรือสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่แย่ที่สุดในชีวิต แต่ชีวิตของคนเราต้องเดินทางไปอีกยาวไกล ดังนั้นหนทางข้างหน้าอาจจะมีเรื่องราวอีกมากมาย ขอแค่เราอยากท้อแท้กับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่จงเก็บไว้เป็นบทเรียนและประสบการณ์ในการดำเนินชีวิตต่อไป
และข้อคิดเตือนใจอีกข้อหนึ่งก็คือ “บางครั้งโลกก็ดูร้ายกาจ น่ากลัว แต่เชื่อเถอะว่าสิ่งดีๆต้องมากกว่าสิ่งเลวๆเสมอ”
1 ความคิดเห็น:
อยากทราบว่าข้อคิดของเรืาองนี้คืออะไรหรอค่ะ
แสดงความคิดเห็น