วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

Heaven before I die หนุ่มก๊องสติเฟื่อง


สิทธิเดช ภาคสกุณี

05490409


เป็นเรื่องราวของชายหนุ่มชาวอิสราเอลที่ชื่อว่า “จาคอป” เขามีความพิการทางขา คือ ลักษณะเหมือนชาร์ลี แชปปลินทั้ง 2 ข้างมาตั้งแต่กำเนิด เขาสูญเสียกำลังใจและเบื่อหน่ายกับสิ่งซ้ำซากที่ย่างกรายเข้ามาในชีวิต คลวามหวังที่จะเป็นคนปกติได้เป็นแรงบันดาลใจให้เขาเดินทางเข้าสู่เมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดา ในการตามหาชีวิตและดำเนินความฝันของตนเอง เริ่มต้นด้วยการอยู่กับกลุ่มโจรกรรมตู้เอทีเอ็มที่ทำให้เขาได้ค้นพบปรัชญาแห่งการดำรงชีวิตเขาก็คิดว่าทุกวันของเขามีความสุขดีอยู่แล้ว “ชารีฟ” หัวหน้ากลุ่มโจรพยายามให้เขาได้สัญชาติแคนาดาด้วยการจะให้แต่งงานกับ “โมน่า” ลูกสาวของเพื่อนชารีฟแต่ไม่สำเร็จ จนกระทั่งพรหมลิขิตชักนำชีวิตอันโดดเดี่ยวเดียวดายให้พบกับพนักงานเสิร์ฟสาวแสนสวยที่คอยช่วยหาตัวตนที่แท้จริง และสอนให้เขาเรียนรู้เรื่องราวของ ชาลี แชปปลิน ต้นตำรับราชาตลกระดับโลกที่ทำให้เขาได้ค้นพบแบบอย่างของหนทางแห่งความสำเร็จที่น่าติดตาม แล้วเขาก็กระทำจนประสบความสำเร็จ เขาโด่งดังไปทั่วอเมริกาเหนือ วันหนึ่งเขาได้พูดคุยกับนักปรัชญา ทำให้เขาเปลี่ยนทัศนคติเดิม ปลดเปลื้องชีวิตแห่งความทุกข์เดิมๆ แล้วเริ่มต้นชีวิตแบบใหม่
การเปิดเรื่อง ของเรื่องนี้เริ่มต้นด้วยการบรรยายประวัติชีวิตของจาคอปและครอบครัวของเขา การใช้ชีวิตอย่างคนพิการตั้งแต่เล็กจนโตของเขาทำให้เหมือนกับว่าเขามีปมอยู่ตลอด
ต่อมา เหตุการณ์เริ่มพัฒนา เมื่อจาคอปผิดหวังจาก “ นอร่า ” กวีหญิงผู้เป็นรักแรกของเขา ทำให้เขามีทัศนคติแง่ลบกับบทกวีจากคำพูดหนึ่งของจาคอปที่ว่า “ ผมเกลียดบทกลอน ” และนั่นน่าจะรวมถึงการมีอคติกับความงามทางศิลปะทั้งหลายด้วย ไม่นานก็เกิดสงครามภายในประเทศขึ้น เขาเดินไปเรื่อยๆบนสองข้างทางเต็มไปด้วยความแห้งแล้งของแมกไม้พร้อมกับบ่นพึมพำความรู้สึกตนเองที่มีต่อสภาพแวดล้อม
จุดสงสัย อยู่ที่เหตุการณ์ดำเนินมาจนกระทั่งเขาเดินมาถึงร่มไม้ที่มิชชันนรีกำลังสอนชาวบ้าน จาคอปได้ยินคำพูดว่าควรจะไปที่แคนนาดา ดินแดนอันเปรียบดังสรวงสวรรค์ และนั่นเป็นจุดประกายความคิดที่เขาปรารถนาจะเดินทางไปสู่แคนาดา
ความขัดแย้ง มีหลายลักษณะที่ปรากฏในเรื่องนี้ ในการที่จาคอปกับนอร่าและบทกลอนของเธอ, การที่พ่อของโมน่าเห็นว่าจาคอปเป็นคนไม่มีหัวนอนปลายเท้าก็ถือเป็นความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ความพิการที่ทำให้คนล้อเลียนจาคอปจนเขาไม่พอใจ, การที่จาคอปไม่พอใจสหประชาชาติที่ให้ความช่วยเหลือเขาไม่ได้, ความเอือมระอาในสงครามกลางเมือง, การที่จาคอปเพิ่งรู้ว่าโลกที่เขาอยู่นี้มีนักแสดงอย่างชาลี แชปปลินจนทำให้เขาคิดว่าคนที่ดินแดนแห่งสวรรค์นี้ก็ไม่ต่างอะไรจากพวกที่ชอบล้อเลียนเขาที่อิสราเอลก็จัดเป็นความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับสังคม การที่เขาไม่พอใจในสภาพบ้านเมืองหลังสงครามที่อิสราเอลก็เป็นความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ
จุดวิกฤต สืบเนื่องมาจากการที่ จาคอป อยู่ในกลุ่มโจรปล้นเอทีเอ็มทุกครั้ง จนเมื่อเขาถูกจับทั้งที่ยังเป็นคนผิดกฎหมาย แต่ ชารีฟ หัวหน้าโจรรอดไปได้ จุดแตกหักของปัญหา นี้ จบลงแล้วคลี่คลายตรงที่ศาลพิพากษาว่าจาคอปไม่น่าเป็นบุคคลที่เป็นภัยต่อประเทศ จนเมื่อเซลม่าสาวเสิร์ฟเพื่อนสนิทแนะนำให้เขาฝึกทำการแสดงข้างถนน จนมีแมวมองมาพบ แล้วมีผู้มาติดต่อให้ไปเล่นภาพยนตร์โฆษณาจนกลายเป็นคนโด่งดังและอีกเรื่องหนึ่งคือเมื่อจาคอปทราบข่าวการเสียชีวิตของพ่อผู้ที่เขาปรารถนาที่จะกลับไปหาอีกครั้งแล้ว ทำให้เขาหมดกำลังใจที่จะดำเนินความฝันของเขาต่อ แต่เซลม่าก็ได้ปลอบโยน แล้วชารีฟก็ได้ช่วยเป็นธุระติดต่อข้ามประเทศกับทางบ้านของจาคอปให้ จนทำให้เขามีกำลังใจที่จะดำเนินชีวิตต่อไป
เรื่องนี้ใช้ การจบเรื่องและการปิดเรื่อง โดยการที่จาคอปกลับไปที่หลุมศพของพ่อเขาเอง แล้วพูดคุยถึงความรู้สึกของเขา ทัศนคติใหม่ที่เปลี่ยนแปรจากอคติเดิม แล้วแสดงให้เห็นว่า จาคอปไม่มีอคติกับศิลปะต่อไปจากการที่เขาร่วมเต้นรำกับนักวิโอล่าที่ผ่านมาที่หลุมศพและทำการบรรเลงเพลงอยู่
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างแฝงการตีความอยู่ ในเรื่องการใช้สีจะเห็นได้จากการแต่งกายของตัวละคร จะเห็นได้จาก
- จาคอป ใส่แต่เสื้อผ้าสีขาวกับดำ ซึ่งน่าจะหมายถึงคนที่ไม่มีสีสัน ใช้ชีวิตอยู่อย่างอมทุกข์
- ชารีฟ มักจะใส่เสื้อผ้าสีน้ำเงินเสมอ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นคนโอบอ้อมอารี อาจารย์เคยกล่าวไว้ว่าคนใส่เสื้อผ้าสีนี้มักเป็นคนเรียบง่าย มนุษยสัมพันธ์ดี ซึ่งก็ตรงกับชารีฟ ทั้งยังสื่อได้ถึงความร่มเย็นที่เขามีให้ต่อจาคอปอีกด้วย
- ส่วนพ่อของโมน่า ออกเพียงฉากเดียวแต่ทำให้เห็นว่า คนที่ไม่สนใจความเป็นไปของบ้านเมือง รักความสงบและบันเทิง จากคำพูดของเขาตอนที่ชารีฟแนะนำตัวที่ว่า “ ผมเกลียดการเมือง อย่ามาพูดเรื่องการเมืองในบ้านผม ” ซึ่งแทนด้วยการใส่เสื้อสีเหลืองสว่างลายดอกพร้อย
นอกจากนี้ยังมีส่วนที่ใช้การแสดงสัญลักษณ์ด้วยฉาก เห็นได้จากตอนที่นอร่ากล่าวตัดสัมพันธ์จาคอป
ระหว่างทางที่เขาเดินทางนั้นเต็มไปด้วยต้นหญ้าอันเหี่ยวแห้ง ภูเขาที่พรุนไปด้วยรอยกระสุนอยู่รอบข้าง ซึ่งเป็นสื่อแทนความหมายของความหมดสิ้นทุกอย่างในชีวิตของเขาแล้ว แต่เมื่อเขามาพบมิชชันนรี ซึ่งสอนชาวบ้านนั้น บริเวณรอบข้างต็มไปด้วยร่มไม้อันเขียวชอุ่ม เสมือนแทนความหมายว่าชีวิตของเขากำลังจะงอกงามในไม่ช้า เป็นต้น
ความรู้สึกแรกก่อนที่จะชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ข้าพเจ้านึกว่าจะเป็นภาพยนตร์แนวตลกขบขัน เพราะเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่าชาลี แชปปลินเป็นดาวตลกระดับโลก แต่ด้วยเนื้อเรื่องแล้วข้าพเจ้ากลับเห็นว่าเป็นเรื่องที่ให้กำลังใจกับผู้ที่มีปมด้อย ให้สู้ฟันฝ่าอุปสรรคของตน ตามหาสิ่งที่ตนปรารถนาและใฝ่ฝัน ทั้งยังเร้าให้ผู้ที่มีปัญหานั้นอย่าจมปลักอยู่กับสิ่งนั้น ลบอคติด้วยการสร้างทัศนคติที่ดี ทั้งยังแฝงไปด้วยคติอีกมากมาย นับเป็นภาพยนตร์ที่น่าดูเรื่องหนึ่งทีเดียว

ไม่มีความคิดเห็น: