วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

Daratt(Dry Season)

ชณัฎฎา อมรวงศ์ไพบูลย์ 05490081

ภาพยนตร์เรื่องDaratt(Dry Season) เป็นภาพยนตร์ของประเทศชาติซึ่งอยู่ในทวีปแอฟริกา ความยาวประมาณ96นาที เป็นผลงานการประพันธ์และกำกับของ Mahamat-Saleh Haroun ชาวชาด นำแสดงโดยAli Barkai และYoussouf Djaoro ซึ่งตัวละครใช้ภาษาฝรั่งเศสในการสื่อสาร และมีซับไตเติ้ลเป็นภาษาอังกฤษ Daratt เข้าฉายเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ปี 2006 Daratt เป็นหนังแอฟริกันเรื่องแรกในรอบ 19 ปีที่มาเข้าประกวดและได้รางวัล Jury Special Prize

Daratt เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มชื่อ “อาติม”เด็กกำพร้าพ่อ อาศัยอยู่กับปู่ตาบอดในหมู่บ้านอันแห้งแล้งที่ประเทศชาด ปู่ของอาติมแค้นที่ลูกชายถูก“นาสสาร่า” ฆ่าตายในช่วงสงครามกลางเมือง จึงหวังที่จะให้อาติมไปแก้แค้นแทน อาติมจึงต้องเดินทางไปเพื่อการแก้แค้นของปู่ ระหว่างทางอาติมได้พบเพื่อนคนหนึ่ง เขาชวนอาติมไปพักอยู่ที่บ้านและสอนให้อาติมขโมยหลอดไฟไปขาย ต่อมาอาติมจึงเดินทางไปหานาสสาร่าที่โรงงานขนมปังและแฝงตัวเข้าไปเป็นลูกมือของนาสสาร่าเพื่อรอเวลาแก้แค้น นาสสาร่ามีภรรยาซึ่งอายุน้อยกว่าและกำลังตั้งครรภ์อยู่ชื่อ “ไอช่า” นาสสาร่าสอนอาติมทำขนมปังและเริ่มรู้สึกผูกพันกับเขาจนคิดที่จะรับอาติมเป็นลูกและให้ผู้สืบทอดกิจการต่อ แต่ทว่าอาติมยังคงมีความแค้นและอคติต่อนาสสาร่าอยู่ทุกลมหายใจ


ภาพยนตร์เปิดฉากด้วยการที่ปู่ตะโกนเรียกอาติมให้มาเปิดวิทยุฟังข่าวเรื่องที่รัฐบาลนิรโทษกรรมต่อความรุนแรงทุกอย่างของทุกคนในอดีตเมื่อคราวเกิดสงครามกลางเมืองและสะท้อนให้เห็นสภาพสังคมและบ้านเมืองที่แห้งแล้ง จุดมุ่งหมายของเรื่องนี้ค่อนข้างชัดเจนตั้งแต่ต้นเรื่องนั่นคือการที่ปู่ให้ปืนแก่อาติมเพื่อไปแก้แค้นแทนพ่อแล้วตัวละครก็ค่อยๆดำเนินเรื่องไปตามสิ่งที่ตนเองต้องการแต่ก็มีการกระทำบางอย่างของตัวละครฝ่ายตรงข้ามที่ทำให้ตัวละครเอกอย่างอาติมเกิดความรู้สึกดีขึ้นภายในใจนอกจากการแก้แค้น


เรื่องนี้มีการใช้สัญลักษณ์หลายอย่างเพื่อบอกเป็นนัยและใช้สื่อแทนคำพูดซึ่งมีความลึกซึ้งมากกว่า เช่น การที่กำหนดให้ปู่ของอาติมตาบอดเพื่อใช้แทนตัวปู่ที่จิตใจหมกมุ่นอยู่แต่กับการแก้แค้นไม่ยอมรับรู้เรื่องภายนอกและให้อาติมตาดีเพื่อได้เรียนรู้สิ่งอื่นบ้างนอกจากการยัดเยียดแต่การแค้นจากปู่ การให้อาติมใส่กางกางยีนส์ลีวายส์ ใช้ยี่ห้อไนกี้เพื่อแสดงออกถึงความเป็นคนรุ่นใหม่ และการกำหนดให้นาสสาร่าประกอบอาชีพทำขนมปังฝรั่งเศสขาย ที่ต้องเป็นขนมปังฝรั่งเศสอาจจะเพราะประเทศชาดอยู่ภายใต้อิทธิพลเบลเยี่ยมแต่พูดภาษาฝรั่งเศสและอาจเป็นสื่อแทนตัวนาสสาร่าที่ภายนอกดูเหมือนจะเป็นคนนิ่งๆ เฉยๆแต่เมื่อสัมผัสแล้วจะเห็นว่าเป็นคนที่จริงใจ ใฝ่หาพระเจ้าและรักอาติมเหมือนลูก นอกจากนี้ยังให้นาสสาร่าเป็นคนมั่นคงในศาสนาแต่อาติมปฏิเสธศาสนา


Daratt(Dry Season) น่าจะมาจากความแห้งแล้งของสภาพภูมิประเทศ ดังจะเห็นได้จากฉากธรรมชาติหลายๆฉากในเรื่องที่ต้นไม้เหี่ยวเฉาและไร้ใบ และอีกประการหนึ่ง คือ ความแห้งแล้งที่เกิดขึ้นภายในจิตใจมนุษย์อาจจะด้วยการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักจากสงครามกลางเมืองและความเป็นอยู่ของประชากรที่อดอยากหิวโหย บรรยากาศของเนื้อเรื่องจึงใช้โทนสีทะเลทรายที่ดูแห้งแล้งและไร้ความหวัง แต่ในทางกลับกันกำหนดให้ตัวละครใส่เสื้อผ้าสีสันสดใสและโทนคล้ายกัน คือ สีแดงเป็นส่วนใหญ่ เพื่อเแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างฉากและตัวละคร


สิ่งที่สำคัญที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้ คือ ความขัดแย้งภายในใจของตัวละคร กล่าวคือ การกระทำของตัวละครเอกในหลายๆฉากแสดงให้เห็นถึงความสับสนภายในจิตใจของตัวละครเอง เช่นถ้าอาติมไปหานาสสาร่าแล้วหยิบปืนขึ้นมายิงการแก้แค้นก็จะสิ้นสุดลงแต่อาติมกลับมือสั่นไม่กล้ายิงนาสสาร่า นั่นอาจเพราะอาติมไม่ได้แค้นนาสสาร่าโดยตรงแต่ที่มาเพราะปู่สั่งให้มาและความแค้นระหว่างเขาและนาสสาร่านั้นเป็นความแค้นที่ยัดเยียด ตัวของอาติมมีความรู้สึกซับซ้อนและสับสน อาติมหวนหาพ่อมาตลอดทั้งชีวิต นาสสาร่าก็ตอบสนองให้กับเขาอย่างชัดเจนแต่เขากลับไม่รับ
เหตุผลอีกประการหนึ่งคือเมื่ออาติมได้เข้ามาใช้ชีวิตอยู่กับนาสสาร่า โลกทัศน์ของอาติมกว้างขึ้นและมองเห็นสิ่งต่างๆรอบตัวมากขึ้น นาสสาร่าสอนอาติมทำขนมปังโดยนาสสาร่าพูดว่า “การทำขนมปังต้องการความรักและความเอาใจใส่” แสดงให้เห็นถึงความอ่อนโยนในตัวของนาสสาร่า การสอนของเขาช่วงแรกจะสอนให้ทำแต่ต่อมาให้เรียนรู้ด้วยตัวเองซึ่งเป็นสิ่งที่อาติมไม่เคยได้รับมาก่อนเลยจากปู่ ปู่จะยัดเยียดใส่หัวอาติมตลอดเวลา อาติมทำขนมปังทุกวิธีทุกขั้นตอนด้วยตนเองจนสำเร็จ จึงทำให้อาติมลังเลและสับสนทุกครั้งที่คิดจะฆ่านาสสาร่า หลายๆครั้งที่เขาพกปืนใส่กางเกงไว้แล้วจะหยิบขึ้นมายิงแต่เมื่อนาสสาร่ามาปรากฏตัวต่อหน้าเขาจริงๆเขากลับไม่กล้าลงมือ มือสั่นและเก็บปืนลง เหตุการณ์ต่างๆที่เข้ามาทำให้อาติมเริ่มรับรู้ว่าไม่เพียงแต่เขาที่สูญเสียพ่อแต่คนอื่นก็มีการสูญเสียเช่นกัน เช่น ทหารขาขาดที่เดินผ่านมา นาสสาร่าและไอช่าที่สูญเสียลูก มีอยู่ครั้งหนึ่งที่นาสสาร่าปาโทรศัพท์อาติมทิ้งแล้วเขาขอโทษโดยเขาได้อ้างถึงการควบคุมตนเองไม่ได้และอดีตที่เขาไม่อยากพูดถึง
จากคำพูดของนาสสาร่าที่ว่าตั้งแต่อาติมเข้ามาทำให้ “ฉันรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมา”นี้แสดงให้เห็นว่านาสสาร่ามีความปรารถนาดีต่ออาติมจริงๆและจะรับอาติมเป็นลูกแต่อาติมปฏิเสธและจะยุติการแก้แค้นทั้งหมดด้วยการกลับบ้าน แต่นาสสาร่าก็ตามเขามาจนในที่สุดอาติมพาปู่และนาสสาร่ามาเจอกัน จึงได้รู้ความจริงทั้งหมดแต่นาสสาร่าก็ยอมให้อาติมแก้แค้น ปู่ให้อาติมถอดเสื้อผ้าของนาสสาร่าออกก่อนจะฆ่าเพื่อทำให้เจ็บอาย ซึ่งเป็นสิ่งที่คนอาหรับถือมากเพราะเป็นการหยามเกียรติ และปู่ก็ได้สั่งให้อาติมฆ่านาสสาร่าเสีย อาติมยังคงลังเลแต่ท้ายที่สุดแล้วเขาเลือกที่จะยิงปืนขึ้นฟ้าและกลับบ้านไปกับปู่เพื่อจบเรื่องทุกอย่าง เขาทำในสิ่งที่ถูกที่ควรต่อสถานภาพรวมไปถึงความรู้สึกภายในใจ ปู่ของอาติมหายแค้นโดยไม่ต้องมีการสูญเสียอีกและนาสสาร่าได้รับการปลดปล่อยจากความผิดในอดีต นับว่าการปิดเรื่องเช่นนี้เป็นทางออกที่ฉลาดและดีสำหรับทุกฝ่าย



ภาพยนตร์เรื่อง Daratt พยายามสื่อออกมาให้ผู้ชมเห็นถึงความซับซ้อนภายในใจของมนุษย์ที่มีความหลากหลายในด้านอารมณ์ ซึ่งสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้มีความคิดในแง่บวกได้ถ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น แม้ Daratt จะเป็นภาพยนตร์ที่มาจากประเทศเล็กๆในแถบแอฟริกาแต่ก็นับได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่มีคุณค่าให้แง่คิดและน่าชมอีกเรื่องหนึ่ง...

ไม่มีความคิดเห็น: