วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

กระสือวาเลนไทน์


น.ส. ณัชชา เฉลิมรัตน์ ๐๕๔๙๐๑๒๕


“สาว” พยาบาลแสนสวยที่ได้เข้ามาทำงานในโรงพยาบาลเก่าแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่เดียวกันกับ “หนุ่ม” ภารโรงคนซื่อที่ร่างกายไม่สมประกอบทำงานอยู่ สาวได้รับดอกกุหลาบจากหนุ่มโดยบังเอิญในวันแห่งความรัก โดยมี “เด็กหญิงขายดอกกุหลาบ” เป็นสื่อ และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของคนทั้งคู่ แต่ยังไม่ทันที่จะได้มีโอกาสพูดคุยทำความรู้จักกันมากนัก ก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน เมื่อหนุ่มตกบันไดจนเป็นอัมพาต และหลังจากนั้นเหตุการณ์ประหลาดๆ ที่ผูกพันกันอย่างคาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น


สาวได้พบกล่องเก่าๆ ใบหนึ่งในบ้านพักของเธอ ภายในกล่องนั้นเธอได้พบกับรูปถ่ายใบเก่าที่ถูกฉีกออกเป็นสองส่วน ในภาพนั้น หนุ่มในชุดทหารสมัยสงครามถ่ายคู่กับเธอในชุดพยาบาลและด้านหลังภาพถ่ายก็มีข้อความที่หนุ่มเขียนถึงเธอ หลังจากนั้นสาวก็ได้พยายามที่จะหาคำตอบให้กับเรื่องที่เกิดขึ้นและยิ่งพยายามค้นหาคำตอบเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งได้พบเจอกับเรื่องราวประหลาดๆ เกี่ยวกับพวกเขาทั้งคู่ และภายในค่ำคืนที่สับสนสาวยังได้พบความจริงอันน่าสะพรึงกลัวเกี่ยวกับตัวเธอเองอีกด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้เป็นแค่พรหมลิขิต...หรือ...ชะตากรรม ?

ไม่น่าเชื่อว่าบางทีหนังผีก็อาจจะไม่ใช่หนังผีอย่างที่คิดที่คือสิ่งมี่แปลกและทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้แตกต่างออกไปกระสือวาเลนไทน์ได้พิสูจน์แล้วว่า หนังผีก็มี “อะไร” มากกว่าที่เราคิด เพราะก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าเคยคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คงจะเหมือนกับหนังผีอื่นๆ ทั่วไป หากไม่น่ากลัวสุดๆ ก็คงจะสนุกสนานเฮฮานั่งหัวเราะไปกับคนที่วิ่งหนีผีจนสุดชีวิต หรืออาจจะได้อรรถรสทั้งสองอย่างอยู่ในเรื่องเดียวกัน แต่กับภาพยนตร์เรื่องนี้นั้นต่างออกไป ซ่อนอารมณ์เศร้าและครุ่นคิดอยู่

ในฉากแห่งความน่ากลัว ในอารมณ์สนุกสนานกลับให้ความรู้สึกแสบๆ คันๆ มากกว่าเสียงหัวเราะ

สิ่งสำคัญที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องการจะสื่อนั่นก็คือเรื่องของ “กรรม” ที่เกิดจากกระทำของแต่ละคนจากในชาติที่แล้ว จนในชาติปัจจุบันกรรมเหล่านั้นได้กลับมาสะท้อนยังตัวละครต่างๆ อย่าง หนุ่ม ได้เคยทำกรรมไว้กับสาว เขาเคยทอดทิ้งเธอไปแต่งงานทั้งๆ ที่เป็นคู่รักกันอยู่ โดยที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าสาวตั้งท้องลูกของตน ส่วนตัวสาวเองก็ไม่คิดที่จะเก็บเด็กเอาไว้ และได้รับคำแนะนำวิธีกำจัดเด็กออกจากหมอคนหนึ่งซึ่งเขาก็เป็นคนเดียวกันกับหมอใหญ่ในโรงพยาบาลที่เธอเข้ามาทำงานอยู่ในชาตินี้ พวกเขาต่างทำกรรมกันไว้ซึ่งกันและกันและพวกเขาก็ได้ร่วมกันทำกรรมไว้กับ “ใครคนหนึ่ง” ผู้ซึ่งตามมาทวงคืนในชาตินี้

ความโดดเด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ที่การผูกเรื่อง ที่สามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของตัวละครแต่ละตัวที่เกี่ยวข้องกันทั้งในเรื่องของเวรกรรม และในเรื่องของอดีตชาติและชาติปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ไม่ง่ายแต่ก็ไม่ซับซ้อนมากจนเกินไป มีการผูกเงื่อนปมให้ผู้ชมสงสัย และสามารถคลายปมในตอนท้ายได้อย่างดี แม้จะไม่ถึงกับพลิกความคาดหมายแต่ก็สามารถทำได้ “ลึก” กว่าที่คิดเอาไว้ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนถูกตอกให้เข้าถึงสิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องการจะสอน
ได้มากขึ้น

นอกจากการผูกเรื่องแล้ว บทภาพยนตร์ของเรื่องนี้ก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะผู้เขียนได้ใส่รายละเอียด ความสำคัญและความน่าสนใจลงไปจะเรียกได้ว่าแทบในทุกบททุกตอนเลยก็ว่าได้ ในบางคำพูดอาจมีความหมายและความรู้สึกอยู่ในนั้นมากกว่าที่เราคิด แม้แต่เพียงประโยคง่ายๆ ที่เหมือนจะขำขันแต่ก็แฝงแง่คิดบางอย่าง

“แม่จะร้องไห้ไปทำไม ดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่ตาย”
ประโยคสั้นๆจากปากของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในเรื่องกลายเป็นประโยคที่ยังคงติดอยู่ในหัวของข้าพเจ้าเพราะมันเป็นทั้งการเริ่มต้นที่เจ็บปวดและการปิดฉากที่งดงามของตัวภาพยนตร์ ความเจ็บปวดอันไม่มีที่สิ้นสุดและความตายอันพึง
ปรารถนา สุดท้ายแล้วอะไรกันแน่ที่เราทุกคนต้องเลือก ....... ประโยคเพียงประโยคเดียวก็อาจเป็นเสียงสะท้อนได้ว่าแท้จริงแล้ว โลกของเราในปัจจุบันนี้ “การอยู่” มันดีกว่าการ “การตาย” แล้วจริงๆ หรือ

ไม่มีความคิดเห็น: