วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

The letter จดหมายรัก


นางสาวธนัชญา คล้ายนิล
05490162


ภาพยนตร์เรื่อง The letter หรือในชื่อภาษาไทยว่า จดหมายรักนั้นฉายครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2547 โดยการร่วมมือของสหมงคลฟิล์ม และ ภาพยนตร์หรรษา กำกับโดย ผอูน จันทรศิริ และยังเป็นผลงานอำนวยการสร้างชิ้นสุดท้ายของดวงกลม ลิ่มเจริญ ผู้หญิงเก่งและแกร่งแห่งวงการภาพยนตร์ไทย ที่มีหัวใจรัก และทุ่มเทให้กับงานภาพยนตร์

จดหมายรักฉบับนี้ ถ่ายทอดเรื่องราวความรักของคนสองคน ที่อยู่ต่างที่ มีชีวิตต่างกันอย่างที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมาพบเจอกันได้ แต่โชคชะตาก็พาเขาทั้งคู่ให้มาพบกันและรักกัน และเพราะโชคชะตาอีกครั้งที่ทำให้เขาต้องจากกันไปแสนไกลจนไม่อาจมีวันพบเจอกันอีก ยังคงเหลือแต่จดหมายรัก ที่ทำให้ทั้งคู่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกว่า เขาทั้งคู่ยังคงอยู่เคียงข้างกัน

ดิว โปรแกรมเมอร์สาว ที่ใช้ชีวิตในเมืองกรุงอยู่กับเพื่อนสาวอย่าง เกด เพียงแค่สองคนในคอนโดใจกลางเมืองเมือง วันหนึ่งเธอได้รับจดหมายทางไกลจากเชียงใหม่บอกให้เธอไปงานศพของยายเล็ก ญาติห่างๆของเธอ ที่ทิ้งมรดกเป็นบ้านไม้หลังน้อยและไร่กระเทียมไว้ให้ เมื่อไปที่เชียงใหม่ ดิวตกหลุมรักชีวิตอันแสนเรียบง่ายของชนบท

ที่ท่ารถทัวร์ขากลับ เหตุบังเอิญที่เธอทำกระเป๋าสตางค์ตกจึงทำให้เธอได้พบกับ ต้น หนุ่มนักวิจัยพันธุ์พืช ด้วยเหตุนี้ทำให้เธอได้มีโอกาสทำความรู้จักกับต้น ชีวิตของต้นช่างต่างกับเธอราวขาวกับดำ ชีวิตของเขาช่างเรียบง่าย ไม่ต้องเร่งรีบเหมือนชีวิตคนกรุง

แม้วิถีชีวิตของคนทั้งคู่จะแตกต่างกันสักเพียงใด แต่เพียงเวลาไม่นานทั้งคู่ก็สนิทสนมกันโดยสื่อรักทางโทรศัพท์สาธารณะที่ต้นหยอดเหรียญใส่ตู้โทรศัพท์โทรหาดิวทุกวัน เหรียญในตู้โทรศัพท์ที่เพิ่มขึ้นก็เหมือนกับความรักของต้นที่เพิ่มขึ้นทุกวันๆเช่นกัน


และวันวาเลนไทน์ก็มาถึง วันซึ่งเปลี่ยนชีวิตของดิว วันนั้นต้นลงมาหาเธอที่กรุงเทพพร้อมดอกกุหลาบหนึ่งดอกโดยไม่ได้บอกก่อน ดิวดีใจมาก จนลืมโทรศัพท์มือถือไว้บนห้อง คืนวันนั้น เกด เพื่อนของเธอโดนฆ่าตาย ด้วยน้ำมือของหนุ่มที่เธอติดต่อด้วยทางอินเทอร์เนตและนัดพบกัน ดิวเสียใจมาก เธอคิดว่าเป็นความผิดของเธอเอง เพราะหากคืนนั้นเธอไปกับเกดหรือรับโทรศัพท์ เกดคงไม่ต้องตายอย่างนี้ ด้วยความเสียใจจึงทำให้เธอตัดสินใจขึ้นไปใช้ชีวิตที่เชียงใหม่โดยมีต้น คอยปลอบโยนและดูแลอยู่ข้างๆ

ในที่สุดทั้งคู่ก็ตัดสินใจแต่งงานกัน ทั้งคู่เปรียบเสมือนเหมือนจิ๊กซอว์ที่เกิดมาคู่กัน ต่างคอยเติมเต็มส่วนที่ขาดหายในชีวิตซึ่งกันและกัน วันหนึ่งต้นไปค้นเจอจดหมายรักของคุณยายเล็ก และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ต้นอยากจะมีจดหมายรักบ้าง

แต่ความสุขก็อยู่กับใครได้ไม่นาน ต้นป่วยและตาย ในที่สุดโรคร้ายก็ได้พรากชีวิตต้นไปจากดิว ความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเวียนกลับมาหาดิวอีกครั้ง จนเธอคิดที่จะฆ่าตัวตายแต่เธอก็รอดชีวิตมาได้ แล้ววันหนึ่งก็มีจดหมายจากต้น ส่งถึงดิวทำให้เธอแปลกใจและดีใจมาก และนี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่ต้นทำให้ดิว
สิ่งนี้กลายเป็นน้ำหล่อเลี้ยงให้ชีวิตของดิวกลับมาชุ่มชื่นได้อีกครั้ง

จดหมายรักฉบับนี้เริ่มต้นด้วย ภาพตู้จดหมายในคอนโดของดิว ซึ่งเป็นจดหมายส่งข่าวเรื่องงานศพของยายเล็ก ทำให้ดิวและเกดต้องเดินทางไปเชียงใหม่ บรรยากาศที่นั่นดูแล้วให้ความรู้สึกที่สงบ
เรียบง่าย สบายใจ แม้จะเป็นบรรยากาศในงานศพ แต่ก็ไม่พบความโศกเศร้าแต่อย่างใด

เหตุการณ์ดำเนินมาถึงตอนที่ ดิวและต้นได้พบกัน ทั้งคู่พบกันโดยเหตุบังเอิญที่ทั้งคู่เดินชนกัน จนดิวทำกระเป๋าสตางค์ตก และต้นก็เก็บกลับไปคืน จุดนี้ทำให้รู้สึกถึงพรมหมลิขิต ที่ลิขิตให้ทั้งคู่ ที่อยู่ห่างกันกว่าพันกิโลเมตรได้มาพบกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ
จนถึงวันที่ต้นได้พบจดหมายรักของคุณยายเล็ก นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการเขียนจดหมายรักที่เกิดในความคิดของต้น ตรงนี้ทำให้เกิดคำถามว่า ทั้งคู่จะเขียนจดหมายกันไหม แล้วจดหมายนั้น จะมีความสำคัญอย่างไร

เมื่อถึงวันที่ต้นป่วยและดิวต้องคอยดูแลจนไม่มีเวลาทำงาน ทำให้เธอไม่สามารถส่งงานได้ตามกำหนด เธอเครียดจนถึงขั้นยอมทะเลาะกับหัวหน้างานของเธอ แต่ต้นมาได้ยินเขา ต้นบอกกับดิวว่า
“ดิวจะยอมไปทำงานไหม ถ้าผมสัญญาว่าจะไม่ยอมตายจนกว่าดิวจะกลับมา” ด้วยน้ำเสียงของคนที่ป่วยใกล้จะตายและความบีบคั้นของหน้าที่การงานของดิว ทำให้เธอรู้สึกสับสน ใจหนึ่งก็เป็นห่วงต้น แต่
อีกใจหนึ่งก็เป็นห่วงงาน แต่เธอก็ตัดสินใจไปทำงาน พร้อมความกังวล

การเริ่มต้นของจุดวิกฤตเกิดขึ้นเมื่อเธอกลับมาจากทำงานที่กรุงเทพ อาการของต้นทรุดหนักลง เขานอนลงบนโซฟา และบอกให้ดิวอ่านจดหมายของคุณยายเล็กให้ฟัง ดิวอ่านจดหมายด้วยใจที่สั่นระรัว มือที่กุมกันไว้นั้นค่อยๆคลายออก ต้นจากไปอย่างสงบ ฉากนี้บีบคั้นความรู้สึกของผู้ชมเป็นอันมาก เนื่องจากเนื้อความในจดหมาย ที่มีเนื้อความเกี่ยวกับการอำลาจากกันไปยังที่ห่างไกลยิ่งส่งเสริมให้ฉากนี้สัมผัสได้ถึงความรู้สึกซาบซึ้งกินใจ

การจากไปของต้นนั้น เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของดิว ทำให้เธอตัดสินใจ กินยาสมุนไพรฆ่าตัวตายตามคนรักของเธอไป แต่การกระทำของเธอนั้นไม่สำเสร็จ เพราะมีคนช่วยไว้ได้ เธอเสียใจมากและตัดสินใจจะกลับไปใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ที่กรุงเทพ ก่อนออกจากบ้านเพื่อนของเธอได้ไปหยิบจดหมายจากตู้จดหมายหน้าบ้านมาให้เธอ และเธอได้พบว่า จดหมายฉบับนั้นเป็นจดหมายจากคนรักผู้จากไปของเธอ เธอแปลกใจและสงสัยว่าจดหมายนี้มาจากไหน จนเธอได้ไปทราบว่าต้นฝากให้คุณลุงร้านขายโปสการ์ด


ที่ท่ารถ สถานที่ที่เธอและเขาพบกันครั้งแรกส่งให้ก่อนที่เขาจะตาย การได้รับจดหมายนี้เป็นการคลายปมที่ผู้ชมได้ผูกเอาไว้ว่า จดหมายเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ และมีความสำคัญอย่างไร ซึ่งจดหมายฉบับนี้กลายเป็นตัวแทนของต้น ที่จะคอยดูแลและอยู่เคียงข้างดิวตลอดไป ซึ่งต้นได้เขียนจดหมายเหล่านี้เพื่อให้กำลังใจคนรักของเขาในยามที่เขาต้องจากโลกนี้ไปแล้ว ทุกถ้อยคำในจดหมายล้วนสร้างความประทับใจเป็นอย่างยิ่ง


ความสูญเสียของเธอในครั้งนั้น กลับทำให้เธอได้รู้ว่าเธอกำลังจะได้รับสิ่งมีค่ามาทดแทน ภาพตัดมาที่ต้นไม้ต้นตระกูลที่ปลูกขึ้นมาพร้อมกับชีวิตของต้น เป็นภาพของดิว เธอดูสดชื่นมีชีวิตชีวาขึ้นมาก สักครู่ก็มีเสียงเด็กเรียก “คุณแม่” เสียงนั่นคือ ตั้ม ลูกชายของดิว และตัวแทนของต้น และภาพก็จบลงที่ทั้งคู่กำลังโอบกอดต้นไม้ต้นตระกูล ตัวแทนของ ต้น ภาพของเธอที่มีชีวิตชีวา ทำให้สามารถสรุปได้ว่า
ดิวเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป จดหมายรักจากต้นทำให้เธอมีกำลังใจที่จะเดินต่อไปในชีวิตที่เหลืออยู่ไปพร้อมๆกับลูกชายของเธอได้อย่างแข็งแรง

ตัวบท และความสามารถของนักแสดง ทำให้สามารถแสดงออกถึงความรักที่ทั้งคู่ ดิวและต้น ออกมาได้อย่างซาบซึ้ง การแสดงออกของต้นว่ารักและเทิดทูนดูแลคนรักของเขาอย่างมาก มีการกระทำหลายๆอย่างที่ทำให้เห็นแล้วทราบได้ทันทีว่า เขารักและยอมเสียสละแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นการล้างและนวดเท้าให้ เก็บผ้า ซักผ้า ทำกับข้าวให้กิน ทั้งทั้งที่สังคมไทยนั้น การดูแลบ้านจะถือว่าเป็นหน้าที่ของฝ่ายหญิงมากกว่า ในเรื่องนี้จึงเน้นไปที่ความรัก ทำให้สัมผัสได้ถึงความอบอุ่น ที่ตัวละครได้แสดงออกมา พฤติกรรมและการกระทำของตัวละครจึงเป็นจุดเด่นของเรื่องนี้

เมื่อได้ชมเรื่องนี้อีกครั้งแล้ว ทำให้ยิ่งรู้สึกดื่มด่ำไปกับความรักของคนสองคน และยิ่งประทับใจความรักและความห่วงใยที่ผู้ชายคนหนึ่งอย่างต้น ที่มอบให้กับคนที่เขารักอย่างหมดหัวใจ ทั้งชีวิตของเขาพร้อมที่จะอุทิศให้กับคนรัก แม้กระทั่งลมหายใจสุดท้าย เขาก็ยังคงเป็นห่วงความรู้สึกของคนที่เขารัก มากกว่าชีวิตของตัวเอง จึงอยากถ่ายทอดความรู้สึกที่มีต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาให้ผู้อื่นได้ทราบ และซาบซึ้งไปด้วยกัน

ไม่มีความคิดเห็น: