วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2551

เรื่องลับที่ดราก้อน คาเฟ่


เรื่องลับที่ดราก้อน คาเฟ่
จูดี้ ฟอง เบทส เขียน
คำเมือง แปล
ปีที่พิมพ์ ๒๕๕๐
สำนักพิมพ์สันสกฤต
๒๗๕ หน้า
๒๒๕ บาท

เรื่องลับที่ดราก้อน คาเฟ่ หรือ midnight at the Dragon Café เป็นผลงานของจูดี้ ฟอง เบทส ผู้ซึ่งย้ายมาจากประเทศจีนมายังแคนาดาตั้งยังเป็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ แถบออนแทรีโอหลายเมือ ผลงานของเธอได้นำไปออกอากาศใน CBC Radio และตีพิมพ์ในวารสารด้านการประพันธ์รวมกับผลงานของนักเขียนคนอื่น ๆ หลายครั้ง ดังนั้นผู้เขียนจึงใช้ถ้อยคำสำนวน และสามารถบรรยายสภาพครอบครัวชาวจีนได้เป็นอย่างดี

เรื่องลับที่ดราก้อน คาเฟ่ ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของเด็กหญิงชาวจีนที่ได้อพยพมายังแคนาดาในค.ศ. ๑๙๗๖ ชื่อ ซูเจิ้น เธอมายังแคนาดาพร้อมกับแม่ของเธอเพื่อมาหาพ่อ และเพื่อชีวิตที่ดีกว่าในประเทศที่ไม่มีคอมมิวนิสต์ ซูเจิ้นและแม่ต้องปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมใหม่ ๆของพวก โหลฟาน หรือ ฝรั่งในคำเรียกของชาวจีน ในขณะที่เธอต้องเป็นซูเจิ้นของครอบครัวเมื่ออยู่ที่บ้าน และเธอจะต้องเป็นแอนนี่เมื่ออยู่ข้างนอก เธอต้องปรับตัวให้เข้ากับสองวัฒนธรรม คือวัฒนธรรมตะวันออกและวัฒนธรรมตะวันตก ในขณะที่แม่ของเธอไม่สามารถรับหรือแม้แต่ปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมตะวันตกได้เลย ซูเจิ้นต้องรับรู้ถึงความขมขื่นและความอดทนอดกลั้นของทั้งพ่อและแม่ สิ่งที่แม่พร่ำบอกเธอมาตลอดคือ แม่มาที่นี่เพื่อเธอ ชีวิตของแม่สิ้นสุดลงนับจากวินาทีที่ก้าวลงจากเครื่องบิน

ซูเจิ้นมีเพื่อนที่สนิทที่สุดชื่อ ชาร์ล็อต่พร่ำบอกเธอมามขื่นและอดกลั้นของทั้งพ่อและแม่ สิ่ไม่สามารถรับหรือแม้แต่ปรับตต์ สำหรับซูเจิ้นแล้วเธอเป็นคนที่กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว เชื่อมั่นในตัวเอง และฉลาด ซูเจิ้นและชาร์ล็อตต์มักจะอยู่ด้วยกันแทบทุกที่ ในขณะที่ซูเจิ้นมีความสุขที่เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ รอบด้าน หุ้นส่วนของพ่อเธอก็ตัดสินใจขายหุ้นให้กับพี่ชายคนละแม่ของเธอที่ชื่อ หลี่กัง เมื่อเขาก้าวเข้ามาในบ้าน แม่ของเธอก็ดูมีความสุขขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ความสัมพันธ์ของพ่อและแม่เธอได้แย่ลงเรื่อย ๆ และในไม่ช้าเธอก็ได้รู้ความลับของครอบครัวที่หนักอึ้งและไม่อาจจะเอ่ยปากบอกใครได้ ทั้งชาร์ล็อตต์ พ่อของเธอ หรือแม้แต่แม่ของเธอ ว่าเธอรู้ว่าแม่ของเธอกับพี่ชายได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน

ซูเจิ้นต้องรู้จักสุภาษิตจีนที่ว่า เหง่ฮั่ย คือ การเก็บกดความคิดด้านไม่ดีเอาไว้ และ เฮ็กฝู่ คือ การกล้ำกลืนความขมขื่นไว้ ด้วยวัยเพียงสิบกว่าขวบซูเจิ้นต้องแบกรับทุกอย่างเอาไว้ เธอรักแม่และพี่ชาย แม้จะรังเกียจในการกระทำของพวกเขา เธอรู้สึกสงสารพ่อของเธอ และรับรู้ว่าพ่อของเธอก็ต้องรับผิดชอบ และอดทนกล้ำกลืนความขมขื่นไว้มากเพียงไร สถานการณ์ยิ่งบีบคั้นเมื่อแม่เธอตั้งครรภ์ขึ้นมาทั้ง ๆ ที่พ่อของเธอแก่มากแล้ว

เหตุการณ์มาถึงจุดพลิกผันเมื่อชาร์ล็อตต์เพื่อนรักของเธอได้ตกลงไปในสระน้ำแข็งและเสียชีวิตลง ความอดทนอดกลั้นของเธอมาถึงขีดสุดและเธอก็ระเบิดมันออกมา สิ่งที่ไม่มีใครพูดออกมา สิ่งที่ทุกคนจะต้องเหง่ฮั่ย และ เฮ็กฝู่ ทำให้ทั้งแม่และพี่ชายของเธอรู้ว่าเรื่องที่เป็นความลับที่สุดไม่ได้เป็นความลับอีกต่อไป ความสัมพันธ์ในครอบครัวชาวตะวันออกอย่างชาวจีนที่แสนจะเคร่งครัดจะดำเนินต่อไปอย่างไร กับความรู้สึกกระอักกระอ่วนนี้

หนังสือเล่มนี้ได้ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ต้องดำเนินชีวิตผ่านสองวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ต้องแบกรับเรื่องราวที่หนักอึ้งมากกว่าตัวเธอ ทำให้ชีวิตในวัยเด็กที่ควรจะสดใสมีรอยเปื้อนแต้มไว้ทำให้ซูเจิ้นต่างจากเด็กที่เติบโตในสังคมตะวันตกทั่ว ๆ ไป ผู้เขียนได้ถ่ายทอดวิถีชีวิตและคติสังคมของคนจีนแม้จะอยู่ในสังคมตะวันตกอย่างลึกซึ้ง ได้สะท้อนถึงวัฒนธรรมของจีนที่ต้องสั่งสอนให้ผู้หญิงรู้จักอดทนอดกลั้น และเก็บความขมขื่นไว้ สอนให้รู้จักความสำคัญของครอบครัว รวมถึงความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวอีกด้วย ในเรื่องนี้ยังบ่งบอกถึงค่านิยมของและวิถีของชาวบ้านของสังคมจีนในยุคหนึ่ง ที่ทำให้ผู้หญิงต้องรู้จักเหง่ฮั่ย และ เฮ็กฝู่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นมา เพราะมิฉะนั้นแล้วหญิงที่ตั้งครรภ์ในขณะที่สามีไม่อยู่อาจต้องฆ่าตัวตายเพราะไม่สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้ตามปกติที่ต้องถูกนินทา

นอกจากนี้จูดี้ ฟอง เบทสได้จงใจสื่อสารถึงผู้ปกครองที่ควรตระหนักถึงบุตรหลานให้มาก เด็กเปรียบเสมือนผ้าขาวที่เราจะแต่งเติมสีอะไรลงไปในผ้าก็ย่อมได้ บางครั้งหากขาดความระมัดระวังสีที่เราไม่ได้ตั้งใจแต้มลงไปอาจเปื้อนติดผ้าจนยากจะแก้ไข หากเป็นเด็กที่พอมีวุฒิภาวะเพียงพออาจจะเข้าใจโดยง่ายและสามารถรับกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างเข้าใจ แต่ถ้าเด็กไม่สามารถรับได้ก็อาจเกิดเป็นปมขึ้นมาทำให้ติดตัวเด็กไปจนโตก็เป็นได้

แม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่ดำเนินเรื่องแบบเรียบ ๆ ไม่หวือหวาแต่ตลอดทั้งเรื่องเราต่างก็เอาใจช่วยและลุ้นระทึกไปกับซูเจิ้นว่าจะทำอย่างไรกับความลับที่รู้มาโดยบังเอิญ พร้อมทั้งสิ่งที่ผู้เขียนพยายามถ่ายทอดเสี้ยวหนึ่งของความจริงที่ถูกละเลยไปของผู้หญิง เรื่องราวของการฝ่าฝืนขนบธรรมเนียมประเพณีอย่างร้ายแรง เมื่อแม่เลี้ยงที่สามียังคงนอนอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน และอีกฝ่ายหนึ่งคือลูกเลี้ยงที่พ่อ สามีของผู้หญิงที่เขามีความสัมพันธ์ด้วยนั้นยังคงเห็นหน้ากันอยู่ทุกวัน นอนอยู่ห้องข้าง ๆ โดยมีเพียงฝากั้น ความสัมพันธ์นี้จะยอมรับได้มากน้อยเพียงใดและยิ่งเมื่อคนคู่นั้นเกิดมีลูกด้วยกัน โดยถ่ายทอดผ่านตัวละครเด็กผู้หญิงผู้เป็นลูกของผู้หญิงคนนั้น และน้องสาวของผู้ชาย ปมที่ยุ่งยากนี้จะได้รับการคลี่คลายได้อย่างไร คงต้องพิสูจน์และร่วมเอาใจช่วยซูเจิ้นให้ผ่านเรื่องราวต่างๆ ไปได้ด้วยดี


อรรถอรองค์

ไม่มีความคิดเห็น: