วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2551

เกาะโลมาสีน้ำเงิน (Island of the Blue Dolphins)


เกาะโลมาสีน้ำเงิน (Island of the Blue Dolphins)
ผู้แปล : วิลาวัณย์ ฤดีศานต์
ปีพิมพ์ : 6 / 2551
สำนักพิมพ์ : มติชน
จำนวนหน้า : 192 หน้า
ราคา : 140 บาท


เมื่อเราเดินเข้าไปในร้านหนังสือ คงคาดเดายากว่าใครจะไปหยุดตรงชั้นหนังสือหมวดใด สำหรับฉัน คนไม่ชอบอ่านหนังสือแต่ชอบทะเล เกิดสะดุดตาหนังสือเล่มหนึ่งเรื่อง เกาะโลมาสีน้ำเงิน ฉันไม่ชอบอ่านหนังสือแต่ทะเลทำให้ฉันอยากอ่านหนังสือเล่มนี้ และเมื่อเปิดอ่านตั้งแต่ต้นจนจบฉันกลับค้นพบหลายสิ่งที่มากกว่าแค่เรื่องราวของทะเลจากหนังสือเล่มนี้


เกาะโลมาสีน้ำเงิน หรือ Island of the Blue Dolphins เป็นวรรณกรรมอิงประวัติศาสตร์ ผลงานการเขียนของสก๊อตต์ โอ เดลล์ และผลงานการแปลจาก วิลาวัณย์ ฤดีศานต์ ได้รับการการันตีมากมายจากหลายรางวัลที่ได้รับกว่า 12 รางวัลรวมถึงได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 10 วรรณกรรมเยาวชนที่ดีที่สุดในรอบ 200 ปีจากสมาคมวรรณกรรมเยาวชนของสหรัฐอเมริกาอีกด้วย

การานา เด็กหญิงคนหนึ่งเคยมีทั้งพ่อ พี่น้อง และเพื่อนบ้าน เคยมีชีวิตปกติร่วมกับผู้คนเช่นเดียวกับมนุษย์ในสังคมอื่นๆ แต่วันหนึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด นักล่าหนังสัตว์ขึ้นมาที่เกาะของเธอ เกิดการต่อสู้และคนในหมู่บ้านของเธอต้องเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมากรวมถึงพ่อของเธอด้วย จากนั้นหัวหน้าหมู่บ้านได้ล่องเรือออกไปตามคนมาอพยพพวกเธอ กระทั่งมีเรือมารับที่เกาะ ทุกคนรีบไปที่เรือจนครบยกเว้นน้องชาย 6 ขวบของเธอที่ย้อนกลับไปเอาหอกแทงปลาในบ้าน เธอบอกให้เรือย้อนกลับไปรับน้องชายของเธอแต่ทุกคนปฏิเสธและบอกว่าจะกลับมารับภายหลัง เธอจึงตัดสินใจกระโดดลงน้ำและว่ายกลับไปที่เกาะ เธอและน้องชายอยู่ด้วยกันบนเกาะได้ไม่ถึงสัปดาห์ น้องชายของเธอก็ถูกหมาป่ากัดตาย นับตั้งแต่นั้นเธอจึงต้องใช้ชีวิตอยู่บนเกาะโลมาสีน้ำเงินเพียงคนเดียวเป็นเวลาถึง 18 ปี กระทั่งมีเรือมาพบเธอ

การานา ทำให้ฉันรู้สึกว่า ฉันควรพอใจกับชีวิตที่ฉันมีอยู่ในตอนนี้ เพราะหากเทียบกับเธอแล้ว ฉันอาจกลายเป็นคนที่โชคดีที่สุดก็ว่าได้ ฉันมีพ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อนๆ และสังคม ฉันมีคนให้คุยด้วย มีคนคอยรับฟัง และมีสังคมให้ฉันได้เป็นส่วนหนึ่งและร่วมดำเนินชีวิตไปด้วยกัน ฉันคิดไม่ออกว่าหากเป็นฉัน ฉันควรจะทำอย่างไรกับชีวิตที่เคยมีครอบครัว แต่วันหนึ่งฉันต้องอยู่คนเดียว ต้องช่วยเหลือตัวเอง สร้างบ้าน หาอาหารเพียงลำพัง แย่ที่สุดคือไม่ได้พูดคุยกับใครเลย

เห็นได้ว่าการใช้ชีวิตของเธอไม่ใช่แค่หาที่หลบฝนและหาอาหารประทังชีวิตไปวันๆเพียงเท่านั้น แต่เธอแสดงให้เห็นถึงการปรับตัว การให้อภัยและยอมรับ เพราะจากเรื่องมีเหตุการณ์ตอนที่เธอพบน้องชายนอนเสียชีวิตอยู่ท่ามกลางฝูงหมาป่าที่ยืนล้อมอยู่ ตั้งแต่นั้นเธอจึงให้สัญญากับตัวเองว่า เธอจะฆ่าหมาป่าให้หมดเพื่อแก้แค้นให้กับน้องชายของเธอ แต่เมื่อเธอสบโอกาสเธอกลับเปลี่ยนใจไม่ทำ และยังอุ้มหมาป่าที่บาดเจ็บตัวนั้นกลับมาที่บ้าน ช่วยทำแผลรวมถึงหาอาหารให้หมาป่าจนแข็งแรงดี และกลายมาเป็นเพื่อนของเธอ เห็นได้ว่าเธอเปิดใจที่จะยอมรับศัตรูที่เธอเรียกในตอนแรกให้กลายมาเป็นมิตร เธอรู้จักให้อภัยและเริ่มต้นปรับตัวกับสิ่งใหม่
โชคชะตาของ การานา นั้นโหดร้ายเป็นที่สุด เธอเองก็เป็นเด็กหญิงที่น่าสงสารสุดใจ แต่เพราะเธอเข้มแข็ง สิ่งตรงหน้าจึงแลดูไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเธอ เห็นได้จากในเรื่องที่เธอยังคงมีชีวิตอยู่ได้ ไม่ได้คิดฆ่าตัวตายตรงกันข้ามเธอรักชีวิตของเธอ ทุกวันที่เธอเดินหาอาหาร และง่วนอยู่กับการเย็บชุดกระโปรงของเธอ เธอหาอะไรทำ และพยายามปรับตัวให้มีความสุขกับสิ่งที่เธอมีอยู่แม้ว่าจะไม่ใช่สิ่งที่เธอปรารถนาและพอใจ

สก๊อตต์ โอ เดลล์เขียนเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี อ่านแล้วฉันรู้สึกได้ถึงภาพบรรยากาศและอารมณ์นึกคิดของตัวละครในทุกฉากเหตุการณ์ เขาเล่าเรื่องได้อย่างประณีตและแฝงแง่คิดไว้มากมาย เช่น “...สิ่งที่มีพลังยิ่งกว่านั้น คือความปรารถนาที่จะได้อยู่ในที่ที่ผู้คนอาศัยอยู่ ความปรารถนาที่จะได้ยินเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะของพวกเขา” ข้อความนี้ทำให้ฉันรู้สึกว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคมอย่างปฏิเสธไม่ได้ แม้บางครั้งเราอาจต้องการอยู่คนเดียว แต่คงไม่มีใครสามารถอยู่ตัวคนเดียวไปได้ตลอดชีวิต มีข้อความที่ฉันประทับใจอีกคือ “ฉันไม่คิดถึงอดีต ไม่คิดถึงฤดูร้อน ฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิมากมายที่ผ่านไป ฉันไม่เห็นความแตกต่างของแต่ละฤดู ฤดูกาลทั้งหมดรวมเป็นหนึ่งเดียว เป็นความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในอก และไม่มีอะไรมากกว่านั้น” อ่านข้อความนี้จบ ฉันสัมผัสได้ถึงความทุกข์ทรมานที่คล้ายว่า ทุกสิ่งที่ผ่านข้ามาในชีวิตดูไม่ต่างกัน ไม่มีค่าอะไร เพราะการที่เรากำลังเป็นทุกข์ ไม่มีความสุข เราจะไม่มีความต้องการที่จะรับรู้อะไรทั้งสิ้น

ฉันอยากให้หลายคนได้อ่านเรื่องนี้โดยเฉพาะคนที่กำลังรู้สึกทุกข์ใจ เพราะเมื่อคนคนนั้นได้อ่านเรื่องราวของ การานา ใน เกาะโลมาสีน้ำเงิน เล่มนี้แล้ว ความทุกข์ของเขาเหล่านั้นอาจบรรเทาลงได้บ้างและอีกหลายคนที่ไม่ได้กำลังทุกข์ใจ ฉันก็ยังคงอยากให้พวกเขาได้อ่านอยู่ดี เพื่อลองรับฟังมุมมองใหม่ๆจากการใช้ชีวิต ได้มีข้อคิดดีๆ ไว้ใช้ในวันต่อๆไป

สุพิชญ์

3 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

เคยอ่านครับสามรอบได้ ทุกวันนี้ยังหาหนังสือเล่มนี้อยู่ หวังว่าสักวันคงจะเจอ ....

Unknown กล่าวว่า...

เคยอ่านครับสามรอบได้ ทุกวันนี้ยังหาหนังสือเล่มนี้อยู่ หวังว่าสักวันคงจะเจอ ....

wandee กล่าวว่า...

ชอบมากค่ะ อ่านแล้วร้องไห้ อ่านซ้ำอีก ให้เพื่อนยืมไปอ่าน ตอนนี้หาหนังสือไม่เจอ อยากหาซื้อใหม่เพื่อมาพิมพ์อักษรเบรลล์ให้น้องตาบอดได้อ่าน