วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2551

ชีวิตไม่ได้มีไว้ให้ยอมแพ้


ชีวิตไม่ได้มีไว้ให้ยอมแพ้
ลูกปัด ปัทมสุคนธ์
พิมพ์ครั้งที่ 12
สำนักพิมพ์ใยไหม
172 หน้า ภาพประกอบ
159 บาท


คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ทุกครั้งที่ต้องเผชิญกับปัญหาแล้วไม่เคยร้องไห้ ไม่เคยเสียใจ ไม่เคยสิ้นหวัง และไม่เคยหมดกำลังใจ ฉันก็เป็นคนหนึ่งที่เคยร้องไห้เสียใจอย่างมากมายกับการเผชิญกับปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปพึ่งใคร หมดสิ้นกำลังใจที่จะต่อสู้ เอาแต่ร้องไห้และเก็บตัวอยู่ในห้อง มีเพียงหนังสือเท่านั้นที่เป็นเพื่อน แล้ววันหนึ่งฉันก็พบทางออก หนังสือเล่มหนึ่งที่ฉันเคยมองข้ามและไม่เห็นค่าความสำคัญ กลับเป็นดั่งมือที่ฉุดฉันให้ขึ้นมาจากความทุกข์เศร้า ให้ลุกขึ้นยืนพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างผู้ชนะ และไม่หันกลับไปมองความพ่ายแพ้ของวันวาน ชีวิตไม่ได้มีไว้ให้ยอมแพ้

ในโลกของการใช้ชีวิต ทุกคนถูกผลักให้ต้องต่อสู้ ถูกผลักให้ต้องแข่งขัน ถูกผลักให้ขึ้นไปสู่ “ไฟล์ทบังคับ” ที่ทำให้หลายคนหวาดหวั่น ท้อแท้ ใจฝ่อ จนอยากจะยกธงขาวยอมแพ้ แต่ติดอยู่ที่ว่าในเวทีชีวิตนั้น เราไม่สามารถยอมแพ้ทุกอย่างได้ “บนเส้นทางชีวิต เราจะแพ้ตลอดไปไม่ได้ ถ้าเราแพ้เราจะไปอยู่ตรงไหนของโลก”

ชีวิตไม่ได้มีไว้ให้ยอมแพ้ เป็นหนังสือเกี่ยวกับข้อคิด ชีวิต และกำลังใจ ที่ ‘ลูกปัด’ ได้ถ่ายทอดมุมมองของชีวิตโดยผ่านประสบการณ์ของตัวเอง ถ่ายทอดข้อคิดดีๆด้วยการใช้คำที่สวยงามและอ่อนโยน คำที่เลือกมาใช้นั้นแม้จะเป็นคำธรรมดาแต่กลับเป็นคำที่เต็มไปด้วยพลัง บางถ้อยคำมีมิติที่ลึกและกินใจ ‘ลูกปัด’ไม่ได้ปิดและบังคับให้ผู้อ่านต้องเชื่อและทำตาม แต่เธอได้เปิดโอกาสให้ผู้อ่านได้ต่อยอดความคิดเอาเอง เพื่อแก้ไขปัญหาตามประสบการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง เช่นเรื่อง “สนามชีวิต” ที่ว่า “คนฉลาดต้องรู้ว่าเมื่อไหร่ควรรุก เมื่อไหร่ควรถอย กับคนแต่ละคน สนามรบแต่ละสนาม ไม่จำเป็นต้องรบด้วยยุทธวิธีเดียวกันหรืออาวุธเดียวกัน กับข้าศึกบางจำพวก บางทีนักรบก็ชนะได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ดาบ” ลูกปัดได้เปิดโอกาสให้ผู้อ่านได้คิด และมีส่วนร่วมในการตีความว่าดาบนั้นหมายถึงอะไร เพราะทุกคนล้วนมีดาบหรืออาวุธในการแก้ปัญหาไม่เหมือนกัน

หนังสือเล่มนี้มีทั้งหมด 48 เรื่องย่อย แต่ละเรื่อคือแง่คิดดีๆที่นำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ เป็นกำลังใจที่ดีในยามที่ต้องเผชิญกับปัญหา ทำให้เราเข้มแข็งและสามารถยืนหยัดต่อสู้กับปัญหาอยู่ได้โดยไม่ย่อท้อ ในวันที่ฉันเจอกับปัญหา หนังสือเล่มนี้คือกุญแจที่ไขประตูให้ฉันได้เจอกับแสงสว่างอีกครั้งหนึ่ง 48 เรื่องย่อยมีเรื่องหนึ่งที่ฉันชอบและประทับใจมาก เพราะตรงตรงกับความรู้สึกของฉันในขณะนั้น อ่านแล้วทำให้ฉันมีกำลังใจและสามารถยิ้มออกมาได้ คือเรื่อง “ที่ยืนยังมีอยู่” ที่ว่า “วันที่อุปสรรคและปัญหาถาโถมมาสู่ชีวิต ได้กลายเป็นวันที่ความหวังอับแสงและเหมือนชีวิตมืดมน หลายคนเฝ้าตัดพ้อและคร่ำครวญว่าชีวิตไม่มีหนทางไป โลกไม่มีที่ให้อยู่ เหมือนไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า แค่ผลักประตูออกไปก็มีถนนมากมายรอยอยู่ตรงหน้า มีสิ่งใหม่ๆในชีวิตอีกร้อยพันอย่างให้เรียนรู้ มีความหวัง ความฝันมากมายรอให้ไขว่คว้า มีมือใครต่อใครอีกมากมายที่ยื่นมาให้เราเกาะเพื่อลุกขึ้น มีดวงตะวันดวงใหญ่ที่ฉายแสงอยู่ในทุกๆเช้า อย่างนี้แล้วโลกจะมืดมนตรงไหน จะไม่มีทางไปตรงไหน โลกไม่มีที่ให้อยู่ตรงไหน หรือถ้าโลกไม่มีที่ให้อยู่จริงๆ ไม่มีที่จะอยู่จริงๆ ก็อยู่ไปก่อนตรงที่เท้ายืน...”

จุดเด่นของหนังสืออีกประการหนึ่งก็คือ ทุกหัวข้อจะพูดถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาทุกครั้ง แล้วจึงค่อยแนะนำวิธีการแก้ปัญหาอย่างเปิดกว้าง โดยมีเหตุผลมาสนับสนุนวิธีคิดในทุกๆข้อ และก็มีภาพประกอบที่สวยงาม แต่ละภาพมีความสัมพันธ์กับเรื่องที่เขียน ซึ่งเป็นการสื่ออารมณ์โดยผ่านภาพ ทำให้ผู้อ่านรู้สึกผ่อนคลาย และสามารถปล่อยอารมณ์ให้โลดแล่นไปกับเรื่องที่อ่านได้อย่าง
เพลิดเพลิน

ชีวิตไม่ได้มีไว้ให้ยอมแพ้เปรียบชีวิตเหมือนกับการเดินทาง และโลกใบนี้ก็เป็นเหมือนถนนที่ทอดสายให้เราเลือกและทดลองเดิน ซึ่งถนนแต่ละสายก็มีความแตกต่างกัน บางสายก็ราบเรียบ บางสายก็ขรุขระ แต่ไม่ว่าถนนข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวมากกว่าที่เป็น เพราะโลกไม่ได้แย่ขนาดนั้นและชีวิตก็ไม่ได้โหดร้ายจนไม่ทิ้งแผนที่และเข็มทิศไว้ให้เรา “ไม่มีถนนสายไหนที่ไม่ให้บทเรียน และไม่มีถนนสายไหน ทำให้เราตกลงไปในหุบเหวจนปีนขึ้นมาไม่ได้”

ณ วันหนึ่งที่ชีวิตมีปัญหาเข้ามาถึง หนังสือเล่มนี้จะเป็นเหมือนกุญแจที่สามารถช่วยให้เราแก้ปัญหาด้วยสติปัญญาและกำลังใจที่ไม่ยอมแพ้ตัวเอง

“ในวันหนึ่งที่ร้องไห้....
หากทำได้เพียงแค่สะอึกสะอื้นและคร่ำครวญ
จะฝัน จะเฝ้ารอคอยให้ใครเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาให้
หากมือของตัวเองแนบอยู่ข้างลำตัว
แล้วยังปล่อยให้น้ำตาตัวเองไหลริน”

Weak Today, Strong Tomorrow.

สุกานดา

ไม่มีความคิดเห็น: