วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2551

กว่าจะเป็นกบ


กว่าจะเป็นกบ
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล
ปีที่พิมพ์ พ.ศ.2548
สำนักพิมพ์พิมพ์บูรพา
222 หน้า
170 บาท



กว่าจะเป็นกบ(นอกกะลา) หนังสือที่บอกเล่าวิถีของรายการกบนอกกะลาตั้งแต่จุดเริ่มต้น ก่อนที่จะถือกำเนิดมาเป็นรายการโทรทัศน์ที่ได้รับความนิยมเช่นปัจจุบัน ผ่านปลายปากกาของคนเบื้องหลังอย่าง กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล ผู้เปี่ยมไปด้วยความคิดอันสร้างสรรค์ที่สรรค์สร้างถ้อยคำมาเรียงร้อยเรื่องราวได้อย่างน่าสนใจ กลายเป็นหนังสือสารคดีที่ให้ความบันเทิงได้เฉกเช่นรายการกบนอกกะลา รายการที่สามารถลบล้างความคิดที่ว่า “รายการสารคดีไม่มีคนดู” ได้อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง

“ความรู้ที่แท้จริงไม่ได้มาจากการท่องจำ แต่ความรู้และปัญญาที่แท้จริงมาจากการเชื่อมโยงความรู้กับชีวิต และเชื่อมโยงชีวิตเข้ากับโลก” คำโปรยหนังสือบนปกหลังที่คัดลอกมาจากตอนหนึ่งในหนังสือถือเป็นข้อความที่น่าสนใจ สามารถสะท้อนแนวความคิดของผู้เขียนที่ต้องการแนะแนวทางให้ผู้อ่านได้รับความรู้ที่แท้จริงจากสิ่งที่ผู้เขียนเองได้ถ่ายทอดลงในหนังสือเล่มนี้ หนังสือที่เต็มไปด้วยแง่คิด รวมไปถึงประสบการณ์จริง แต่ก็ยังไม่ละทิ้งสาระและความสนุกสนาน ที่อ่านจบได้โดยไม่รู้ตัว

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่กบตัวนี้ยังไม่ได้ก่อตัวเป็นรูปธรรม ยังคงเป็นเพียงความเชื่อของกบ โดยผู้เขียนได้เปิดเรื่องโดยการยกนิทานที่นักอ่านหนังสือทุกคนคงจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี คือ เรื่องกบผู้ไม่เคยยอมแพ้ เรื่องของกบ 2 ตัวตกลงไปในถังครีม ต่างดิ้นรนเอาชีวิตรอด ตัวหนึ่งยอมแพ้ต่อโชคชะตา แต่อีกตัวดิ้นรนไม่หยุดหย่อน ว่ายอยู่ในถังครีมด้วยความเชื่ออยู่นาน จนพบว่ามันได้มายืนอยู่บนเนยที่ทำขึ้นมาเองอย่างไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งนั่นทำให้มันกระโดดออกจากถังและมีชีวิตรอดอย่างน่ามหัศจรรย์ ความเชื่อนี้เองที่ทำให้กบตัวหนึ่งได้ถือกำเนิดขึ้นจากแรงบันดาลใจและได้เจาะกำแพงความเชื่อเดิมๆ กบตัวนี้ก็คือ รายการกบนอกกะลา

ผู้เขียนได้เรียงลำดับพัฒนาการของรายการกบนอกกะลาโดยการใช้สัญลักษณ์แทนความเปลี่ยนแปลงที่รายการนี้ค่อยๆก้าวขึ้นไปทีละขั้น โดยการแทนรายการกบนอกกะลาเป็นเหมือนกบตัวหนึ่งที่นับวันก็ยิ่งเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ดังจะเห็นได้จากชื่อของแต่ละบททั้ง 17 บท ตั้งแต่บทแรกที่รายการยังไม่เกิดขึ้นยังคงเป็นเพียงแค่ความคิด ผู้เขียนก็ใช้ชื่อบทว่า ความเชื่อของกบ จากนั้นก็กลายเป็นไข่กบ และฟักตัว เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนโตเต็มวัย กลายไปเป็นกบย่าง และจบด้วยการฝากข้อคิดในบทสุดท้ายคือ แด่...กบตัวอื่นๆ จะเห็นได้ว่าเพียงชื่อบทผู้เขียนก็แสดงออกถึงความคิดอันสร้างสรรค์ได้อย่างน่าสนใจ และที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือการแทรกวิธีการคิดและวิธีการทำงาน กว่าจะมาเป็นรายการกบนอกกะลาไว้ในทุกบท จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วจะได้แนวทางในการทำงานให้ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับการทำรายการกบนอกกะลาอย่างน้อย 17 ประการ

เหตุผลอีกประการหนึ่งที่ทำให้หนังสือเล่มนี้น่าสนใจนั่นก็เป็นเพราะ ผู้เขียนได้ค่อยๆอธิบายไปทีละขั้น บอกเล่าเส้นทางของรายการกบนอกกะลาตั้งแต่เริ่มต้น ไปเรื่อยๆตามลำดับเวลากระทั่งปัจจุบัน ทำให้อ่านง่ายและน่าติดตาม โดยเริ่มเล่าความเป็นไปตั้งแต่การเกิดขึ้นของรายการกบนอกกะลาที่เกิดขึ้นจากกระแสความสำเร็จของรายการคนค้นคน เป็นการเปิดเส้นทางสายใหม่ภายใต้คำจำกัดความที่ว่า “ความรู้จะไม่ใช่สิ่งที่น่าเบื่ออีกต่อไป” ส่วนหนึ่งที่ทำให้รายการกบนอกกะลาแตกต่างจากรายการสารคดีอื่นๆนั่นก็เพราะผู้สร้างได้ลงไปสัมผัสกับข้อมูลต่างๆด้วยตัวเอง ไม่ได้ใช้เอกสารหรือสื่อต่างๆเป็นตัวกลาง ประกอบกับการถ่ายทอดที่เข้าใจได้ง่ายดังคำกล่าวของผู้เขียนที่ว่า “การตัดต่อของกบนอกกะลาจะไม่สลับซับซ้อนเท่าไหร่ มันจะเหมือนโบกี้รถไฟเป็นตู้ๆต่อไปเรื่อยๆ แต่ละตู้ก็เป็นแต่ละประเด็นของมัน มีการเชื่อมโยงขยับไปทีละประเด็น” นี่เองเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รายการกบนอกกะลาน่าสนใจ แต่เข้าถึงผู้ชมได้ง่าย เพราะการนำเสนอที่เป็นไปอย่างมีขั้นตอนนี่เอง

คำพูดหนึ่งที่ผู้เขียนได้ยกมาใช้ในตอนต้นเรื่องและในตอนท้ายที่ว่า “เนื้องานพิสูจน์เนื้อแท้ของคน” ถือเป็นอีกหนึ่งแง่คิด ทำให้ผู้อ่านได้ตระหนักถึงความเป็นไปของสังคมในปัจจุบันที่มุมมองการมองโลกของคนได้เปลี่ยนไป การมองเพียงแค่ภายนอกก็สามารถตัดสินเนื้อแท้ของคนได้โดยที่ยังไม่ได้เห็นเนื้องาน เช่นเดียวกัน หนังสือ กว่าจะเป็นกบ เล่มนี้ก็มีมุมมองที่น่าสนใจให้ค้นหา และมีข้อคิดดีๆที่มีประโยชน์ให้นำไปใช้ รวมไปถึงสาระดีๆที่รอคอยให้ผู้อ่านได้ค้นหา อย่างเพิ่งตัดสินเพียงรูปเล่มภายนอกเพราะยังมีแก่นและความรู้ที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยสายตาได้อย่างชัดเจ แต่จะมองเห็นได้อย่างแจ่มแจ้งเมื่อเปิดใจอ่าน

รายการกบนอกกะลาเกิดขึ้นได้ด้วยความกล้าที่จะเจาะกำแพงความเชื่อแบบเดิมไปสู่ความเชื่อที่แตกต่าง กว่าจะเป็นกบ หนังสือเล่มเล็กๆเล่มนี้ก็เกิดขึ้นได้ด้วยความกล้าที่จะนำเสนอสาระความรู้ที่หลายคนมองเป็นเรื่องน่าเบื่อได้อย่างน่าสนใจและน่าติดตาม ภายใต้ความเชื่อที่ซ้ำซากในสังคมที่ยังคงยืนย่ำอยู่บนจุดเดิม หลายคนคงไม่ทันคิดว่า จริงๆแล้วสังคมอาจกำลังต้องการสิ่งใหม่ๆ เพียงแต่ผู้คนยังคงลังเลและไม่กล้าเปิดประตูความเชื่อนั้น หากประตูยังคงปิด ทุกอย่างก็จะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง หากประตูถูกเปิดออก สิ่งที่รออยู่ก็คือความท้าทายให้ค้นพบสิ่งที่ดีกว่า การหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านจึงเป็นเหมือนก้าวแรกแห่งการเปิดรับแนวคิดใหม่ แล้วคุณกล้าที่จะเปิดประตูความเชื่อนั้นแล้วหรือยัง?
เอกพันธุ์

ไม่มีความคิดเห็น: