วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2551

กล้าที่จะก้าว



กล้าที่จะก้าว
การ์ตูน
พิมพ์ครั้งที่ ๘
สำนักพิมพ์ใยไหม
๑๖๐ หน้า ภาพประกอบ
๑๒๕ บาท

บ่อยครั้งที่ฉันอยู่กับความคิดของตัวเอง แล้วรู้สึกสับสน ขาดความมั่นใจ กลัวที่จะคิด ไม่กล้าพูด กลัวเกินกว่าที่จะก้าวออกมาสัมผัสกับทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกกลมๆ ใบนี้ แม้บางครั้งฉันคิดว่าความคิดของฉันดีแล้ว แต่ก็ยังกลัวคนรอบข้างคิดว่ามันแย่ ชีวิตในตอนนั้นเป็นเสมือนคนที่ย่ำอยู่กับที่ ไม่ก้าวเดิน “ไม่กล้าก็ไม่ก้าว ไม่ก้าวก็ไม่เดิน” หลังจากนั้นฉันก็ได้ซื้อหนังสือมาเล่มหนึ่ง เพียงเพราะว่าชอบบทกลอนบางบทข้างในเล่ม แต่หนังสือเล่มนี้ กล้าที่จะก้าว ให้อะไรมากกว่าที่ฉันเคยคิดไว้ ทำให้ชีวิตของฉันเปลี่ยนไป บทความหลายๆเรื่องในเล่มนี้ เป็นเพื่อนที่ดีของฉัน ช่วยให้ฉันค้นพบสิ่งที่ตัวเองต้องการ “เมื่อความคิดค่อยๆ เปลี่ยนความกล้า ก็จะค่อยๆ เข้ามาแทนที่ความกลัว”


กล้าที่จะก้าว เล่มนี้ เขียนโดยผู้ที่ใช้นามปากกาว่าการ์ตูน ของสำนักพิมพ์ใยไหม ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์หนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในหมู่วัยรุ่น และการที่หนังสือเล่มนี้ได้มีการตีพิมพ์ถึง ๘ ครั้งภายในหนึ่งปี ทั้งสองสิ่งนี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความมีคุณภาพ ความมีคุณค่าของหนังสือนี้ได้เป็นอย่างดี

เมื่อเราเปิดหนังสือ หน้าแรกที่จะพบก็คือ การเปิดใจของพี่ไหมน้อย ซึ่งบอกถึงลักษณะของผู้ที่จะประสบความสำเร็จและมีความสุขนั้นจะต้อง เป็นผู้ที่กล้าเปลี่ยนแปลงตนเอง ต้องยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นและยอมรับคำติชม การเขียนเปิดใจนี้ เป็นเสมือนสิ่งที่จะช่วยกระตุ้นให้ผู้อ่าน ให้คิดและกล้าที่จะเปิดใจรับฟังความคิดเห็นของผู้เขียน

การ์ตูนแบ่งเนื้อเรื่องออกเป็นตอนๆ โดยเริ่มจากการให้ศรัทธาและเชื่อมั่นในมือข้างขวาของคุณ เนื่องจากมือขวาคือมือที่สร้างสิ่งต่างๆขึ้นมา แทนที่จะเชื่อในมือข้างซ้ายหรือมือแห่งโชคชะตา อย่าให้โชคชะตามากำหนดชีวิต เรื่องต่อมาคือเรื่องปัญหามีไว้แก้ หลบได้ พักได้ แต่อย่าหนี, อย่ากลัวผิดที่คิดจะพูด... อย่าคิดว่าสิ่งที่คนอื่นพูดนั้นผิด, การเปลี่ยนแปลงเป็นหนทางสร้างสรรค์สิ่งที่ดีกว่า, ความรักเป็นพลังแห่งการก้าวเดิน, โลกนี้พร้อมจะให้อภัยคนที่ยอมรับผิดอยู่เสมอ, ชีวิตต้องเดินก้าวหน้า เหนื่อยก็หยุดพักแต่อย่างเดินกลับหลัง, อย่าตกเป็นทาสของเวลา, สิ่งดีๆในชีวิตมักไม่เกิดขึ้นเพราะความบังเอิญ, ถ้าสนใจคำพูดแย่ๆ ก็เท่ากับแพ้ใจตัวเองและอย่าพูดว่า ทำไม่ได้ เพราะจิตใจจะจดจำและนำไปใช้ นอกจากเรื่องต่างๆที่ได้กล่าวไปแล้ว ยังมีเรื่องที่น่าอ่านอีกมากมายอยู่ในหนังสือเล่มเล็กๆ เล่มนี้ รอให้คุณมาเปิดอ่าน

สำหรับตอนที่ฉันประทับใจมากที่สุดก็คือ เรื่อง “เวลาในชีวิตมีน้อย อย่าตกเป็นทาสของเวลา” “ถ้าลองนับดูดีๆแล้ว อายุคนเราสั้นนิดเดียว ที่ผ่านไปทุกๆวินาที นั้นคือกำไรชีวิตของเราทั้งนั้น” สิ่งที่ธรรมชาติให้ทุกคนมาเท่ากัน นั่นคือ เวลา คนเรามักอ้างว่าไม่มีเวลา บางคนหมกมุ่นกับงานตั้งแต่เช้าจนดึก ไม่มีเวลาให้ครอบครัว หรือแม้แต่กระทั่งตนเอง “ศักยภาพของคนมีขอบเขต ทำอะไรได้ในเวลาที่จำกัด” ถ้าเราฝืนทำสิ่งนั้นๆ โดยไม่หยุดพัก ทุกสิ่งก็จะเสียหายหมด ไม่มีเพื่อน ไม่มีสังคม ผู้เขียนเชื่อว่า “การทำงานที่ดี คือ การทำงานในเวลางาน การเรียนที่ดี คือการตั้งใจเรียนในห้องเรียน” ถ้าเลยเวลานั้นๆไปแล้ว ร่างกายจะล้า “ถ้าชีวิตเธอเพิ่งเริ่มต้น รีบบริหารเวลาให้เคยชิน อย่าปล่อยให้เวลามาเป็นตัวควบคุมชีวิตเรา เท่าที่เห็นมามากมาย ถ้าเมื่อไหร่เราตกเป็นทาสของกาลเวลา เราจะทวงอิสรภาพของตัวเองคืนมาแทบไม่ได้เลย... ” ฉันชอบเรื่องนี้เพราะฉันเองก็เป็นคนหนึ่งที่ตกเป็นทาสของเวลา เมื่อได้อ่านเรื่องนี้ก็ได้รับข้อคิดเกี่ยวกับเรื่องการใช้เวลา ทำให้ฉันสามารถใช้เวลาอย่างคุ้มค่า บริหารเวลาได้ดีขึ้น

ผู้เขียนปิดท้ายหนังสือเล่มนี้ด้วยคำพูดที่กระตุ้นให้เราได้คิด ให้กำลังใจผู้อ่าน “เมื่อมีความกล้า สิ่งที่ได้ตามมาคือก้าว เมื่อหัวใจเปิดรับ ความคิดจะเปิดกว้าง เมื่อความกลัวหายไป หัวใจก็จะเป็นสุข เราจะกล้าและได้ก้าว พร้อมเดินไปข้างหน้าอย่างประทับใจ” การปิดท้ายเล่มหนังสือด้วยทำพูดที่กินใจผู้อ่านเช่นนี้ เป็นเสมือนสิ่งเติมเต็ม เติมความมั่นใจแก่ผู้อ่านให้มีความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง โดยชี้ให้เห็นผลดีที่จะเกิดขึ้นเมื่อคุณกล้าที่จะทำสิ่งต่างๆ ซึ่งส่วนนี้เองเป็นสิ่งที่แตกต่างจากหนังสือเล่มอื่นๆ

ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ จะแบ่งออกเป็นตอนๆ แต่ละตอนจะมีเนื้อเรื่องไม่ยาวมาก ทำให้อ่านแล้วรู้สึกอยากจะอ่านต่อไปเรื่อยๆ ลีลาการและท่วงทำนองของการแต่ง แม้ว่าผู้เขียนจะใช้ภาษาพูด ใช้คำง่ายๆมาสื่อความ แต่คำพูดเหล่านั้นเป็นคำพูดที่มีความหมายลึกซึ้ง กินใจ ชวนให้คิด ให้กำลังใจผู้อ่าน ให้กล้าที่จะทำในสิ่งที่ดี อ่านแล้วรู้สึกสนุกสนานเพลิดเพลินและซาบซึ้งไปกับเนื้อเรื่อง

เนื้อเรื่องแต่ละตอนจะเกริ่นด้วยคำพูดที่กระทบใจของผู้อ่าน เช่น “เวลาก้าวไปข้างหน้า ทุกๆสิบก้าว เราเหยียบหนาม ถ้าเมื่อไหร่ท้อแล้วเดินกลับหลัง ก็เท่ากับว่าที่ผ่านมาเราเจ็บฟรี” หลังจากนั้นก็เป็นเนื้อหาที่แทรกเรื่องต่างๆ ของคนในสังคมปัจจุบัน เช่น การที่คนไม่กล้ายอมรับผิด แต่กล้าที่จะรับชอบ พร้อมทั้งสอดแทรกข้อคิดไว้มากมาย โดยข้อคิดเหล่านี้ จะเป็นตัวหนา เป็นจุดดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน เช่น “คนเราทุกคนมีค่าเท่ากัน การถ่อมตนอย่างถูกกาละเทศจะช่วยสร้างความรู้สึกดีๆ ให้กับคนอื่น” ในตอนจบของแต่ละเรื่องก็จะปิดท้ายด้วยทำพูด สั้นๆ แต่กินความมากเหมือนกับตอนเกริ่นเรื่อง เช่น “ในเมื่อโลกพร้อมจะให้อภัยเมื่อเธอพลาด พอคนอื่นพลาดบ้าง แล้วเขายอมรับ เธอจะไม่ให้อภัยเขาเชียวหรือ” ซึ่งคำพูดตอนเกริ่นเรื่องและตอนจบของแต่ละเรื่อง เป็นส่วนที่ฉันชอบมากที่สุด ทำให้หนังสือเล่มนี้มีค่า น่าอ่านมากขึ้น

นอกจากเนื้อเรื่องที่มีความสนุกสนาน น่าอ่าน แฝงข้อคิดและคติสอนใจ สร้างกำลังใจให้แก่ผู้อ่านแล้ว การจัดรูปเล่มและภาพประกอบของหนังสือเล่มนี้ยังทำได้สวยงาม เป็นหนังสือที่ชวนอ่านและน่าเก็บ ใช้ภาพวาด รูปเด็กผู้หญิงเป็นสื่อ เมื่อเนื้อเรื่องเศร้า เด็กผู้หญิงก็แสดงท่าทางว่ามีปัญหา เมื่อใดที่เนื้อเรื่องแสดงถึงการประสบความสำเร็จ เด็กคนนี้ก็จะยิ้มอย่างมีความสุข นอกจากนี้ยังใช้ฉากหลังที่สอดคล้องกับเนื้อเรื่องอีกด้วย เช่น การใช้ภาพกระดาษซึ่งเขียนเรื่องต่างๆไว้ถูกขยำและฉีกขาด เป็นเสมือนสัญลักษณ์ที่สื่อถึงความผิดพลาด เป็นต้น หนังสือกล้าที่จะก้าวเล่มนี้จึงเหมาะสำหรับคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะผู้ที่ขาดความมั่นใจในตนเอง ผู้ที่กำลังสับสนในชีวิต ลองมาหา ทางแก้จากหนังสือเล่มนี้ แล้วคุณจะพบว่าชีวิตคุณมีค่า และปัญหาต่างๆมีทางแก้มากกว่าทางที่คุณเคยคิดไว้

หากกำลังมองหาหนังสือดีๆสักเล่มก็ขอแนะนำให้ลองหยิบหนังสือกล้าที่จะก้าวมาอ่าน หนังสือที่จะทำให้ผู้อ่านได้เพลิดเพลินไปกับเนื้อเรื่องที่มีคุณค่าบริบูรณ์ทั้งเนื้อหา ภาษาและข้อคิด นอกจากนี้ให้กำลังใจและวิธีการแก้ปัญหาต่างๆ ที่เราสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน แค่เพียงพลิกแผ่นกระดาษแต่ละหน้าของหนังสือเล่มนี้ กล้าที่จะก้าว แล้วคุณจะเดินต่อไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ อย่าลืมว่า ถ้าไม่กล้าก็ไม่ก้าว ไม่ก้าวก็

ไม่เดินแล้วชีวิตของเราจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร


ณัฐธิดา

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ย่อหน้าเกิ่นนำเป็นได้ทั้งนำและสรุป มีรายละเอียดดีพอใช้ การใช้สรรพนาม ฉัน กับคุณ ทำให้ดูเหมือนเป็นการพูดคุยกัน ดูเป็นกันเองแต่ลดความเป็นวิชาการลง ก็ดึคนละแบบ แต่คงไม่เหมาะสำหรับบทแนะนำหนังสือในชั้นเรียนเท่าไหร่ เอาเป็นว่าโดยรวมแล้ว เป็นงานเขียนแนะนำหนังสือที่ดีพอใช้ค่ะ

7