นางสาวพิมพ์อัณณ์ ราโชกาญจน์
รหัส 0548192
Seven Years in Tibet เป็นหนังอเมริกันที่ออกฉายในปี 1997 หนึ่งในผลงานการกำกับภาพยนตร์ของ ฌอง ฌากส์ อันโนด์ ผู้กำกับชาวฝรั่งเศสที่สร้างมาจากเรื่องจริง โดยอิงจากหนังสืออัตชีวประวัติของไฮน์ริค แฮร์เรอร์ นักไต่เขาชื่อดังชาวออสเตรีย
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1939 เมื่อไฮร์ริคเลือกที่จะเข้าร่วมทีมพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดของเทือกเขาหิมาลัยแทนที่จะอยู่กับภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ลูกคนแรกของเขาในออสเตรียบ้านเกิด ด้วยสภาพอากาศที่เลวร้ายระหว่างเส้นทางการปีนเขา ทำให้ไฮร์ริคต้องถอยลงมาตั้งหลักใหม่ด้านล่าง แต่แล้วการเดินทางครั้งนี้ต้องจบลง เมื่อไฮร์ริคถูกจับกุมในฐานะเชลยศึกของฝ่ายอังกฤษ เขาถูกส่งตัวไปอยู่ในค่ายกักกันทางตอนเหนือของอินเดีย ระหว่างนี้ไฮร์ริคพยายามหลบหนีหลายต่อหลายครั้ง จนกระทั้งในปีค.ศ.1943 เขาจึงหลบหนีออกมาได้ ต่อมาไฮร์ริคและปีเตอร์ผู้ซึ่งหนีจากค่ายกักกันพร้อมกันได้ตัดสินใจเดินทางกลับบ้านร่วมกัน โดยใช้เส้นทางจากอินเดียผ่านทิเบตไปสู่จีน จนกระทั่งใน ค.ศ. 1944 คนทั้งสองได้เดินทางซัดเซพเนจรพลัดหลงเข้ามาในกรุงลาสาเมืองหลวงของทิเบต อันเป็นที่ตั้งของวังประทับขององค์ดาไลลามะผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวทิเบต ต่อมาไฮน์ริคได้เป็นครูสอนความรู้ให้แก่องค์ดาไลลามะ และนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นในความสัมพันธ์ของเขากับองค์ดาไลลามะ ณ สถานที่แห่งนี้การเดินทางผจญภัยในการค้นหาความต้องการภายในใจของเขาได้เริ่มต้นขึ้น จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1951 ไฮร์ริคจึงเดินทางออกจากทิเบตเพื่อกลับบ้านพร้อมกับประสบการณ์ที่มีคุณค่ายิ่งกับระยะเวลาเจ็ดปีในทิเบต
ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดฉาก ณ สถานที่แห่งหนึ่งในทิเบตด้วยภาพรอยยิ้มขององค์ดาไลลามะในวัย 2 ขวบซึ่งดีใจที่ได้รับกล่องดนตรี จากนั้นจึงตัดฉากไปที่ไฮน์ริค(ตัวละครเอก)ซึ่งรีบร้อนเดินทางไปขึ้นขบวนรถไฟเพื่อร่วมเดินทางไปพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดของเทือกเขาหิมาลัย เราจะเห็นการผูกปมความขัดแย้งในใจของไฮน์ริคที่เริ่มขึ้นเมื่อขบวนรถไฟเคลื่อนตัวออกจากชานชลา ไฮน์ริคเกิดความรู้สึกสับสนว่าสิ่งที่เขาต้องการที่สุดคือความสำเร็จในการพิชิตยอดเขาหรือการได้อยู่รอคอยเวลาอันมีค่าที่สุดของการเป็นพ่อคน จากนั้นเนื้อเรื่องมีการดำเนินไปเรื่อยๆ โดยชี้ให้เห็นลักษณะของตัวละครในการเดินทางว่าเป็นผู้ที่ไม่เคยให้ความสำคัญกับใครนอกจากตัวเอง และมีการย้ำปมในใจอีกครั้งเมื่อภรรยาส่งใบหย่าให้เขาพร้อมทั้งบอกว่าได้ให้ลูกเรียกพ่อเลี้ยงว่าพ่อ
เหตุการณ์ของเรื่องเริ่มมีการพัฒนาเมื่อไฮน์ริคและเพื่อนหนีโจรจนกระทั่งหลงเข้าไปในกรุงลาสาเมืองหลวงของทิเบต Iณ ที่แห่งนี้ไฮน์ริคได้เห็นความแตกต่างทางด้านความคิด ความเป็นอยู่ของผู้คนที่ต่างจากเขาโดยสิ้นเชิง ไฮน์ริคและเพื่อนได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี้ระหว่างรอให้สงครามยุติ ไฮน์ริคเริ่มปรับตัวให้ชินกับสภาพความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายเขาเริ่มจะมีความสุขในความแตกต่าง แต่แล้วเขาก็ได้รับจดหมายจากลูกชายที่ตอบตัดความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกอย่างไม่ใยดี ประกอบกับการที่เพื่อนร่วมทางแยกย้ายไปมีครอบครัว ความขัดแย้งในจิตใจของตัวละครจึงเกิดขึ้น
ไฮน์ริคไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด ทุกคนจึงไม่เลือกเขา ไม่ว่าจะเป็น ภรรยา เพื่อนหรือแม้กระทั่งลูกชายซึ่งเป็นคนที่เขารักมากที่สุด ทั้งที่เขาประสบความสำเร็จในการปีนเขา เขาเป็นคนที่ทุกคนกล่าวถึง ไฮน์ริคเริ่มรู้สึกได้ถึงความสิ้นหวังในชีวิต แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อไฮน์ริคได้รู้จักกับองค์ดาไลลามะผู้ซึ่งเป็นดังเงาสะท้อนของลูกชายที่ขาดหายไปในชีวิตของเขา องค์ดาไลลามะได้เปิดมุมมองใหม่ให้แก่ไฮน์ริคในการใช้ชีวิตอย่างเข้าใจ ความสดใส บริสุทธิ์และจิตใจอันดีงามขององค์ดาไลลามะ ส่งผลให้ไฮน์ริคเริ่มหันมามองและใส่ใจสิ่งอื่นนอกจากตัวเอง
จุดวิกฤตเริ่มต้นเมื่อไฮน์ริคเสนอให้องค์ดาไลลามะลี้ภัยสงครามไปอยู่กับตน แต่แล้วองค์ดาไลลามะกลับเป็นผู้เตือนสติไฮน์ริคว่า “ผมไม่ใช่ลูกของคุณ และคุณก็ไม่ใช่พ่อของผม กลับไปเป็นพ่อของเขาเถอะ งานของคุณเสร็จแล้ว คุณไม่คิดถึงลูกเหรอ” จุดนี้เองที่ทำให้ไฮน์ริคสะเทือนใจจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เมื่อสำนึกได้ว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่เขาต้องการคือความรัก ที่ผ่านมาเขาแทบจะไร้เพื่อน ไร้ครอบครัว และที่สำคัญที่สุดคือไม่มีเวลาไหนที่เขาจะไม่คิดถึงลูก มันทำให้ไฮน์ริครู้ว่าความทุกข์ในใจของเขาไม่เคยจางหาย ความรู้สึกคิดถึงลูกเป็นสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจของตนเองตลอดเวลา แม้ว่าเขาจะพยายามนำเอาองค์ดาไลลามะมาแทนที่ลูกของเขาก็ตาม
ไฮน์ริคจึงเลือกที่จะเผชิญความจริงด้วยการกลับออสเตรีย หลังจากใช้ความพยายามอยู่หลายปี สุดท้ายลูกชายก็เปิดใจรับไฮน์ริคเป็นพ่อ ความขัดแย้งภายในใจของตัวละครจึงคลี่คลายลง ไฮน์ริคได้เรียนรู้ที่จะยอมรับความจริงและเผชิญหน้ากับปัญหาจากองค์ดาไลลามะ เขาเติบโตขึ้น เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขจากสิ่งที่มีอยู่รอบตัว เข้าใจและใส่ใจคนอื่นมากขึ้น และไม่ยึดตนเองเป็นที่ตั้งอีกต่อไป
ในฉากจบของภาพยนตร์ ไฮน์ริคได้สอนลูกชายให้ใช้เชือกในการปีนเขาอย่างไม่รีบร้อน เห็นได้ว่าการปีนเขาในครั้งนี้แตกต่างไปจากเดิม ไฮน์ริคไม่ได้ปีนเขาเพื่อสนองความต้องการในการครอบครองหรือแสดงให้เห็นความสำเร็จแต่อย่างใด หากแต่เป็นการปีนเพื่อสอนคนที่เขารักที่สุดให้มีความสุขกับสิ่งรอบตัว และในวันนี้เขาไม่ได้ปีนเขาเพียงลำพังอีกต่อไป(ตอนต้นเรื่องถึงแม้ไฮน์ริคจะปีนเขากับคณะแต่เรารู้สึกได้ถึงความห่างเหิน และโดดเดี่ยวของเขา)ความเคร่งเครียดในใบหน้าของไฮน์ริคในตอนต้นเรื่องถูกแทนที่ด้วยความเข้าใจถึงความสุขที่แท้จริงในชีวิต
ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้แสดงให้เห็นถึงกระบวนเรียนรู้และการพัฒนาของตัวละคร ผ่านสัญลักษณ์ของการปีนเขาที่แสดงให้เห็นถึงความทะยานอยากของมนุษย์ ในตอนต้นเรื่องจะเห็นได้ว่าตัวละครเอกนั้นมีความมุ่งมั่นที่จะพิชิตยอดเขาให้ได้ เขาดิ้นรนตะเกียกตะกาย ต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เขาเรียกว่าความสำเร็จ หวังในชัยชนะ ชื่อเสียง และความต้องการยึดครอง ในตอนกลางเรื่ององค์ดาไลลามะถามตัวละครเอกว่า “ทำไมถึงรักการปีนเขา”คำตอบของตัวละครเอกที่ว่า “การปีนเขามันทำให้เขารู้สึกเข้าใจธรรมชาติ มันเรียบง่าย สมองเขาโปร่ง ไม่สับสน รู้จักตัวเองมากขึ้น ได้ฟังเสียงตัวเอง และสำคัญที่สุดคือ ความรู้สึกที่มีตอนปีนเขาไม่แตกต่างจากความรู้สึกที่ได้อยู่กับองค์ดาไลลามะ”ทำให้เรารับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางความคิดและจิตใจของตัวละครเอก จนกระทั่งตอนจบของเรื่อง การปีนเขาของตัวละครเอกเป็นไปอย่างไม่เร่งรีบ เขาเลือกที่จะมองเห็นและมีความสุขกับการปีนเขา การปีนเขาในตอนจบจึงเป็นการปีนเขาที่งดงามและสมบูรณ์ในตัวเอง
การผจญภัยของไฮน์ริคจึงเรียกได้ว่าเป็นการผจญภัยทางด้านจิตใจ การเดินทางของไฮน์ริคที่ผ่านมามักเป็นการเดินทางที่ไม่มีการหยุดพักอย่างแท้จริง เขามักจะเดินทางจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งอยู่เสมอ การเดินทางก้าวเข้ามาในทิเบตครั้งนี้จึงถือได้ว่าเป็นการพักอย่างแท้จริง ระยะเวลาเจ็ดปีในทิเบตนั้นทำให้ไฮน์ริคได้พักกายและใจ แล้วใช้เวลาค้นหาความต้องการของตัวเองอย่างแท้จริงพร้อมทั้งสำรวจความบกพร่องของตนเองเพื่อนำมาสู่การปรับปรุง เจ็ดปีในทิเบตได้ช่วยสอนให้เขาเข้าใจโลก เข้าใจชีวิต เข้าใจสัจธรรม จึงเรียกได้ว่าเวลาเจ็ดปีในทิเบตนั้นเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของไฮน์ริคก็ว่าได้
Seven Years in Tibet จึงไม่ใช่การเดินทางผจญภัยธรรมดาทั่วไปของนักปีนเขาคนหนึ่ง หากแต่เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าความรักความผูกพันธ์ ความเอื้ออาทรที่มนุษย์พึงมีต่อกันนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง อีกทั้งเป็นการย้ำให้เห็นว่าแท้จริงแล้วความสุขในชีวิตเป็นสิ่งที่เรียบง่ายและธรรมดาซึ่งมีอยู่ในตัวตนของทุกคน ความสำเร็จสูงสุดในชีวิตจึงไม่ได้หมายถึงชื่อเสียง เกียรติยศ วัตถุที่แสดงความสำเร็จ
รหัส 0548192
Seven Years in Tibet เป็นหนังอเมริกันที่ออกฉายในปี 1997 หนึ่งในผลงานการกำกับภาพยนตร์ของ ฌอง ฌากส์ อันโนด์ ผู้กำกับชาวฝรั่งเศสที่สร้างมาจากเรื่องจริง โดยอิงจากหนังสืออัตชีวประวัติของไฮน์ริค แฮร์เรอร์ นักไต่เขาชื่อดังชาวออสเตรีย
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1939 เมื่อไฮร์ริคเลือกที่จะเข้าร่วมทีมพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดของเทือกเขาหิมาลัยแทนที่จะอยู่กับภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ลูกคนแรกของเขาในออสเตรียบ้านเกิด ด้วยสภาพอากาศที่เลวร้ายระหว่างเส้นทางการปีนเขา ทำให้ไฮร์ริคต้องถอยลงมาตั้งหลักใหม่ด้านล่าง แต่แล้วการเดินทางครั้งนี้ต้องจบลง เมื่อไฮร์ริคถูกจับกุมในฐานะเชลยศึกของฝ่ายอังกฤษ เขาถูกส่งตัวไปอยู่ในค่ายกักกันทางตอนเหนือของอินเดีย ระหว่างนี้ไฮร์ริคพยายามหลบหนีหลายต่อหลายครั้ง จนกระทั้งในปีค.ศ.1943 เขาจึงหลบหนีออกมาได้ ต่อมาไฮร์ริคและปีเตอร์ผู้ซึ่งหนีจากค่ายกักกันพร้อมกันได้ตัดสินใจเดินทางกลับบ้านร่วมกัน โดยใช้เส้นทางจากอินเดียผ่านทิเบตไปสู่จีน จนกระทั่งใน ค.ศ. 1944 คนทั้งสองได้เดินทางซัดเซพเนจรพลัดหลงเข้ามาในกรุงลาสาเมืองหลวงของทิเบต อันเป็นที่ตั้งของวังประทับขององค์ดาไลลามะผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวทิเบต ต่อมาไฮน์ริคได้เป็นครูสอนความรู้ให้แก่องค์ดาไลลามะ และนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นในความสัมพันธ์ของเขากับองค์ดาไลลามะ ณ สถานที่แห่งนี้การเดินทางผจญภัยในการค้นหาความต้องการภายในใจของเขาได้เริ่มต้นขึ้น จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1951 ไฮร์ริคจึงเดินทางออกจากทิเบตเพื่อกลับบ้านพร้อมกับประสบการณ์ที่มีคุณค่ายิ่งกับระยะเวลาเจ็ดปีในทิเบต
ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดฉาก ณ สถานที่แห่งหนึ่งในทิเบตด้วยภาพรอยยิ้มขององค์ดาไลลามะในวัย 2 ขวบซึ่งดีใจที่ได้รับกล่องดนตรี จากนั้นจึงตัดฉากไปที่ไฮน์ริค(ตัวละครเอก)ซึ่งรีบร้อนเดินทางไปขึ้นขบวนรถไฟเพื่อร่วมเดินทางไปพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดของเทือกเขาหิมาลัย เราจะเห็นการผูกปมความขัดแย้งในใจของไฮน์ริคที่เริ่มขึ้นเมื่อขบวนรถไฟเคลื่อนตัวออกจากชานชลา ไฮน์ริคเกิดความรู้สึกสับสนว่าสิ่งที่เขาต้องการที่สุดคือความสำเร็จในการพิชิตยอดเขาหรือการได้อยู่รอคอยเวลาอันมีค่าที่สุดของการเป็นพ่อคน จากนั้นเนื้อเรื่องมีการดำเนินไปเรื่อยๆ โดยชี้ให้เห็นลักษณะของตัวละครในการเดินทางว่าเป็นผู้ที่ไม่เคยให้ความสำคัญกับใครนอกจากตัวเอง และมีการย้ำปมในใจอีกครั้งเมื่อภรรยาส่งใบหย่าให้เขาพร้อมทั้งบอกว่าได้ให้ลูกเรียกพ่อเลี้ยงว่าพ่อ
เหตุการณ์ของเรื่องเริ่มมีการพัฒนาเมื่อไฮน์ริคและเพื่อนหนีโจรจนกระทั่งหลงเข้าไปในกรุงลาสาเมืองหลวงของทิเบต Iณ ที่แห่งนี้ไฮน์ริคได้เห็นความแตกต่างทางด้านความคิด ความเป็นอยู่ของผู้คนที่ต่างจากเขาโดยสิ้นเชิง ไฮน์ริคและเพื่อนได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี้ระหว่างรอให้สงครามยุติ ไฮน์ริคเริ่มปรับตัวให้ชินกับสภาพความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายเขาเริ่มจะมีความสุขในความแตกต่าง แต่แล้วเขาก็ได้รับจดหมายจากลูกชายที่ตอบตัดความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกอย่างไม่ใยดี ประกอบกับการที่เพื่อนร่วมทางแยกย้ายไปมีครอบครัว ความขัดแย้งในจิตใจของตัวละครจึงเกิดขึ้น
ไฮน์ริคไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด ทุกคนจึงไม่เลือกเขา ไม่ว่าจะเป็น ภรรยา เพื่อนหรือแม้กระทั่งลูกชายซึ่งเป็นคนที่เขารักมากที่สุด ทั้งที่เขาประสบความสำเร็จในการปีนเขา เขาเป็นคนที่ทุกคนกล่าวถึง ไฮน์ริคเริ่มรู้สึกได้ถึงความสิ้นหวังในชีวิต แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อไฮน์ริคได้รู้จักกับองค์ดาไลลามะผู้ซึ่งเป็นดังเงาสะท้อนของลูกชายที่ขาดหายไปในชีวิตของเขา องค์ดาไลลามะได้เปิดมุมมองใหม่ให้แก่ไฮน์ริคในการใช้ชีวิตอย่างเข้าใจ ความสดใส บริสุทธิ์และจิตใจอันดีงามขององค์ดาไลลามะ ส่งผลให้ไฮน์ริคเริ่มหันมามองและใส่ใจสิ่งอื่นนอกจากตัวเอง
จุดวิกฤตเริ่มต้นเมื่อไฮน์ริคเสนอให้องค์ดาไลลามะลี้ภัยสงครามไปอยู่กับตน แต่แล้วองค์ดาไลลามะกลับเป็นผู้เตือนสติไฮน์ริคว่า “ผมไม่ใช่ลูกของคุณ และคุณก็ไม่ใช่พ่อของผม กลับไปเป็นพ่อของเขาเถอะ งานของคุณเสร็จแล้ว คุณไม่คิดถึงลูกเหรอ” จุดนี้เองที่ทำให้ไฮน์ริคสะเทือนใจจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เมื่อสำนึกได้ว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่เขาต้องการคือความรัก ที่ผ่านมาเขาแทบจะไร้เพื่อน ไร้ครอบครัว และที่สำคัญที่สุดคือไม่มีเวลาไหนที่เขาจะไม่คิดถึงลูก มันทำให้ไฮน์ริครู้ว่าความทุกข์ในใจของเขาไม่เคยจางหาย ความรู้สึกคิดถึงลูกเป็นสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจของตนเองตลอดเวลา แม้ว่าเขาจะพยายามนำเอาองค์ดาไลลามะมาแทนที่ลูกของเขาก็ตาม
ไฮน์ริคจึงเลือกที่จะเผชิญความจริงด้วยการกลับออสเตรีย หลังจากใช้ความพยายามอยู่หลายปี สุดท้ายลูกชายก็เปิดใจรับไฮน์ริคเป็นพ่อ ความขัดแย้งภายในใจของตัวละครจึงคลี่คลายลง ไฮน์ริคได้เรียนรู้ที่จะยอมรับความจริงและเผชิญหน้ากับปัญหาจากองค์ดาไลลามะ เขาเติบโตขึ้น เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขจากสิ่งที่มีอยู่รอบตัว เข้าใจและใส่ใจคนอื่นมากขึ้น และไม่ยึดตนเองเป็นที่ตั้งอีกต่อไป
ในฉากจบของภาพยนตร์ ไฮน์ริคได้สอนลูกชายให้ใช้เชือกในการปีนเขาอย่างไม่รีบร้อน เห็นได้ว่าการปีนเขาในครั้งนี้แตกต่างไปจากเดิม ไฮน์ริคไม่ได้ปีนเขาเพื่อสนองความต้องการในการครอบครองหรือแสดงให้เห็นความสำเร็จแต่อย่างใด หากแต่เป็นการปีนเพื่อสอนคนที่เขารักที่สุดให้มีความสุขกับสิ่งรอบตัว และในวันนี้เขาไม่ได้ปีนเขาเพียงลำพังอีกต่อไป(ตอนต้นเรื่องถึงแม้ไฮน์ริคจะปีนเขากับคณะแต่เรารู้สึกได้ถึงความห่างเหิน และโดดเดี่ยวของเขา)ความเคร่งเครียดในใบหน้าของไฮน์ริคในตอนต้นเรื่องถูกแทนที่ด้วยความเข้าใจถึงความสุขที่แท้จริงในชีวิต
ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้แสดงให้เห็นถึงกระบวนเรียนรู้และการพัฒนาของตัวละคร ผ่านสัญลักษณ์ของการปีนเขาที่แสดงให้เห็นถึงความทะยานอยากของมนุษย์ ในตอนต้นเรื่องจะเห็นได้ว่าตัวละครเอกนั้นมีความมุ่งมั่นที่จะพิชิตยอดเขาให้ได้ เขาดิ้นรนตะเกียกตะกาย ต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เขาเรียกว่าความสำเร็จ หวังในชัยชนะ ชื่อเสียง และความต้องการยึดครอง ในตอนกลางเรื่ององค์ดาไลลามะถามตัวละครเอกว่า “ทำไมถึงรักการปีนเขา”คำตอบของตัวละครเอกที่ว่า “การปีนเขามันทำให้เขารู้สึกเข้าใจธรรมชาติ มันเรียบง่าย สมองเขาโปร่ง ไม่สับสน รู้จักตัวเองมากขึ้น ได้ฟังเสียงตัวเอง และสำคัญที่สุดคือ ความรู้สึกที่มีตอนปีนเขาไม่แตกต่างจากความรู้สึกที่ได้อยู่กับองค์ดาไลลามะ”ทำให้เรารับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางความคิดและจิตใจของตัวละครเอก จนกระทั่งตอนจบของเรื่อง การปีนเขาของตัวละครเอกเป็นไปอย่างไม่เร่งรีบ เขาเลือกที่จะมองเห็นและมีความสุขกับการปีนเขา การปีนเขาในตอนจบจึงเป็นการปีนเขาที่งดงามและสมบูรณ์ในตัวเอง
การผจญภัยของไฮน์ริคจึงเรียกได้ว่าเป็นการผจญภัยทางด้านจิตใจ การเดินทางของไฮน์ริคที่ผ่านมามักเป็นการเดินทางที่ไม่มีการหยุดพักอย่างแท้จริง เขามักจะเดินทางจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งอยู่เสมอ การเดินทางก้าวเข้ามาในทิเบตครั้งนี้จึงถือได้ว่าเป็นการพักอย่างแท้จริง ระยะเวลาเจ็ดปีในทิเบตนั้นทำให้ไฮน์ริคได้พักกายและใจ แล้วใช้เวลาค้นหาความต้องการของตัวเองอย่างแท้จริงพร้อมทั้งสำรวจความบกพร่องของตนเองเพื่อนำมาสู่การปรับปรุง เจ็ดปีในทิเบตได้ช่วยสอนให้เขาเข้าใจโลก เข้าใจชีวิต เข้าใจสัจธรรม จึงเรียกได้ว่าเวลาเจ็ดปีในทิเบตนั้นเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของไฮน์ริคก็ว่าได้
Seven Years in Tibet จึงไม่ใช่การเดินทางผจญภัยธรรมดาทั่วไปของนักปีนเขาคนหนึ่ง หากแต่เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าความรักความผูกพันธ์ ความเอื้ออาทรที่มนุษย์พึงมีต่อกันนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง อีกทั้งเป็นการย้ำให้เห็นว่าแท้จริงแล้วความสุขในชีวิตเป็นสิ่งที่เรียบง่ายและธรรมดาซึ่งมีอยู่ในตัวตนของทุกคน ความสำเร็จสูงสุดในชีวิตจึงไม่ได้หมายถึงชื่อเสียง เกียรติยศ วัตถุที่แสดงความสำเร็จ
6 ความคิดเห็น:
Hello there, just became alert to your blog through Google, and found that it's really informative. I�m gonna watch out for brussels. I will be grateful if you continue this in future. A lot of people will be benefited from your writing. Cheers!
Also visit my web site ... free dating at
I�ll immediately grab your rss feed as I can't find your email subscription link or newsletter service. Do you've any?
Please let me know so that I could subscribe. Thanks.
my website; datng
I've really noticed that repairing credit activity should be conducted with techniques. If not, you may find yourself endangering your rank. In order to be successful in fixing your credit ranking you have to verify that from this instant you pay your monthly fees promptly p their timetabled date. It is significant since by not accomplishing that, all other measures that you will choose to use to improve your credit rating will not be efficient. Thanks for expressing your strategies.
Also visit my blog post skype sex
Thanks for your write-up. One other thing is when you are disposing your property
yourself, one of the difficulties you need to be mindful of upfront is just
how to deal with property inspection reviews. As a FSBO home owner, the key about successfully switching your property and saving money upon real
estate agent commissions is understanding. The more
you know, the easier your sales effort will probably be.
One area that this is particularly significant is information about home inspections.
my web page fuckbook
Thank you for the good writeup. It in fact was a amusement account it.
Look advanced to more added agreeable from you! However, how
could we communicate?
my weblog fuck book
Wonderful web site. Lots of useful information here.
I am sending it to several friends ans also sharing in delicious.
And certainly, thanks for your effort!
Also visit my web page :: skype sex
แสดงความคิดเห็น