วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Shine…โชคยังดีที่สวรรค์ไม่ลำเอียง

ณัชชา

Shine ภาพยนตร์เชื้อสายออสเตรเลีย สร้างขึ้นในปี 1996 โดยผู้กำกับมากฝีมืออย่าง Scott Hicks นำแสดงโดย Geoffrey Rush, Noah Taylor และ Armin Mueller-Stahl ภาพยนตร์เรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวที่อิงมาจากชีวิตจริงของนักเปียโนชาวออสเตรเลีย David Helfgott ผู้ซึ่งประสบกับชะตากรรมที่เลวร้ายและล้มเหลวมาหลายต่อหลายครั้ง แต่แล้วชีวิตของเขาก็มาถึงจุดสำเร็จได้ในที่สุด และเรื่องนี้ยังได้รับการการันตีคุณภาพจากหลายรางวัลด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากเวที Academy Award และรางวัลยอดเยี่ยมอีกหลายสาขา อาทิ รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมและบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เป็นต้น

Shine เรื่องราวของเดวิด เด็กชายที่เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ทางการเล่นเปียโน อีกทั้งเขายังได้รับการฝึกสอนและเคี่ยวเข็ญอย่างหนักจากปีเตอร์ ผู้เป็นทั้งพ่อและครูคนแรกในชีวิต วันหนึ่งเดวิดได้ไปประกวดเล่นเปียโน ถึงแม้ว่าเขาจะพลาดรางวัลไปแต่หนึ่งในคณะกรรมการกลับมองเห็นแววนักเปียโนที่ยิ่งใหญ่ในตัวเขา จึงยินดีที่จะสอนการเล่นเปียโนให้กับเขา หลังจากนั้นเขาจึงเริ่มเล่นและเรียนเปียโนอย่างจริงจัง จนได้มีโอกาสเข้าร่วมประกวดอีกครั้งและในครั้งนี้เอง เขาได้เป็นแชมป์เปียโนที่เด็กที่สุด และทำให้เขาได้รับเชิญไปเรียนต่อที่อเมริกา ในระหว่างนั้นเดวิดได้พบกับ นักเขียนหญิงวัยชรา ผู้เข้ามามีส่วนสำคัญในชีวิตของเดวิดเพราะเป็นบุคคลที่เขาเคารพรักเปรียบเสมือนแม่คนหนึ่ง พ่อของเขากลัวว่าการไปอเมริกาของเดวิดจะทำให้ครอบครัวแตกแยก พ่อของเขาจึงไม่ยอมให้ไป ทำให้เขาเสียใจและเกิดความกดดันมาก

หลังจากนั้นเดวิดได้เข้าประกวดอีกครั้ง ในครั้งนี้เขาทำได้เพียงรองชนะเลิศ แต่นั่นก็ยังทำให้เขาได้รับทุนไปเรียนต่อด้านดนตรีที่ลอนดอน ครั้งนี้เขาตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะไปเรียนต่อ แต่ก็ได้รับการคัดค้านอย่างหนักจากพ่ออีกเช่นเดิม แม้จะต้องทะเลาะกันอย่างหนักถึงขนาดตัดพ่อตัดลูก และห้ามไม่ให้เดวิดกลับมาที่บ้านอีก แต่เขาก็ได้เลือกแล้วที่จะเดินทางไปเรียนต่อ ที่นั่นเขาได้พบกับครูสอนเปียโนผู้หนึ่งที่มองเห็นแววอัจฉริยะทางด้านเปียโนในตัวเขา จึงทุ่มเทสอนให้เขาเป็นพิเศษ เดวิดได้บอกกับครูว่าเขาอยากจะเล่นเพลงของแรคแมนีนอฟ ซึ่งเป็นเพลงที่ยากมาก แต่มันเป็นเพลงที่ตัวเขาอยากจะเล่นมาตั้งแต่เด็ก ที่สำคัญยังเป็นบทเพลงที่พ่อของเขาอยากให้เขาเล่นให้ได้ ครูจึงได้สอนวิธีการเล่นเพลงนี้ให้แก่เขา เมื่อถึงวันประกวดเขาสามารถเล่นเพลงนี้ได้ดีมาก แต่เมื่อบทเพลงจบลงท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังกึกก้อง เขาก็หมดสติล้มลงไป

หลังจากนั้นเมื่อฟื้นขึ้นมา เขาก็ไม่ใช่เดวิดคนเดิมอีกแล้ว เขากลายเป็นผู้ป่วยทางจิต ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ เขารับการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาล จนกระทั่งเขาได้พบกับหญิงนักเปียโนคนหนึ่งที่เคยติดตามและชื่นชมผลงานของเขา เธอจึงรับเดวิดไปดูแล แต่ต่อมาไม่นานเธอก็ไม่สามารถรับภาระเลี้ยงดูเดวิดได้ เธอจึงพาเดวิดไปอยู่ที่อพาร์ตเมนท์แห่งหนึ่ง จากนั้นเดวิดได้มีโอกาสพบกับซิลเวียสาวเสิร์ฟของร้านอาหารแห่งหนึ่ง ที่นั่นเป็นจุดเชื่อมโยงที่ทำให้เขาได้พบกับพ่ออีกครั้ง แต่เมื่อเขาพบว่าเดวิดไม่ใช่ลูกชายคนเดิมที่เคยเชื่อฟังเขาทุกอย่าง เขาจึงหันหลังจากไป

ต่อมาเดวิดก็ได้พบกับกิลเลียนเพื่อนของซิลเวีย ด้วยความอบอุ่นและความเข้าใจที่กิลเลียนมีให้ต่อเดวิด ทำให้เขาขอเธอแต่งงาน แม้ว่าเธอจะมีคู่หมั้นอยู่ก่อนแล้วก็ตาม แต่ท้ายที่สุดเธอก็เลือกที่จะแต่งงานกับเขา หลังจากนั้นเขาได้ขึ้นคอนเสิร์ตอีกครั้ง เขาไม่ทำให้ผู้ชมที่มาชมในวันนั้นผิดหวัง เสียงปรบมือที่ดังกึกก้อง และรอยยิ้มจากคนที่เขารัก เป็นบทสรุปว่าวันนี้เดวิดได้เดินมาถึงความสุขและความสำเร็จอย่างที่เขาเคยต้องการแล้ว

ภาพยนตร์เรื่องนี้เน้นความสำคัญไปที่ตัวละคร ดังจะเห็นได้ตั้งแต่ฉากแรกของเรื่อง ที่เปิดฉากด้วยตัวละครชายคนหนึ่งซึ่งต่อมาจะทราบว่าเป็นเดวิดกำลังพูดอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถจับใจความได้ โดยมีฉากหลังเป็นพื้นสีดำที่แสดงออกถึงความหม่นหมอง ชวนให้ผู้ชมสงสัยว่าชายผู้นั้นเป็นใคร เขากำลังพูดว่าอย่างไร และต้องการจะสื่อสารอะไร ซึ่งถือเป็นการเปิดเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

การดำเนินเรื่องมีลักษณะตัดสลับไปมาระหว่างเรื่องราวในวัยเด็กของเดวิด และวัยปัจจุบัน โดยที่ไม่ทำให้ผู้ชมสับสน ทั้งยังสร้างให้เกิดความรู้สึกใคร่รู้ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไรและจะดำเนินต่อไปเช่นไร

ในช่วงต้นของเรื่องจะเห็นได้ว่าตัวละครเดวิดเชื่อฟังพ่อเขาทุกอย่าง แต่ต่อมาก็เริ่มเกิดความขัดแย้งกันขึ้นเมื่อเดวิดต้องการไปเรียนต่อทางด้านดนตรีที่ต่างประเทศแต่พ่อของเขาไม่ยอมให้ไป เหตุการณ์ดำเนินไปสู่จุดพัฒนาเมื่อเดวิดตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าเขาจะไปเรียนต่อที่ลอนดอน
โดยไม่ฟังคำคัดค้านของพ่อแต่อย่างใด เขาตั้งใจที่จะฝึกเล่นเพลงของแรคแมนีนอฟให้ได้ โดยได้รับการฝึกฝนอย่างหนักจากครูเปียโนมากฝีมือแต่มีมือเพียงข้างเดียวอย่าง เซซิล พาร์ค หลังจากนั้นเรื่องราวเริ่มก้าวเข้าสู่จุดวิกฤตเมื่อเดวิดตั้งใจฝึกซ้อมอย่างหนักอีกทั้งยังแบกรับความคาดหวังจากทั้งพ่อของเขาที่ต้องการให้เขาเล่นเพลงนี้ให้ได้ จากครูผู้ฝึกสอนที่ทุ่มเทการสอนให้กับเขาเป็นพิเศษ และตัวเขาเองที่ปรารถนาจะเล่นเพลงนี้ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นเด็กแล้ว ความกดดันที่เกิดจากความคาดหวังนั้น ทำให้เดวิดเริ่มมีอาการทางประสาท เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมออกมา อย่างเช่นฉากที่เดวิดเปลือยท่อนล่างออกมาหยิบจดหมาย และเริ่มมีอาการผิดปกติในขณะที่พูด จนเมื่อเรื่องเดินทางมาถึงจุดไคลแมกซ์ที่ทำให้เหล่าผู้ชมทั้งหลายร่วมลุ้นไปกับเขา ในวันประกวด ตลอดบทเพลงที่เขาบรรเลงนั้น เขาสามารถเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมราวกับใส่จิตวิญญาณทั้งหมดที่มีอยู่ในตัวลงไป และเมื่อบทเพลงจบลงอย่างสง่างาม เสียงปรบมือก็ดังขึ้นพร้อมๆ กับร่างของเขาที่ล้มหมดสติลงไป เขาสามารถทำสิ่งที่เขาปรารถนาได้สำเร็จ แต่กลับไม่มีโอกาสได้ชื่นชมกับความสำเร็จนั้น เพราะหลังจากนั้นเขากลายเป็นผู้ป่วยทางจิตต้องเข้ารับการรักษา แต่ภายหลังเมื่อเขาได้พบกับกิลเลียน หญิงที่เข้ามาพร้อมกับความอบอุ่น ความเข้าอกเข้าใจ และเธอก็ตัดสินใจแต่งงานกับเขา ชีวิตของเขาก็เหมือนได้พบกับแสงสว่างและความสดใส เสมือนความเลวร้ายต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของเขาได้เดินทางมาสู่จุดคลี่คลายแล้ว

ในช่วงท้ายของเรื่อง เดวิดได้มีโอกาสเล่นคอนเสิร์ตอีกครั้ง ได้ทำในสิ่งที่เขารักโดยปราศจากแรงกดดันและความคาดหวังจากคนรอบข้าง เขาได้รับความชื่นชมและเสียงปรบมือจากผู้ชมอย่างล้นหลาม และปิดเรื่องด้วยฉากที่สุสาน เดวิดมากับภรรยาของเขาเพื่อมาเคารพศพของพ่อ แสดงให้เห็นว่าแม้พ่อของเขาจะไม่ได้อยู่ชื่นชมความสำเร็จของเขา แต่พ่อก็ยังอยู่ในความทรงจำของเขาเสมอ และเป็นที่น่าสังเกตว่า เดวิดไม่ได้แสดงความเศร้าเสียใจออกมาเมื่อรู้ว่าพ่อจากไปแล้ว ในทางตรงกันข้าม เขากลับดูมีชีวิตชีวาราวกับหลุดพ้นจากกรอบที่พ่อของเขาเคยกำหนดไว้ให้ ถือเป็นการปิดเรื่องด้วยความสุขและความสำเร็จในแบบที่เดวิดพอใจ

ความขัดแย้งที่ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ที่เห็นได้ชัดเป็นความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์นั่นก็คือเดวิดและปีเตอร์พ่อของเขา ปีเตอร์คัดค้านไม่ให้เดวิดไปเรียนต่อที่อื่น ไม่ต้องการให้เดวิดได้ออกไปสู่โลกกว้าง แม้กระทั่งการตัดสินใจต่างๆ ตัวเขาก็ต้องเป็นผู้กำหนดให้ นั่นเป็นเพราะเขาต้องการมีครอบครัวที่สมบูรณ์อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ไม่ต้องการให้มีใครคนใดต้องไปไหนเพราะนั่นเท่ากับว่าครอบครัวที่อบอุ่นของเขาได้เกิดความแตกแยกแล้ว ในทางตรงกันข้าม เดวิดที่เคยเชื่อฟังผู้เป็นพ่อมาเสมอ แต่เมื่อถึงวันหนึ่งเขาก็ต้องการตัดสินใจเลือกทำในสิ่งที่เขารักด้วยตัวเขาเองเช่นกัน

นอกจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในเรื่องแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังมีจุดสงสัยซึ่งทำให้เรื่องเพิ่มความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น อย่างจุดแรกที่เห็นได้ชัดตั้งแต่ช่วงต้นเรื่องนั่นก็คือ การที่พ่อของเดวิดมักจะบอกกับเขาอยู่เสมอว่าเขาเป็นคนที่โชคดี โชคดีที่มีครอบครัวและเกิดมาในครอบครัวที่แสนดี ทั้งยังตอกย้ำกับคำพูดเหล่านี้ด้วยการให้เดวิดพูดตามในสิ่งที่เขาพร่ำบอกอีกด้วย ซึ่งสาเหตุของการกระทำของผู้เป็นพ่อน่าจะมาจากพื้นฐานครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ของตัวเขาเอง เขาเคยซื้อไวโอลินแต่ก็ไม่ได้เล่นเพราะถูกปู่ของเดวิดทำลายทิ้งเสียก่อน จนเมื่อวันหนึ่งที่เขาได้กลายมาเป็นพ่อ เขาจึงรู้สึกรัก หวงแหนและอยากจะปกป้องครอบครัวและพยายามทำให้ครอบครัวของเขาสมบูรณ์ที่สุด จึงทำทุกอย่าง ออกคำสั่งกับทุกคนในบ้านให้ปฏิบัติตามในสิ่งที่เขาคิดเห็นแล้วว่าเหมาะสม และที่เขาพยายามพูดเช่นนั้นบ่อยๆ กับเดวิด ก็เพื่อที่จะทำให้เดวิดรู้สึกว่า ครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต เขาเกิดมาท่ามกลางครอบครัวที่มีความรักความอบอุ่นเพียงพอ มีโอกาสได้เล่นดนตรีที่เขารัก ซึ่งนั่นก็มากพอที่ทำให้เขาไม่ต้องไปขวนขวายหาจากที่ไหนอีกแล้ว

อีกจุดหนึ่งที่น่าสงสัยนั่นก็คือ เหตุใดเดวิดจึงชอบจับหน้าอกของผู้หญิงที่เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิตของเขา ซึ่งสังเกตได้ว่าคนที่เดวิดเลือกจับนั้น จะเป็นหญิงที่ค่อนข้างสูงวัยอย่างหญิงนักเปียโนที่โบสถ์และกิลเลียนภรรยาของเขา แต่กลับไม่จับหน้าอกของซิลเวียสาวเสิร์ฟในร้านอาหาร นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าการจับหน้าอกเป็นเสมือนการทดแทนความอบอุ่นที่เขาไม่เคยได้รับจากผู้เป็นแม่ เพราะจากในเรื่องจะเห็นได้ว่าเขาไม่สนิทใกล้ชิดกับแม่ แม่ไม่เคยให้คำปลอบใจหรือให้กำลังใจในยามที่เขาท้อแท้ ที่สำคัญแม่ของเขาแทบจะไม่เคยสัมผัสตัวเขาเลยด้วยซ้ำ เธอทำได้เพียงการเฝ้ามองอย่างห่างๆ และปล่อยให้การตัดสินใจต่างๆ เป็นของสามีแม้ในบางเรื่องจะไม่เห็นด้วยก็ตาม

ตัวละครหลักในภาพยนตร์เรื่องนี้มีพฤติกรรมที่น่าสนใจ ซึ่งทำให้เกิดความน่าติดตามไปตลอดทั้งเรื่อง อย่างตัวเดวิด เขาเป็นเด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิดจากผู้เป็นพ่อ อีกทั้งพ่อยังฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เขา จึงทำให้เขาดูเหมือนเป็นเด็กที่ค่อนข้างอ่อนแอ และเก็บกด เขาจะเชื่อฟังสิ่งต่างๆ ที่พ่อสอนทุกอย่าง จนดูเหมือนเขาไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง ซึ่งสังเกตได้จาก ในช่วงแรกเขามักเห็นด้วยในสิ่งที่ตัวละครอื่นพูดอยู่เสมอ ดังปรากฏในบทพูด เช่น “ ผมก็ว่าอย่างนั้น
แหละ ” และความเก็บกดของเขาก็ถูกแสดงออกมาในรูปแบบต่างๆ อย่างการถ่ายในอ่างอาบน้ำ การตัดสินใจออกจากบ้านมาใช้ชีวิตของตนเอง

ปีเตอร์ พ่อของเดวิดเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่น่าสนใจและมีบทบาทสำคัญมาก เขาเป็นผู้ที่ทำให้เดวิดรักในการเล่นดนตรี แต่กลับขัดขวางไม่ให้เดวิดเดินไปตามความต้องการ ซึ่งอาจจะอธิบายได้ว่าเขาเพียงต้องการให้เดวิดเป็นตัวแทนของตนเท่านั้น เพราะตนเองไม่สามารถที่จะทำตามความฝันในการเล่นดนตรีได้ เขาจึงฝากความฝันและความหวังทั้งหมดไว้ที่เดวิด แต่เมื่อเดวิดจะต้องจากเขาไปเพื่อทำตามความฝันของตนเองบ้าง เขาก็กลับไม่สนับสนุนอีกทั้งยังขัดขวาง เพราะกลัวว่าเดวิดจะลืมเขา จะเห็นได้ว่าพ่อของเดวิดพยายามปลูกฝังเดวิดอยู่เสมอว่าไม่มีใครรักและจริงใจกับเขาเท่ากับพ่อและครอบครัวอีกแล้ว แสดงให้เห็นว่าความรักที่พ่อมีให้เดวิดนั้น ยังมีความเห็นแก่ตัวซ่อนอยู่ภายใน

ฉากในภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าตัวละครหลักและเหตุการณ์ส่วนใหญ่มักจะเกิดในสถานที่ที่เป็นสี่เหลี่ยม ไม่ว่าจะเป็นบ้าน ห้องน้ำ ห้องนอน ห้องที่เดวิดเรียนและฝึกซ้อมเปียโน ซึ่งอาจจะหมายถึงโลกและทัศนคติของเดวิดยังถูกจำกัดอยู่ในที่แคบๆ ยังไม่เปิดกว้าง จนเมื่อเดวิดได้พบกับภรรยาของเขา โลกของเขาก็ดูสดใสและเปิดกว้างมากขึ้น ดังเห็นได้จากฉากที่ไปเที่ยวทะเล เขามีความสุขอยู่กับธรรมชาติตรงหน้าราวกับได้ปลดปล่อยความทุกข์ทั้งหลายออกมา แสดงให้เห็นว่าชีวิตในช่วงหลังของเดวิดเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นแล้ว

ในด้านบรรยากาศ มีลักษณะที่หม่นหมองตั้งแต่ต้นเรื่อง เห็นได้จากโทนสีที่ใช้มักเป็นสีเข้ม แต่หลังจากที่พ่อของเขาเดินหันหลังจากเขาไป และเขาได้พบกับภรรยาของเขา โทนสีในเรื่องเริ่มมีสีสันยิ่งขึ้น และยังมีบรรยากาศของธรรมชาติเพิ่มเข้ามาในเรื่อง บ่งบอกถึงความสดใสหลังจากที่ความทุกข์ต่างๆ ได้ผ่านพ้นไป

อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดน่าสนใจในภาพยนตร์เรื่องนี้ นั่นก็คือการใช้สัญลักษณ์ ที่ปรากฎอยู่ในหลายตอนของเรื่อง เช่น ก๊อกน้ำที่ถูกปิดไว้แน่น ที่ถึงแม้จะแน่นสักเพียงไหน แต่ก็ยังมีหยดน้ำไหลออกมา เปรียบได้กับ การที่เดวิดถูกเข้มงวดจากพ่อของเขามากเกินไป ตัวเขาเองอยากที่จะมีอิสระในการตัดสินใจ แต่ก็ต้องเก็บกดเอาไว้ จึงได้ปลดปล่อยสิ่งเหล่านั้นออกมาผ่านทางพฤติกรรมอื่นๆ อย่างการที่เขาถ่ายในอ่างน้ำ หรือที่แม่ของเขาเคยพูดเอาไว้ว่าเดวิดยังฉี่รดที่นอนอยู่ แต่ต่อมาเมื่อเขาตัดสินใจที่จะเลือกเส้นทางเดินของตัวเอง และมีความสุขอยู่ในโลกของเขา ความกดดันเหล่านั้นก็ได้ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่ ซึ่งสัญลักษณ์ของความรู้สึกนี้เห็นได้จากฉากที่เดวิดเปิดน้ำทิ้งไว้ในห้องน้ำ

นอกจากนี้แว่นตาก็เป็นอีกสัญลักษณ์หนึ่งที่บ่งบอกแนวทางและความคิดระหว่างเขากับพ่อ พ่อของเขาใช้แว่นตาอยู่เพียงอันเดียวเท่านั้น แม้มันจะเก่าสักแค่ไหนแต่เขาก็ไม่เคยเปลี่ยนและซ่อมแซมโดยการนำสก๊อตเทปมาแปะ บ่งบอกถึงความคิดที่ยังยึดติดอยู่กับสิ่งเดิมๆ และเชื่อมั่นในความคิดของตน ซึ่งตรงข้ามกับเดวิด ที่เมื่อเวลาผ่านไป แว่นของเดวิดก็ใหม่ขึ้นเรื่อยๆ แสดงให้เห็นว่าความคิดของเขาเปลี่ยนไป ไม่ได้ตกอยู่ภายใต้คำสั่งหรือคำตัดสินใจของพ่ออีกต่อไป

อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของความเศร้าหมองของเดวิดนั่นก็คือ ต้นไม้ หากสังเกตจะพบว่าเมื่อใดก็ตามที่เดวิดเหม่อมองดูต้นไม้ ต้นไม้เหล่านั้นมักจะเป็นต้นที่แห้งแล้ง ใบเหี่ยวเฉา ซึ่งเป็นตัวแทนอารมณ์และความรู้สึกของเขาในขณะนั้น นอกจากสิ่งของแล้วบทสนทนาของตัวละครก็ยังเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกบางสิ่งบางอย่างได้เช่นกัน ดังในฉากท้ายๆ ของเรื่องที่พ่อของเดวิดกลับมาหาเขาและถามคำถามเกี่ยวกับไวโอลินที่เคยถูกปู่ของเดวิดทำลาย แต่เดวิดกลับตอบว่าไม่รู้ว่าไวโอลินพังไปได้อย่างไร เปรียบได้กับ เดวิดในวันนี้ไม่ใช่คนเดิมที่ได้แต่เชื่อฟังคำสั่งและการตัดสินใจของพ่ออีกต่อไปแล้ว และเมื่อพ่อของเขาได้รับรู้เช่นนั้นก็หันหลังเดินจากไป

การที่เขามักจะสูบหรือคาบบุหรี่ไว้อยู่เสมอก็เป็นอีกสัญลักษณ์หนึ่ง เนื่องจากเขาหัดสูบบุหรี่ตั้งแต่เขาได้พบกับนักเขียนที่เขาเคารพรักเหมือนแม่อีกคนหนึ่ง การสูบบุหรี่ของเขาจึงอาจแสดงให้เห็นถึงว่า เขายังคิดถึงนักเขียนคนนั้นตลอดเวลา และยังเป็นเสมือนการหาทางออกให้กับชีวิตอันหม่นหมองของเขาอีกด้วย สัญลักษณ์ที่เห็นได้จากพฤติกรรมของเดวิดอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ เขามักจะนำโน้ตเพลงไปแช่ในอ่างอาบน้ำ หรือสระว่ายน้ำ ซึ่งอาจแสดงให้เห็นถึงความผูกพันระหว่างเขากับดนตรี และน้ำแสดงถึงสิ่งที่สามารถชำระล้างและระบายความทุกข์ออกไปได้

ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้แสดงให้เห็นว่า แม้ชีวิตจะต้องพบกับอุปสรรคมากมาย ต้องต่อสู้กับความมืดมนที่เข้ามาในชีวิตมากน้อยแค่ไหน แต่สักวันหนึ่งเราก็จะสามารถผ่านพ้นมันไปได้ ชีวิตจะได้พบกับความสดใสและแสงสว่างในที่สุด อีกทั้งยังเสนอเรื่องราวในอีกแง่มุมที่ว่า การประสบความสำเร็จของคนเรานั้นไม่ได้ตัดสินจากคนรอบข้างเสมอไป หากแต่ขึ้นอยู่ที่จิตใจของเราเอง ว่าเราพอใจในสิ่งที่เราทำและเป็นอยู่มากน้อยแค่ไหน หากเราพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ นั่นก็ถือว่าเราประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว ซึ่งก็สอดคล้องกับชื่อเรื่อง Shine แสดงถึงความสดใสในชีวิตของเดวิดหลังจากที่ต้องผ่านอดีตอันหม่นหมองและความผิดหวังหลายต่อหลายครั้งได้เป็นอย่างดี

ไม่มีความคิดเห็น: