วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Shine

รุ่งรัตน์

Shine ภาพยนตร์ซึ่งเป็นผลงานการกำกับของ สก๊อต ฮิคส์ ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวออสเตรเลี่ยน โดยเข้าฉายในปี ค.ศ.1996
เดวิด เฮลฟ์ก๊อท เด็กหนุ่มผู้เติบโตในครอบครัวชาวยิว ในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งครอบครัวของเขาประกอบด้วยพ่อ แม่ พี่สาว และน้องสาว อาชีพของพ่อก็คือการขายของเก่า

พ่อของเดวิด ชื่อปีเตอร์ เขาพยายามผลักดันให้เดวิดเล่นเปียโนให้ได้ดังที่ใจต้องการ โดยเป็นผู้ฝึกสอนให้เดวิด และพาเดวิดขึ้นเวทีประกวด จนได้พบกับ เป็นโรเซ่นผู้เสนอตัวเพื่อจะสอนให้เดวิดเก่งยิ่งขึ้น แต่ถูกปฏิเสธจากปีเตอร์ ปีเตอร์ต้องการจะให้เดวิด เล่นรัคมานีนอฟ ให้ได้ จนในที่สุดปีเตอร์ก็ยอมพาเดวิดไปให้โรเซ่นสอน โดยโรเซ่นไม่สอนรัคมานีนอฟก่อน แต่เริ่มสอนจากพื้นฐานก่อน จากนั้นความสามารถของเดวิดก็ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องจนมีชื่อเสียงและได้เล่นในงานสำคัญต่างๆ และได้ทุนไปเรียนดนตรีที่ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่พ่อของเขาไม่อนุญาตให้ไป ด้วยข้ออ้างที่ว่าไม่ต้องการให้อะไรมาทำลายครอบครัวเพราะถ้าเดวิดไปก็เท่ากับครอบครัวถูกทำลาย

เมื่อโรเซ่นทราบเช่นนั้นจึงไปขอร้องปีเตอร์ ให้อนุญาตเดวิดไปเรียนต่อที่อเมริกา แต่ปีเตอร์ก็ไม่เปลี่ยนใจ และเปลี่ยนครูคนใหม่ให้เดวิด คือพริทซาร์ด นักเขียนชราให้เป็นผู้สอนเดวิด ฝีมือและทักษะการเล่นดนตรีของพัฒนาขึ้นเป็นอันมาก และได้รับทุนให้ไปเรียนต่อที่ลอนดอน ในครั้งนี้ก็ได้รับการปฏิเสธจากพ่อเช่นเคย แต่เดวิดตัดสินใจที่จะเลือกทำตามความฝันของตนเอง โดยการรับทุนไปเรียนต่อที่ลอนดอน

เดวิดได้เรียนกับครูชาวอังกฤษที่พิการไม่มีแขนซ้าย และสามารถเล่นรัคมานีนอฟได้สำเร็จตามความต้องการด้วยความมุ่งมั่น เมื่อเล่นจบดวิดก็ล้มลงบนเวที และนับตั้งแต่วันนั้นเดวิดก็เป็นโรคที่คล้ายจะวิกลจริต และได้รับการบำบัดที่โรงพยาบาลประสาท
ชีวิตของเดวิดเริ่มพบกับแสงสว่างหลังจากได้พบกับรักแท้ที่ กิลเลี่ยน มอบให้ กิลเลี่ยนเป็นนักพยากรณ์ชีวิต ทั้งสองคนใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันด้วยความรัก และความเข้าใจ กิลเลี่ยนไม่เคยแสดงท่าทีเบื่อหน่ายในพฤติกรรมต่างๆของเดวิด และตั้งแต่นั้นมาชีวิตของเดวิดก็เริ่มดีขึ้น

Shine มีการลำดับเรื่องโดยเล่าย้อนไปในอดีต โดยเปิดเรื่องจากฉากที่มีสายฝนโปรยปรายนอกหน้าต่าง แล้วตัวเอกของเรื่องคือเดวิดมองออกไปแล้วนึกถึงอดีตตั้งแต่วัยเด็ก แล้วก็สลับกับภาพปัจจุบันเรื่อยมา การที่ Shine ใช้การเปิดเรื่องด้วยสายฝนเพราะเสียงของฝนดังเหมือนกับเสียงปรบมือจึงทำให้เดวิดนึกถึงเสียงปรบมือขณะที่เล่นเปียโนอยู่บนเวที จากนั้นเรื่องก็ดำเนินต่อไป

เดวิดเกิดในครอบครัวชาวยิวที่ถูกปลูกฝังภายใต้ปรัชญาของชาร์ล ดาวิน คือ กฎแห่งการอยู่รอด กล่าวคือ ปีเตอร์พ่อของเดวิดจะสอนเดวิดเสมอว่าผู้ที่มีชีวิตต่อไปได้คือผู้ที่ชนะเท่านั้น ดังนั้นเดวิดจึงกดดันตัวเองและมุ่งมั่นทำในสิ่งนั้นให้สำเร็จ การที่ปีเตอร์สอนเดวิดเช่นนี้ อาจเป็นเพราะสังคมของชาวยิวต้องเสื่อมสลายเพราะอิทธิพลของนาซีจึงต้องอพยพมาอยู่ที่ออสเตรเลีย จึงหวาดระแวงในเรื่องของการพลัดพราก และเขาจะไม่ยอมให้สิ่งใดมาพรากสมาชิกในครอบครัว รวมไปถึงเรื่องอันน่ายินดีที่เดวิดได้รับทุนไปศึกษาต่อทางด้านดนตรี แต่ปีเตอร์ปฏิเสธและไม่อนุญาตให้เดวิดไปเพราะอ้างเหตุผลความเป็นครอบครัวดังกล่าวข้างต้น

คำสอนของพ่อทำให้เดวิดเป็นเด็กที่มีความมุ่งมั่น จดจ่อกับสิ่งที่ทำ แต่ก็ส่งผลในทางลบต่อเดวิดเช่นกันเพราะเดวิดไม่กล้าที่จะตัดสินใจด้วยตนเอง เมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นผู้ที่ตัดสินใจให้เดวิดคือปีเตอร์ แม้กระทั่งการเลือกเพลงที่จะเล่น พ่อก็เป็นผู้เลือกรัคมานีนอฟ 3 มิสเตอร์โรเซ่น ครูของเดวิดปฏิเสธที่จะสอนให้โดยให้เหตุผลว่าเดวิดยังไม่พร้อม ด้วยความมุ่งมั่นและพรสวรรค์ทางการเล่นเปียโนที่เดวิดมีทำให้เดวิดชนะการแข่งขันหลายเวที ครูอีกคนของเดวิดก็คือ พริทซาร์ด นักเขียนที่มีส่วนช่วยให้เดวิดมีความคิดที่ออกจากกรอบเดิม ที่มีพ่อเป็นผู้กำหนด

ตัดมาที่ตัวละคร เมื่อพิจารณาจากตัวละครหลักของเรื่อง เดวิดและปีเตอร์ จะมีลักษณะดังต่อไปนี้
ปีเตอร์หัวหน้าครอบครัวเฮลฟ์ก็อท ซึ่งมีเชื้อสายยิว เมื่อดูตามเนื้อเรื่องจะเห็นว่าปีเตอร์เป็นคนเจ้าระเบียบ เคร่งครัด และโลกแคบ ไม่ยอมเปิดรับสิ่งใหม่ๆ เห็นได้จากแว่นตาที่เขาใช้สก๊อตเทปใสปิดเพื่อเชื่อมรอยต่อของแว่น นั่นไม่ได้หมายถึงความงกที่หลายๆคนคิดว่าเป็นนิสัยของคนยิว หากแต่ว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของความไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง แต่โดยส่วนตัวเมื่อมองตัวละครตัวนี้กลับให้ทรรศนะในมุมกลับ เพราะข้าพเจ้าคิดว่า ปีเตอร์เป็นคนที่น่าสงสาร ที่เขาต้องบังคับเดวิดให้เล่นดนตรีก็เพราะในวัยเด็กเขาไม่มีโอกาสที่จะได้เล่นดนตรี ซึ่งเป็นสิ่งที่เขารัก จึงยัดเยียดให้กับเดวิดและเป็นเพราะเขาหวาดระแวงกับการพลัดพรากดังกล่าวไปแล้วข้างต้น เขาจึงไม่ต้องการให้เดวิดไปเรียนต่อ อาจเป็นเพราะความรักที่มีต่อลูกและไม่คิดว่าใครจะดูแลเดวิดได้ดีเท่าเขา

เดวิดเป็นเด็กที่มีความมุมานะ และมีความมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งต่างๆให้สำเร็จตามที่พ่อคาดหวัง เขาพลาดการใช้ชีวิตที่สนุกสนานในวัยเด็ก เพราะพ่อไม่ชอบให้ลูกๆไปรู้จักกับคนอื่น และสิ่งที่เขาทำยามว่างก็คือการฝึกซ้อมเปียโน แม้ว่าเพลงของรัคมานีนอฟจะยากขนาดไหน แต่ด้วยความพยายามของเขาก็ทำให้เขาเล่นได้ดี เขาเป็นคนที่กลัวความผิดพลาด กลัวความพ่ายแพ้ซึ่งความรู้สึกด้านลบต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็เพราะการปลูกฝังของปีเตอร์

ความผิดปกติของเดวิดปรากฏในฉากที่นั่งอยู่ในอ่างอาบน้ำ แล้วไม่สามารถควบคุมตัวเองได้จึงถ่ายในอ่างน้ำ แล้วภาพก็ตัดไปที่ก๊อกน้ำที่มีน้ำหยด นี่เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่สื่อให้เห็นถึงความเคร่งครัดของพ่อที่มีมากเกินไป จนทำให้เดวิดไม่ต้องการอยู่ใต้บังคับของพ่อเหมือนกับก๊อกน้ำนั่นเองที่เมื่อบิดเกลียวปิดแน่นๆย่อมมีน้ำรั่วออกมา

เหตุการณ์ดำเนินมาถึงจุดวิกฤติที่เดวิดเลือกตัดสินใจด้วยตนเองโดยการรับทุนไปเรียนดนตรีที่ลอนดอนและเดินออกจากครอบครัว การตัดสินใจในครั้งนี้ทำให้เดวิดเล่นเพลงรัคมานีนอฟที่3ได้ดังใจปรารถนา เขาฝึกฝนและทุ่มเทอย่างมุ่งมั่นเพื่อจะเป็นผู้ชนะบนเวที เดวิดแสดงฝีมือให้ทุกคนประทับใจแต่ทว่าเมื่อการแสดงจบลง เดวิดก็ล้มจากเก้าอี้และเกร็ง ซึ่งเปรียบเสมือนเชือกที่ตึงมากๆ พอถึงจุดๆหนึ่งเชือกก็ขาด

จากเหตุการณ์นี้ทำให้เดวิดมีชีวิตที่ผิดไปจากเดิม จนต้องถูกส่งตัวไปเข้ารับการบำบัดทางจิตที่โรงพยาบาลประสาท เวลาผ่านไปพร้อมๆกับชื่อของเดวิดที่เลือนหายไปจากสังคม และเดวิดก็ปรากฏตัวอีกครั้งที่ร้านอาหารของโรซี่ โดยโรซี่จ้างให้เดวิดเป็นนักดนตรีประจำร้าน พร้อมกับพบรักกับกิลเลียนนักพยากรณ์ชีวิตและแต่งงานกัน จากนั้นชีวิตของเดวิดก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ สภาพจิตใจที่เคยไม่ดีก็ค่อยๆดีขึ้นและกลับมามีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอีกครั้ง ซึ่งการกลับมาในครั้งนี้ก็เหมือนชีวิตที่เริ่มส่องสว่างขึ้นอีกครั้งเหมือนกับชื่อภาพยนตร์คือ Shine ซึ่งแปลว่าแสงสว่าง

ไม่มีความคิดเห็น: