วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Shine

เด่นนภา

ภาพยนตร์เรื่อง Shine เป็นหนังออสเตรเลีย เข้าฉายในปีค.ศ. 1996 โดยสร้างมาจากชีวิตจริงของนักเปียโนที่ชื่อว่า David Helfgott (ชื่อพระเอกในเรื่อง) กำกับโดย Scot t Hicks ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อ และได้รางวัลมามากมาย เช่น ชนะรางวัลดารานำชายยอดเยี่ยม บนเวทีออสกา
Shine เป็นเรื่องราวชีวประวัติของนักเปียโนที่มีชื่อว่า เดวิด เฮล์ฟก๊อท เขาเกิดในครอบครัวชาวยิว ในประเทศออสเตรเลีย เดวิดเป็นนักเปียโนที่มีชื่อเสียงมากยุคหนึ่ง แต่เพราะความมุ่งมั่นของเขาเองที่กลับมาทำร้ายเขา ทำให้เขาถูกหมอห้ามไม่ให้เล่นเปียอีกต่อไป สุดท้ายเขาจะกลับมามีชีวิต และชื่อเสียงเหมือนอย่างวันวานได้หรือไม่...

วันหนึ่งในคืนฝนพรำชายคนหนึ่งวิ่งฝ่าสายฝนแกล้วมาหยุดที่กระจกหน้าร้านต่างๆ เหมือนเขากำลังมองหาอะไรอยู่ ในที่สุดเขามาหยุดที่ร้าน Moby เดวิดขอเข้าไปในร้าน เขาหลงทางมาและได้พบกับซิลเวียเธอพาเขากลับไปส่ง ขณะที่เขานั่งอยู่ในรถเขาหลับตา พูดเรื่องความหลังของเขา ฉากตัดไปยังอดีตตามเรื่องที่เขานึกและพูดก่อนหน้านี้ เป็นความทรงจำครั้งแรกที่เขาแข่งเปียโน พ่อพาเขาไปแข่ง เดวิดดูเป็นเด็กที่ไม่มีความมั่นใจ เขาตื่นเต้นมากจนจำชื่อเพลงที่เขาละเล่นไม่ได้ พ่อของเขาต้องบอกชื่อเพลงแก่กรรมการเอง เมื่อเดวิดเริ่มเล่นเขาได้ฉายแววแห่งพรสวรรค์ของเขาเป็นครั้งแรก แต่พ่อพาเขากลับบ้านก่อนโดยไม่ได้รอฟังผล พ่อของเขาไม่ชอบความพ่ายแพ้ พ่อเล่าเรื่องไวโอลีนของเขาให้เดวิดฟัง และบอกเดวิดว่าเขาโชคดีมากที่พ่อให้เขาเล่นดนตรีได้

ขณะที่พ่อกำลังฟังเพลงอยู่เสียงเคาะประตูดังขึ้น แต่ไม่มีใครไปเปิด เพราะพ่อไม่อนุญาตให้เพื่อนมาหาเด็กๆ ที่บ้านแต่ผู้มาเยือนไม่ใช่เพื่อนๆ แต่เป็นโรเซน หนึ่งในกรรมการวันนั้น เขามาเพื่อมอบรางวัลแห่งความกล้าหาญให้กับเดวิด แต่เดวิดยังไม่ทันได้แตะมันด้วยซ้ำพ่อของเขารับมันและเก็บมันไว้ โรเซนมาเพื่อเสนอให้เดวิดไปเรียนกับเขา แต่ครั้งแรกพ่อของเขาปฏิเสธ แต่สุดท้ายพ่อก็พาเดวิดไปฝากให้โรเซ่นสอนจนเดวิด โดยพ่ออยากให้เขาเล่นเพลงของแร็คมานีนอฟ แต่โรเซนปฏิเสธเพราะเห็นว่าเดวิดยังไม่สามารถเข้าถึงอารมณ์แบบนั้นได้ แต่เขาจะสอนสิ่งที่ดีที่สุดให้เดวิดเช่นกัน ฉากนี้ปิดลงที่โรเซนปิดประตูใส่หน้าพ่อของเดวิดและพ่อเดินกลับออกมา

ฉากตัดกลับมาที่ปัจจุบัน ซิลเวียมาส่งเดวิดที่ห้องของเขา เมื่อทุกคนกลับออกไปเดวิดดูใจหายและกลับสู่ความเงียบเหงาอีกครั้ง เขาหันไปมองฝนที่ตกอยู่นอกหน้าต่าง เสียงของมันเหมือนกับเสียงปรบมือ แล้วเดวิดก็กลับไปห้วนคิดถึงวันที่ชนะการแข่งขัน เขาอยู่บนเวที ข้างๆ เวทีนั่นมีพ่อ และโรเซ่นคอยเชียเขาอยู่ เดวิดได้รับรางวัลพิเศษ เขาจะได้ไปเรียนที่อเมริกา เมื่อพ่อของเขาได้ยินอย่างนั้นก็ทำให้ใบหน้าที่ยังอิ่มเอมเมื่อครู่กลายเป็นขึงขังแทน เพราะครอบครัวของเขาไม่มีเงินพอที่จะส่งเดวิดไป โรเซ่นจึงเสนอให้เขาระดมทุน แต่พ่อของเขาเป็นพวกไม่เชื่อในเรื่องศาสนา และแม่ของเดวิดเองก็เห็นว่าเดวิดยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย ที่สุดแล้วเดวิดได้รับทุนสนับสนุนจากชมรมมิตรภาพโซเวียต ที่งานนี้เขาได้พบกับซิลเวียและแคทเธอรีน พรินชาร์ด ซึ่งแคทเธอรีนขอให้เขาไปเล่นเปียโนที่ถูกทอดทิ้งของเธอ
เดวิดได้รับจดหมายจากครอบครัวที่จะเป็นโฮสให้เขาเมื่อไปอยู่อเมริกา เมื่อเขาอ่านจดหมายจบพ่อของเขาโกรธมากแล้วเอาจดหมายของเขาไปเผา เดวิดโกรธและเสียใจมากเขาไปหาโรเซนที่บ้านแต่โรเซนไม่อยู่ เดวิดกลับบ้านเขาแช่อยู่ในอ่างน้ำและอุจจาระไว้เพราะพ่อของเขาต้องอาบต่อ ทำให้พ่อโกรธและตีเขา
พ่อพาเดวิดไปสวดมนต์ที่โบสถ์ พ่อพบโรเซน โรเซนพยายามพ่อของเดวิดว่าอย่ายัดเยียดอะไรที่เกินตัวให้เดวิด แต่พ่อของเขาไม่ฟัง ในคืนนั้นเดวิดนอนอยู่พ่อเข้ามาหาเขาและปลอดเดวิดว่าชีวิตมันโหดร้าย มีเพียงดนตรีที่จะเป็นมิตรกับเขาเสมอ และไม่มีใครรักเขาอย่างที่พ่อรัก และพ่อจะอยู่กับเขาตลอดไป

ฉากตัดมาที่ปัจจุบัน เขาตื่นขึ้นในเช้าวันต่อมา หยิบจดหมายจาก The Royal College of Music เดวิดหวนนึกถึงอดีต เขากำลังจะไปเล่นเปียโนที่บ้านของแคทเธอลีน หลังจากนั้นเขามีโอกาสได้แข่งอีกครั้ง เป็นการแข่งระดับชาติ แคทเธอลีนคอยเชียเขาอยู่ที่บ้าน แต่เดวิดแพ้ เขาแพ้ให้กับโรเจอร์ พ่อของเขาโมโหลุกเดินออกไป เดวิดได้รู้จักกับความพ่ายแพ้จริงๆ ในคราวนี้
เดวิดไปที่บ้านของแคทเธอลีนอีกครั้ง เขาถามแคทเธอลีนว่าพ่อของเธอเป็นคนอย่างไร ระหว่างที่แคทเธอลีนเล่าเดวิดกลับนั่งนิ่งและดูเหมือนจะร้องไห้ เมื่อแคทเธอลีนถามเดวิดว่าเขาเป็นอะไร เขาจึงยื่นจดหมายจาก The Royal College of Music ให้เธอดู แคทเธอลีนดีใจกับเดวิดและให้กำลังใจเดวิด ก่อนกลับเธอมอบถุงมือให้เดวิดเพื่อเป็นของขวัญให้แก่เขา

เมื่อเดวิดกลับมาถึงบ้าน พ่อของเขานั่งรออยู่แล้ว เขาบอกพ่อเรื่องทุน แล้วก็เป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้ พ่อโมโห และไม่ยอมให้เขาไป แต่คราวนี้เดวิดไม่ยอม เขายอมทิ้งครอบครัวเพื่อไปเรียนที่ลอนดอน

ฉากแรกที่เดวิดมาถึงลอนดอน เขาเดินข้ามถนนแล้วโน้ตเพลงที่เขาหอบมาก็ปลิวเต็มท้องถนน อาจารย์ของเขามองลงมาและเห็นแววอัจฉริยะในตัวเขา อาจารย์สอนให้เขาเล่นอย่างเขาใจเนื้อหาก่อน และต้องจำโน้ตให้ได้ วันที่เขาได้เบี้ยครั้งแรก เดวิดขึ้นเช็คไม่เป็นเพื่อนๆเขาจึงหลอกพาเขาไปเที่ยวกลางคืน แล้วเขาก็ถูกทิ้งไว้ข้างนอกในตอนเช้า หลังจากนั้นเดวิดเข้ารอบการประกวด Concerto Medal เขาปรึกษาอาจารย์และเลือกเล่นเพลงแร็คแมนีนอฟ เพลงที่เขาฝังใจมาตั้งแต่เด็ก และเป็นเพลงที่พ่ออยากให้เขาเล่นมากที่สุด เดวิดต้องฝึกอย่างหนัก เขาต้องฝึกให้จำเนื้อได้ขึ้นใจ ให้การเล่นออกมาจากหัวใจ
วันหนึ่งเดวิดลงมาเอาพัสดุโดยไม่ได้ใส่กางเกง และกางเกงใน เป็นห่อพัสดุที่ส่งของแคทเธอลีนมาให้ตามคำขอของแคทเธอลีนก่อนตาย
เมื่อถึงวันแข่งเดวิดเล่นอย่างเต็มที่ ระหว่างที่เขาเล่นพ่อของเขาพ่อกำเหรียญไว้ และฟังวิทยุอยู่ที่บ้านเหมือนกัน หลังจากที่เขาเล่นจบทุกคนปรบมือให้เขา แต่เดวิดหมดสติและล้มลง เขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล
โทรศัพท์ที่บ้านของเดวิด มันกำลังดังอยู่พ่อของเขาเดินมารับโทรศัพท์ เดวิดต้องการจะกลับบ้านแต่พ่อของเขาวางสายไปเสียก่อน

ฉากตัดกลับเวลาก่อนปัจจุบัน ซูซี่น้องสาวของเดวิดมาเยี่ยมเขาทมี่โรงพยาบาล เดวิดจำซูซี่ไม่ค่อยได้ แต่เขาจำมากาเร็ตและเรื่องในวัยเด็กได้
เขาดูโดดเดี่ยว มองออกไปนอกหน้าต่าง เดวิดหมั่นไปยืนหน้าห้องดนตรี เขาจ้องมองเปียโนที่อยู่ในนั้น วันหนึ่งเดวิดไปยืนหน้าห้องดนตรีขณะที่เพื่อนร่วมโรงพยาบาลคนอื่นกำลังร้องรำทำเพลง และมีคนกำลังเล่นเปียโนอยู่ เดวิดเข้าไปในนั้นเขาพบกับเบอริล แอ๊ลค๊อท เธอมาเล่นเปียโนให้ผู้ป่วยฟัง เธอเป็นแฟนเพลงคนหนึ่งของเดวิด เธอจึงขอรับเดวิดไปอยู่ด้วย แต่เนื่องจากเดวิดไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และก่อความวุ่นวายให้กับบ้านของเธอ เธอจึงพาเดวิดไปอยู่ที่อยู่กับคนที่ชื่อมิน็อก เดวิดได้เปียโนส่วนตัวหนึ่งหลัง เขาเล่นมันทั้งวันทั้งคืนจนคนที่อยู่ห้องเหนือเขาตะโกนว่า เพื่อนร่วมห้องเขาจึงล๊อคเปียโนของเขา ภาพตัดกลับมาที่เช้าของวันก่อนวันเปิดเรื่อง เพื่อนร่วมห้องเขาเปิดเปียโนให้แล้วให้เดวิดเซ็นเช็คก่อน

วันต่อมาเดวิดเปิดเปียโนไม่ได้ เขาจึงออกไปเดินเล่นแล้วเขาก็วิ่งตามหนุ่มสาวคู่หนึ่งไป เดวิดวิ่งจนกระทั่งถึงมืดและวนกลับมาที่ฉากเปิดเรื่อง
ฉากตัดกลับที่เช้าวันหลังจากนั้น เดวิดวางจดหมายจาก The Royal College of Music ลง คืนนั้นเขาไปเล่นเปียโนที่ร้านของซิลเวีย เสียงเปียโนของเขาสามารถสะกดคนทั้งร้านให้ฟังเขา หลังจากนั้นเดวิดกลับมาเล่นเปียโนอย่างจริงจังอีกครั้ง เขามาเล่นที่ร้านของซิลเวียทุกวัน จนได้ลงข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์อีกครั้งว่าเขากลับมาแล้ว พ่อของเดวิดเห็นข่าวของเขาจากในหนังสือพิมพ์ คืนหนึ่งหลังจากเดวิดไปเล่นเปียโนมา พ่อมาหาเขา เอาเหรียญที่เขาได้จากการประกวดครั้งแรกมาให้

สุดสัปดาห์นั้นเดวิดไปอยู่บ้านของซิลเวีย ทำให้เดวิดได้พบกับกิลเลียน เธอเป็นโหรทำนายพวกดวงชะตา คืนนั้นเดวิดไปเล่นเปียโนตามปกติ คืนนั้นกิลเลียนไปดูด้วย หลังจากแสดงจบเดวิดกลับขึ้นไปยังห้องพักชั้นบนของร้านนี้ กิลเลียนตามเก็บเสื้อนอกและโบว์หูกระต่ายให้เขา เดวิดกำลังหาข่าวเรื่องโรเจอร์อยู่
กิลเลียนพาเดวิดไปดูโรเจอร์แสดง ดูแลเขาพาเขาไปทะเล ทำให้เดวิดตกหลุมรักเธอ ก่อนเธอกลับเดวิดได้ขอเธอแต่งาน เมื่อเธอกลับไปถึงซิดนีย์ เธอลองทำนายดวงชะตาดู แล้วเธอก็เลือกเดวิด ทั้งสองแต่งงานกันในเวลาต่อมา
กิลเลียนและซิลเวียจัดการแสดงเดี่ยวเปียโนให้เดวิด หลังจากที่เขาเล่นจบทุกคนปรบมือและร้องเรียกให้เขาเล่นอีกเพลง แม่ น้องสาว และโรเซไปดูเขาด้วยเช่นกัน เดวิดสามารถกลับมาเล่นเปียโน และมีชื่อเสียงได้อีกครั้งหนึ่ง เรื่องจบที่สุสานพ่อของเดวิด พ่อของเขาตายไปแล้ว เขานึกถึงคำสอนของพ่อ ชีวิตยังไม่สิ้นก็ต้องดิ้นรนต่อไป

ภาพยนตร์เรื่อง Shine เป็นภาพยนตร์แนวชีวประวัติ ที่มีความเป็นดราม่าด้วย ในเรื่องมีความขัดแย้งใหญ่ของเรื่องแบบมนุษย์กับมนุษย์ คือความขัดแย้งของเดวิดกับพ่อตอนที่เรื่องเดินมาถึงตอนที่เดวิดตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตให้ตนเอง เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาพ่อเขาเป็นคนกำหนดทางเดินให้เขาเสมอ
เปิดเรื่องด้วยเสียงฟ้าร้อง แล้วมาเป็นภาพพระเอกกำลังพูดอยู่ พูดแบบรัวๆ จับใจความไม่ได้ หน้าของเขาขณะพูดดูฝันๆ ยิ้มๆ แสงที่เข้ามาไล้ด้านหน้าตรงๆ เพียงนิดเดียวทำให้รู้สึกว่าถึงชีวิตจะอับโชคยังไงก็ยังมีความหวังอยู่ แม้จะเล็กน้อยแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี

หลังจากนั้นฉากแรกที่เขาวิ่งอยู่กลางสายฝนแล้วหยุดดูตามกระจกที่ร้านต่างๆ นี้เป็นจุดที่ตอนแรกชวนสงสัยเล็กๆ ว่าเดวิดกำลังมองหาอะไรอยู่ แล้วเรื่องราวก็เล่าไป จนพบว่าเดวิดกำลังมองหาเปียโนนั่นเอง เพราะวันนั้นเขาเปิดเปียโนไม่ได้ เขาจึงเดินออกมาแล้วตามหามัน
ชื่อที่พักที่เดวิดอยู่ตอนก็น่าสนใจเช่นกัน ชื่อว่า Eden Lodge คำว่า Eden นั้นเป็นชื่อของสวนที่อดัมกับอีฟอยู่ เป็นสวนสวรรค์ แต่สภาพที่เห็นจากห้องของเดวิดทำให้เรารู้สึกว่ามันขัดแย้งกับป้ายชื่อนี้มากทีเดียว

ตอนช่วงวัยเด็กของเขาน่าสนใจตรงที่พ่อพยายามสอนให้เขาอยากชนะ จากฉากที่บ้านตอนเดวิดและพ่อกำลังเล่นหมากรุก และจากฉากนี้ทำให้เราได้รู้ว่าครอบครัวของเขาไม่น่าจะมีเพื่อนบ้าน เพราะเมื่อโรเซนมาเคาะประตูพ่อของเดวิดก็ไม่ให้เปิด ฉากนี้มีสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือตอนที่โรเจอพูดว่า “นิสัยเลวๆ ที่ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างชนะกับแพ้ ลองเก็บไปคิดดู” นี่อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พ่อของเดวิดเปลี่ยนใจให้เขาไปเรียนกับ โรเซนได้
เหตุการณ์เริ่มพัฒนาไปโดยใช้เดวิดซึ่งเป็นตัวละครที่มีพัฒนาการ คือจากเดิมที่อยู่ในกรอบทางเดินของพ่อ แต่เมื่อเขาโตขึ้น และมีคนหยิบยื่นโอกาสให้เขามากขึ้น เดวิดก็เริ่มเลือกทางเดินของตัวเอง ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาได้ทุนไปเรียนต่อที่อเมริกา แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ไปเพราะพ่อของเขา เดวิดเริ่มมีการต่อต้าน ฉากที่น่าสนใจตอนนี้คือ

ฉากที่เป็นก๊อกน้ำ ที่มีน้ำค่อยๆ หยดลงมาทีละหยด มันเหมือนกับเป็นสัญลักษณ์ของน้ำตา เพราะตอนนั้นเดวิดไม่ได้ร้องไห้แล้ว มันอาจจะหมายถึงความเสียใจที่เขาแอบไว้ไม่ให้พ่อเห็น หรืออาจจะเป็นการตัดสินใจอะไรบางอย่าง เพราะเสียงน้ำที่หยดกับภาพที่เขานั่งคู้อยูในอย่างนั้นมันดูมีพลัง มีความแน่วแน่บางอย่างแฝงอยู่ซึ่งอาจเป็นความคิดแค้นพ่อของเขา หรือจริงๆ มันอาจจะเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งที่เดวิดกำลังทำอยู่นั่นคือการเบ่งอุจจาระก็เป็นได้
เดวิดได้เลือกทางเดินให้กับตัวเองจริงๆ ตอนที่เขาเลือกที่จะไปลอนดอน ทั้งที่พ่อเขาขู่จะตัดพ่อลูก และครอบครัว แต่เขาก็ยังเลือกที่จะไป นี่เองเป็นพัฒนาการของตัวละคร เพราะเดวิดเป็นเด็กที่อยู่แต่ในบ้านเพราะว่าพ่อไม่ให้พวกลูกๆ คบกับใคร และไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ หรือทำอะไรที่อยากจะทำ ทำให้ครอบครัวของเขาดูประหลาดกว่าครอบครัวอื่น จึงอาจทำให้พ่อของเดวิดโมโหและไม่ให้เดวิดไปอเมริกาเพราะตอนที่เดวิดได้จดหมายจากโฮสของเขานั้น ในจดหมายพูดถึงครอบครัว ที่รอเดวิดอยู่ จุดนี้เองทำให้พ่อโมโห เพราะสำหรับพ่อของเดวิดแล้วโลกของเขามีเพียงครอบครัวเท่านั้นที่ไว้ใจ และเชื่อใจได้

แคทเธอรีนเป็นตัวละครสำคัญตัวหนึ่งที่ทำให้เดวิดได้รู้จักโลกภายอก และเธอยังมีส่วนกระตุ้นให้เดวิดเลือกทางเดินของตัวเอง พร้อมทั้งยังเป็นเสมือนที่พึ่ง ที่พักพิงที่เดวิดทั้งเคารพ รัก และเชื่อใจเธอ
เขาได้เรียนรู้โลกมากขึ้ตอนอยู่ลอนดอน เรียนรู้ชีวิต และโลกภายอก เดวิดได้เที่ยว เขามีเพื่อน ได้เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับตนเอง

เรื่องเดินมาถึงจุดสุดยอดตอที่เดวิดฝึกซ้อมอย่างหนักจนถึงวันแข่งขัน เขาเล่นจนทำให้วันที่น่าจดจำนี้กลายมาเป็นจุดพลิกผันชีวิตเขา ฉากนี้สร้างจุดสงสัยให้เราตอนที่เดวิดกำลังเล่นอยู่เกือบจะท้ายๆเพลงแล้วนั้นจากเสียงเปียที่เขาเล่นอยู่ กลายมาเป็นเป็นเสียงที่ดูน่ากลัว ดูลุ้นว่าจะเกิดอะไรขึ้น และมีเสียงหัวใจเต้นหลังจากนั้นด้วย ทำให้คนดูลุ้นว่าเดวิดจะเป็นอย่างไร เขาจะชนะหรือแพ้ เขาจะล้มลงไปก่อนหรือเปล่า
ที่สุดแล้วเขาก็ล้มลงและหมอห้ามเขาเล่นเปียอีก และพ่อก็ไม่รับเขากลับบ้าน ทำให้เดวิดกลายเป็นคนหลงทาง และเป็นจิตเภทที่สุด

ฉากที่เดวิดโทรหาพ่อเพื่อจะกลับบ้านเป็นอีกฉากที่น่าสนใจเพราะเป็นวันที่ฝนตกอีกเช่นกัน (จะกล่าวถึงในตอนวิเคราะห์ชื่อเรื่องอีกครั้ง) จุดที่น่าสนใจของฉากนี้คือตอนหลังจากที่พ่อวางสาย เดินออกมามองที่หน้าต่างแล้วปิดหน้าต่างสีดำลงฉับ นี่เป็นเหมือนใจของพ่อ ที่มันปิดสนิท มันดำมืดและโกรธแค้นเดวิดอยู่ สีหน้าที่มองผ่านหน้าต่างออกมามันมีแต่ทิฐิที่พ่อยังมีอยู่

เรื่องราวค่อยๆ คลี่คลายเมื่อเดวิดออกจากโรงพยาบาล คำถามก็คือเขาจะกลับไปอยู่ในสังคมอย่างปกติได้หรือ และเขาจะกลับมาเล่นเปียโนอีกครั้งได้ไหม

เดวิดกลับมาอยู่ในสังคมได้แต่ต้องมีคนดูแลซึ่งนั่นก็คือแกลเลียน และเขากลับมาเล่นเปียได้อีกครั้งโดยมีคนรอบข้างช่วยสนับสนุนทั้งแกลเลียนและซิลเวีย เดวิดกลายเป็นที่รู้จักอีกครั้ง และที่ดีที่สุดน่าจะเป็นที่พ่อของเขายอมรับในตัวเขา วันที่พ่อมาหาเดวิดพ่อของเขาสวมแว่นตาที่แตกแล้วแปะสก๊อตเทปไว้ นี่น่าจะหมายถึงทิฐิของพ่อที่มันมีมานานมาก และมันถูกทลายลงหรือมองในอีกแง่หนึ่งมันอาจจะเพียงแค่แตกแล้วพ่อเขาไม่มีเงินซื้อใหม่ก็ได้

ในที่สุดเดวิดก็ได้รับการยอมรับ และเสียงปรบมือ ชื่อเสียงของเขากลับมาอีกครั้ง เรื่องปิดที่สุสานของพ่อ ทำให้เราได้รู้ว่าเดวิดไม่ได้เกลียดพ่อของเขาเลย และเขาได้ทิ้งข้อคิดไว้ที่ฉากจบนี้ว่าถ้าเรายังไม่ตายชีวิตก็ต้องดิ้นรนกันต่อไป
หากลองพิจารณาพ่อของเดวิดดูจะพบว่าเขาเป็นคนเก็บกด เพราะความหลังเมื่อวัยเด็กที่พ่อของเขาทุบไวโอลีนที่เขาอดออมเพื่อซื้อมัน เกิดจากที่เขาอยากทำแล้วไม่ได้ทำ เขาเลยมาลงกับเดวิด พยายามดันเดวิดให้เป็นที่หนึ่ง ให้มีชื่อเสียง แต่ก็ไม่ยอมปล่อยให้เดวิดได้กำหนดชะตาของตนเองเช่นกัน จากจุดนี้อาจมองว่าพ่อของเขาเป็นตัวการที่กดดันเขาทำให้เขาฝังใจที่จะเล่นเพลงของแร็คแมนีนอฟ ที่แสนยาก และเกินความสามารถของเดวิด จนทำให้เขาต้องป่วยและไม่ได้เล่นเปียโน แต่ถ้ามองในมุมกลับกัน พ่อของเดวิดมีส่วนสำคัญอย่างมากที่ผลักดันให้เดวิดกลายเป็นนักเปียโนชั้นเยี่ยมคนหนึ่ง เพราะนอกจากพรสวรรค์ในการแกะโน้ตดนตรีจากแผ่นเสียงเองแล้ว เดวิดก็ได้พ่อของเขาเป็นครูสอนเปียโนคนแรกเช่นกัน และแม้จริงแล้วตัวพ่อของเดวิดเองก็รักเดวิดมาก แต่ด้วยทิฐิมานะ และความยึดติดทำให้ไม่ยอมรับเดวิดกลับมาตั้งแต่แรก

ฉากที่น่าสนใจอีกฉากเป็นฉากที่เดวิดอยู่ที่บ้านของซิลเวีย กำลังเล่นกระโดดอยู่ เขาดูได้ปลดปล่อย สุกและเหมือนกำลังโบยบินอยู่บนท้องป้าไปกับเสียงเพลงที่เขาฟังอยู่ นี่เป็นเทคนิคหนึ่งที่หนังเรื่องนี้เลือกใช้คือใช้เสียงดนตรีประกอบกับท่าทาง ซึ่งดูไม่เหมือนหนังเรื่องอื่นเพราะตัวเอกของเรื่องนี้เป็นจิตเภท ซึ่งหนึ่งในอาการที่เกิดได้คือการได้ยินเสียงที่ก้องอยู่บนหัว หรือในความคิดของตนเอง เดวิดอาจจะได้ยินเสียงดนตรี หรือเสียงเปียโนยู่ตลอดเวลา นั่นทำให้เรารู้สึกว่าท่าทางที่เขาแสดงออกมาประกอบดนตรีนั้นไม่เหมือนการใช้เสียงประกอบแบบทั่วๆ ไป ฉากเด่นอีกฉากที่ใช้เทคนิคนี้คือตอนที่เดวิดวิ่งฝ่าสายฝนไปหาร้านที่มีเปียโนก่อนที่จะพบร้าน Moby ภาพเหมือนรีย้อนกลับไปกลับมาตอนที่เขาวิ่งซึ่งมันเข้ากับตนตรีที่ใช้เช่นกัน

ถ้าลองพิจารณาชื่อเรื่องดูว่าทำไมถึงชื่อว่า “Shine” คำว่า shine แปลว่า ส่องแสง รุ่งโรจน์ สว่างไสว ดังนั้นหากพิจารณาจากฉากหนึ่งตอนที่เดวิดได้ลงข่าวในหนังสือพิมพ์อีกครั้ง ด้านล่างมีข่าวเก่าสมัยหนุ่มพาดหัวข่าวว่า “David SHINE” คำว่า Shine ในที่นี่น่าจะหมายถึง เขาได้ส่องแสงแห่งพรสวรรค์ด้านการเล่นเปียโนของเขาออกมา แต่หากพิจารณาจากเรื่องน่าจะหมายถึงความหวัง และโอกาส เพราะเดวิดเคยโด่งดังและก็ดับลงในเวลาชั่วข้ามคือแต่ในที่สุดเขาก็กลับมารุ่งโรจน์ กลับมาส่องแสงแห่งพรสวรรค์ของเขาได้อีกครั้ง และหากพิจารณาจากฉากที่ฝนตกที่มีหลายฉาก และตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องที่เขาวิ่งฝ่าฝนมาจนพบเปียโนที่ร้านของซิลเวีย Shine ในที่นี้ก็หมายถึงฟ้าหลังฝน ย่อมสวยงามและสดใสเสมอ

แก่นเรื่องที่แท้จริงที่ต้องการนำเสนอน่าจะเป็นสัจธรรมของชีวิตที่ว่าไม่มีอะไรที่จะยั่งยืนเสมอไป ทุกอย่างย่อมมีขึ้นลงได้เสมอ อย่างชื่อเสียงของเดวิด หรือทิฐิของพ่อที่มันเกิดได้ก็สามารถหายไปได้เช่นกัน สัจธรรมอีกอย่างที่เรื่องต้องการนำเสนอคือการพยายามมีชีวิตอยู่ อย่างที่พระเอกพูดเสมอว่ามีชีวิตก็ต้องดิ้นรนต่อไป


เรื่อง Shine เป็นภาพยนตร์ที่มีคุณค่ามากเรื่องหนึ่งเพราะนอกจะให้แง่คิด และสัจธรรมหลายๆ อย่างในชีวิตแล้วยังทำให้เราตระหนักถึงคุณค่าของสุนทรียะทางดนตรี เห็นว่าดนตรีไม่เคยทำร้ายใครเพราะแม้เดวิดจะกลายเป็นจิตเภทไปแต่เขาก็ได้รับกำลังใจ และจากความอยากกลับไปเล่นเปียโนของเขาเองทำให้เขากลับไปเล่นเปียโนและใช้ชีวิตอย่างปกติสุขได้อีกครั้ง

“ชีวิตนะโหดร้าย แต่เชื่อพ่อสิ ดนตรีจะเป็นมิตรกับลูกเสมอ”

ไม่มีความคิดเห็น: