วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Shine โชคดีที่สวรรค์ไม่ลำเอียง

พิชญ์สินี

ผลงานภาพยนตร์กำกับโดย Scott Hicks ฉายครั้งแรกเมือ่วันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2539
เรื่องราวของ เดวิด เฮลฟ์กอทท์ เด็กชายชาวออสเตรเลียน ผู้มีความสามารถทางด้านเปียโน
แต่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูจากพ่อผู้เข้มงวดและมีทัศนคติที่คับแคบ คอยพร่ำสอนให้ลูกชายของเขาต้องชนะในการแข่งขันเปียโนทุกครั้ง ทำให้เดวิดได้รับความกดดันมาก พ่อต้องการให้เขาเล่น

บทเพลงของแร็คมานีนอฟ ซึ่งเป็นบทเพลงคอนแชร์โตที่ยากมาก พ่อจึงให้เขาไปเรียนเปียโนกับครูโรเซน หลังจากที่เขาลงแข่งขันเปียโน เขาก็ได้รับทุนไปเรียนต่อที่อเมริกาและลอนดอน แต่พ่อกลับไม่ให้เขาไป แต่เดวิดก็ตัดสินใจที่จะไปลอนดอน แม้ว่าเขากับพ่อจะต้องตัดขาดจากกันก็ตาม ที่นั่นเขาได้ใช้บทเพลงของแร็คมานีนอฟในการแข่งขันเปียโน หลังจบการแสดงเขาก็เป็นลมล้มหมดสติไป และทำให้เดวิดกลายเป็นคนเสียสติไปในที่สุด แต่แล้วเขาก็ได้รู้จักกับกิลเลียน นักโหราศาสตร์
ผู้เปรียบเสมือนดวงดาวที่คอยนำทางให้กับเขา เดวิดแต่งงานกับกิลเลียนและตัดสินใจที่จะเล่นบทเพลงของแร็คมานีนอฟอีกครั้ง ถึงแม้ว่าพ่อของเขาจะไม่มีโอกาสได้ฟังบทเพลงที่พ่อคาดหวังว่าจะได้ฟังจากเขา แต่ทว่าเขาก็ได้สานต่อเจตนารมณ์ของพ่อได้สำเร็จ

ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดเรื่องด้วย ภาพของเดวิด เฮลฟ์กอทท์ ในวัยกลางคนกำลังพูดพึมพำกับตัวเอง เขาเดินฝ่าสายฝนที่กระหน่ำโปรยปรายลงมาไปยังร้านอาหารแห่งหนึ่ง และจ้องมองผ่านกระจกไปยังเปียโนที่วางอยู่ในร้าน เขาเคาะประตูเพื่อขอเข้าไปในร้าน และได้พบกับซิลเวีย
ซิลเวียจึงขับรถไปส่งเขาที่อพาร์ทเม้นท์

เหตุการณ์เริ่มพัฒนาด้วยการเล่าเรื่องเกี่ยวกับเดวิดในวัยเด็ก ว่าเดวิดเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ในการเล่นเปียโน แต่ด้วยความที่ทางบ้านของเดวิดไม่ได้ร่ำรวยมากพอที่จะให้เดวิดไปเรียนเปียโนกับครู พ่อของเดวิดจึงให้เดวิดฟังเพลงจากแผ่นเสียง และหัดเล่นเปียโนเอง เมื่อเดวิดไปแข่งขันเปียโนครั้งแรกเขาก็ได้รับรางวัลความกล้าหาญที่สามารถเล่นเปียโนด้วยเพลงที่ยากได้ แต่พ่อก็มักจะพร่ำบอกเขาเสมอว่าเขาแพ้อยู่เสมอ และจะต้องชนะให้ได้ พ่อตัดสินใจพาเดวิดไปเรียนเปียโนกับครูเบน โรเซน ครูตัดสินใจไม่สอนบทเพลงของแร็คมานีนอฟให้เดวิดตามที่พ่อของเดวิดต้องการแต่ครูกลับสอนบทเพลงของโมสาร์ทให้เขาแทน พ่อของเดวิดไม่สามารถพูดอะไรได้ เพราะเขาไม่มีค่าจ้างให้ครู เดวิดจึงได้เรียนบทเพลงของโมสาร์ท เดวิดมีความสามารถในการเล่นเปียโนจนได้รับทุนไปเรียนต่อที่อเมริกา แต่พ่อก็ไม่อนุญาติให้เขาไป ด้วยเหตุผลที่พ่อบอกว่า “ไม่อยากให้ใครมาทำลายครอบครัวของเรา” หลังจากวันนั้นเดวิดก็ได้รู้จักกับแคทเธอรีน นักเขียนคนหนึ่งซึ่งได้กลายมาเป็นเพื่อนสนิทต่างวัยของเดวิด และเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่เดวิดมีอยู่ในขณะนั้น แต่แล้วเดวิดก็ได้รับทุนไปเรียนต่อที่โรงเรียนดนตรีในพระราชูปถัมภ์ที่ลอนดอน แต่พ่อก็ไม่ยอมให้เดวิดไปอีกครั้ง และขู่กับเดวิดว่า “ถ้าเดินออกจากประตูนั้นไปก็ไม่ต้องกลับมาบ้านนี้อีก”

จุดสงสัยของภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ตรงที่ พ่อปิดบังสาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมถึงไม่อยากให้เดวิดไปเรียนต่อที่อเมริกาและลอนดอน ทั้งๆที่พ่อก็ภูมิใจในตัวเดวิดและอยากเห็นเดวิดประสบความสำเร็จ สามารถเล่นบทเพลงของของแร็คมานีนอฟได้และได้เป็นนักเปียโนที่มีชื่อเสียง สังเกตได้จากการที่พ่อยอมให้เดวิดไปเรียนเปียโนกับครูโรเซน และยังตัดข่าวที่เกี่ยวกับเดวิดที่มีอยู่ตามหน้าหนังสือพิมพ์ต่างๆมาเก็บไว้

ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เป็นความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ คือ ความขัดแย้งระหว่างพ่อที่ไม่ยอมให้เดวิดไปอเมริกาและลอนดอน แต่เดวิดกลับต้องการไปเรียนรู้และหาประสบการณ์

จุดวิกฤตเกิดขึ้นเพราะความขัดแย้งระหว่างพ่อกับเดวิด ทำให้เดวิดตัดสินใจเลือกที่จะไปเรียนต่อที่ลอนดอน โดยไม่สนใจคำทัดทานของพ่อ ที่ลอนดอนเดวิดได้พบกับประสบการณ์ชีวิต
ที่แปลกใหม่ และทำให้เขาได้มีโอกาสเรียนบทเพลงของแร็คมานีนอฟที่พ่ออยากให้เขาเล่น

จุดไคลแม็กซ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ คือฉากที่เดวิดลงแข่งขันเปียโนด้วยบทเพลงของแร็คมานีนอฟ แต่เพราะความกดดันที่อยากจะเล่นเพลงนี้ให้ได้ดีเพื่อที่จะได้กลับไปหาพ่อได้อีกครั้งพร้อมทั้งคาดหวังกับชัยชนะที่พ่อต้องการให้เขาได้รับ ผสมผสานกับความเศร้าโศกเสียใจที่ได้รับข่าวว่าแคทเธอรีนเพื่อนเพียงคนเดียวของเขานั้นเสียชีวิตแล้ว สิ่งเหล่านี้ทวีคูณความกดดันให้กับ

เดวิด หลังจากจบการแสดงเขาก็เป็นลมหมดสติไป หลังจากเหตุการณ์นั้นเขาก็เสียสติจนต้องเข้ารับการบำบัดที่โรงพยาบาลทางจิตเวชเป็นระยะเวลานานจนล่วงเข้าสู่วัยกลางคน เมื่อเดวิดเสียสติทุกอย่างในชีวิตของเขาก็ได้เปลี่ยนไปหมด เขาไม่กล้าที่จะเล่นเปียโนอีก

ภาพยนตร์เรื่องนี้ปิดเรื่องแบบสุขนาฏกรรม เดวิดได้พบกับความสุขในชีวิต คือการได้แต่งงานกับกิลเลียนผู้เป็นเหมือนดวงดาวซึ่งคอยส่องแสงนำทางให้กับขีวิตของเขา และเป็นผู้จุดประกายให้เขาหวนกลับมาเล่นบทเพลงของแร็คมานีนอฟอีกครั้ง แต่ทว่าครั้งนี้เขาไม่มีความกดดันใดๆอีกแล้ว และถึงแม้ว่าพ่อของเขาจะไม่มีโอกาสได้รับรู้ถึงความสำเร็จของเขาแล้วก็ตาม แต่ว่าเขาก็ได้สานต่อความฝันให้กับพ่อผู้ซึ่งล่วงลับจากโลกนี้ไปแล้วได้อย่างสมบูรณ์

Shine เป็นภาพยนตร์ที่แฝงไว้ด้วยทัศนคติและให้มุมมองทางความคิดที่ดีในหลายๆด้าน เนิ้อเรื่องเข้าใจง่ายไม่ซับซ้อน ตัวละครแต่ละตัวแสดงอารมณ์ได้ชัดเจน ทำให้เราเกิดความรู้สึกร่วมไปด้วย การที่พ่ออบรมสั่งสอนลูกด้วยความรักแบบผิดวิธีและทัศนคติที่คับแคบนั้น ทำให้ลูกไม่มีความสุข คนในครอบครัวก็พลอยไม่มีความสุขไปด้วย บทเพลงที่เคยไพเราะอย่างแร็คมานีนอฟก็กลับกลายเป็นเพลงที่สร้างความเจ็บปวด หากคนเราเข้าใจความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่นเท่ากับที่เข้าใจในความรู้สึกของตัวเองบ้าง สังคมในทุกระดับก็จะมีแต่ความสุข

ไม่มีความคิดเห็น: