วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Shine โชคดีที่สวรรค์ไม่ลำเอียง

ธนัชญา

Shine เมื่อได้ยินชื่อเรื่องแล้วคงนึกไปต่างๆนานาว่า คงต้องเป็นเรื่องราวที่สว่าง สดใสอย่างแน่นอน แต่ตรงกันข้ามเรื่องราวต่อไปนี้อาจไม่ได้เป็นอย่างที่คิด

ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดเรื่องด้วยภาพใบหน้าหันข้างของชายคนหนึ่งที่กำลังพูดในลักษณะที่ไม่สามารถจับใจความได้ พูดติดอ่าง ท่ามกลางสายฝนที่โปรปราย และภาพก็ขยายเป็นภาพชายคนนั้นกำลังวิ่งอยู่กลางสายฝนและตรงไปเคาะประตูร้านอาหารแห่งหนึ่งที่ปิดบริการแล้ว ภายในร้านอาหารมีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาพยายามจะคุยด้วยว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะชายคนนั้นวิ่งหน้าตาตื่นมา ชายคนนั้นแนะนำตัวเองว่าชื่อ “เดวิด” หญิงคนนั้นก็แนะนำตัวกลับว่าชื่อ “ซิลเวีย” เดวิดพยายามพูดแต่ลักษณะการพูดนั้นก็ฟังแทบไม่ได้ศัพท์

เหตุการณ์พัฒนาขึ้นโดยภาพตัดมาเป็นภาพย้อนอดีต เดวิดในวัยเด็กกำลังนั่งเล่นเปียโน พ่อพยายามบังคับให้เดวิดพูดว่า “โชคดีที่ได้เล่นดนตรี” ในจุดนี้ทำให้เข้าใจได้ว่าพ่ออาจมีอะไรบางอย่างฝังใจเกี่ยวกับเรื่องดนตรี เดวิดเข้าแข่งขันการเล่นเปียโน เขาเล่นเพลงที่ยากมากทำให้ทุกคนที่ได้ฟังต่างตกตะลึง เดวิดเป็นผู้ชนะในครั้งนี้ ชัยชนะของเดวิดทำให้เขาได้ทุนเพื่อไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา ในระยะแรกนั้น พ่อมีท่าทีที่จะให้ไป แต่เมื่อรู้ว่าลูกต้องไปอยู่กับครอบครัวอื่น พ่อกลับมมีท่าทีที่เปลี่ยนไป พ่อพูดว่าหากเดวิดไปเขาต้องไปอยู่กับครอบครัวอื่น และเขาจะไม่มีพี่มีน้องหรือพ่อแม่อีก ลักษณะที่พ่อพูดนั้นก็ทำให้ทราบถึงความฝังใจอีกอย่างหนึ่งของพ่อเกี่ยวกับครอบครัวที่แตกแยก ในที่สุดพ่อก็ไม่ให้เดวิดไปเรียนต่อที่อเมริกา พ่อพยายามให้เดวิดเล่นบทเพลงที่ยากแสนยากอย่าง “แร็คแมนีนอฟ” ซึ่งอาจารย์ที่คอยดูแลเดวิดอยู่ห่างๆนั้นก็เตือนแล้วว่า เพลงนี้ยังไม่เหมาะกับเดวิด แต่พ่อกลับไม่ฟัง ยังคงพยายามเดวิดเล่นเพลงนี้ให้ได้

เดวิดได้พบกับพริทชาร์ตหญิงแก่ในงานแสดงเปียโนของเขา หญิงแก่คนนั้นชื่อชอบเดวิดมาก จนเขาขอร้องให้เดวิดไปเล่นเปียโนให้เขาฟังที่บ้านเป็นประจำจนทั้งคู่สนิทสนมกัน เดวิดเข้าแข่งขันเปียโนระดับชาติ เขาและคู่แข่งมีคะแนนสุสีกันมาก ในที่สุดเดวิดเป็นผู้แพ้พ่ายในครั้งนี้ แต่การที่เขาแพ้นั้นก็ไม่ได้ทำให้เขาหมดสิ้นซึ่งโอกาสที่ดี เดวิดได้รับทุนอีกครั้ง ครั้งนี้เขาได้ไปเรียนต่อที่ลอนดอนประเทศอังกฤษ เขาปรึกษากับพริทชาร์ต เขาคิดว่าพ่อคงไม่ให้เขาไปอย่างแน่นอน ความขัดแย้งในใจของเดวิดกำเนิดขึ้นว่าจะตัดสินใจอย่างไร แต่พริทชาร์ตให้กำลังใจและบอกให้เขาตัดสินใจเกี่ยวกับทางเดินชีวิตเอง แม้พ่อจะไม่ยอมให้ไป ทำร้ายตบตี ด่าทอ และหากเขาไปพ่อก็จะตัดพ่อตัดลูก แต่ในที่สุดเดวิดก็ตัดสินใจที่จะเดินจากไป

เมื่อเดวิดได้เข้าเรียน อาจารย์คนหนึ่งเห็นแววความสามารถและความอัจฉริยะที่มีในตัวเขา อาจารย์ผู้นั้นสอนให้เดวิดเรียนรู้เทคนิคต่างๆในการเล่นเปียโน เมื่อถึงงานแสดง เดวิดเลือกที่จะเล่นเพลง “แร็คแมนีนอฟ” เพลงที่พ่อตั้งใจจะให้เขาเล่นให้ได้ แม้จะเป็นเพลงที่ยากมาก แต่อาจารย์ก็พร้อมที่จะสอนและฝึกซ้อมให้เขา อาจารย์มีเทคนิคด้วยการให้เดวิดปิดตาเล่น และให้เล่นออกมาจากหัวใจ เพื่อจะได้เข้าถึงอารมณ์ของเพลงให้ได้มากที่สุด ก่อนถึงวันแสดงเขาได้รับกล่องพัสดุที่เป็นสิ่งของเกี่ยวกับตัวเขาของพริทชาร์ต ทำให้เขารู้ว่าพริทชาร์ตได้จากเขาไปเสียแล้ว

วันแสดงเดวิดสามารถเล่นได้อย่างดีไม่มีที่ติ เขาเล่นจนสุดแรงสุดกำลังที่เขามี ตัวเขาเริ่มสั่น เหงื่อเริ่มออก และเมื่อจบเพลง เสียงปรบมือก็ดังขึ้น แต่เดวิดกลับล้มลงหัวฟาดพื้น เขาหมดสติและกลายเป็นคนเสียสติ เขาเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลประสาท หมอสั่งห้ามไม่ให้เขาเล่นเปียโนอีก วิถีชีวิตของเขาเป็นอย่างเดิมทุกวัน สูบบุหรี่ตลอดเวลา และแม้เว่นตาของเขาจะแตก แต่เขาก็ยังคงใช้แว่นอันเดิม สิ่งนี้สื่อให้ทราบว่า ตัวเดวิดยังยึดติดกับสิ่งเดิม ทำอะไรเดิมๆ ไม่เปลี่ยนแปลงอะไรทั้งสิ้น เขากลายเป็นคนย่ำคิดย่ำทำ พูดจาไม่รู้เรื่อง

เขาพบกับหญิงคนหนึ่งที่เคยชื่นชอบเขาในโรงพยาบาลประสาท หญิงคนนั้นจึงพาเดวิดออกไปอยู่ด้วย แต่สุดท้ายเธอก็ทนพฤติกรรมอันแสนประหลาดของเดวิดไม่ได้ เธอบอกให้เดวิดไปอยู่กับ “โมบี้” และนั้นคือชื่อร้านอาหารที่เดวิดวิ่งเข้าไปท่ามกลางสายฝนในฉากแรก เขาได้เล่นเปียโนอีกครั้งและเขาก็ได้แสดงเปียโนในร้านนั้นทุกคืน จนเป็นที่โด่งดัง วันหนึ่งเขาพบกับ “กิลเลียน” เพื่อนสาวของซิลเวียหญิงสาวในร้าน เดวิดขอกิลเลียนแต่งงาน และในที่สุดทั้งคู่ก็แต่งงานและใช้ชีวิตร่วมกัน แม้เดวิดจะมีพฤติกรรมประหลาดแต่กิลเลียนก็ยอมรับและพร้อมจะดูแล ในที่สุดพ่อของเดวิดก็จากเขาไปอย่างไม่มีวันกลับ ฉากสุดท้ายของภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นฉากที่หลุมศพของพ่อ ก่อนจบเรื่องเดวิดทิ้งประโยคสุดท้ายเอาไว้ว่า “ชีวิตไม่สิ้นก็ดิ้นกันไป” ประโยคที่เมื่อได้ฟังแล้วรู้สึกว่า ขนาดคนที่มีความผิดปกติยังมีความคิดที่จะต่อสู้ชีวิต แล้วเราคนปกติจะไม่คิดสู้ชีวิตเลยหรือ

เรื่องนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของคนคนหนึ่ง ซึ่งเป็นเค้าโครงเรื่องจริงของคุณเดวิด จึงมีตัวละครเอกเพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้น แก่นของเรื่องจึงเป็นเรื่องราวพฤติกรรมของตัวละครเอกที่มีการย้อนให้เห็นถึงสาเหตุและต้นตอของพฤติกรรมของเขาในวัยเด็กและวัยรุ่น และชีวิตปัจจุบันของเขา ตัวละครมีหลายตัวแต่เป็นตัวละครที่ไม่มีบทบาทอะไรมาก เป็นเพียงคนที่ผ่านมาและก็ผ่านไปในชีวิตของเดวิดเท่านั้น จะมีแต่เพียงพ่อที่เป็นบุคคลที่หล่อหล่อมและเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เดวิดมีอุปนิสัยดังที่กล่าวมา เพราะพ่อเป็นคนเลี้ยงดูเดวิด ส่วนแม่นั้นเป็นเพียงคนที่คอยดูห่างๆ

เรื่องราวชีวิตของผู้ชายคนนี้เมื่อดูในเรื่องแล้ว รู้สึกสงสารและเห็นใจชายคนนี้มาก ยิ่งรู้ภายหลังว่าเป็นเรื่องราวที่มีเค้าโครงจากบุคคลที่มีอยู่จริงแล้ว ก็ยิ่งทำให้รู้สึกเศร้าใจมากยิ่งขึ้น ทำให้ทราบว่าครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญมากที่เป็นส่วนหล่อหลอมให้เด็กจะโตมาเป็นผู้ใหญ่เช่นไร พ่อของเดวิดมีความฝังใจในหลายๆเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเล่นดนตรี เรื่องครอบครัว ที่ในวัยเด็กปู่ของเดวิดไม่ให้พ่อของเดวิดเล่นไวโอลิน จึงทำให้เขาพยายามที่จะยัดเยียดให้เดวิดรู้สึกโชคดีที่ได้เล่นดนตรีและอยากให้เดวิดเป็นเลิศที่สุดจึงให้ฝึกเล่นเพลงที่ยากที่สุด ซึ่งพ่อไม่เคยถามความเห็นหรือความรู้สึกของเดวิดเลย

Shine ในที่นี้คงเป็นแสงที่ส่องสว่างหลังจากที่ชีวิตของเดวิดต้องผ่านเรื่องราวที่ร้ายๆที่คล้ายดังพายุฝนมาตลอด แม้จะได้ชมภาพยนตร์เรื่องที่เป็นครั้งแรกและครั้งเดียว และมีหลายๆจุดที่ยังไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่การชมในครั้งแรกนี้ก็ทำให้รู้สึกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่ควรค่าแก่การชม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ควรจะได้รับชมอีกแง่มุมหนึ่งของการเลี้ยงลูกในแบบที่ผิดๆและผลเสียที่ได้รับ ส่วนคนที่เป็นลูกก็ควรดูไว้แบบอย่างของคนที่มีความตั้งใจและพยายามที่จะทำสิ่งที่หวังไว้ให้สำเร็จ และไม่คิดที่จะท้อแท้กับชีวิตอย่างเดวิด

ไม่มีความคิดเห็น: