วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2551

shine โชคดีที่สวรรค์ไม่ลำเอียง

ตริยาภรณ์

ภาพยนตร์เรื่อง shine โชคดีที่สวรรค์ไม่ลำเอียงได้รับการสร้างขึ้นในปี 1996 เป็นภาพยนตร์ที่มีแรงบันดาลใจมาจากชีวิตจริงของนักดนตรีคนหนึ่งซึ่งป่วยเป็นโรคทางจิต ชื่อ เดวิด เฮลก๊อต ภายใต้ผลงานการกำกับของ Scott Hicksได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดส์ ประจำปี1997 สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมโดยเจฟฟรี่ รัช ผู้รับบทเป็นเดวิดตอนแก่และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม, ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม , ตัดต่อภาพยอดเยี่ยม, นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม , ผู้กำกับยอดเยี่ยม , และภาพยนตร์ยอดเยี่ยม รวม 6 รางวัลด้วยกัน ซึ่งรางวัลที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับ น่าจะแสดงถึงความมีคุณภาพของผลงานที่ควรค่าแก่การรับชม

ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอเรื่องราวของตัวละครเอกที่ชื่อ เดวิด เฮลก๊อต ซึ่งมีอาการป่วยทางจิตเนื่องมาจากการได้รับแรงกดดันของพ่อเขาซึ่งต้องการจะให้เดวิดได้รับชัยชนะในการแข่งขันรายการต่างๆ โดยทิ่มิได้คำนึงถึงจิตใจของเดวิดเลย ความกดดันของพ่อเขาได้หล่อหลอมและฝังอยู่ภายใต้จิตสำนึกของเขาจนกระทั่งเขาโตขึ้น ความกดดันนั้นก็มิได้ลดน้อยลงไป พ่อของเขายังคงต้องการแค่ชัยชนะ ความเครียด,ความกดดันและความคาดหวังจากพ่อของเขาส่งผลให้เขามีอาการป่วยทางจิตในที่สุด ซึ่งในภายหลัง เขาได้รับการบำบัดอาการเหล่านั้นด้วยความรักและความเอาใจใส่ของคู่ชีวิต อย่าง “ กิลเลียน” ซึ่งทำให้เขาเหมือนมีชีวิตที่ได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

ลักษณะการเล่าเรื่องจะเป็นการเล่าเรื่องย้อนไปในอดีตมีการลำดับภาพซึ่งโยงเรื่องในสมัยที่เดวิดยังเป็นเด็กสลับกับเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมีการเปิดเรื่องของชายวัยกลางคนท่ามกลางสายฝน เขากำลังบ่นพึมพำกับตัวเอง ซึ่งไม่สามารถจับใจความได้ เขาวิ่งอยู่กลางถนนและไปหยุดอยู่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งเปียโนหลังที่ตั้งตระหง่านอยู่ในร้านได้สะดุดตาและมีเสน่ห์บางอย่างมากพอที่จะหยุดให้เขายืนดูอยู่ได้เป็นเวลานาน นานพอที่จะให้พนักงานในร้านเดินมาเพื่อถามความต้องการของเขาหลังจากนั้นการดำเนินเรื่องก็ย้อนไปในสมัยตอนที่เขายังเป็นเด็กชายเดวิด ซึ่งปีเตอร์ผู้เป็นพ่อได้เคี่ยวเข็ญให้เดวิดเล่นเปียโนมาตั้งแต่เด็กๆ เขาไม่ได้มีชีวิตในวัยเด็กเช่นเพื่อนในวัยเดียวกัน เขาต้องถูกบังคับให้ฟังเพลง,ไม่ได้รับอนุญาตให้ไปเล่นกับเพื่อนๆและพ่อก็ยังพร่ำบอกเขาอยู่เสมอว่าเขาเป็นเด็กผู้ชายที่โชคดีแล้วที่ได้เล่นดนตรี และพ่อยังบอกเขาอีกว่าดนตรีจะเป็นมิตรกับเราเสมอ พ่อมักจะสอนให้เขาเล่นเปียโนเพลงยากๆ และเข้าร่วมการแข่งขันต่างๆ จนได้รับรางวัลมากมาย

การดำเนินเรื่องมาถึงในช่วงที่ถือว่าเป็นจุดเริ่มแห่งการพัฒนานั่นคือ ช่วงที่เดวิดได้รับทุนให้ไปศึกษาต่อที่สถาบันการดนตรีชื่อดังในประเทศสหรัฐอเมริกา แต่พ่อของเขาไม่อนุญาตด้วยเหตุผลเพราะไม่อยากให้ครอบครัวต้องถูกทำลาย เขาจึงต้องทำตามความต้องการของพ่อโดยไม่ไปเรียนต่อ เขาจึงต้องอยู่ที่บ้านของเขาต่อไป ด้วยความรู้สึกอึดอัด,ถูกกดดันและความเครียด ที่แสดงออกมาในชีวิตประจำวันของเขา เช่น การถ่ายในอ่างน้ำ จนวันหนึ่งเขาได้มีโอกาสไปเล่นเปียโนที่งานเลี้ยง ซึ่งได้รับคำชมจากผู้ที่มาในงาน และได้รู้จักกับนักเขียนท่านหนึ่งคือ แคทเธอรีน พลิชาร์ด เขาได้ไปเล่นดนตรีให้เธอฟังบ่อยๆจนกลายเป็นความผูกพัน ซึ่งเธอกลายเป็นกำลังใจที่สำคัญของเดวิดในช่วงที่เขาต้องประสบปัญหากับทางบ้านในยามนี้ ทำให้เดวิดมีความเข้มแข็งขึ้นมาก การดำเนินเรื่องได้ตัดมาที่การแข่งขันเปียโนอีกครั้ง ซึ่งผลการแข่งขันในครั้งนี้ปรากฏว่า เขาต้องพ่ายให้แก่โรเจอร์จนเป็นเหตุให้พ่อของโมโหมาก แต่เขาก็ยังคงมีกำลังใจที่ดีอย่างแคทเธอรีนทำให้เขาตัดสินใจไปเรียนต่อที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในตอนที่เขาได้รับทุนอีกครั้งหนึ่ง ในครั้งนี้เขาไม่ฟังคำคัดค้านของพ่อเขา ซึ่งเป็นเหตุให้เขาถูกพ่อตัดออกจากครอบครัว ก่อนที่เขาจะไป แคทเธอรีนได้ให้ถุงมือแก่เขาคู่หนึ่ง

การดำเนินเรื่องไปถึงจุดวิกฤต ตัดไปที่ประเทศอังกฤษในฉากที่เดวิดกำลังฝึกซ้อมดนตรีอย่างหนัก เขาตั้งจึกอย่างเต็มที่และเล่นเพลงที่ยากที่สุดเช่น เพลง แรคแมนินอฟ 3 เขาซ้อมหนักมากจน สายเปียโนขาด และเขายังต้องประสบภาวะความเครียดเนื่องมาจากผู้มีพระคุณอย่าง แคทเธอรีน ได้เสียชีวิตลง และพ่อของเขาก็ไม่เคยตอบจดหมายกลับมาเลยแม้แต่ฉบับเดียวในขณะที่การฝึกซ้อมก็ยังคงดำเนินไปจนเขาสามารถเล่นเพลงที่ยากที่สุด เช่น แรคแมนินอฟ 3 ได้ และเขาก็ได้เข้าร่วมการแข่งขันอีกครั้งพร้อมด้วยความมั่นใจจากการที่เขาฝึกซ้อมมาอย่างหนัก เขาทำผลงานบนเวทีการแข่งขันได้อย่างยอดเยี่ยมจนสามารถครองตำแหน่งชนะเลิศบนเวทีแห่งนั้นได้ แต่หลังจากเขาบรรเลงจบ การดำเนินเรื่องก็มาถึงจุกไคลแมกซ์ เขาก็เกิดอาการชักกระตุก มือเท้าเกร็ง และสิ้นสติอยู่บนเวทีแห่งนั้นเองซึ่ง

เหตุการณ์ในครั้งนี้ส่งผลให้เขาต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทางประสาทแห่งหนึ่ง ซึ่งหลังจากที่เขาออกจากโรงพยาบาลก็ได้ไปพักอาศัยอยู่กับเบริล อัลค็อต แต่ด้วยพฤติกรรมของเดวิด ทำให้เบริล ลำบากใจอย่างมากซึ่งทำให้เบริล อัลค็อตส่งตัวเดวิดไปอยู่ที่อพาร์ทเมนต์แห่งหนึ่ง ซึ่งเดวิดก็ได้เล่นเปียโนบ่อยมากจนทำให้เจ้าของ อพาร์ทเมนท์รำคาญ เขาจึงล็อคเปียโนเอาไว้ ซึ่งเป็นเหตุให้เดวิดออกตามหาเปียโน ซึ่งสถานที่เขาไปพบก็คือ ร้านอาหารที่เป็นฉากเปิดเรื่องนั่นเองซึ่งนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องหยุดเพื่อยืนมองเปียโนหลังนั้น ซึ่งเขาก็ได้เล่นเปียโนที่นั่นจนมีชื่อเสียงเขาได้พบกับพ่ออีกครั้ง และถึงแม้ว่าพ่อของเขาจะอนุญาตให้เขากลับเข้าไปอยู่ในบ้านได้อีกครั้ง แต่เขาก็พอใจในชีวิตที่เขาเป็นอยู่จึงไม่ได้กลับไป และเขาก็ได้เดินจากไป และต่อมาเขาได้ไปพบกับ กิลเลียน ซึ่งเป็นนักดูดวง กิลเลี่ยนนั้นเปรียบเสมือนแสงสว่างที่เข้ามาในชีวิตของเดวิดเลยทีเดียว เพราะว่าเธอเป็นกำลังใจที่ดีเยี่ยมที่สุด ที่เข้าใจเดวิดในทุกๆเรื่อง เธอมองเห็นถึงมุมที่น่ารักของเดวิด ทั้งเรื่องอารมณ์ขัน และมุขตลกของเขาซึ่งก่อเกิดความประทับใจในตัวของเดวิด และได้พัฒนากลายเป็นความรัก จนในที่สุดทั้งกิลเลี่ยน และเดวิดก็ได้แต่งงานกัน อีกทั้งในภายหลัง เขาได้รับการยอมรับจากแม่ และน้องสาวของเขา ด้วยความรัก , ความเอาใจใส่ , และความเข้าใจจากกิลเลี่ยนและครอบครัวของเขานั่นเอง ก็ทำให้เขากลับมาเล่นเปียโนได้อีกครั้ง ซึ่งเป็นที่ประทับใจของคนดูมาก จากการขึ้นแสดงเปียโน ครั้งที่เขาประสบความสำเร็จ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าพ่อของเขาไม่มีโอกาสได้ชื่นชมกับความสำเร็จของเขา

ในการปิดฉาก เดวิด และกิลเลี่ยนไปเคารพศพพ่อของเขา และการดำเนินเรื่องก็จบลงที่สุสานแห่งนั้นเอง

ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในเรื่องที่เห็นได้ชัดเจนมากที่สุดนั่นก็คือ ความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ซึ่งก็คือ พ่อ(ปีเตอร์) และตัวเดวิดเอง นั่นก็เพราะว่าในช่วงที่เดวิดต้องการจะไปเรียนดนตรีที่ต่างประเทศแต่พ่อของเขาก็ไม่เคยอนุญาต ด้วยเหตุผลที่ไม่อยากให้ครอบครัวต้องแตกแยก ซึ่งนี่ก็เป็นที่มาของจุดสงสัยในข้างต้นที่ว่า ทำไมพ่อของเดวิดจึงเข้ามามีบทบาทในการตัดสินใจแทนเดวิดในทุกเรื่อง แม้กระทั่งเรื่องส่วนตัวของเขา โดยไม่รับฟังความคิดเห็นของเดวิดเลย ทั้งยังมีการใช้อารมณ์ และวาจาที่รุนแรงกับเขาอีกด้วย และพ่อพยายามที่จะแสดงให้เห็นว่าพ่อให้ความอบอุ่นกับเขาได้ตลอดเวลา เช่นคำพูด ที่ว่า “ พ่อจะอยู่ข้างเขาตลอดไป ” คำพูดที่ว่า “เขาโชคดีมากแล้วที่ได้มีโอกาสเล่นดนตรี” หรือคำพูดที่ว่า “ดนตรีจะเป็นมิตรกับเราเสมอ” ซึ่งคำพูดเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่าพ่อของเขามีความกดดันเกี่ยวกับดนตรี อันเนื่องมาจากในวัยเด็กของพ่อ (ปีเตอร์)ถูกพ่อห้ามไม่ให้เล่นไวโอลิน เขามีความกดดันมากที่ต้องถูกห้ามไม่ให้ทำในสิ่งที่เขารัก ดังนั้นเขาจึงนำความกดดันทั้งหลายที่เขาต้องเจอมาในวัยเด็กนั้นมาระบายกับเดวิด หรือแม้แต่การที่เขาไม่มีครอบครัวที่อบอุ่นในวัยเด็ก เขาจึงกลัวที่เดวิดจะต้องเจอกับความพลัดพรากอย่างที่เขาเคยเจอมานั่นเอง

สัญลักษณ์ที่ปรากฏในเรื่องจะมีอยู่ในหลายตอน เช่น การแสดงภาพของก๊อกน้ำที่ปิดไม่สนิท นั้นก็เพราะว่าในช่วงที่เขาถูกกดดันอย่างหนัก ก็เปรียบได้กับภาพที่พ่อของเขาพยายามที่จะกดดันแต่ถึงแม้ว่าจะพยายามไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดแต่ก็ยังมีช่องว่างที่ก่อให้เกิดความผิดพลาดเช่นการที่เขาแพ้การแข่งขันเปียโนในครั้งแรกเช่นเดียวกับก๊อกน้ำที่มีน้ำรั่วออกมาถึงแม้ว่าจะปิดไว้แน่นแล้วก็ตามที ความกดดันและความเครียดของเดวิดนั้นยังแสดงออกถึงความอดกลั้นอย่างสูงสุด จนเขาไม่สามารถที่จะทนได้ต่อไป การที่เขาถ่ายลงในอ่างอาบน้ำเป็นการแสดงออกว่าเขาปลดปล่อยออกมาในสภาวะที่ไม่ปรกติแล้ว แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าในตอนท้ายของเรื่องก็ยังคงใช้น้ำเป็นสัญลักษณ์ที่จะสื่อออกมาอีกครั้ง เมื่อเขาได้พบกับทางออกของปัญหา คือการไม่ต้องถูกกดดันให้ทำในสิ่งที่เขาต้องฝืนใจอีก จะใช้ภาพของน้ำที่ล้นเอ่อออกมานอกอ่างอาบน้ำ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการที่เขาได้ปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างออกมาโดยที่เขาไม่ต้องทนแบกความอึดอัด,ความอัดอั้นอีดต่อไป ความสุขจากการที่ได้รับการปลดปล่อยนั้นมากเกินกว่าปรกติ มากจนเทียบได้กับน้ำที่เอ่อล้นออกมาจนท่วมห้องน้ำ นี่ได้แสดงให้เห็นอีกว่าความทุกข์ที่เขาได้ทนแบกไว้นั้นมากมายเพียงใด

นอกจากนี้ยังมีสัญลักษณ์ที่พ่อของเดวิดแสดงออกมา เช่นการที่แว่นตาของเขาแตกแล้วไม่ยอมเปลี่ยนใหม่ แต่กลับเอาเทปใสมาซ่อมแซม หรือแม้แต่เบาะนั่งที่ขาดแล้ว เขาก็ยังคงทำเพียงแค่เอาผ้าห่มมาคลุมไว้เท่านั้น ทั้งๆที่ของทั้งสองสิ่งหากจะซื้อมาเปลี่ยนใหม่ก็คงจะดีกว่า การที่พ่อของเดวิดทำเช่นนั้นแสดงให้เห็นถึงการยึดติดกับอุดมการณ์เก่า ไม่มีความคิดที่จะปรับเปลี่ยนทัศนคติ จนกระทั่งถึงวาระสุดท้านของชีวิต ซึ่งเขาก็ได้ตายไปไปพร้อมกับอุดมการณ์ที่เขายึดติดมาตลอดชีวิตนั่นเอง

กล่าวถึงตัวละครเอกในเรื่อง คือเดวิด เป็นนักเปียโนจะมีสภาพทางจิตที่ค่อนข้างผิดปรกติจากการถูกกดดันจากพ่อตลอดช่วงชีวิตของเขา เป็นเด็กที่ค่อนข้างเก็บตัวเงียบ ไม่ค่อยมีเพื่อน ความเก็บกดของเขาจะแสดงออกมาทางสีหน้า ท่าทาง และความรู้สึกของเขาอยู่ตลอดเวลา ช่วงที่เขาถูกกดดันนั้นเป็นช่วงที่เขาไม่มีความสุขเลยทุกอย่างในชีวิตดูเศร้าหมอง จนทำให้คนดูรู้สึกถึงความรู้สึกสงสารนั้นไปด้วย จนในช่วงปลายที่ชีวิตของเขาได้รับการฟื้นฟูสภาพจิตใจจากบุคคลรอบข้างทำให้เขามีจิตใจที่แจ่มใสเบิกบานเหมือนเดิม ถือเป็นตัวละครเอกที่มีความสำคัญมากเพราะว่าเป็นตัวเดินเรื่อง และเป็นตัวละครที่เชื่อมโยงไปยังชื่อเรื่องด้วย ตัวละครที่มีความสำคัญอีกตัวก็คือ ปีเตอร์ ซึ่งเป็นพ่อของเดวิด ถือว่าเป็นตัวละครที่มีอิทธิพลต่อเดวิดโดยตรงเพราะเป็นผู้ที่กดดันเดวิดมาตั้งแต่เด็กๆซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องเป็นโรคมีความผิดปรกติทางประสาทพ่อจะเป็นแรงผลักดันให้เดวิดรักการเล่นดนตรีมาตั้งแต่เด็กโดยปลูกฝังความคิดที่ดีให้เขา ซึ่งยังผลให้เขาประสบความสำเร็จเป็นนักเปียโนที่มีชื่อเสียงในบั้นปลายของชีวิต ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีโอกาสได้ดูลูกชายของเขาประสบความสำเร็จในชีวิตก็ตามทางตัวละครฝ่ายหญิงซึ่งมีความสำคัญไม่น้อยกว่าตัวอื่น นั่นก็คือ กิลเลี่ยน คู่ชีวิตของเดวิดนั่นเอง เธอมีความสำคัญมากเพราะเป็นแรงบันดาลใจ และถือว่าเป็นกำลังใจที่สำคัญที่สุดของตัวละครเอก ซึ่งเป็นเหตูของชื่อเรื่อง เพราะเธอทำให้ชีวิตของเดวิดเหมือนได้พบกับแสงสว่างอีกครั้งได้

ฉากและเสียงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นอีกหนึ่งส่วนประกอบที่ทำให้ตัวเรื่องมีความน่าสนใจขึ้น แต่โทนสี และดนตรีประกอบ มักจะให้โทนเสียงและโทนสีที่เศร้า เพราะให้เข้ากับเรื่องที่มีเนื้อหาค่อนข้างที่จะเครียด โครงเรื่องมีเนื้อเรื่องที่เป็นการจำลองชีวิตจริง ของบุคคลที่ต้องประสบกับปัญหาในชีวิต ซึ่งผู้ชมจะได้รับอรรถรสในการชมภาพยนตร์เองนี้ผ่านทางโทนเสียงและโทนสีซึ่งอาจจะเรียกน้ำตาได้เลยทีเดียวด้วยอารมณ์ที่สงสารตัวละครเอกเป็นอารมณ์ที่คล้อยตามเนื้อเรื่อง โทนสีจะใช้เป็นสีทึบ แสดงให้เห็นความเครียด ,ความกดดันอย่างหนัก มักจะใช้สถานที่ที่แคบๆเช่น ห้องน้ำ,อ่างอาบน้ำ,ห้องซ้อมดนตรี ทำให้ได้ความรู้สึกเหมือนเราถูกจำกัดกรอบเอาไว้ด้วย แต่ในตอนหลังก็ให้ความรู้สึกที่ผ่อนคลายและมีการใช้โทนสีที่หลากหลายและใช้สถานที่ที่กว้างขวางขึ้น เช่นบริเวณบ้าน เป็นต้น แสดงการใช้ชีวิตที่อิสระของเขา

ในส่วนของการตั้งชื่อเรื่อง นั้นแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวละครที่ชีวิตในช่วงแรกถูกจำกัดกรอบเอาไว้ถูกกดดันจนไม่เหลือความเป็นตัวเองจนเขาอาจจะมีความคิดที่ไม่อยากจะอยู่กับบุคคลรอบข้าง ไม่อยากอยู่ในบ้านของตัวเอง แต่ในภายหลัง จากความรักของกิลเลี่ยน คนรักของเขา อีกทั้ง แม่และน้องสาวเขา จึงทำให้เขากลับมาทำในสิ่งที่เขารักด้วยความรู้สึกที่ไม่ต้องถูกบังคับ ความรู้สึกของเขาจึงเริ่มผ่อนคลายขึ้น เขามีชีวิตครอบครัวที่มีความสุข และประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพของเขา ซึ่งเปรียบเสมือนเขาได้ชีวิตใหม่ เช่นเดียวกับดวงอาทิตย์ที่สาดส่องแสงในเช้าวันใหม่ ซึ่งจะช่วยปลุกให้สิ่งชีวิตได้มีการเริ่มต้นที่ดีใหม่อีกครั้ง ตรงกับคำในภาษาอังกฤษ ว่า shine

สำหรับข้อคิดที่ได้รับจากการชมภาพยนตร์เรื่องนี้คือ เราจะพบว่า การที่ต้องทำงานหรือกิจกรรมที่ไม่ได้เกิดจากการความเต็มใจนั้นจะส่งผลให้งานที่ออกมานั้นไม่เกิดประสิทธิภาพเท่าที่ควร และยังเป็นข้อเตือนใจที่ดีสำหรับการเลี้ยงลูกว่าไม่ควรจะบังคับลูกมากเกินไปซึ่งอาจจะส่งผลเสียต่อลูก ควรจะเลี้ยงดูด้วยความเอาใจใส่ และควรจะเคารพสิทธิในการตัดสินใจของลูกบ้าง ไม่ควรจะยัดเยียดในทุกสิ่งที่พ่อ แม่อยากให้เป็น เพราะในบางครั้ง สิ่งที่พ่อ แม่เลือกให้ กับสิ่งที่ลูกเลือกเองนั้น ไม่เหมือนกัน และการที่คนเราได้ทำในสิ่งที่รัก ก้จะทำให้เรามีความสุข ซึ่งจะส่งผลดีทั้งทางร่างกายและทางจิตใจด้วย การที่ได้ใช้ชีวิตในสิ่งที่เลือกเองทำให้เราได้เรียนรู้ในสิ่งที่เป็นข้อผิดพลาดของเราเอง และจะได้รู้วิธีการแก้ปัญหา ซึ่งพ่อ แม่ อาจจะเป็นได้แค่ผู้ที่คำปรึกษาที่ดี หรือเป็นแค่ผู้เฝ้ามองเพียงห่างๆเท่านั้น

ไม่มีความคิดเห็น: