วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2551

SHINE

เฟื่องฟ้า

ในมุมมองของคนทั่วไปที่มีต่อผู้ป่วยจิตเวชนั้น มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกับผู้ป่วยกลุ่มนี้ จากสื่อต่างๆที่นำเสนอข่าวในแง่ลบและผู้สร้างภาพยนตร์หลายๆเรื่องก็ยังมีการนำเสนอภาพของผู้ป่วยจิตเวชที่เป็นฆาตกรโรคจิต จึงยิ่งเป็นการตอกย้ำความรู้สึกของผู้คนให้หวาดกลัวและคิดว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นบุคคลอันตรายไม่น่าเข้าใกล้ แต่มีภาพยนตร์อีกไม่น้อยที่เสนอมุมมองในด้านดีของผู้ป่วยเหล่านี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเรื่อง shine

ภาพยนตร์เรื่อง shine ในปี1996 เป็นผลงานของScott Hicks ผู้กำกับชาวออสเตรเลีย ดัดแปลงจากชีวิตจริงของเดวิด เฮฟกอท อัจฉริยะทางเปียโนชาวออสเตรเลียที่ป่วยเป็นโรคจิตเวช ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดส์ ประจำปี1997 สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมโดยเจฟฟรี่ รัช ผู้รับบทเป็นเดวิดในวัยกลางคน

เป็นเรื่องราวของเดวิด เฮฟกอท เกิดในครอบครัวของชาวยิว เขาถูกพ่อเคี่ยวเข็ญอย่างหนักเรื่องการฝึกเล่นเปียโน เดวิดผ่านการประกวดหลายครั้ง และสามารถเอาชนะมาได้ จนกระทั่งได้รับการเชิญไปศึกษาต่อยังสถาบันสอนวิชาดนตรีชื่อดัง ณ ประเทศอเมริกา แต่พ่อของเดวิดไม่ยอม จึงทำให้เดวิดยังคงต้องใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ต่อไป ในช่วงนั้นเดวิดได้พบกับนักเขียนชื่อดังผู้ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้เขาเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวขึ้น เมื่อเขาได้รับจดหมายเชิญให้ไปเรียนดนตรีที่ลอนดอน เขาจึงไม่ลังเลที่จะไปโดยไม่สนใจคำคัดค้านของพ่อเป็นเหตุให้พ่อของเขาประกาศตัดพ่อตัดลูก เดวิดได้รับการฝึกสอนจากอาจารย์ชื่อดังที่ลอนดอน ซึ่งทำให้เขาสามารถบรรเลงบทเพลงที่ได้ชื่อว่ายากที่สุด “เปียโน คอนเชอร์โต ราช หมายเลข 3 ของ รัคมานินอฟ” เมื่อแสดงจบเขาล้มลงหมดสติ และรักษาตัวเป็นเวลานาน โดยแพทย์ได้กำชับห้ามเล่นเปียโนโดยเด็ดขาด เพราะจะทำ ให้อาการกำเริบได้

หลังจากที่เขาออกจากโรงพยาบาลก็ได้ไปพักอาศัยอยู่กับหญิงคนหนึ่ง แต่เธอทนพฤติกรรมของเขาไม่ได้ จึงส่งเดวิดไปอยู่ที่อพาร์ทเมนท์แห่งหนึ่ง เขาเล่นเปียโนบ่อยเกินไป ทำให้เจ้าของอพาร์ทเมนท์ล็อคเปียโนไว้ เขาจึงออกตามหาเปียโนเพื่อที่จะเล่น จนไปพบเปียโนที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ครั้งแรกๆ ที่เขาไปขอเล่นไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ก็ต้องประหลาดใจในความสามารถของเขา และที่นั่นเขากลับมามีชื่อเสียงอีกครั้ง เขาได้พบกับพ่อครั้งหนึ่ง แต่บาดแผลระหว่างเขากับพ่อนั้นยากเกินที่จะเยียวยาแล้ว ไม่นานนักเขาได้พบกับนักพยากรณ์สาวจากซิทนีย์ ทั้งคู่เกิดความประทับใจในกันและกัน จึงแปรเปลี่ยนกลายเป็นความรัก ในที่สุดก็ได้แต่งงานกัน ด้วยความรักและความเข้าใจ จากภรรยาและครอบครัว ทำให้เดวิดสามารถหวนกลับมาเล่นเปียโน และสามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้ฟังได้อีกครั้ง โดยมีแม่และน้องสาวของเขามาให้กำลังใจด้วย แต่พ่อของเขาจากไปเสียก่อนที่จะได้เห็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของเขา ในตอนจบเขากับภรรยาไปที่หลุมศพพ่ออย่างไม่มีคำตอบว่า ที่ผ่านมาเป็นความผิดของใครที่เขาบ้าและพ่อตาย

การเปิดเรื่อง ชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง ซึ่งมีลักษณะท่าทางแปลกๆ พูดกับตัวเองคนเดียว เนื้อหาการพูดนั้นจับใจความไม่ได้ กำลังวิ่งอยู่กลางถนนและไปหยุดยืนอยู่ที่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง

จุดสงสัย ชายวัยกลางคนที่มีลักษณะแปลกๆหยุดยืนอยู่ที่หน้าร้านอาหาร สายตาจ้องมองไปที่เปียโน

เหตุการณ์เริ่มพัฒนา เมื่อพ่อของเดวิดยอมให้เดวิดมีครูสอนเปียโน ทำให้เขาเริ่มพัฒนาความสามารถทางดนตรีอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จนได้รับรางวัลต่างๆมากมาย

ความขัดแย้ง เป็นความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ คือ เดวิดกับพ่อของเขา การที่เดวิดได้รับเชิญครั้งแรกให้ไปเรียนยังสถานศึกษาด้านดนตรีที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศ เขาดีใจที่ได้รับโอกาสนั้นและตั้งตารอคอยวันที่จะได้ไป แต่พ่อของเขาไม่อนุญาตให้ไป เมื่อได้รับเชิญอีกเป็นครั้งที่สองเขาจึงไม่ยอมให้พ่อมาขัดขวางการตัดสินใจ จึงเกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างเดวิดกับพ่อ

การพัฒนาความขัดแย้งไปจนถึงจุดวิกฤติ เมื่อเดวิดได้รับจดหมายแจ้งว่าเขาได้รับทุนไปเรียนต่อด้านดนตรีที่ลอนดอน เขาไปปรึกษากับแคทเธอรีน ซึ่งเธอทำให้เขาเกิดความเชื่อมั่นและตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะขอเลือกเส้นทางชีวิตของตนเอง หลังจากที่เคยถูกพ่อขัดขวางไม่ให้ไปเรียนที่อเมริกาเมื่อครั้งแรก

จุดไคลแม็กซ์ เมื่อเดวิดบอกพ่อว่าตนได้รับทุนไปเรียนต่อด้านดนตรีที่ลอนดอน แต่พ่อของเขาไม่อนุญาต พร้อมกับประกาศว่าหากเขาเดินออกจากบ้านไป จะตัดความเป็นพ่อลูกกันและไม่ให้เขากลับมาที่บ้านหลังนี้อีก ซึ่งเดวิดพูดแค่ว่า “ผมเสียใจ”แล้วก็เดินออกจากบ้านไป

การปิดเรื่อง เดวิดและภรรยามาที่หลุมฝังศพของพ่อของเขา และพูดคุยกันว่าเป็นความผิดของใครที่พ่อเขาตายกับเขาเป็นบ้า ซึ่งก็ไม่สามารถหาคำตอบได้

เมื่อพิจารณาโดยภาพรวมแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้เน้นที่ตัวละคร คือ เดวิด เฮฟกอตเป็นตัวละครหลักในการดำเนินเรื่อง มีบทบาทเป็นผู้ถูกกระทำ เขาถูกพ่อเคี่ยวเข็ญอย่างหนักในการฝึกซ้อมเปียโน เดวิดมีชีวิตวัยเด็กและวัยรุ่นอยู่ภายใต้ความมีกดดันที่ดูเหมือนค่อยๆ สะสม เขาอยู่ระหว่างความฝันอันยิ่งใหญ่ที่พ่อตั้งไว้ให้เขาประสบความสำเร็จ กับโอกาสอันน้อยนิดที่พ่อปิดไว้ไม่ให้เขาไปถึง

ภาพยนตร์เรื่องนี้ผู้เขียนต้องการนำเสนอการเลี้ยงดูบุตรในแบบที่ผิด การที่พ่อของเดวิดเข้ามาจัดการกับชีวิตของเดวิดทุกอย่างมากเกินไป ส่งผลให้ตัวเดวิดเองเกิดความสับสน ไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูก หรือสิ่งที่ผิดเพราะพ่อจัดการให้แบบเบ็ดเสร็จ และทำให้ขาดความเชื่อมั่นในตัวเองไปด้วย สะสมความกดดันจากผู้เป็นพ่อมาเรื่อยๆ จนในที่สุดก็มาระเบิดในการเล่นราช 3 อันเป็นสุดยอดของการเล่นเปียโน ทำให้เขาเสียสติและกลายเป็นคนป่วยจิตเวชในที่สุด การเลี้ยงดูของครอบครัวมีผลอย่างมากต่อความคิดและพฤติกรรมของเด็กในอนาคต มีพ่อแม่จำนวนมากทำลายศักยภาพของลูกเพราะการเลี้ยงดูที่ผิดๆ เอาความคิดความต้องการของตัวเองใส่เข้าไปในตัวลูก ไปกดดัน บังคับให้เป็นในสิ่งที่ตนเองเคยอยากเป็นแต่เป็นไม่ได้ ทำให้เด็กเกิดความกดดัน ส่งผลให้เกิดอาการผิดปรกติทางจิตขึ้นดังเช่นชีวิตของเดวิด ซึ่งในท้ายสุดแล้วเขาไม่สามารถตอบคำถามได้เลยว่าใครเป็นคนผิด

ไม่มีความคิดเห็น: