วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Shine โชคดีที่สวรรค์ไม่ลำเอียง

ลักษมณ

Shine เป็นการนำเรื่องราวชีวิตจริงของนักเปียโนผู้มีชื่อเสียงชาวออสเตรเลีย “เดวิด เฮลพ์ก็อทท์” มาถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์อันทรงคุณค่า โดยการเขียนบทของ Jan Sardi และนำมากำกับโดย Scott Hicks ซึ่งเป็นทั้งนักเขียนบทชั้นยอดและผ็กำกับฝีมือดี รวมทั้งฝีมือการแสดงอันสมบทบาทของนักแสดงนำ ซึ่งได้รับการันตีโดยรางวัลอคาเดมีอวอร์ด ประจำปี 1997 สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ซึ่งรับบทโดย เจฟฟรี รัช ยิ่งส่งผลให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น

Shine เริ่มต้นเรื่องโดยการกล่าวถึงเดวิดในวัยกลางคนวิ่งผ่าสายฝนไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง และจ้องมองเข้าไปในร้านซึ่งมีเปียโนตั้งอยู่อย่างสนอกสนใจ ต่อจากนั้นก็ใช้กลยุทธการเล่าเรื่องแบบย้อนกลับไปกลับมาระหว่างวัยเด็กกับปัจจุบัน โดยเล่าย้อนไปในวัยเด็กก่อนว่าเดวิดเป็นเด็กที่ถูกพ่อบังคับให้เล่นเปียโน และพ่อของเขาก็คาดหวังจากตัวเขามากว่าเขาจะสามารถเล่นเพลงยากๆได้ แม้เดวิดจะชนะการแข่งขันมามากเท่าไร แต่พ่อก็ไม่เคยพอใจในชัยชนะของเดวิดเลย

เมื่อโตขึ้นเดวิดเข้าแข่งขันเปียโนอีกครั้งและได้รับชัยชนะ พร้อมกับถูกยกย่องให้เป็นแชมป์นักเปียโนที่มีอายุน้อยที่สุด พร้อมกับได้รับรางวัลจากการแข่งขันเป็นการไปเรียนต่อที่สถาบันทางดนตรีชื่อดังในสหรัฐอเมริกา แต่พ่อของเขากลับไปยอมให้ไป เพราะกลัวว่าครอบครัวจะเกิดความแตกแยกถ้าขาดสมาชิกคนใดคนหนึ่งของครอบครัวไป ทำให้เดวิดเสียใจและเสียดายโอกาสในครั้งนี้มาก

ต่อมาไม่นานนัก เขาก็ได้รับโอกาสอันแสนวิเศษอีกครั้ง โดยการได้รับทุนเรียนต่อจากโรงเรียนดนตรีในลอนดอน และด้วยการสนับสนุนจากแคทเธอรีน พลิชาร์ด นักเขียนชื่อดังที่มีความสนิทสนมกับเดวิด และเหมือนเป็นที่พึ่งทางใจให้กับเขา ทำให้เขาตัดสินใจไปลอนดอนโดยไม่สนใจคำคัดค้านของพ่อ ทำให้พ่อโกรธเขามาก และไม่ยอมติดต่อกับเขาอีกเลย

ที่โรงเรียนนั้นเขาได้รับการผลักดันทางด้านดนตรีจากอาจารย์ซีซิล และในการแข่งขันเปียโนของโรงเรียน เขาเลือกเพลงแร็คแมนินอฟ หมายเลข 3 ในการประกวด ซึ่งถือว่าเป็นเพลงที่ยากมาก แต่เขาก็มีเหตุผลในการเลือกเพลงนึ้คือ พ่อของเขาเคยคาดหวังให้เขาเล่นเพลงนี้ให้ได้มาตั้งแต่สมัยเด็กๆ เขาจึงต้องการพิสูจน์ให้พ่อเห็นว่าเขาสามารถทำตามที่พ่อหวังได้จริงๆ เขาจึงฝึกซ้อมอย่างหนัก จนในที่สุดเขาก็ได้รับชัยชนะ แต่หลังจากที่เล่นจบเขาก็ล้มลงหมดสติอยู่กลางเวที

ด้วยความเครียดและความกดดันต่างๆที่เขาได้รับมาตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบันส่งผลให้เขากลายเป็นคนที่มีปัญหาทางจิต มีพฤติกรรมแปลกๆ พูดจาติดขัดจนต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล แต่ความสามารถอย่างหนึ่งที่ไม่เคยเลือนหายไปจากตัวเขาเลยก็คือการเล่นเปียโน แต่หมอก็สั่งห้ามไม่ให้เขาเล่นเปียโนอีก เพราะกลัวว่าจะส่งผลต่อสภาวะจิตใจของเขาได้ และชีวิตอาจจะกลับไปพลาดพลั้งเหมือนในอดีตอีก

ต่อมาไม่นานนักเขาก็ได้รู้จักกับบอริลที่เข้ามาเล่นเปียโนบำบัดให้ผู้ป่วยฟัง และเธอก็ได้รับเดวิดออกมาจากโรงพยาบาลเพื่อนำไปดูแล แต่ท้ายที่สุดเธอก็ไม่สามารถทนกับพฤติกรรมซึ่งไร้ระเบียบของเดวิดได้ จึงส่งเขาไปอยู่ในอพาร์ตเมนท์แห่งหนึ่งตามลำพัง และเขาก็ถูกเจ้าของอพาร์ตเมนท์นั้นสั่งห้ามไม่ให้เล่นเปียโน เพราะส่งสียงดังรำคาญรบกวนผู้อื่น

ในขณะที่ชีวิตของเดวิดเริ่มหดหู่เพราะไม่ได้เล่นเปียโน เขาก็ไปพบร้านอาหารแห่งหนึ่งเข้า และในร้านอาหารนั้นก็มีเปียโนตั้งอยู่ ความสุขของเขาจึงกลับมาอีกครั้งเมื่อเขาได้ไปเล่นเปียโนที่ร้านนั้นทุกวัน และยังได้เจอกับซิลเวียเพื่อนในสมัยเด็กที่รับเขาไปอยู่ด้วย ในช่วงนั้นเองที่เขาเริ่มกลับมามีชื่อเสียงอีกครั้ง และพ่อก็ได้ติดตามข่าวของเขาในหนังสือพิมพ์อยู่เป็นประจำ และเริ่มยอมรับในความสามารถของเขา จึงได้เดินทางมาหาเดวิดที่ลอนดอน พร้อมกับมอบเหรียญรางวัลจากการชนะการแข่งขันซึ่งทำให้เขามีปัญหาทางจิตคืนให้กับเดวิดเป็นการแสดงการยอมรับ

ชีวิตของเดวิดเริ่มผลิกผันอีกครั้ง เมื่อเขาได้พบรักกับกิลเลียนนักดุดวงเพื่อนของซิลเวีย เขาทั้งคู่ได้แต่งงานกัน และด้วยความรักและกำลังใจจากกิลเลียน ทำให้เขาสามารถกลับมาเปิดการแสดงเดี่ยวเปียโนของตนเองได้อีกครั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในชีวิตของเขา แต่น่าเสียดายที่ในตอนนั้นพ่อของเขาได้เสียชีวิตไปแล้ว

บทบาทของตัวละครเรื่องนี้ก็มีความสำคัญไม่แพ้เนื้อเรื่อง โดยเฉพาะบทบาทของพ่อซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้บทบาทของเดวิด เพราะพ่อเป็นคนที่นำความกดดันต่างๆมาสู่ชีวิตของเขาตั้งแต่เด็กด้วยการบังคับให้เล่นเปียโน จนเดวิดสูญเสียช่วงชีวิตวัยเด็กที่เขาควรจะได้รับไป ในความเป็นจริงแล้วพ่อของเดวิดนั้นเป็นคนที่รักครอบครัวมาก แต่ความรักของเขาเป็นความรักแบบไม่มีเหตุผล และยังเป็นคนปิดกั้นคนอื่นๆที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับคนในครอบครัวของเขา ไม่ว่าจะเป็น
โรเซ่น ครูสอนเปียโนคนแรกของเดวิด หรือเพื่อนชายของลูกสาวคนโต เพราะเขากลัวว่าบุคคลเหล่านี้จะเข้ามามีส่วนทำให้ครอบครัวของเขาแตกแยก และเขาก็เป็นคนที่ค่อนข้างจะหัวโบราณ ไม่ยอมเปลี่ยนแนวคิดที่ยึดถืออยู่ง่ายๆ เพราะเขาคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำลงไปนั้นถูกต้องแล้ว และทุกคนในครอบครัวก็ควรจะเชื่อและยึดถือในแนวทางของเขา

ในภาพยนตร์ยังได้สอดแทรกสัญลักษณ์เอาไว้หลายอย่าง เริ่มตั้งแต่ตอนเริ่มเรื่องที่ปรากฏภาพหน้าของตัวละครอยู่บนพื้นสีดำ เป็นการบ่งบอกถึงชีวิตที่มืดมนของตัวละครตัวนั้น หรือไม่ว่าจะเป็นฉากที่พ่อพาเดวิดเดินทางกลับบ้านหลังจากการแข่งขันเปียโน เมื่อเดวิดเดินผ่านสนามเด็กเล่น เขาได้แสดงกริยาท่าทางแบบเด็กๆออกมาโดยการเดินเขย่งก้าวกระโดด เป็นการแสดงให้เห็นถึงจิตใต้สำนึกของเขาที่มีความเป็นเด็กแฝงอยู่ แต่เขากลับไม่เคยได้แสดงมันออกมาเลย เพราะฉะนั้นตอนที่เขามีอาการป่วยทางจิต จะสังเกตได้ว่าเขาจะแสดงอาการเหมือนกับเด็กออกมาอยู่บ่อยครั้ง เหมือนกับเป็นการทดแทนสิ่งที่เขาไม่ได้รับในช่วงวัยเยาว์

นอกจากนั้นยังมีฉากที่แว่นตาของพ่อแตก แต่เขากลับใช้สก็อตเทปใสติดมันเอาไว้แทนที่จะเปลี่ยนแว่นใหม่ แสดงให้เห็นถึงลักษณะนิสัยและทัศนคติส่วนตัวของเขา ซึ่งเป็นคนหัวโบราณและยึดติดกับแนวคิดเดิมๆของตัวเขาเอง และฉากที่เดวิดนั่งอาบน้ำอยู่ในอ่าง และมีภาพก็อกน้ำที่ปิดไม่สนิทปรากฏขึ้น เป็นการแสดงให้เห็นถึงอาการป่วยของเขาที่เริ่มแสดงออกมาคือเขาไม่สามารถกลั้นอุจจาระได้จนต้องถ่ายลงในอ่างอาบน้ำจนถูกพ่อลงโทษ และยังสื่อให้เห็นถึงความกดดันที่มีอยู่ตลอดเวลาด้วย หรือแม้แต่ฉากในโรงพยาบาลที่เดวิดยืนอยู่ข้างหน้าต่างบานใหญ่และเหม่อมองออกไปข้างนอก แสดงให้เห็นถึงชีวิตของเขาที่อยู่แต่ในกรอบตลอดเวลา แม้จะตัดสินใจออกมาจากบ้านเพื่อเรียนต่อโดยไม่มีความกดดันจากพ่อแล้ว แต่เมื่อเขามีอาหารป่วยเขาก็ถูกหมอสั่งห้ามไม่ให้เล่นเปียโนอีก

ภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องการจะนำเสนอแง่มุมเกี่ยวกับความรักและความผูกพันระหว่างบุคคลให้เห็นว่าการที่ให้ความรักมากเกินไปจนกลายเป็นความรักที่ไม่มีเหตุผล ดังเช่นความรักของพ่อที่มีต่อเดวิด ทำให้เกิดอานุภาพของความรักในแง่ลบ คือมีแต่การทำลายล้าง สร้างความกดดัน จนคนทั้งคู่ขาดความสุขไป ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วความรักควรจะเป็นสิ่งที่สวยงาม เหมือนกับชื่อเรื่อง Shine ที่แปลว่าส่องแสง ซึ่งสื่อถึงความรักที่ส่งผลที่ดีมายังผู้ที่มีความรัก และนำแสงสว่างเข้ามาสู่ชีวิต ย่อมทำให้ชีวิตมีความหวังและความสุข เหมือนกับความรักของกิลเลียนที่มีต่อเดวิดที่ได้นำความมืดมนออกไปจากชีวิตของเขา

กล่าวโดยสรุปแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้มีความน่าสนใจในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่อง และบทบาทของตัวละคร ซึ่งได้ให้แง่คิดกับผู้ชมที่กำลังประสบกับปัญหาและอุปสรรคต่างๆในชีวิตให้มีความหวังอีกครั้ง เพราะในชีวิตของคนเราย่อมมีปัญหาทุกคน แต่สักวันหนึ่งปัญหาเหล่านั้นก็จะผ่านพ้นไปและความสดใสก็จะเข้ามาแทนที่ และยังให้แง่คิดกับผู้ที่มีความรัก ให้ลองกลับมาทบทวนความรักของตนเองว่าเป็นความรักที่มีเหตุผลและเหมาะสมแล้วหรือไม่ เพราะถ้าเป็นความรักที่สร้างแต่ความไม่สบายใจให้กับตนเองและคนรอบข้างก็จะกลายเป็นความในรูปแบบของการทำลายล้าง ดังเช่นความรักของพ่อที่มีต่อเดวิดนั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น: