วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Shine โชคดีที่สวรรค์ไม่ลำเอียง

บายศรี

Shine โชคดีที่สวรรค์ไม่ลำเอียงจากฝีมือการกำกับของสก็อต ฮิกค์ (Scott Hicks) ผู้กำกับชาวออสเตรเลียนและเขียนบทโดยแจน ซาร์ดี (Jan Sardi) นำเสนอผลงานที่อ้างอิงจากชีวิตจริงของนักเปียโนชื่อดังเดวิด เฮลฟ์ก็อต (David Helfgott) ผู้ซึ่งป่วยเป็นโรคจิตเวช หนังแนวแนวดรามาถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครผ่านนักแสดงชั้นนำเจ้าของรางวัลออสการ์จากเรื่องนี้ เจฟฟี่ รัช (Geoffrey Rush)พร้อมด้วยนักแสดงชั้นนำอีกมากมาย เข้าฉายเมื่อวันที่ 21 มกราคม ค.ศ.1996

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในคืนวันฝนพรำ ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งมีลักษณะท่าทางแปลกๆพูดกับตัวเองคนเดียวเนื้อหาการพูดจับใจความไม่ได้เปลี่ยนเรื่องไปมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นวิ่งอยู่กลางถนนและได้หยุดยืนอยู่ที่หน้าร้านที่ชื่อ “โมบาย” สายตาของเขาหยุดและจ้องอยู่ที่เปียโนที่ตั้งอยู่กลางร้านอาหารแห่งนั้น

หนังได้เล่าย้อนกลับไปสมัยที่เดวิดยังเด็ก เขาเกิดในครอบครัวชาวยิว ปีเตอร์ผู้เป็นบิดาของเดวิดพยายามเคี่ยวเข็ญให้เดวิดฝึกซ้อมเปียโนเพื่อที่จะได้ประสบความสำเร็จในการแข่งขันรายการต่างๆโดยไม่สนใจว่าเขาจะเล่นได้หรือไม่ แม้อาจารย์ที่สอนดนตรีจะคัดค้านไม่ยอมให้เดวิดเล่นเพลงที่ยากเกินไปแต่พ่อเขายังคงยืนยันความตั้งใจเดิม เดวิดได้ผ่านการประกวดหลายครั้งและสามารถเอาชนะมาได้จนกระทั่งได้รับเชิญไปศึกษาต่อที่สถาบันสอนดนตรีชื่อดังที่ประเทศอเมริกาแต่พ่อของเขาไม่ยอมจึงทำให้ต้องใช้ชีวิตแบบเดิมๆต่อไป ต่อมาเดวิดได้รู้จักกับนักเขียนชื่อดัง แคทเธอรีน ริชาร์ด เดวิดได้ไปเล่นดนตรีให้เธอฟังอยู่บ่อยๆจนเกิดเป็นความผูกพันและเป็นที่พึ่งทางใจให้กับเดวิดซึ่งทำให้เขามีความเข้มแข็งขึ้นและสามารถตัดสินใจเลือกที่จะไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษได้ด้วยตนเองโดยไม่สนใจคำคัดค้านของพ่อเป็นเหตุให้ถูกตัดพ่อตัดลูกและไม่สามารถกลับมาที่บ้านได้อีกระหว่างที่อยู่อังกฤษเดวิดได้พบกับความเครียดหลายอย่างทั้งการที่พ่อไม่ยอมตอบจดหมายและการเสียชีวิตของแคทเธอรีนในขณะเดียวกันเขาก็ได้รับการฝึกสอนจากอาจารย์ชื่อดัง เซซิล พาร์ค ซึ่งทำให้เขาสามารถบรรเลงบทเพลงที่ได้ชื่อว่ายากที่สุด “แร็คมานีนอฟ” ซึ่งเป็นเพลงที่พ่อของเขาบังคับให้เล่นในสมัยก่อนนั่นเอง และเขาก็สามารถเล่นได้ชนะการประกวดของวิทยาลัยแต่หลังจากที่เล่นจบเขาก็ล้มลงสลบอยู่บนเวที

ฉากตัดมาที่เดวิดกำลังรักษาด้วยไฟฟ้าและเขาต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชเป็นเวลานานโดยแพทย์ได้กำชับเขาห้ามเล่นเปียโนเด็ดขาด ต่อมาเดวิดได้พบกับเบริล อัลค็อตเธอจึงรับเดวิดไปอยู่ด้วยแต่ด้วยพฤติกรรมของเดวิดทำให้เธอทนเขาไม่ไหวจึงได้ส่งเดวิดไปอยู่ที่อพาร์ทเมนท์แห่งหนึ่ง เดวิดเล่นเปียโนบ่อยเกินไปจนทำเจ้าของอพาร์ทเมนท์รำคาญจึงถูกล็อคเปียโนไว้ ทำให้เขาต้องเดินตามหาเปียโนจนไปพบเปียโนในร้านอาหารโมบาย ซึ่งทำให้เขาได้เล่นเปียโนในร้านอาหารแห่งนั้นจนมีชื่อเสียง ต่อมาเขาได้พบกับพ่ออีกครั้งแต่พ่อของเขารับพฤติกรรมและความเปลี่ยนแปลงของเดวิดไม่ได้จึงทิ้งให้เขาอยู่คนเดียวอีกครั้งและเดินจากไป หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้พบกับกิลเลียนนักดูดวงจากซิดนี่ย์ซึ่งได้เห็นความดีและความน่ารักของเดวิดทั้งคู่จึงได้แต่งงานกันและด้วยความรักความเข้าใจทำให้เดวิดสามารถกลับมาเล่นเปียโนได้อีกครั้ง สร้างความประทับใจให้แก่ผู้ชม แม่และน้องสาวแต่น่าเสียดายที่พ่อของเขาจากไปเสียก่อนจะได้เห็นความสำเร็จของบุตรชาย

เปิดเรื่องด้วยตัวละครเอก(เดวิด)ในวัยกลางคนกำลังพูดกับตัวเองซึ่งบอกถึงลักษณะว่าตัวละครนี้มีความผิดปกติ ต่อมาเหตุการณ์เริ่มพัฒนาเมื่อภาพตัดมาที่เดวิดกำลังวิ่งออกไปท่ามกลางสายฝนและหยุดยืนอยู่ที่หน้าร้านโมบาย สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่เปียโนที่ตั้งอยู่กลางร้านทำให้เกิดความสงสัยว่าทำไมเดวิดถึงจ้องไปที่เปียโนตัวนั้นเขามีความเกี่ยวพันกับเปียโนอย่างไรซึ่งทำให้ผู้ชมสงสัยและตั้งคำถามในใจ จากนั้นหนังก็ตัดไปเล่าถึงชีวิตของเดวิดตอนเด็กซึ่งเห็นได้ว่าเขาอยู่ในครอบครัวที่ใช้อารมณ์สลับกับให้ความอบอุ่นโดยมีพ่อเป็นผู้จัดการแบบเบ็ดเสร็จจึงส่งผลให้เดวิดมีพฤติกรรมที่สับสน ไม่รู้อะไรผิดหรือถูก

ปีเตอร์ผู้เป็นพ่อจะคอยพร่ำบอกกับเดวิดเสมอว่าเขามีความโชคดีเพียงใดที่ได้เล่นดนตรีซึ่งเป็นสิ่งที่ปีเตอร์เองโหยหาในอดีตเมื่อมีลูกจึงยัดเยียดในสิ่งที่ตนต้องการโดยไม่สนใจความรู้สึกของเดวิด และด้วยพฤติกรรมของพ่อจึงกำหนดให้ครอบครัวต้องแยกตัวออกจากสังคม ปีเตอร์ไม่ต้องการให้คนในครอบครัวไปยุ่งหรือสุงสิงกับคนอื่นเห็นได้จากตอนเก็บขวดเพื่อนบ้านไม่ค่อยเป็นมิตรกับครอบครัวนี้นักหรือแม้แต่ตอนที่ลูกสาวลอดประตูไปพบชายหนุ่มพ่อก็นำสังกะสีมาปิดทับไว้เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างพ่อกับสังคมจึงทำให้บรรยากาศในครอบครัวมีแต่ความอึดอัดและเกรงกลัวความรุนแรงจากพ่อถึงแม้ว่าเขาจะพยายามทำให้เป็นครอบครัวที่อบอุ่นก็ตามโดยปีเตอร์ได้สร้างกำแพงกั้นขึ้นมาเองว่าโลกภายนอกนั้นมีแต่สิ่งที่โหดร้ายและจะทำให้ครอบครัวต้องแตกแยกเมื่อออกไปเผชิญกับโลกภายนอกซึ่ง ในความเป็นจริงแล้วปีเตอร์มีความคาดหวังต่อสังคมให้ยอมรับและชื่นชมในตัวเขาโดยใช้ความสามารถของเดวิดเห็นได้จากตอนที่ไปงานเลี้ยงซึ่งไม่มีใครสนใจในตัวเขาจึงทำให้เขาไม่พอใจผู้คนที่อยู่ในงานตอนที่เขา ดังนั้นเขาจึงห้ามไม่ให้เดวิดไปเรียนต่อที่อเมริกา ปีเตอร์ได้ใช้ทั้งความรักและความรุนแรงกับเดวิดจะเห็นได้

จากตอนที่ทำร้ายเดวิดในห้องน้ำและปลอบใจให้ความรักแก่เดวิดแสดงให้เห็นถึงความรักที่เห็นแก่ตัวของพ่อที่ปิดกั้นลูกออกจากสังคมแต่ด้วยความตั้งมั่นที่จะไปถึงฝันเดวิดได้ทลายกำแพงความกลัวไม่มีอะไรที่จะหยุดยั้งสิ่งที่หัวใจต้องการโดยมีคุณนายพลิทชาร์ทผู้ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เขากล้าที่จะเผชิญแหวกกฎเกณฑ์ทั้งหลาย ในขณะที่ตัดสินใจว่าจะไปเรียนต่อประเทศอังกฤษซึ่งตรงนี้เป็นจุดวิกฤติที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิตเดวิดระหว่างการใช้ชีวิตอยู่แบบเดิมๆหรือจะเผชิญกับโลกภายนอก ท้ายสุดเดวิดก็เลือกที่จะทำตามความฝันของตนเองแม้ว่าภายในใจจะเจ็บปวดมากมาย การตัดสินใจครั้งนี้จึงเป็นจุดเปลี่ยนของเดวิดและนำพาเขาไปสู่การบรรเลงเพลง “แร็คมานีนอฟ” ที่ขึ้นชื่อว่ายากที่สุดและที่สำคัญเป็นเพลงที่พ่อเขาคาดหวังให้เดวิดเล่นให้ได้แม้ว่าเขาจะไม่เคยแน่ใจว่าอยากเล่นเพลงนี้หรือไม่ ระหว่างการฝึกซ้อมอย่างหนักเขาเริ่มหมกมุ่นอยู่แต่กับเปียโนทำให้สนใจดูแลตัวเองน้อยลงเห็นได้จากตอนลงไปรับจดหมายโดยไม่ใส่กางเกงซึ่งเป็นสัญญาณของการผิดปกติของเดวิด จนกระทั่งมาถึงวันที่เดวิดต้องเล่นเพลงแร็คมานีนอฟในงานประกวดของวิทยาลัยซึ่งจุดนี้เป็นจุดไคล์แม็กซ์ของเรื่องว่าเขาจะสามารถเล่นเพลงนี้ที่เป็นความหวังสูงสุดของเขาและพ่อได้หรือไม่และในที่สุดเขาก็ทำได้เขาเล่นได้จับใจผู้ชมอย่างมากจนครองตำแหน่งชนะเลิศแต่สุดท้ายก็ล้มลงหมดสติจุดนี้เป็นจุดที่บอกถึงการเปลี่ยนแปลงของชีวิตซึ่งเป็นการพลิกผันจากนักเปียโนที่อนาคตไกลต้องกลับกลายมาเป็นผู้ป่วยจิตเวชที่มีกระบวนการคิดที่ผิดปกติ มีความคิดที่เร็วไม่ปะติดปะต่อ ชอบพูดคนเดียวและมีความคิดที่หลงผิดเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตว่าตนเองทำผิดและเป็นต้นเหตุทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นเขาจึงได้รับการบำบัดด้วยไฟฟ้าและหมอได้กำชับเขาห้ามเล่นเปียโนอีกต่อไป

แต่ด้วยพรสวรรค์ที่เขามีทุกครั้งที่นิ้วมือสัมผัสเปียโนจิตใจเขาก็ดูเหมือนชุ่มฉ่ำดุจสายฝนที่โปรยปรายลงมาเป็นการเปรียบเทียบกับพรสวรรค์ที่มี เขาจึงวิ่งท่ามกลางสายฝนไปสู่วิญญาณที่ยังคงอยู่ของเขา นั่นก็คือ เปียโนและสอดคล้องกับชื่อเรื่องโชคดีที่สวรรค์ไม่ลำเอียงเดวิดได้พบชีวิตใหม่และกำลังใจจากคนที่รัก นั่นก็คือ กิลเลียนเธอดูแลเดวิดด้วยความรักและความเข้าใจทำให้เขาสามารถหวนกลับไปเล่นเปียโนได้อีกครั้ง จากที่คิดว่าเส้นทางชีวิตจะต้องจบสิ้นลงด้วยผู้ป่วยโรคจิตเวชแต่ก็กลับมาเบ่งบานได้อีก ซึ่งเป็นการปิดเรื่องด้วยความสุขบนวิถีทางที่เขาเลือกแม้ในใจลึกๆยังเฝ้ารอคอยการให้อภัยจากพ่อผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยสัญญาว่าจะอยู่กับเขาชั่วกัปชั่วกัลป์

ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอในหลายแง่มุมโดยเฉพาะทัศนติที่มีต่อผู้ป่วยจิตเวชทำให้ผู้ชมสามารถเข้าใจและเห็นใจผู้ป่วยกลุ่มนี้มากขึ้น หนังได้เล่าถึงเหตุและผลของสิ่งที่ตัวละครกระทำว่ามีความเป็นมาอย่างไรจึงเกิดพฤติกรรมดังกล่าวขึ้นและดำเนินเรื่องราวโดยเริ่มต้นจากความสงสัยของพฤติกรรมเริ่มแรกของตัวละครเอกและดำเนินเรื่องราวสลับไปมาระหว่างอดีตกับปัจจุบันทำให้ผู้ชมคลายความสงสัยและเข้าใจตัวละครมากขึ้น ซึ่งผู้สวมบทตัวละครเดวิด (เจฟฟี่ รัช) สามารถถ่ายทอดความเป็นนักเปียโนจิตเวชได้เป็นอย่างดีทำให้หนังเรื่อง Shine เป็นหนังที่มีคุณค่าต่อจิตใจสำหรับผู้ที่ไม่ย่อท้อต่อโชคชะตาซึ่งจะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครอีกหลายคนต่อสู้กับชีวิตที่ยังไม่สิ้นหวังต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น: