วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Shine

ชินาภรณ์

ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างมาจากชีวิตจริงของเดวิด เฮล์ฟกอต นักเปียโนชาวออสเตรเลีย หนังเปิดเรื่องด้วยชายคนหนึ่งวัยกลางคนวิ่งฝ่าสายฝนและได้ไปหยุดยืนอยู่ที่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง ชายคนนี้มีลักษณะท่าทางแปลกๆ พูดกับตัวเองคนเดียว เนื้อหาการพูดนั้นจับใจความไม่ได้ เปลี่ยนเรื่องไปมา สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่เปียโน ที่ตั้งอยู่ในร้านอาหารแห่งนั้น

ฉากก็ตัดไปที่ภาพเด็กชายกำลังเล่นเปียโน เด็กคนนี้คือเดวิด เขาเกิดในครอบครัวชาวยิว พ่อรักเขามากและพยายามเคี่ยวเข็ญให้ลูกชายเล่นเปียโนเพื่อที่จะได้ชนะการแข่งขันรายการต่างๆ พ่อของเดวิดรักลูกชายมาก และมากจนเกินไป สิ่งที่พ่อสอนคือต้องชนะเท่านั้น ต่อมาเดวิดชนะการประกวด หลายครั้ง จนกระทั่งได้รับการเชิญไปศึกษาต่อยังสถาบันสอนวิชาดนตรีชื่อดังที่ประเทศอเมริกา แต่พ่อของเดวิดไม่ยอม โดยให้เหตุผลว่าครอบครัวจะถูกทำลาย จึงทำให้เดวิดยังคงต้องอยู่ในครอบครัวต่อไป

สีที่ทาบ้านเป็นสีทึมๆ แสดงออกถึงบรรยากาศที่ดูอึดอัดไม่มีความสุข เพราะพ่อคือผู้เป็นใหญ่ในบ้าน และมีลักษณะของความเป็นเผด็จการ ลงโทษลูกด้วยการทุบตี ไม่เปิดโอกาสให้คนในครอบครัวตัดสินใจทำอะไรที่นอกเหนือไปจากความคิดของพ่อ สลับไปกับความรักของพ่อที่มีต่อลูก

ลักษณะนิสัยของเดวิดจะเป็นคนที่ไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรเอง คือต้องให้พ่อรู้เห็นก่อนทุกครั้ง เขายังมีลักษณะนิสัยเหมือนเด็ก ดูได้จากตอนเล่นกับน้องและพ่อ เดวิดมีพัฒนาการทางจิตใจเท่าเด็กประถมแม้ว่าเขาจะโตแล้วก็ตาม แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่ผิดปกติแต่ก็ไม่ได้รับการรักษา

พ่อมักจะสอนให้เดวิดพูดทวนคำพูดที่พ่อบอกเป็นประจำ เหมือนว่าให้จำไว้เสมอให้ขึ้นใจ อีกทั้งสอนอยู่เสมอว่าผู้ที่เก่งเท่านั้นคือผู้ที่อยู่รอด และไม่เชื่อในเรื่องศาสนาโดยบอกว่าเป็นเรื่องเหลวไหล พ่อบอกกับเดวิดเสมอว่าเขาเป็นคนที่โชคดี ที่ได้รับอนุญาติให้เล่นดนตรีได้ เพราะปู่ของเดวิดไม่เคยให้พ่อเล่นดนตรี แต่เหล่านี้สะท้อนถึงความคิดของพ่อที่เชื่อว่าตนเป็นคนที่ “ให้โอกาส”แก่ลูกในการทำสิ่งที่ชอบได้ ทั้งๆที่เป็นการใช้อำนาจของพ่อบังคับให้ลูกเดินไปในทางที่ตนต้องการ

ต่อมาเดวิดก็ได้ไปเล่นดนตรีให้แคทเธอรีนฟังที่บ้านของเธออยู่บ่อยๆ จนเกิดเป็นความผูกพันและเป็นที่พักพิงทางใจของเดวิด ซึ่งทำให้เดวิดมีความเข้มแข็งมากขึ้น ถือได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของเขาและเป็นครั้งแรกที่เขาได้ “เลือก”เส้นทางด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก เดวิดตัดสินใจเลือกที่จะไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ ในตอนที่มีจดหมายเชิญมาอีกครั้ง โดยไม่สนใจคำคัดค้านของพ่อว่าจะตัดพ่อตัดลูก

มีสัญลักษณ์หลายอย่างที่ใช้ในเรื่อง คือ ตอนที่แว่นของพ่อแตก แล้วพ่อก็ไม่ยอมเปลี่ยนอันใหม่ยังใช้อันเดิมอยู่ สะท้อนให้เห็นถึงความคิดของพ่อที่หัวแข็ง ยึดติด ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอะไร

ตอนที่พ่อทุบตีเดวิดที่นั่งในอ่างอาบน้ำ แล้วภาพก็ตัดไปที่ก๊อกน้ำที่ปิดสนิทแต่ยังมีเสียงน้ำหยดอยู่
แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าพ่อจะเข้มงวดกับชีวิตของเดวิดและคอยบงการสักเพียงไหน แต่เมื่อเขาโตขึ้น เขาก็ต้องตัดสินใจเลือกที่จะทำอะไรด้วยตนเอง กฎระเบียบที่ยิ่งเข้มงวดก็ยิ่งมีการต่อต้านขัดขืนแม้ว่าจะไม่ได้แสดงท่าทีอย่างโจ่งแจ้งก็ตาม

หลังจากที่บริกรพาเดวิดมาส่งที่พัก แล้วภาพก็เลื่อนไปจับที่ป้ายๆหนึ่งที่เขียนว่า “Eden Lounge”
ดิฉันคิดว่านี่คือการบอกถึงสภาพชีวิตหลังจากนี้ของเดวิดที่จะมีความสุข ได้เล่นเปียโนที่เขารักอีกครั้งและเขาก็เล่นด้วยความสุขอย่างแท้จริง อีกทั้งได้พบกับความรักที่ไม่ใช่การบังคับแต่เป็นความเข้าใจเอื้ออาทรต่อกัน

จุดไคล์แมกซ์ของเรื่องคือตอนที่เขากำลังเล่นเปียโนในงานประกวด และเมื่อเขาได้อยู่บนจุดสูงสุดคือการได้เล่นเพลงที่ยากแสนยากสำเร็จ เขาก็ตกลงมาสู่พื้นใน ณ ขณะนั้นที่เล่นจบนั่นเอง

หนังฉายภาพการกลับมาของเดวิดแบบสนุกสนาน พูดจาเร็ว ฟังไม่ได้ศัพท์ ยิ้มและเริงร่าหัวเราะตลอดเวลา เหมือนเป็นการชดเชยที่ไม่เคยทำแบบนั้นมาหลายสิบปี เดวิดป่วยเป็นโรคทางจิตและหมอสั่งห้ามเล่นเปียโน จนกระทั่งเขาได้พบกับกิลเลี่ยน ต่อมาได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นความรักจนในที่สุดทั้งสองก็แต่งงานกัน ด้วยความรักและความเข้าใจ จากกิลเลี่ยนและครอบครัว ทำให้เดวิดสามารถหวนกลับมาเล่นเปียโน และสามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้ฟังได้อีกครั้ง ช่วงเวลานี้เปรียบเสมือนแสงสว่างที่ส่องเข้ามาในชีวิตของเดวิด ที่จะชี้นำให้เขาหลุดพ้นจากสิ่งเหนี่ยวรั้งต่างๆ ท้องฟ้าที่สดใส ภายในบ้านเต็มไปด้วยสีสันล้วนแล้วแต่สะท้อนถึงการได้ความสุขที่สุดในชีวิตของเขาแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น: