วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Shine : บุรุษผู้ไม่เคยหยุดฉายแสง

ชวัลญา

Shine คือชื่อสั้นๆของภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากเรื่องราวชีวิตที่ไม่ธรรมดาของนักดนตรีผู้มีนามว่า เดวิด เฮลฟ์กอทท์...

นักดนตรีที่ทำให้ผู้ฟังทุกคนทึ่งต้องกับฝีมือการบรรเลงบทเพลงชีวิตอันไม่ธรรมดาของเขา...
เรื่องราวในภาพยนตร์นำเสนอชีวิตของเดวิดตั้งแต่เด็ก เขาเป็นลูกศิษย์เอก และเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวของผู้เป็นพ่อในเรื่องการบรรเลงเปียโน จุดหมายของเด็กชายในการบรรเลงบทเพลงอยู่ที่ แรคเมนีนอฟหมายเลขสาม บทเพลงคลาสสิกที่นักดนตรีอาชีพน้อยคนนักจะสามารถบรรเลงได้อย่างไพเราะ

เดวิดต้องทนรับความกดดันและความคาดหมายอย่างมากมาย จนกระทั่งเบน โรเซ่น ครูสอนเปียโนมองเห็นพรสวรรค์ของเขาจากการประกวดในงานเล็กๆ และเสนอตัวเพื่อสอนเดวิด นับแต่นั้นมาพรสวรรค์ทางด้านดนตรีของเขาก็เปล่งประกายมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็ได้รับทุนให้ไปศึกษาด้านดนตรีต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ทว่าพ่อของเดวิดก็ทำลายความฝันของเขาอย่างไม่มีชิ้นดีด้วยการยื่นคำขาดว่าการไปของเขาจะเป็นการ “ฉีกครอบครัวออกเป็นชิ้นๆ” แต่นั่นกลับเป็นการเพิ่มแรงกดดันให้กับเดวิดอย่างไม่รู้ตัว ต่อมาเมื่อเขาได้รับทุนให้ไปศึกษาด้านดนตรีต่อที่มหาวิทยาลัยดนตรีในลอนดอน เดวิดก็ได้รับแรงสนับสนุนจากนักเขียนอาวุโสที่มักจะเชื้อเชิญเขาไปเล่นดนตรีที่บ้านบ่อยๆ เขาจึงตัดสินใจไม่ฟังคำทัดทานใดๆของพ่อ และมุ่งหน้าสู่ลอนดอน

ที่วิทยาลัย เดวิดได้พบกับอาจารย์ซีซิล ปาร์เกส ผู้ที่ผลักดันให้เขาสามารถเล่นเพลงแรคเมนีนอฟได้ในที่สุด แต่ในวินาทีที่เดวิดแสดงผลงานเพลงชิ้นเยี่ยมจบลง ชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที จากความกดดันทั้งมวลที่เขาประสบมาตลอดชีวิต ในที่สุดประสาทของเขาก็ไม่สามารถทนรับมันได้อีกต่อไป หลังจากอาการช็อคในวันนั้น เดวิดกลายเป็นคนพูดรัวเร็ว และมีพฤติกรรมบางอย่างคล้ายคนเสียสติ จนกระทั่งเขาได้เข้าไปเล่นเปียโนในร้านอาหารเล็กๆแห่งหนึ่ง และได้รู้จักกับกิลเลียต หมอดูสาวเพื่อนของพนักงานเสิร์ฟในร้าน และหญิงสาวคนนี้เองที่เป็นผู้เยียวยาเขาจากอาการประสาท และชักนำให้เขากลับมาฉายแสงบนเวทีอีกครั้ง

ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้วิธีการเปิดเรื่องด้วยเหตุการณ์ปัจจุบันก่อนจะมองย้อนกลับไปในอดีต ฉากแรกเริ่มขึ้นเมื่อเดวิดในวัยกลางคนวิ่งเข้าไปหลบฝนที่ร้านอาหารเล็กๆแห่งหนึ่ง ทำให้ผู้ชมได้เห็นสภาพในปัจจุบันของตัวละคร จากนั้นจึงค่อยเล่าเรื่องราวย้อนไปในสมัยเด็กเพื่อมองหาสาเหตุว่าเขากลายมาเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร
จุดเริ่มต้นของชีวิตของเดวิดคือ “บ้าน” และนั่นคือเครื่องมือสำคัญอย่างแรกที่ตีกรอบให้กับเด็กชาย ละแวกบ้านที่เดวิดอาศัยอยู่บ่งชี้ให้เห็นถึงฐานะทางครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวย แต่สิ่งหนึ่งที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนคือรั้วไม้ที่กั้นรอบบ้าน เปรียบเสมือนสิ่งพ่อของเขาขีดไว้กั้นลูกๆทุกคนออกจากโลกภายนอกและนั่นส่งผลให้เดวิดเติบโตมาโดยไม่มีเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียว

แต่สิ่งที่มีอิทธิพลต่อเดวิดมากที่สุดคงหนีไม่พ้น ปีเตอร์ เฮลฟ์กอทท์ พ่อของเขาเอง ปีเตอร์เลี้ยงดูลูกชายให้เป็นเหมือนสิ่งชดเชยอดีตของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการปลูกฝังให้เดวิดเล่นดนตรีคลาสสิกตั้งแต่เล็กทั้งๆที่เป็นความชอบของตัวเอง หรือย้ำความคิดที่ว่าเดวิดโชคดีมากเหลือเกินที่มีพร้อมทั้งครอบครัวและพรสวรรค์ด้านดนตรี นอกจากนั้นปีเตอร์ยังเป็นคนที่มีบุคลิกสองด้าน บางครั้งผู้ชมจะเห็นได้ว่าปีเตอร์เป็นพ่อที่อบอุ่น รักและเอาใจใส่ลูก แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็เป็นคนก้าวร้าวรุนแรง และใช้กำลังอย่างไม่มีเหตุผล ทั้งยังเป็นคนยึดมั่นในอุดมคติของตัวเองอย่างแรงกล้าจนไม่รับรู้เหตุผลใดๆ แม้กระทั่งตอนท้ายของเรื่องปีเตอร์ก็ยังคงคิดว่าสิ่งที่เขากระทำต่อเดวิดในอดีตนั้นเป็นสิ่งถูกต้อง

การเลี้ยงดูของปีเตอร์หล่อหลอมให้เดวิดเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กที่ค่อนข้างมีโลกส่วนตัวสูง ไร้เพื่อนฝูงในวัยเดียวกัน และเป็นคนค่อนข้างขาดความมั่นใจเนื่องจากต้องปฏิบัติตามคำสั่งของพ่อเพียงอย่างเดียว สิ่งที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งคือ เมื่อตอนที่อาจารย์โรเซ่นมาเกลี้ยกล่อมให้แม่ของเดวิดสนับสนุนเรื่องการไปอเมริกา แม่ของเดวิดกลับพูดว่า เดวิดยังฉี่รดที่นอนอยู่แม้ว่าเขาจะเป็นวัยรุ่นแล้วก็ตาม สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงภาวะบางอย่างในจิตใจของเขา เพราะเดวิดไม่เคยสัมผัสและเรียนรู้โลกภายนอกด้วยตัวเอง ทำให้เดวิดยังเป็นเด็กอยู่เสมอ อีกปัจจัยหนึ่งอาจเป็นเพราะการเลี้ยงดูที่จำกัดสิทธิในแทบจะทุกด้านของพ่อ ทำให้เขาเกิดภาวะเครียดโดยไม่รู้ตัว
กลายเป็นว่าความรักของพ่ออย่างปีเตอร์ กลับกลายเป็นยาพิษสำหรับลูกชาย

สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาจึงเป็นความขัดแย้งระหว่างสองพ่อลูก ซึ่งเป็นตัวผลักดันทำให้เกิดเรื่องราวต่างๆ เพราะตั้งแต่เล็กจนโต เดวิดเติบโตมาภายใต้คำสั่งสอนของพ่อราวกับเป็นหุ่นเชิด แต่เมื่อถึงจุดแตกหักที่เขาเริ่มไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของปีเตอร์ เดวิดก็เริ่มมีอาการกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ จนส่งผลให้มีพฤติกรรมแปลกไป
เหตุการณ์หนึ่งที่เป็นข้อพิสูจน์ได้อย่างดีคือ ฉากที่เดวิดช็อคจากการถูกสั่งห้ามไม่ให้ไปอเมริกา เขานั่งกอดเข่าแช่น้ำอยู่ในอ่างอาบน้ำเงียบๆ จากนั้นพ่อของเขาก็เดินเข้ามาเพื่อที่จะอาบน้ำต่อ แต่พอพบว่าลูกชายถ่ายอยู่ในอ่างอาบน้ำ ปีเตอร์ก็โรธจัดแล้วเอาผ้าเช็ดตัวฟาดเดวิดอย่างรุนแรง ทว่าเด็กหนุ่มก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น เมื่อจบฉากนี้กล้องได้ตัดให้เห็นภาพก๊อกน้ำที่มีน้ำรั่วหยดลงมาทีละหยด ทีละหยด เหมือนกับสภาพจิตใจที่เริ่มเกิดรอยรั่วทางความคิดทีละน้อย

แน่นอนว่าสิ่งที่สมานรอยรั่วนั้นได้ย่อมเป็นความรัก ความเข้าใจและการยอมรับ…

ซึ่งกิลเลียต เฮลฟ์กอทท์ ภรรยาของเดวิดกลับเป็นผู้เดียวที่สามารถมอบสิ่งเหล่านี้ให้แก่เขาได้ และเธอยังแสดงให้เราเห็นถึงการตัดสินคุณค่าของคนจากภายใน รวมถึงการให้โอกาสแก่ผู้อื่นโดยไม่เคยคิดว่ามันเป็นเรื่องที่สายเกินไป

หากกิลเลียตไม่ตอบรับคำขอแต่งงานของเดวิด เขาก็คงไม่ได้กลับมาเปล่งประกายอีกครั้งอย่างเช่นทุกวันนี้...

Shine นับเป็นภาพยนตร์ที่นำเสนอให้เราเห็นทุกช่วงชีวิตเล็กๆของนักดนตรีคนหนึ่งที่ไม่ได้มีแต่ด้านที่สวยงามเสมอไป ทั้งยังแฝงไว้ด้วยความหมายอันลึกซึ้งไม่แพ้บทเพลงชิ้นเอกของโมสาร์ต และตราบใดที่โอกาสกับความหวังยังไม่เลือนหาย สักวันเราก็คงจะได้มีโอกาสฉายแสง เหมือนดังเช่นที่ เดวิด เฮลฟ์กอทท์ กำลังส่องประกายอยู่ในใจของใครหลายๆคนชั่วนิรันดร์

ไม่มีความคิดเห็น: