เกศสุดา
SHINE เป็นภาพยนตร์เรื่องหนึ่งของ Scott Hick ของประเทศ สหรัฐอเมริกา ออกฉายเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1996 เรื่องนี้ได้รับรางวัลออสก้า ประจำปี 1997 สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม โดย เจฟฟรี่ รัช ผู้รับบทเป็นเดวิดตอนแก่ และภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม ตัดต่อภาพยนตร์ นักแสดงสมบทขายยอดเยี่ยมและภาพยนตร์ยอดเยี่ยม รวม 6 รางวัล และยังเป็นภาพยนตร์ติดอันดับ Top 10 ในปี 1996 ของโลกอีกด้วย
ท่ามกลางสายฝนโปรยปราย เดวิดชายวัยกลางคนบุคลิกแปลกๆ มองนอกหน้าต่าง จ้องมองไปที่เปียโนในร้านอาหารแห่งหนึ่ง เขาเดินผ่าฝนไปยังร้านอาหารนั้น ทักทายผู้คนที่อยู่ในร้านพูดประโยคซ้ำไปมา จับใจความได้ว่า “อยู่ไปเรื่อยๆ ดิ้นรนให้ชีวิตรอด” เขาเริ่มเล่าถึงพ่อว่า พ่อเขาเป็นคนเคร่งศาสนาและโหดร้ายซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว
เรื่องเล่าย้อนหลัง ในวัยเด็ก เดวิด เคยแข่งขันเล่นเปียโนบนเวที ขณะที่เขาพรมนิ้วเล่นเปียโนอย่างถึงอารมณ์ ล้อเปียโนเลื่อนออกจากตัวเขา เขาก็ขยับตัวตามเปียโน ไม่ให้มันหลุดมือ เขาก็ยังเล่นไปเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงมนุษย์มักจะไขว้คว้าหาโอกาสหรือความฝัน ไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือเสมอ เขาแพ้การแข่งขันทำให้พ่อโกรธ พ่อและเดวิดเดินกลับบ้าน ก้าวเดินของพ่อช่างกว้างหนักแน่นและมั่นคง ต่างจากตัวเขาที่เดินตามพ่อเท่าไหร่ก็ไม่ทัน ก้าวเล็กๆที่ไม่มั่งคงของเดวิดและก้าวใหญ่และหนักแน่นของพ่อ เปรียบเสมือนวัยและประสบการณ์ที่ไม่มีวันจะเท่ากันได้
แรคแมนนีนอฟ โน้ตบรรเลงเพลงที่ยากระดับโลก ทำนองที่บาดจิต ลึกซึ้งยากหยั่งถึงสภาวะอารมณ์ คือ สิ่งที่พ่อคาดหวังให้เดวิดเล่นได้ในตอนนั้น พ่อมักตัดสินใจโดยไม่คำนึงถึงความสามารถของเดวิดเลย พ่อเข้มงวดเผด็จการ และมีเรื่องเก็บกดในอดีตที่พ่อของเขา (ปู่ของเดวิด) ไม่ให้เขาเล่นดนตรี ความเก็บกดเหล่านี้ระบายออกในครอบครัว เดวิดจึงกลายเป็นคนไม่มีเชื่อมั่นในตัวเอง ไม่กล้าตัดสิน ซึ่งมีผลต่อการเลือกทางเดินของชีวิตของเขา
เดวิดได้รับทุนไปศึกษาด้านดนตรีที่อเมริกา พ่อไม่ให้เขาไปเพราะต้องการให้ครอบครัวอยู่พร้อมหน้า แต่เขาอยากไปเรียนต่อทำให้เขากลัวและเกิดสับสนในชีวิต
ในเวลาเดียวกันเดวิดรู้จักแคเธอรีน นักเขียนชื่อดัง เดวิดมักจะไปเล่นเปียโนให้เธอฟังบ่อยๆ เธอเอ็นดูเดวิดและให้กำลังใจเขาอยู่เสมอ แคเธอรีนได้ให้ข้อคิดดีๆกับชีวิตเขา ทำให้เขากล้าตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆได้เป็นครั้งแรกในชีวิต
เขาตัดสินใจไปเรียนต่อที่อังกฤษ ฝึกซ้อมเพลงแรคแมนนีนอฟ ในขณะที่ซ้อม เขาก็เริ่มมีพฤติกรรมแปลก ๆ อีกทั้ง แคเธอรีนผู้ที่เคยเป็นที่พักพิงให้เขาก็เสียชีวิต
ในวันที่เขาเล่นแรคแมนนีนอฟบนเวที พอเล่นเสร็จ เขาก็ล้มป่วยกลางเวที เขาเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลประสาท หมอสั่งไม่ให้เขาเล่นเปียโนอีก เพราะจะทำให้อาการเขากำเริบ
เดวิดมีอาการทางประสาท มีโลกส่วนตัวสูง เขาได้แต่งงานกับหมอยิบซีและสามารถเล่นแรคแมนนีนอฟได้อีกครั้ง แต่คนที่เดวิดอยากเล่นให้ฟังมากที่สุดกลับเสียชีวิตไปแล้ว นั้นคือ “พ่อ” เขาหลั่งน้ำตากลางเวทีท่ามกลางเสียงปรบมือเกรียวกราว
การเปิดเรื่องโดยการนำจุดเด่นและเอกลักษณ์ของตัวละคร(เดวิด) บุคลิกแปลกๆ สติฟั่นเฟือน บ่นอยู่คนเดียว พฤติกรรมของเดวิดเป็นตัวเกริ่นเข้าเรื่องต่าง ๆ เช่น การมองเปียโนที่อยู่ในร้านอาหารท่ามกลางสายฝนทำให้คนดูเกิดความสนใจว่า ชายคนนี้เกี่ยวข้องกับเปียโนอย่างไร
เหตุการณ์เริ่มพัฒนา โดยการเล่าเรื่องย้อนหลัง ตั้งแต่เดวิดเป็นเด็กเล่นเปียโนเก่ง พ่อสนับสนุนให้เขาเล่นดนตรี ปลูกฝังให้เอาชนะ เป็นการเล่าถึงที่มาของลักษณะนิสัยตัวละคร
ความอัจฉริยะทางด้านดนตรีทำให้เดวิดได้รับทุนไปเรียนต่อที่อเมริกา แต่พ่อไม่ให้ไป จึงเป็นประเด็นที่ทำให้คนดูสงสัย (จุดสงสัย) ว่า ในเมื่อพ่อสนับสนุนให้เขาเล่นดนตรี ต้องการให้เขาเล่นแรคแมนนีนอฟได้ แต่กลับไม่อนุญาติให้เขาไปเรียนด้านดนตรีที่อเมริกา
เรื่องนี้ความขัดแย้งประเภทมนุษย์กับมนุษย์ พ่อไม่ต้องการให้เขาไปเรียนต่อ เพราะอ้างเหตุผลว่าต้องการให้ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า ส่วนเดวิดก็อยากไปเรียนเพื่ออนาคต และเล่นแรคแมนนีนอฟให้ได้ตามเจตนารมย์ของพ่อที่ให้เขาไว้ตั้งแต่เด็ก
เขาตัดสินใจรับทุนไปเรียนที่อังกฤษด้วยตัวเขาเอง พ่อโกรธมาก ห้ามไม่ให้เขากลับมาบ้านอีก ตั้งแต่นั้นมาการออกจากบ้านครั้งนั้นก็เป็นตราบาปในชีวิตเขาในเวลาต่อมา เหตุการณ์นี้ คือ จุดวิกฤต ที่จะเป็นตัวโยงไปสู่ความแตกหัก
ขณะที่เขาเล่นเพลงแรคแมนนีนอฟบนเวที อารมณ์ดิ่งลึกกับตัวโน้ตเป็นล้านๆตัว พอเล่นเสร็จ เสียงปรบมือดังเกรียวกราว เขาก็ล้มป่วยลงกับพื้น การบรรเลงเพลงแรคแมนนีนอฟ จึงเป็นจุดไคลแม็กซ์ เพราะเขาสามารถทำให้พ่อภูมิใจ พิสูจน์ให้เห็นว่าดนตรีเป็นทั้งชีวิต และดนตรีสามารถเปลี่ยนชีวิตเขาได้ด้วย
การปิดเรื่องทำให้ได้ข้อคิดหลายอย่าง เดวิดกลับมาเล่นเปียโนได้อีกครั้ง กลับมาใช้ชีวิต ถึงแม้จะไม่มีพ่ออยู่ข้าง ๆ เพราะฉากสุดท้าย เดวิดและภรรยา ไปเยี่ยมศพพ่อที่สุสาน และเดวิดก็ย้ำเสมอว่า ชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นต่อไป
SHINE หมายถึง ความสุกใส แสงสว่าง ความเปล่งปลั่ง ความแวววาว ชื่อเรื่องเป็นตัวบอกถึงแก่นเรื่อง ว่า ถึงแม้เดวิดจะป่วยเป็นโรคประสาทนานแค่ไหน แต่เขาก็กลับมาเล่นเปียโนได้อีกครั้ง พลังศิลปินในตัวเขาก็ยังคงอยู่ เปรียบเสมือนดาวก็คือดาวอยู่วันยังค่ำถึงแม้ว่าบางคืนฟ้าอาจมืด เมฆอาจบังแต่ดาวดวงนั้นก็ยังคงอยู่ที่เดิมไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้แฝงนัยมากมาย เช่น พ่อปิดเปียโนเอามือประสานกันวางทับฝาปิดเปียโน และนั่งชื่นชมผลงานของเดวิดบนเก้าอี้ผุพัง ภาพตัดมาที่ที่วางแขนที่มีรอยพรุนจากอายุการใช้งานของโซฟาที่นานมาแล้วพ่อก็เอาผ้ามาปิด แล้วก็ตัดไปฉากอื่น แสดงให้เห็นว่าเป็นการบอกถึงอดีตของพ่อที่เต็มไปด้วยความปวดร้าวและรอยแผล โดยที่ผู้แต่งไม่จำเป็นต้องบอกผู้รับสารตรงๆ
ข้อคิดที่ได้จากเรื่องที่ข้าพเจ้าได้รับคือ การนำจุดอ่อนของตัวเองมาสร้างเป็นจุดแข็ง ความรักที่เห็นแก่ตัวไม่ได้เรียกว่าความรัก ดนตรีสามารถสื่ออารมณ์ได้ดีกว่าภาษา ไม่จำเป็นต้องเป็นที่สมบูรณ์แบบถึงจะมีคนชื่นชม เป็นต้น
ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือว่ามีคุณค่ามากเพราะเป็นภาพยนตร์ตั้งแต่ปี 1996 แต่ตอนนี้ข้าพเจ้าเพิ่งได้ดู ในปี 2008 ผ่านมา 12 ปี ไม่ได้ทำให้หนังเรื่องนี้ล้าสมัยเลย มีประเด็นให้ขบคิด ประทับใจ ซึ่งต่างจากหนังในปัจจุบันมีเทคนิคการถ่ายทำดีแต่ไม่มีประเด็นให้คิด ก็ไม่นับว่ามีคุณค่า เรื่องนี้ถือว่าเป็นหนังอมตะเลยก็ว่าได้ เพราะวิธีการถ่ายทำ ตัดต่อ เขียนบท นักแสดง ฯลฯ องค์ประกอบรวมดูลงตัว จึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าผิดหวังที่จะย้อนกลับมาดูหนังเก่าอีกครั้ง
วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2551
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น