วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Shine : โชคดีที่สวรรค์ไม่ลำเอียง

กนกกาญจน์

Shine เป็นภาพยนตร์ที่มีรางวัลการันตีจากหลายสถาบัน ซึ่งเป็นหนังที่ถูกสร้างขึ้นโดยอ้างอิงจากชีวิตจริงของชายคนหนึ่งที่ชื่อ David Helfgott ซึ่งเป็นนักเปียโนอัจฉริยะชาวออสเตรเลีย ชีวิตวัยเด็กของเดวิดได้เรียนรู้ที่จะเล่นเปียโนจากพ่อของเขาเอง และเขาก็ได้ชนะการแข่งขันมากมายติดต่อกัน จนได้รับการเสนอทุนฯไปเรียนต่อที่สหรัฐฯ แต่พ่อของเขาไม่ยอมให้ไป ซึ่งนั่นได้ทำให้เดวิดเสียใจมาก แต่ต่อมาเมื่อเดวิดได้รับทุนไปเรียนที่ Royal College of Music ที่ลอนดอน เดวิดจึงไม่คิดที่จะปฏิเสธ เขาตัดสินใจไปแบบที่ขืนใจพ่อ และนั่นพ่อเขาจึงประกาศตัดลูกตัดพ่อโดยเด็ดขาด ที่ลอนดอนเดวิดได้เรียนเปียโนกับนักเปียโนชื่อดัง ผู้ที่เจียระไนเพชรเม็ดนี้ให้สุกสว่างขึ้นมา ต่อมาเดวิดเล่นเปียโนคอนแชร์โตหมายเลข 3 ของ Rachmaninoff ได้อย่างยอดเยี่ยม แต่เมื่อการแสดงจบลง เดวิดก็หมดสติล้มลง ถูกนำส่งโรงพยาบาล กลายเป็นผู้ป่วยจิตเวช และต้องพักรักษาตัวเกือบ 20 ปี ก่อนที่จะค่อยๆ กลับฟื้นคืนสภาพที่แม้จะไม่เหมือนเดิม แต่ก็ยังมีแววอัจฉริยะเหลืออยู่ให้ผู้คนเชยชม


เรื่องราวของภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เน้นไปที่ตัวละครเป็นหลัก ฉากเปิดเรื่องจึงเปิดด้วยตัวละครเอกบนพื้นหลังสีดำ แสดงให้เห็นถึงความหม่นหมอง ความมืดมิดและการต่อสู้ซึ่งก็สามารถเล่าเรื่องราวได้เป็นอย่างดี โดยได้เริ่มต้นที่ชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง ซึ่งมีลักษณะท่าทางแปลกๆ พูดกับตัวเองคนเดียว เนื้อหาการพูดนั้นจับใจความไม่ได้ กำลังวิ่งอยู่กลางถนน และได้ไปหยุดยืนอยู่ที่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่งชื่อ “โมบาย” สายตาของเขาหยุดและจับจ้องอยู่ที่เปียโนตลอดเวลา ซึ่งนั่นผู้ชมจะเกิดข้อสงสัยว่าเขาเป็นอะไรและมีความผูกพันกับเปียโนอย่างไร ต่อมาภาพก็จะย้อนกลับไปยังเรื่องราวในอดีตของเด็กชายเดวิด ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้จะใช้กลวิธีการย้อนกลับไปกลับมาระหว่างอดีตกับปัจจุบัน ทำให้ผู้ชมภาพยนตร์เกิดความสงสัยในช่วงแรกๆ แต่ต่อมาเมื่อเรื่องราวได้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ผู้ชมก็จะคลายความสงสัยไปในที่สุด


ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้สะท้อนโศกนาฏกรรมทางด้านจิตใจอย่างรุนแรง และนักแสดงนำ ที่แสดงโดยเจฟฟรี่ รัช ก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม เขาแสดงเป็นผู้ป่วยจิตเวชได้อย่างดีเยี่ยม จนทำให้เขาได้รับรางวัล Best Actor จากเวทีออสการ์ เดวิดเป็นตัวละครที่ได้รับความกดดันมาโดยตลอด ชีวิตในวัยเด็กของเขาต้องเผชิญกับการกดดันจากพ่อ เดวิดไม่เคยได้สัมผัสกับสิ่งที่สนุกสนานตามวัยอันสมควร แต่เขากลับต้องมาคร่ำเคร่งอยู่กับการฝึกซ้อมเปียโนแทน ภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงสิ่งหนึ่งที่ผู้ชมต้องกลับมาคิดว่า บางครั้งการมีพรสวรรค์ก็ต้องควบคู่ไปกับความเหมาะสมทางวัยวุฒิด้วย นั่นคือปล่อยให้เป็นไปตามกลไกของเวลานั่นเอง


นอกจากนี้ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้แสดงถึงความรักที่ได้กลายเป็นความเห็นแก่ตัว กลายเป็นสิ่งกดดันให้เดวิดต้องเติบโตขึ้นมาอย่างเงียบเหงา อ้างว้าง และโดดเดี่ยว เส้นทางที่เหมือนโรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบของเดวิดกลับกลายเป็นเส้นทางแห่งโขดหิน นั่นเพราะได้ถูกปิดกั้นไว้ด้วยจิตใจที่คับแคบของผู้เป็นพ่อ เมื่อได้ชมภาพยนตร์ไปเรื่อยๆจนกระทั่งจบลง ทำให้รู้สึกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ดึงเอาอารมณ์ของตัวละครออกมาแสดงได้อย่างชัดเจน และเหตุการณ์ต่างๆของหนังนั้นก็ได้นำเอาทั้งความโศกเศร้าและความประทับใจมานำเสนอได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล เป็นบทเรียนอันล้ำค่าแก่ผู้ชมภาพยนตร์ อีกทั้งตัวของนักแสดงเองก็ได้ถ่ายทอดความรู้สึกและแสดงได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย


ภาพยนตร์เรื่อง shine ได้แสดงสัญลักษณ์ต่างๆมากมายให้ผู้ชมได้ขบคิดตาม ไม่ว่าจะเป็นแว่นตาของพ่อ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าแว่นตาได้แตกเป็นเสี่ยงๆ แต่พ่อก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนแว่น นั่นแสดงให้เห็นว่าพ่อยังคงยึดติดกับความคิดเดิมๆอย่างไม่ยอมเปลี่ยนแปลง อยู่กลับกรอบความคิดเดิมจนหันหลังให้กับเดวิดอีกครั้ง ฉากที่เดวิดนั่งมองน้ำที่ไหลออกมาจากก๊อกที่ปิดไม่แน่นก็เช่นกัน ได้แสดงให้เห็นความคิดของเดวิดที่ล่องลอย เปรียบตนเหมือนกับน้ำที่ไม่ใช่น้ำ เพราะไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์ เหมือนกับตัวเองที่ไม่ใช่ตัวเอง เพราะมีพ่อบังคับให้ทำโน่นนี่นั่นเอง


นอกจากนี้ก็ยังมีเหตุการณ์ต่างๆที่ได้แสดงทัศนะของเดวิดออกมาโดยไม่ต้องใช้คำพูดหรือบท เช่น ตอนที่เดวิดแข่งเปียโนแพ้ พ่อได้แสดงท่าทีกดดันเพราะไม่พอใจเดวิด ระหว่างทางกลับบ้านเขาเดินตามพ่อด้วยอาการที่เก็บกดความรู้สึก แต่เมื่อผ่านสนามเด็กเล่นที่เด็กเล่นกระโดดกัน เขาก็เขย่งกระโดดโดยเผยการกระทำของเด็กที่ถูกเก็บกดเอาไว้ให้แสดงออกมาด้วยท่าทีเด็กๆอย่างไม่รู้ตัว และเหตุการณ์ที่เดวิดตัดถุงมือที่เขารักเพื่อซ้อมเปียโน ก็ได้สะท้อนภาพการกระทำของเดวิดที่สามารถยอมสละของที่เขารักเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่เขาต้องการ


บทสรุปของภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้จบลงแบบโศกนาฏกรรมอย่างที่หลายๆคนคิด นั่นเพราะหลังจากนั้นไม่นาน เดวิดก็ได้พบกับหญิงสาวผู้หนึ่งที่ชื่อว่า กิลเลียน เดวิดได้สร้างความประทับใจให้กับเธอ จนในท้ายที่สุดก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นความรัก กิลเลี่ยนและครอบครัวได้มอบความรักที่กลายเป็นยาขนานเอกที่ช่วยรักษาเดวิดให้สามารถหวนกลับมาเล่นเปียโนและสร้างความประทับใจให้กับผู้ฟังได้อีกครั้ง เดวิดสามารถชนะใจแม่และน้องสาวของเขาจากคอนเสิร์ตในครั้งนั้น แต่น่าเสียดายที่พ่อของเขาจากไปเสียก่อนที่จะได้เห็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของบุตรชาย ฉากสุดท้ายจึงได้จบลงบนเวทีเดี่ยวเปียโนของเดวิด และ Shine ก็เป็นภาพยนตร์ที่ส่องแสงสว่างให้กับชีวิตสมกับชื่อเรื่อง และแสงสว่างที่ได้พลังจากความรักนี่เอง ที่ได้กลายมาเป็นพลังแห่งชีวิตให้กับเดวิดได้ก้าวเดินอีกครั้งนั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น: