วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ภาพยนตร์เรื่อง Shine

กนกวรรณ


ภาพยนตร์ Shineของออสเตรเลียเรื่องนี้ สร้างขึ้นจากชีวิตจริง ของนักเปียโน ชาวออสเตรเลีย - ยิว กำกับโดยชาวออสเตรเลีย Scott Hicks ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดส์ ประจำปี1997 สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม โดย Geoffrey Rush ผู้รับบทเป็นเดวิดตอนแก่ และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม ตัดต่อภาพยอดเยี่ยม นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม และภาพยนตร์ยอดเยี่ยม รวม 6 รางวัลด้วยกัน


เดวิด ตัวละครเอกของเรื่อง เกิดและเติบโตมาจากครอบครัวที่อบอุ่น แต่เต็มไปด้วยความคาดหวังจากผู้เป็นบิดา โดยเคี่ยวเข็ญให้เขาฝึกซ้อมอย่างหนัก นอกจากนี้ยังพยายามปลูกฝังให้เขามุ่งแต่จะชนะสถานเดียว เดวิดได้พบกับครูคนแรก ซึ่งครูคนนี้แปลกใจและไม่เห็นด้วยที่พ่อเขาพยายามเคี่ยวเข็ญให้เขาเล่นเพลงที่ยาก เดวิดได้เรียนเปียโนอย่างจริงจัง และประกวดได้รางวัลมากมาย ผู้คนเริ่มรู้จักเขามากขึ้น รางวัลที่ใหญ่ที่เขาได้รับ คือ การได้ทุนไปศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่พ่อเขาไม่ให้ไป และต่อมาได้รับทุนไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ แต่คราวนี้พ่อเขาไม่สามารถ ยับยั้งความตั้งใจของเขาได้ เขาได้เรียนเปียโนอย่างเอาเป็นเอาตาย และมีการแสดงที่ดีเยี่ยม แต่เกิดช๊อค และเข้ามารักษาตัวที่โรงพยาบาลจิตเวช เขามักพูดจาซ้ำๆวนไปวนมา โดยที่แพทย์ให้เขาเลิกเล่นเปียโนจนกว่าอาการจะดีขึ้น เมื่อเขาอาการดีขึ้นแล้วและมีคนพาออกมาจากโรงพยาบาล แต่คนนั้นก็ทนอาการของเขาที่มักจะเปลือยกายและทำข้าวของระเกะระกะไม่ได้ เขาจึงต้องระเห็จระเหินไปอยู่อาพาร์ทเม้นท์ เจ้าของที่นี่ล็อคเปียโนคู่ใจเขา เพราะเกิดความรำคาญที่ส่งเสียงดัง เขาเสียใจมากจึงเดินทางตามหาเปียโนตามที่ต่างๆ และ ได้ไปเล่นเปียโนที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง จนมีคนพบและลงพาดหัวข่าวและพ่อเขาได้ตามมาเจอพ่อเขาพยายามให้เขากลับบ้าน แต่เขาปฏิเสธ สุดท้ายเขาได้ลงเอยและมีครอบครัวที่อบอุ่นกับสาวนักพยากรณ์ อีกทั้งเขายังได้กลับมาแสดงเปียโนอีกครั้ง และประสบความสำเร็จอย่างมาก ซึ่งพ่อของเขาไม่มีโอกาสรับรู้ เพราะได้จากโลกนี้ไปเสียแล้ว


ภาพยนตร์เรื่องนี้ มีการเปิดเรื่องที่น่าสนใจ โดยเน้นตัวละครเอกของเรื่อง นั่นคือเดวิด ที่เป็นการฉายภาพที่เดวิด กำลังบ่นพึมพำระคนเสียงดนตรี ต่อมาได้เริ่มเรื่องตอนที่เขาวิ่งฝ่าสายฝนไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง โดยที่พึมพำคำพูด ที่คนต่างสงสัยว่าเขาพูดอะไร การเปิดเรื่องลักษณะนี้ทำให้ผู้ชม เกิดความสงสัยและอยากที่จะติดตามต่อไปว่า เรื่องราวที่แท้จริงมันเป็นอย่างไรกันแน่ มีอะไรเกิดขึ้นกับเดวิด ที่ทำให้เขา มีอาการคล้ายคนบ้า การเปิดเรื่องลักษณะนี้สามารถดึงดูดผู้ชมได้เป็นอย่างดี


เหตุการณ์เริ่มพัฒนาตรงที่ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ย้อนภาพในวัยเด็กโดยการเล่าประวัติของเดวิด ตั้งแต่เล็กจนโต โดยทำให้ผู้ชมรู้ว่า เดวิด เกิดในครอบครัวที่มีความรักความอบอุ่น แต่ก็แฝงไปด้วยความคาดหวังจากผู้เป็นพ่อด้วยเช่นกัน โดย ผู้เป็นพ่อ ได้ปลูกฝังให้เขาเล่นเปียโนตั้งแต่ยังเล็ก นอกจากนั้นยังต้องการให้เขาเอาแต่ชนะสถานเดียว พยายามให้เขาฝึกเล่นเพลงที่ยาก เพียงเพื่อต้องการชัยชนะโดยที่ไม่คำนึงถึงศักยภาพภายในตัวเขาแม้แต่น้อย

ความขัดแย้งในเรื่องเกิดจาก ความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ นั่นคือ เดวิด และพ่อของเขาที่มีความคิดเห็นและความต้องการที่ไม่ตรงกัน

แก่นเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้ คือ ตอนที่เดวิด เกิดอาการช๊อค ระหว่างแสดงเปียโนเพลงที่ยากที่สุด ที่เขาต้องทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจ เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ ทำให้ชีวิตของเขาเกิดพลิกผัน

ภาพยนตร์เรื่องนี้มีการนำเสนอที่ดี โดยเป็นการเล่าเรื่องแบบย้อนกลับ นั่นคือ หลังจากการเปิดเรื่องที่มีคนพึมพำอะไรในมุมมืดแล้ว ฉากต่อมา คือที่ ณ ปัจจุบันของเรื่อง และเล่าย้อนอดีตเรื่อยมาจนเหตุการณ์ดำเนินและมาประกอบเข้ากับการเปิดเรื่องในตอนแรกได้เป็นอย่างดี อีกทั้งเมื่อประกอบกับเหตุการณ์ตอนเปิดเรื่องแล้วยังมีการดำเนินเรื่องต่อไปอีกด้วย ทำให้ผู้ชมเข้าถึงเหตุการณ์และลำดับของเรื่องได้เป็นอย่างดี และทำให้น่าติดตามอีกด้วย


ฉาก บรรยากาศ และดนตรีประกอบเพลง เหมาะสมเป็นอย่างดี เนื่องจาก ก่อนเริ่มเรื่องมีการเปิดเรื่องที่ฉากมือสนิท สื่อถึงความดับ ทางตัน ทางจิตใจ และฉากฝนตก ทำให้สื่ออารมณ์ตัวละครได้ชัดแจ้ง เนื่องจาก ตัวละครกำลังต้องการอะไรบางอย่างนั่นคือ กำลังตามหาเปียโน ตามทางในเมือง การใช้ฉากฝนตกหนัก ยิ่งเป็นการเสริมอารมณ์และเสริมความหมาย เพราะแสดงถึงความรวดเร็ว และความกระตือรือร้น มากกว่าที่จะใช้ฉาก ฤดูหนาว หรือฤดูแล้ง ที่จะสื่อถึงความโดดเดี่ยว อ้างว้าง


การปิดเรื่องเป็นฉากที่แสดงถึงความหดหู่แต่แฝงไปด้วยความภาคภูมิ นั่นคือ เดวิด ตัวละครเอกของเรื่อง มีความภาคภูมิใจที่เขาได้รับการตอบรับดีเป็นอย่างมากจากการที่กลับมาเล่นเปียโนอีกครั้ง และความหดหู่คือ อยากที่จะให้พ่อของเขาเอง ได้มีโอกาสเห็นความภาคภูมิใจของเขา


มีการใช้ดนตรีประกอบที่ดี เมื่ออารมณ์ โดดเดี่ยวก็ใช้เพลงที่สื่อถึงความเศร้า เข้าถึงอารมณ์ นอกจากนั้น การถ่ายภาพมีการตัดต่อที่ดี ทำให้ตื่นเต้นน่าติดตาม


ตัวละครเดวิด เป็นตัวละครเอกของเรื่อง ได้รับการปลูกฝังมาจากพ่อ ให้มุ่งมั่นและเอาชนะ จะเห็นได้ว่าเมื่อตอนเด็กจะเป็นเด็กค่อนข้างที่จะเป็นเด็กเรียน คือ จะหมกมุ่นอยู่กับตนเองและจริงจัง ต่อมาเมื่อถึงตอนที่ผิดหวังจากการที่พ่อไม่ให้ไปเรียนที่อเมริกา ทำให้ความเก็บกดที่ซ่อนภายในจิตใจได้แสดงออกมา โดยที่ความเก็บกดนี้มีติดตัวเขามาโดยตลอดตั้งแต่เด็ก โดยที่เขาไม่รู้ตัว เมื่อถึงตอนที่มีอะไรมากระตุ้น หรือทำให้เขาถึงขีดสุด เขาก็จะระเบิดมันออกมา ความเก็บกดที่แสดงออกมานั้น เช่น เมื่อพ่อไม่ให้ไปเรียนต่อ จึงไปหาที่พึ่งแต่เมื่อไม่สามารถติดต่อใครได้ จึงมาระเบิดอารมณ์ในตอนที่แก้ผ้า เปลือยเปล่าอยู่ในอ่างอาบน้ำและเปิดฝักบัว นั่งกอดเข่า อย่างหดหู่ จริงอยู่ที่คนปกติจะแก้ผ้าเปลือยตอนอาบน้ำ แต่ในขณะนั้น เขาไม่ได้ตั้งใจจะอาบน้ำเลย และเมื่อพ่อมาเรียกให้ออกไป เขาก็ไม่ยอมออก และพฤติกรรมการเปลือยเปล่านี้ก็มีผลต่อเนื่องมาถึงตอนโต คือ เมื่อเขาได้เรียนดนตรีที่อังกฤษ ก็ได้ซ้อมอย่างหนัก และไม่ได้ใส่กางเกง เดินไปข้างนอก เมื่อถึงตอนโต หลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลจิตเวชแล้วก็มีการเปลือยล่อนจ้อน จะเห็นได้ว่าพฤติกรรมที่พ่อกระทำต่อเขาครั้งยังเด็กนั้นมีผลต่อเขาอย่างมาก แสดงว่าเขานึกถึงพ่อเขาตลอดเวลา และพยายามนึกถึงสมัยเด็กๆ แม้ขณะตอนท้ายเรื่อง เขายังเดินหันหลังและก้าวกระโดด ท่าเดียวกับเมื่อตอนเด็กที่พ่อจูงกลับบ้าน


ตัวละคร Peter พ่อของเดวิด เป็นตัวละครที่ทำให้เดวิด มีชะตากรรมที่ทุลักทุเล เนื่องจาก ตัวเขาเองไม่ได้รับการสนับสนุนการเรียนดนตรีจากบิดา และเมื่อโตขึ้นจึงนำความผิดหวังนั้นมาเติมเต็มให้กับลูกชายตน โดยหารู้ไม่ว่า การกระทำของเขาไม่ได้เป็นการเติมเต็มแต่เป็นสิ่งที่ล้นเกินไป การที่เขาคาดหวังในตัวลูก มากจนเกินไป และพยายามนำสิ่งที่ยากเกินไปยัดเยียดให้ลูกทำ โดยไม่คำนึงถึงความพร้อมของลูกชาย ทำให้ลูกชายเป็นเด็กเก็บกด และเมื่อถึงตอนที่ลูกได้ทุนไปเรียนต่อ เขาก็ไม่ให้ลูกไป และได้ใช้กำลังทำร้าย ทารุณ ลูกของตนเอง การกระทำเช่นนี้ ถือเป็นการแสดงออกถึงความกลัว นั่นคือ ความกลัวที่จะสูญเสียความรัก ความอบอุ่นของครอบครัว โดยเขาอาจจะคิดว่า ถ้าลูกไปเรียนต่อแล้วครอบครัวจะไม่สมบูรณ์ ถึงแม้ตอนสุดท้ายเขาจะตามหาตัวลูกชายของเขาเจอแต่กลับรับในพฤติกรรมของลูกชายไม่ได้ จึงเดินจากไป แสดงว่าถึงแม้ว่าเขาจะกลัวที่ต้องอยู่คนเดียว แต่ในเมื่อลูกชายทิ้งเขาไปเพื่อไปตามหาความฝันของตนเองแล้วนั้น เขาก็สามารถทำใจได้ในระดับหนึ่งที่ว่า ไม่สามารถรั้งลูกชายของตนได้อีกแล้ว แต่ถึงกระนั้น ความรักที่เขามีต่อลูกชายก็ไม่ได้ลดลง เนื่องจากยังคงติดตามผลงานของลูกชายตนอยู่ตลอดเวลา


การตั้งชื่อภาพยนตร์ว่า Shine นั้น ดูแล้วชวนให้ติดตามและเข้ากันได้ดีกับเนื้อหาเป็นอย่างมาก เนื่องจาก คำว่า Shine แปลว่า ความสดใส รุ่งโรจน์ และความสว่าง สามารถสื่อถึงเนื้อเรื่องที่ว่า ตัวละครเอกของเรื่อง คือ เดวิด ที่ต้องเผชิญกับมรสุมชีวิตตั้งแต่วัยเด็กจนโต แต่สุดท้ายเขาก็กลับมาทวงความยิ่งใหญ่และเจิดจรัสอีกครั้งในการแสดงเปียโนที่เขารัก ชีวิตของเขา เหมือนกับชื่อภาพยนตร์ เพราะ เท่ากับว่าตัวเขาได้กลับมาสว่างสดใส และรุ่งโรจน์หลังจากที่มืดมนมานานนั่นเอง


ภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นภาพยนตร์ที่มีเนื้อหา และการดำเนินเรื่องที่ประทับใจเป็นอย่างมากคือการลำดับขั้นตอน เพราะนอกจากจะมีการดำเนินเรื่องที่เป็นลำดับขั้นตอนที่ชวนให้น่าติดตามแล้วนั้น คติที่แฝงมากับภาพยนตร์เรื่องนี้ สามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ทั้งกับผู้ปกครองและเด็ก ในส่วนคติเมื่อผู้ปกครอง จะได้รับหลังชมภาพยนตร์เรื่องนี้ คือ การอบรมเลี้ยงดูลูก เด็กจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคต ย่อมต้องเกิดจากการปลูกฝัง และความรักและความเอาใจใส่ ไม่ยัดเยียดอะไรที่เกินพอดี เพราะจะเป็นผลร้ายต่อเขาในวันข้างหน้า และคติที่ได้ หากผู้ชมเป็นบุคคลที่กำลังศึกษาหาความรู้อยู่นั้น คือ การรักที่จะทำในสิ่งในสิ่งหนึ่ง ต้องอาศัยความพอดี เป็นพื้นฐาน หากเราทำอะไรเกินตัวแล้ว จะเป็นโทษแก่ตัวเราเอง กล่าวโดยสรุปว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ ให้คติ คือ ความพอดี เพราะ ในพื้นฐานของความเป็นจริงโดยทั่วไปแล้ว การทำอะไรเกินพอดีย่อมเป็นโทษต่อตนเอง เช่น การทานอาหารประเภทโปรตีนเพื่อให้ร่างกายเจริญเติบโต แต่ถ้าทานมากเกินไปก็จะเกิดภาวะอ้วน

ภาพยนตร์เรื่องนี้นอกจากจะให้คติแล้วยังแฝงความสุข ความเศร้า ความหดหู่ และความเห็นใจ ในตัวเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองอีกด้วย

ไม่มีความคิดเห็น: