วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2551

SHINE

กชพรรณ

ชาย์น ภาพยนตร์ออสเตรเลียที่สร้างมาจากเรื่องจริงของนักเปียโนชาวออสเตรเลีย เดวิด เฮส์ทกอทท์ ผู้มีพรสวรรค์ในด้านเปียโนมาตั้งแต่เล็กๆ แต่ต้องโดนการกดดันจากพ่อแท้ๆของเขาจนเกิดอาการป่วยทางจิตใจ จนแพทย์สั่งห้ามเรียนเปียโนอีก แต่เขาก็สามารถกลับมาเล่นเปียโนที่เขารักได้เพราะกำลังใจจากภรรยาและครอบครัว

ชาย์น สร้างในปี1996 โดยผู้กำกับ สก็อต ฮิกส์ โดยมีเรื่องราวของเดวิดเป็นแรงบันดาลใจ ถ่ายทอดโดยนักแสดงมือฉมัง จีโอเฟรย์ รัช, โนอาห์ เทเลอร์ และนักแสดงอื่นๆอีกมากหน้าหลายตา ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ถูกเสนอเข้าชิงรางวัลออสการ์หลายสาขา และตามความคาดหมายของคอภาพยนตร์ ชาย์นชนะรางวัลออสการ์ สาขา นักแสดงชายยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม, เพลงประกอบยอดเยี่ยม และสาขาอื่นๆอีกมากมาย

ชาย์น เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับนักเปียโนผู้มีพรสวรรค์ตั้งแต่เด็กๆ เดวิด เฮส์ทกอทท์ เดวิดเป็นน้องชายคนสุดท้องในจำนวนพี่น้องสามคน ปีเตอร์พ่อของเดวิดหัดให้เขาเล่นเปียโนตั้งแต่เด็กๆ และถูกจำกัดกรอบให้มีแต่ดนตรีเครื่องใหญ่เครื่องนี้ ชีวิตในวัยเด็กของเดวิดจึงมีแต่เปียโน และไม่มีโอกาสได้ออกไปเล่นตามประสาเด็กๆกับใครเลย พ่อผู้เข้มงวดคอยพร่ำสอนให้เดวิดเข้มแข็งและต้องชนะการแข่งขันเท่านั้น เดวิดเป็นเด็กที่ไม่เถียงและเชื่อฟังพ่อแม่เป็นอย่างดี อีกทั้งพระเจ้าได้มอบพรสวรรค์ด้านเปียโนให้เดวิดอย่างงดงาม พ่อภูมิใจในตัวเดวิดมากและพยายามผลักดันให้เดวิดเป็นนักเปียโนที่ยิ่งใหญ่ให้ได้ ด้วยความที่พ่อมีปมหลังในตอนเด็ก ทำให้เดวิดน้อยต้องวนเวียนอยู่ในความคิดฝันเดิมๆของพ่อ พ่อคอยกดดันเดวิดในทุกเรื่อง ทั้งเรื่องเรียน เรื่องเปียโน ไปจนถึงจิตใจของเดวิด จนกระทั่งระหว่างที่เดวิดเล่นเพลง ซึ่งเป็นเพลงที่พ่อวาดความหวังไว้กับตัวเขาไว้สูงมากจบ เดวิดถึงกับสลบลงไป และหลังจากนั้นเดวิดก็มีอาการทางประสาท แพทย์สั่งเดวิดไม่ให้เล่นเปียโนอีกต่อไป แต่หัวใจเดวิดยังมีโน้ตเพลงอยู่เต็มไปหมด เขายังอยากเล่นเปียโนที่เขารักอยู่ จนสุดท้ายเมื่อเดวิดมีครอบครัว และได้รับกำลังใจและการดูแลรักษาอย่างดีจากภรรยา กิลเลียน เดวิดก็สามารถกลับมาเล่นเปียโนได้และเปิดการแสดงอันยิ่งใหญ่อีกครั้ง เดวิดกลับมาส่องสว่างได้อีกคราหลังจากเกือบจะมืดมิดไป


ฉากแรกเปิดเรื่องด้วยใบหน้าครึ่งซีกของชายวัยกลางคนบนพื้นหลังสีดำ ชายผู้นั้นมีการพูดที่ผิดปกติ เสียงสั่นและพูดติดๆกัน พื้นหลังสีดำทำให้ภาพหน้าของผู้ชายคนนั้นชัดขึ้น ถึงจะเป็นแค่บางซีกเสี้ยว แต่ก็เป็นภาพที่สื่อให้รู้ว่าเรื่องราวเปิดเรื่องด้วยคนๆนี้ และด้วยการพูดที่ติดๆขัดๆดูแปลกของเขาสะกิดใจผู้ชมว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวกับอะไร ฉากต่อมาเป็นฉากที่ชายคนเดิมวิ่งฝ่าฝนไปยังร้านอาหารร้านนึง ชายคนนั้นเข้าไปและพูดไม่หยุด ด้วยการพูดที่ผิดปกติของเขาทำให้คนในร้านนึกว่าเขาเป็นคนบ้า แต่มีผู้หญิงที่ชื่อซิลเวีย ดูท่าทางใจดีมาคอยช่วยและพูดคุยถามตลอดเวลา


อยู่ดีๆภาพก็ตัดไปยังผู้คนที่นั่งเรียงกันมองเข้ามาที่จอ เปรียบเสมือนเราเป็นตัวละครหนึ่งในนั้น เป็นฉากการแสดงเปียโน โดยมีเด็กผู้ชายผมดำหยักศก ใส่แว่นตาเดินตรงเข้าไป โดยมีความรู้สึกกดดันเจืออยู่ และฉากนี้ทำให้ได้รู้ว่าเด็กชายคนนั้นชื่อเดวิด เด็กน้อยเล่นเปียโนอย่างไพเราะและพลิ้วไหว แต่เกิดอุบัติเหตุเล็กน้อยที่เปียโนเลื่อนเอง ทำให้เดวิดเล่นเปียโนลำบากขึ้น ชายแก่คนนึงลุกขึ้นมาและสบถด่าเรื่องที่เปียโนเลื่อนเอง และเขาก็คือพ่อของเดวิดน้อย จากตอนแรกที่โมโหมาก แต่พอได้รับคำชมจากผู้ชมแถวนั้นก็รู้สึกภูมิใจขึ้นมา เป็นการสื่อถึงลักษณะตัวละครตัวนี้ได้ในครั้งแรกว่าเป็นคนยังไง ระหว่างทางกลับบ้าน พ่อเดินนำหน้าเดวิดลิ่วโดยไม่รอ การเดินเร็วๆนั้นทำให้รู้ว่าพ่อโกรธและผิดหวัง เพราะเดวิดแพ้


ฉากในบ้าน พ่อเล่าเรื่องสมัยเด็กของพ่อให้เดวิดฟัง และทำให้รู้ว่า พ่อนั้นมีปมในใจตั้งแต่เด็ก พ่ออยากเล่นไวโอลินแต่พ่อของพ่อเองกีดกัน ทำให้ความรู้สึกที่พ่ออยากเป็นนักดนตรีถูกปิดตาย และเดวิดกลายเป็นตัวแทนของพ่อที่จะสืบสานความฝันที่แรงกล้าของพ่อต่อไป พ่อพร่ำสอนกับเดวิดอย่างเข้มงวดว่าต้องชนะ ระหว่างนั้นก็มีแขกมาเยือน เขาคนนั้นคือกรรมการในการประกวดเปียโนที่เดวิดไปแข่งมา กรรมการมาบอกกับพ่อว่าเดวิดเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์และเดวิดก็ไม่ได้แพ้ เขาส่งซองจดหมายสีขาวที่ปิดผนึกให้พ่อ พ่อรีบเก็บเอาไว้โดยไม่ได้เปิด ทำให้สงสัยว่าในนั้นมีอะไร กรรมการจูงใจพ่อว่าควรให้เดวิดได้เรียนรู้มากกว่านี้ แต่พ่อได้ปฏิเสธไป คืนนั้นเดวิดเล่นเปียโนอยู่ พ่อเดินเข้ามาถามถึงเพลงที่เดวิดเล่น นั่นคือเพลง แร็คมานีนอฟ 3 เพลงนี้เป็นเพลงที่ยากมากเกินกว่าเด็กจะเล่นได้สมบูรณ์แบบ พ่อหวังอยากให้เดวิดเล่นเพลงนี้ให้ได้ทั้งๆที่เป็นเด็กอยู่จึงตัดสินใจให้เดวิดไปเรียนกับกรรมการคนนั้น ชายหนุ่มรับสอนแต่บอกว่า แร็คมานีนอฟ 3 นั้นเด็กอายุอย่างเดวิดยังเล่นไม่ได้ จึงสอนเดวิดไปจนกระทั่งเป็นหนุ่ม


ภาพตัดฉายให้เห็นที่การชนะการประกวดของเดวิดในวัยหนุ่ม และได้มีผู้เชิญรางวัลผู้นึงมามอบรางวัลและถามคำถามเดวิด แต่เดวิดดูจะตอบไม่ค่อยได้ จนพ่อต้องตะโกนพูดให้แทน ฉากนี้ทำให้ได้รู้ว่า พ่อเองก็กดดันและบังคับเดวิดไปถึงจิตใจและทุกอย่าง ทำให้เดวิดเป็นคนที่ประหม่า ขาดความมั่นใจเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น ไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง เออออห่อหมกกับคนอื่นตลอดเวลา ส่วนพ่อเองก็มีความคิดที่หนักแน่นไม่เปลี่ยนแปลง พ่อรักและภูมิใจในตัวเดวิดมาก พ่อจะมีสมุดที่รวบรวมข่าวสาร รูปภาพของเดวิดที่ลงในหนังสือพิมพ์ต่างๆตัดแปะไว้ ในฉากที่พ่อดูสมุดนั้นอยู่ พ่อยิ้มและมีแววตาที่ภูมิใจเหลือเกิน และด้วยความรักที่มีต่อเดวิดมากนั้น กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างพ่อกับเดวิด เพราะเดวิดได้รับเชิญให้ไปอเมริกา เดวิดดีใจมากแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไป ด้วยเหตุผลของพ่อว่า ไม่อยากให้ครอบครัวแตก อยากให้ทุกคนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ด้วยเหตุทำให้เดวิดเสียใจมาก จะมีในฉากที่มีงานเลี้ยงที่เชิญเดวิดไปอเมริกา เดวิดได้เจอกับผู้หญิงแก่คนนึง เธอเป็นนักเขียนชื่อว่าแคทเธอรีน ผู้หญิงคนนี้จะทำให้ชีวิตของเดวิดเปลี่ยนไป


ฉากนึงที่แสดงถึงผลกระทบจากความกดดันของพ่อต่อเดวิดก็คือ ฉากที่เดวิดอาบน้ำในอ่างแล้วอุจจาระลงไป พ่อโกรธมากและฟาดเดวิดอย่างรุนแรง สื่อให้เห็นว่าเดวิดถูดกดดันอย่างมาก จนขาดการควบคุมตัวเอง แต่พ่อก็ไม่รับรู้ คำพูดที่ออกจากพ่อส่วนใหญ่จะมีแต่คำที่คอยบ่มเพาะเดวิด พ่อจะสอนให้เอาตัวรอด เข้มแข็ง ชนะคู่ต่อสู้ และจะให้เดวิดทวนคำพูดของตนอีกโดยไม่ได้สนใจถึงจิตใจของเดวิดเลย สิ่งที่พ่อกระทำกับเดวิดทั้งหมดกำลังหล่อหลอมให้เดวิดกลายเป็นคนที่ดูไม่ปกติในสายตาผู้อื่น


ฉากตัดมาเปิดที่เดวิดวัยกลางคนที่นอนอยู่บนพื้น ในทีวีมีเงาลางๆของแคทเธอรีน ในมือของเดวิดมีจดหมายสภาพเก่าและขาดอยู่ เป็นฉากที่เปิดส่งผู้ชมเข้าสู่เรื่องของเดวิดกับแคทเธอรีน เดวิดเริ่มสนิทกับแคทเธอรีน เดวิดจะไปเล่นเปียโนให้เธอฟังอยู่เสมอ และดูเหมือนเธอจะเป็นคนเดียวที่คอยสนับสนุนเรื่องเปียโนกับเดวิดอย่างอิสระ เดวิดเองก็สบายใจที่ได้อยู่กับแคทเธอรีน วันหนึ่งเดวิดได้รับจดหมาย ซึ่งจดหมายนั้นคือจดหมายที่ให้เดวิดไปเรียนต่อทุนทางด้านเปียโน แคทเธอรีนเป็นเพียงคนเดียวที่ดีใจกับเดวิด เดวิดอยากให้พ่อดีใจมากกว่า แต่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าพ่อต้องโกรธมากแน่ๆ และก็เป็นจุดแตกหักระหว่างพ่อกับเดวิดจริงๆ พ่อทุบตีร่างกายเดวิดอย่างหนักสาหัส แต่สุดท้ายเดวิดก็เลือกที่จะออกจากบ้านไป พ่อเสียใจมากถึงกับเอาสมุดที่รวบรวมข่าวและรูปภาพเกี่ยวกับเดวิดไปเผาทิ้งทั้งหมด แสดงถึงความโกรธของพ่อ สัญลักษณ์อีกอย่างที่แสดงว่าพ่อโกรธมากก็คือ เปลวไฟที่สะท้อนในแว่นตาของพ่อทั้งสองข้างที่ตรงกับตาพอดี สื่อให้รู้ว่าในดวงตาพ่อมีแต่ความโกรธ
ต่อมาเดวิดเข้าเรียนต่อทุนตามที่ต้องการ เดวิดได้มีโอกาสเจอครูที่เก่งกาจ และมีโอกาสได้เล่นแร็คมานีนอฟ 3อีกครั้ง เพลงแร็คมานีนอฟ 3กลายเป็นเพลงที่เป็นจุดหมายของเดวิดไปแล้ว เพราะเป็นเพลงที่พ่อตั้งความหวังกับตนไว้มาก เดวิดตัดสินใจเลือกเพลงนี้เข้าประกวดรอบสุดท้าย ครูตอบตกลงที่จะสอนเดวิดอย่างเข้มงวด เดวิดเองก็เข้มงวดกับตัวเอง ซ้อมอย่างเอาเป็นเอาตาย เดวิดซ้อมหนักมาแม้อากาศจะหนาวเหน็บ จนกระทั่งถึงวันแข่ง เดวิดเล่นแร็คมานีนอฟ 3 อย่างหนักหน่วงและงดงามสมกับที่ซ้อมมาอย่างหนัก คุณครูภูมิใจและซาบซึ้งในการแสดงของเดวิดครั้งนี้มาก จนจบลงเสียงตกมือดังเกรียวกราว เดวิดยังไม่ทันได้ยืนโค้งขอบคุณ แต่กลับล้มลงสลบไป


เดวิดกลายเป็นคนป่วยทางประสาท เนื่องจากความเครียดและถูกกดดันมากเกินไป แพทย์สั่งไม่ให้เดวิดเล่นเปียโน เขากำลังจะพลัดพรากจากสิ่งที่เขารัก ชีวิตในตอนนี้กลับมืดมิดทันที เดวิดอาศัยอยู่ในโรงพยาบาลโรคจิตและพักรักษาตัวเองจนได้เจอกับผู้หญิงคนนึง เธอชื่อเบอริล เดวิดตามออกไปอยู่กับผู้หญิงคนนั้น แต่ก็อยู่ได้ไม่นานเพราะเดวิดสร้างความเสียหายแก่บ้านของเบอริล จนเบอริลส่งเดวิดไปอยู่กับมิน็อก ทีนั่นมีเปียโน ทำให้เดวิดได้เล่นเปียโนอย่างเต็มที่ เดวิดเอาแต่เล่นเปียโนจนก่อความรำคาญให้เพื่อนบ้าน ดูเหมือนนี่ไม่ใช่สิ่งที่เดวิดต้องการ


วันหนึ่งเดวิดนั่งเล่นอยู่สวนสาธารณะและออกวิ่งตามคู่ชายหญิงคู่หนึ่ง เดวิดวิ่งไปเรื่อยๆ และฉากนี้ก็ได้กลับวนทับซ้อนกับฉากแรกที่เปิดตัวภาพยนตร์ เดวิดได้เข้าไปอยู่ในร้านอาหารแห่งนั้น และได้เล่นเปียโนที่เขารักอย่างมีความสุข เดวิดมีชื่อเสียงขึ้นมา และได้ลงหนังสือพิมพ์ จนพ่ออ่านเจอ ในนั้นเขียนว่า “David shines” หรือก็คือเดวิดกลับมาส่องประกายอีกครั้ง พ่อได้เดินทางมาหาเดวิดที่ห้องพัก เป็นฉากที่พ่อกับลูกเจอกันหลังจากไม่เจอกันนาน พ่อนำเชือกที่มีเหรียญทองคล้องให้เดวิด ซึ่งเหรียญนี้เป็นเหรียญตั้งแต่สมัยเด็กๆที่อยู่ในซองจดหมายสีขาว พ่อไม่เคยได้ให้เดวิดไว้เลย พ่อเล่าเรื่องตอนเด็กๆของพ่ออีกครั้ง คำถามนี้พ่อรู้ดีว่าเดวิดต้องตอบอย่างที่เคยตอบ แต่เดวิดกลับบอกว่าจำไม่ได้ และพ่อก็รับรู้ว่าเดวิดได้เลือกทางของตนเองแล้ว


ซิลเวียเพื่อนของเดวิดได้พากิลเลียนเพื่อนของเธอมาแนะนำให้เดวิดรู้จัก กิลเลียนมีความสามารถพิเศษคือผูกดวงได้ ฉากที่ทั้งสองได้เจอกันเป็นฉากที่ตลกมาก กิลเลียนเจอเดวิดในสภาพที่กายเปลือยเปล่า แต่กิลเลียนก็ไม่ได้แสดงความรังเกียจ กลับดูเปิดใจและยอมรับเดวิดเป็นอย่างดี ฉากที่กิลเลียนนั่งมองเดวิดเล่นเปียโนในร้าน กิลเลียนมองเดวิดอย่างทึ่งๆปนชอบใจ เป็นฉากที่เฉลยทีละนิดในความรู้สึกของกิลเลียน เธอเป็นเพื่อนที่ดีของเดวิด คอยพาเดวิดไปสถานที่ต่างๆและดีต่อเดวิดมาก ฉากที่กิลเลียนจะต้องกลับไปยังที่ของเธอ เดวิดขอกิลเลียนแต่งงาน กิลเลียนตกใจมากแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอย่างชัดเจน คำพูดเด็ดของเดวิดที่ตรึงใจกิลเลียนก็คือ “ให้ถามดวงดาวดูสิ” กิลเลียนได้แต่คิดถึงเรื่องที่เดวิดขอแต่งงาน และคำพูดของเดวิด จึงตัดสินใจนำดวงของเดวิดมาผูกดู ในขณะนั้นมีสัญลักษณ์ถึงการตัดสินใจของกิลเลียนก็คือ กิลเลียนใช้นิ้วเคลื่อนแหวนแต่งงานไปมา จนกระทั่งหลุดออกมาและวางทิ้งไว้ เป็นอันเข้าใจว่า กิลเลียนตกลงแต่งงานกับเดวิด ชีวิตของเดวิดดูมีความสุขขึ้นมาก กิลเลียนเป็นผู้หญิงที่น่ารักมาก คอยดูแลเดวิดและรักเดวิดอย่างใจจริง เธอใจเย็นและเข้าใจเดวิดเสมอ กิลเลียนเป็นกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ในการที่เดวิดจะกลับมาเล่นเปียโนและแสดงโชว์ยิ่งใหญ่อีกครั้ง


ภาพตัดมาที่ฉากเดวิดยืนบนเวที และมีเสียงตบมือดังสนั่น ทุกคนยืนตบมือให้เดวิดอย่างชื่นชม เดวิดดีใจมากจนร่ำไห้ด้วยความตื้นตัน ทุกคนที่อยู่ในชีวิตของเดวิดได้มาดูการแสดงอันยิ่งใหญ่นี้ ขาดแต่เพียงคนเดียว คนที่สำคัญมากของเดวิด ฉากสุดท้ายเดวิดนั่งมองป้ายสุสานของพ่อ แต่ความรู้สึกของเขาก็ไม่ได้เสียใจถึงขั้นใจจะขาด แต่ก็เป็นความหม่นมองในใจ เดวิดเดินคุยกับกิลเลียนไปอย่างมีความสุข


สิ่งที่ประทับใจในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็จะมีอยู่เด่นชัดในเรื่องตัวละคร นักแสดงที่แสดงเป็นเดวิดทั้งวัยเด็ก วัยรุ่น และวัยผู้ใหญ่แสดงได้ดีมาก โดยเฉพาะในวัยผู้ใหญ่ซึ่งได้ จีโอเฟรย์ รัช นักแสดงมากฝีมือมาแสดง ซึ่งขอชื่นชมผู้คัดตัวแสดงเพราะ จีโอเฟรย์ รัชในเรื่องนี้ แสดงออกมาได้เหมือนเดวิดมาก แม้กระทั่งรูปลักษณ์ที่เหมือนกับเดวิดอย่างกับถอดแบบออกมา ภาพยนตร์เรื่องนี้ภาพสวย แต่ก็ดูไม่ได้เน้นถึงบรรยากาศมากมาย ภาพและเรื่องจับอยู่แต่เรื่องราวของเดวิด และลูกเล่นที่สลับเหตุการณ์การนำเสนอก็แปลกดี ดึงดูดให้ผู้ชมไม่เบื่อ และติดตามเรื่องราวไปเรื่อยๆ ถึงแม้ในช่วงท้ายๆของภาพยนตร์หรือแม้กระทั่งฉากจบจะดูกระชับเกินไป จนขาดความซาบซึ้งที่ควรจะได้มากกว่านี้ แต่เรื่องนี้ได้ให้ข้อความใหญ่ๆที่ตรึงในหัวใจของผู้ชมไว้อย่างดี ความพยายาม ความอดทน และการต่อสู้ต่ออุปสรรคของเดวิดสอนให้ผู้ได้รับชมมีความเข้มแข็งขึ้น และรู้สึกอิ่มเอมใจกับความสุขที่เดวิดได้รับหลังจากผ่านสิ่งเลวร้ายมามากมาย

ไม่มีความคิดเห็น: