วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Shine

สุพิชญ์

เรื่องจริงของนักเปียโนชาวออสเตรเลียผู้มีพรสวรรค์ที่พิเศษสุด กับการต่อสู้โชคชะตาอันแสนโหดร้ายจนสามารถเอาชนะและกลับมายืนบนจุดสูงสุดของเขาเองได้อีกครั้ง ผลงานภาพยนตร์จากประเทศออสเตรเลียปี ค.ศ. 1996 ผลงานการเขียนและกำกับของ Scott Hicks พ่วงด้วยรางวัลดารานำชายยอดเยี่ยมและอีกมากมาย

เรื่องราวของชายนักเปียโนที่ถูกถ่ายทอดแบบการเล่าเรื่องย้อนอดีต ย้อนกลับไปตั้งแต่เดวิดยังเป็นเด็กอาศัยอยู่ในครอบครัวลักษณะที่พ่อเป็นใหญ่มีสิทธิชี้ขาดและตัดสินใจเรื่องของลูก เดวิดมีพี่สาวและน้องสาวแต่พ่อจะเข้มงวดกับเขามากที่สุด พ่อเป็นผู้สอนเปียโนให้กับเขาและบ้างก็พาไปประกวด จนที่สุดแล้วเดวิดสามารถได้รับทุนไปเรียนต่อด้านดนตรีที่ประเทศอังกฤษ เขาจึงเลือกที่จะไปแม้ว่าจะต้องถูกตัดความเป็นพ่อลูกกันกับพ่อ ที่นั่นเขาได้อาจารย์ที่เห็นพรสวรรค์ในตัวเขาและช่วยสอนเขาในทุกๆเรื่อง ทำให้เขามั่นใจและฝึกฝนอย่างหนักเพื่อขึ้นเวทีคอนเสิร์ต แต่แล้วจากความกดดันและความเครียดอย่างมากทำให้เขาต้องหยุดเล่นดนตรีและเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล เขาใช้เวลาในการต่อสู้กับตัวเองเพื่อจะกลับมาเล่นดนตรีให้ได้อีกครั้งด้วยความมุ่งมั่น และแม้หลังจากเหตุการณ์วันนั้นจะทำให้เขามีสภาพกายที่ไม่สมบูรณ์เท่าเดิมอีกต่อไป แต่ด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจของเขาบวกกับแรงใจจากภรรยาทำให้เขาสามารถกลับขึ้นเวทีคอนเสิร์ตอีกครั้งได้สำเร็จท่ามกลางความปลื้มปรีติยินดี การยอมรับและหยาดน้ำตาแห่งความสุขจากตัวเขาเอง

เรื่องนำเสนอการต่อสู้ชีวิตของเดวิดที่เต็มไปด้วยอุปสรรค แม้เขาจะมีพรสวรรค์ในการเล่นเปียโนและเล่นได้เก่งมาก แต่พ่อของเดวิดคอยจัดการและบงการชีวิตให้เขาอยู่ตลอด ซึ่งการจัดการบางเรื่องก็เป็นการปิดโอกาสและตรงข้ามกับความต้องการของเดวิด เขาจึงต้องกล้าที่จะยืนยันความต้องการของตัวเองแม้จะเป็นการขัดใจพ่อ นอกจากนี้เมื่อเขาได้ไปเรียนโรงเรียนดนตรีต่อที่ประเทศอังกฤษอย่างที่ตั้งใจแล้วเขาก็ต้องพบกับความโชคร้ายของโชคชะตาที่ทำให้เขาต้องสูญเสียความครบถ้วนสมบูรณ์ของร่างกายไปอีก ต้องเข้ารักษาตัวอยู่นานกว่าที่จะสามารถฟื้นตัวกลับมาเล่นเปียโนได้อีกครั้ง เริ่มจากเล่นที่บาร์และสุดท้ายก้าวขึ้นเวทีคอนเสิร์ตอีกครั้งจนเป็นบทพิสูจน์ตัวเขาเองว่า ได้เอาชนะต่อความโหดร้ายของโชคชะตาทั้งหมดได้สำเร็จ

ด้านบรรยากาศและสถานที่นั้นตอนเริ่มเรื่องจะเน้นไปที่ฉากบ้านเป็นห้องต่างๆในบ้าน ห้องครัว ห้องอาหาร ห้องน้ำ ลานหลังบ้านเป็นฉากที่คนในครอบครัวมีการสื่อสารระหว่างกัน โดยเฉพาะหลายฉากที่สำคัญอย่างตอนเดวิดนั่งอึในอ่างอาบน้ำและโดนพ่อตีอย่างแรง และฉากที่เดวิดตัดสินใจออกจากบ้านเพื่อไปเรียนต่อก็ล้วนเป็นฉากที่บ้าน นอกจากฉากบ้านก็จะมีให้เห็นบรรยากาศละแวกบ้านเล็กน้อยเป็นชุมชนที่อาศัยกันอยู่อย่างเงียบสงบ ต่อมาเป็นฉากที่ประเทศอังกฤษที่ๆเดวิดไปเรียนดนตรีต่อ มีบรรยากาศห้องเรียนที่ทันสมัยและเพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์เครื่องเล่น นอกจากนี้ก็จะมีฉากที่โรงพยาบาลพักฟื้นที่ร่มรื่นมีพยาบาลคอยดูแลอย่างใกล้ชิด

ฉากบาร์ที่เมื่อหลังจากพักฟื้นเดวิดก็มาอาศัยพักอยู่ที่บาร์นี้และเล่นเปียโนตอนกลางคืนให้ลูกค้าฟัง เป็นลักษณะบาร์ผสมร้านอาหารเป็นร้านเล็กๆ
แน่นอนว่าเรื่องนี้เดวิดเป็นตัวละครเอกของเรื่องเพราะทั้งหมดเป็นเรื่องราวชีวิตของเดวิด โดยมีตัวละครประกอบสำคัญคือ พ่อ รวมทั้ง แม่ ครูคนแรก ครูที่ประเทศอังกฤษรวมทั้งภรรยา ที่ทั้งหมดล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับเดวิดโดยตรง พ่อผู้ที่เป็นผู้บงการชีวิต แม่ผู้คอยสนับสนุนและให้กำลังใจ ครูคนแรกที่คอยช่วยเหลือและสนับสนุน ครูที่ประเทศอังกฤษที่คอยสอนและให้กำลังใจและภรรยาที่คอยดูแลและอยู่เคียงข้าง

เรื่องนี้ถูกตั้งชื่อว่า Shine แปลว่า ส่องแสง ซึ่งตรงกับเดวิดซึ่งเขาเป็นคนที่เก่งและมีพรสวรรค์และแม้จะถูกอุปสรรคมากมายลายล้อมเข้ามาเขาก็ไม่เคยยอมแพ้ แม้ร่างกายที่ไม่สมบูรณ์เหมือนเดิมแต่เขาก็ยังสามารถประสบความสำเร็จได้ ด้วยการส่องแสงนำทางตัวของเขาเอง และอีกนัยหนึ่งการส่องแสงนี้อาจเป็นการส่องแสงให้ทุกคนรอบข้างได้เห็นความเป็นตัวตนของเขา ผู้ที่มีแสงสว่างอยู่ในตัวเองผู้ที่ส่องแสงโดดเด่นและสวยงามอยู่เสมอท่ามกลางความโหดร้ายบนโลกใบนี้
หลังจากชมภาพยนตร์เรื่องนี้จบแล้วรู้สึกอิ่ม อิ่มกับความสุขและความสำเร็จของเดวิด เขาต้องพบผ่านอุปสรรคในชีวิตมามากมายเหลือเกินตั้งแต่พ่อ ไปจนถึงสุขภาพร่างกายของตัวเขาเอง แต่เขาก็ไม่เคยได้ย่อท้อเลย มีเพียงแรงใจที่เข้มแข็งต่อสู้กับทุกสิ่ง และความมีชีวิตชีวาในตัวของเขาเองทำให้ทุกคนที่พบเห็นจะต้องตกหลุมรักเขา อย่างฉากที่ไปเที่ยวที่ชายหาดกับภรรยาตอนเพิ่งรู้จักกัน ที่เดวิดวิ่งตัวเปลือยเปล่าลงทะเลอย่างมีความสุข และฉากที่เขาขอภรรยาแต่งงาน เขาแค่พูดตรงๆว่า แต่งงานกับผมนะ แต่รู้สึกว่าเขาจริงใจและตั้งใจพูดคำนั้นออกมาจริงๆ

ส่วนพ่อของเดวิดแม้ว่าตลอดทั้งเรื่องจะดูว่าเขาเกรี้ยวกราดกับเดวิดมากแต่ความรู้สึกส่วนตัวเมื่อชม รู้สึกว่าจริงๆแล้วเขารักเดวิดมากจึงอยากจะคอยดูแลและไม่ต้องการให้ไปไหนไกล จริงอยู่ที่เขาอาจทำเกินไปทั้งตีและดุด่า แต่หลายฉากที่แสดงถึงความรักที่เขามีต่อเดวิด อย่างฉากตอนที่เดวิดแสดงคอนเสิร์ตอยู่ที่ประเทศอังกฤษ พ่ออยู่ที่บ้านก็ฟังวิทยุและตอนนั้นก็เห็นว่าเขาน้ำตาไหล รวมถึงฉากที่เขาอ่านเจอในหนังสือพิมพ์คอลัมน์ Remember who? ลงเรื่องของเดวิดซึ่งกลับมาเล่นเปียโนอีกครั้งที่บาร์ เขาจึงเดินทางมาเพื่อนำเหรียญมาคล้องคอเดวิดในคืนหนึ่ง และแม้ฉากนั้นพ่อจะบังคับให้เขาพูดประโยคเดิมตั้งแต่เด็กๆว่า เขาเป็นโชคดีมากๆ แต่ความรู้สึกคือครั้งนี้เขาไม่ได้พยายามจะบังคับให้เดวิดพูดเพราะนิสัยเผด็จการเหมือนครั้งก่อน แต่รู้สึกว่าเป็นไปพื่อแก้เขินและตัดบทมากกว่า และเขายังดึงเดวิดมากอดและพูดว่า ไม่มีใครรักลูกเท่าพ่อ จากนั้นเมื่อเดวิดหันหลังกลับมาอีกครั้งพ่อก็กลับไปแล้ว

ส่วนตัวรู้สึกชอบภาพยนตร์เรื่องนี้เพราะอย่างน้อยแม้ว่าเกือบตลอดทั้งเรื่องตัวละครเอกจะต้องพบกับอุปสรรคมากมายแต่สุดท้ายด้วยแรงใจทำให้เขาฟันฝ่าทุกอย่างไปได้ และฉากสุดท้ายที่สุสานภรรยาถามคำถามและเขาตอบว่า ไม่รู้สึกเพราะพ่อตายเองไม่อยู่รอให้ขอโทษ....ภรรยาเขาหัวเราะและทั้งสองก็เดินไปด้วยกันอย่างมีความสุข ฉากสุดท้ายนี้สีของท้องฟ้าก็ดูสดใสอย่างมากให้ความรู้สึกปลอดโปร่ง ทำให้รู้สึกดีใจไปด้วยที่ว่าสุดท้ายเขาก็ได้มีความสุขเสียที

ไม่มีความคิดเห็น: