วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551

สมัชญ์

ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากชีวิตจริงของ David Helfgott นักเปียโนอัจฉริยะชาวออสเตรเลีย ผู้ที่มารับบทเป็นตัวละครเอกของเรื่องนั้นจะแบ่งออกมาเป็น 3 ช่วงด้วยกัน

ตอนเป็นเด็ก

พ่อของเดวิดรักลูก รักเมีย แต่เป็นรักชนิด ทำลายล้าง เพราะไม่มีเหตุผล เขาอ้างความรักเพื่อดูแลปกป้องครอบครัวแบบเผด็จการ ทุบตีอย่างรุนแรง ตลอดจนยัดเยียดความต้องการของตนเองให้กับลูก ปลดปล่อยความกดดันที่ตนเคยได้รับเมื่อวัยเด็กที่เคยอยากเรียนดนตรี ออมเงินไว้ซื้อไวโอลินเอง แต่โดนพ่อขัดขวางทุบไวโอลินทิ้ง....เขายกความฝันเหล่านั้นมาไว้ที่เดวิด "ลูกต้องชนะ" โดยการสอนดนตรีเอง ให้เดวิดเล่นอะไรยากๆเกินตัว จนในที่สุดต้องไปหาครูดนตรีจริงๆมาสอนลูก
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ตัวละครที่เป็นเดวิดนั้นก็ถ่ายทอดลักษณะของความขัดแย้งภายในระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ซึ่งก็คือระหว่าง พ่อของเขาที่ต้องการให้เขาทำตามคำสั่งทุกอย่างกับตัวของเขาเองที่ไม่เคยได้ใช้ช่วงเวลาของความเป็นเด็กกับเพื่อนๆเพราะเขาถูกการคาดหวังของพ่อตีกรอบไว้อย่างแน่นหนา

ตอนเป็นวัยรุ่น

เขาได้รับการเสนอทุนฯไปเรียนต่อที่สหรัฐฯ โดยไอแซก สเติร์น นักไวโอลินผู้ยิ่งใหญ่แต่....พ่อแม่ไม่ยอม ให้ไป ซึ่งต่อมาได้รับทุนไปเรียนที่ Royal College of Music ที่กรุงลอนดอน เดวิดตัดสินใจไปแบบขืนใจพ่อ...ผู้ประกาศตัดลูกตัดพ่อตั้งแต่บัดนั้น.....เขาเรียนเปียโนกับเซซิล ปาร์ก นักเปียโนชื่อดังชาวอังกฤษ ผู้ที่เจียระไนเพชรเม็ดนี้ให้สุกสว่างขึ้นมา เดวิดเล่นเปียโนคอนแชร์โตหมายเลข 3 ของ Rachmaninoff ได้อย่างยอดเยี่ยมจนได้รับการบันทึกว่า เป็นสุดยอดแสดง Rach 3 (ซึ่งเขาว่ากันไว้ว่าเป็นบททดสอบสุดท้ายที่ยากที่สุดของความเป็นเลิศทางเปียโน!!) ใน Alber Hall ตั้งแต่นั้นมา ในช่วงนี้เดวิดมีความขัดแย้งขึ้นภายในจิตใจอย่างมากเพราะการที่เขาอยากที่จะไปเรียนต่อแต่ก็กลัวพ่อของเขาจะโกรธและเสียใจทั้งๆที่เขารู้มาก่อนมาถึงยังไงเขาก็จะต้องถูกปฏิเสธจากพ่อของเขาอย่างแน่นอนแต่ยังมีอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เดวิดกล้าที่จะเลือกทางเดินที่ตนเองต้องการซึ่งก็คือ สตรีผู้สูงศักดิ์เชื้อสายรัสเซียผู้ที่เหมือนกับคนที่เดวิดสามารถคุยได้และสามารถให้คำปรึกษาได้

ตอนช่วงหลังจากการล้มหมดสติ

หนังฉายภาพการกลับมาของเดวิดแบบสนุกสนาน พูดจาเร็ว ฟังไม่ได้ศัพท์ ยิ้มและเริงร่าหัวเราะตลอดเวลา เหมือนเป็นการชดเชยที่ไม่เคยทำแบบนั้นมาหลายสิบปีเดวิดเหมือนหลุดพ้นจากสิ่งที่ผูกรัดเขามาตลอดทั้งชีวิตแต่มีอยู่ฉากหนึ่งที่เขาได้โทรศัพท์กลับไปหาพ่อเขาเหมือนกลับว่าเขาไม่เหลืออะไรแล้วหมดทุกอย่างแต่พ่อของเขาก็กลับใจแข็งไม่ยอมพูดด้วยและตอนจบพ่อของเขาก็ได้ไปหาเขาเองและยอมที่จะอภัยให้แต่ก็เหมือนว่าลูกของตัวเองได้กลายเป็นคนที่สติไม่ดีไปแล้ว

Plot (โครงเรื่อง)

การเปิดเรื่อง เริ่มจากฉากที่เดวิดออกมาวิ่งไปตามถนนที่ฝนตกลงมาพูดจากับคนที่อยู่ในร้านอาหารกลุ่มหนึ่งอย่างไร้สติและเร็วไปมาตลก สนุกสนาน

เหตุการณ์เริ่มพัฒนา ตอนเด็กเคยชนะการแข่งขันมากมาย จนได้รับการเสนอทุนฯไปเรียนต่อที่สหรัฐฯ โดยไอแซก สเติร์น นักไวโอลินผู้ยิ่งใหญ่แต่พ่อแม่ไม่ยอมให้ไป ซึ่งต่อมาได้รับทุนไปเรียนที่ Royal College of Music ที่กรุงลอนดอน

จุดสงสัยคือ เดวิดไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อของเขาจึงต้องห้ามไม่ให้เขาไปเรียนต่อ
เหตุผล (พ่อแม่ของเดวิดเป็นยิวจากโปแลนด์ (อีกแล้ว) อพยพหนีภัยสงครามและการคุกคามของนาซี ฯลฯ ความเจ็บปวดที่ได้รับเป็นเหตุให้เขาต้องการให้ลูกๆอยู่พร้อมหน้ากันตลอดไป เขาประกาศว่าจะไม่ยอมให้ใคร ทำลายครอบครัวของเขาได้ นั่นคงเป็นเหตุผลที่เขาไม่ยอมให้ลูกชายอัจฉริยะรับทุนไปเรียนต่อที่สหรัฐฯ และอังกฤษ)

ความขัดแย้ง ในภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ให้ตัวละครมีความขัดแย้งหลายประเภทมากเช่น
- เดวิดนั้นจะมีความขัดแย้งกับพ่อของเขาก่อนตอนสมันที่เขายังเป็นเด็กจากนั้นเมื่อเขาไม่สามารถที่จะหาคำตอบหรือได้รับฟังเหตุผลที่พอที่จะทำให้เขายอมรับได้เขาก็เริ่มเกิดความขัดแย้งขึ้นภายในจิตใจที่จะพยายามไม่ฟังคำสั่งพ่อตัดสินใจที่จะเลือกทางเดินของตนเองโดยการไปเรียนต่อ
- พ่อของเขาก็ขัดแย้งภายในจิตใจจากการที่เขาห้ามลูกไม่ให้ทำในสิ่งที่ตัวเขาชอบ แต่ก็เก็บผลงานลูกไว้มากมายหนังสือพิมพ์รางวัลต่างๆ

จุดวิกฤติ เดวิดกับพ่อของเขาทะเลาะกันครั้งใหญ่มากจนพ่อของเขายื่นคำขาดที่จะตัดพ่อลูกกันถ้าเดวิดไปเรียนต่อ
จุดไคลแม็กซ์ เขาตัดสินใจเลือกทางเดินที่ตนเองต้องการและตัดสินใจไปเรียนต่อ
การปิดเรื่อง เขาได้แต่งงานกับหญิงสาวผู้ที่พึ่งเจอเดวิดและยอมถอนหมั้นกลับมาแต่งานกับเขา แต่ก่อนหน้านี้พ่อของเดวิดได้กลับไปหาเดวิดเหมือนเป็นการให้อภัยแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น: