วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

Shine ชายผู้ส่องแสงเปล่งประกาย


นพวรรณ



เดวิด เฮลฟ์ก็อทท์ (David Helfgott) เด็กชายผู้มีพรสวรรค์ทางด้านดนตรี ซึ่งไม่เคยได้สัมผัสกับความสนุกสนานเหมือนกับเด็กคนอื่นๆในวัยเดียวกัน แต่กลับต้องมาคร่ำเคร่งอยู่กับการฝึกซ้อมเปียโนและเข้ารับการแข่งขันต่างๆ จนวันหนึ่งเขาชนะการแข่งขันและได้รับทุนไปเรียนดนตรีที่อเมริกา แต่พ่อเขากลับไม่ยอมให้ไป ด้วยเหตุผลที่ว่าเขาจะไม่ยอมให้ใครมาทำลายครอบครัวของเขาได้ เดวิดจึงต้องกลับมาใช้ชีวิตแบบเดิมๆ โดยมี แคทเธอรีน พริทชาร์ด นักเขียนหญิงสูงวัยเป็นที่พึ่งทางใจ เธอคนนี้ทำให้เขาเข้มแข็งและกล้าที่จะทำตามที่ใจตัวเองต้องการ ทำให้เขาตัดสินใจไปเรียนดนตรีที่อังกฤษจากทุนที่เขาได้รับเป็นครั้งที่สอง พ่อของเขาประกาศตัดพ่อตัดลูกนับแต่นั้น


ที่อังกฤษ เดวิดเริ่มมีพฤติกรรมที่หมกมุ่นแต่เรื่องการเล่นเปียโน เขาสนใจดูแลตัวเองน้อยลง และทุ่มเทให้กับการฝึกฝนเพลงของแร็คแมนีนอฟ ซึ่งถือเป็นบททดสอบที่ยากที่สุดของความเป็นเลิศด้านเปียโน แต่เมื่อจบการแสดง เขาล้มลงหมดสติอยู่บนเวที และถูกนำตัวเข้ารับการรักษา เขากลายเป็นคนป่วยทางจิตและต้องพักรักษาตัวนานเกือบ 20 ปี แม้เขาจะมีสภาพที่ไม่เหมือนเดิม แต่สิ่งหนึ่งที่ยังเหมือนเดิมคือเขายังคงเป็นอัจฉริยะทางด้านเปียโน ต่อมาเขาได้พบกับกิลเลียน ซึ่งเธอได้เห็นความน่ารัก ความร่าเริง อารมณ์ดีและความสามารถทางดนตรีของเขาจนเกิดความประทับใจและแปรเปลี่ยนมาเป็นความรักและเขาทั้งคู่ก็แต่งงานกัน ท้ายที่สุดเขาได้กลับมาเล่นเปียโนอีกครั้งและได้รับเสียงชื่นชมจากผู้ชมอย่างท่วมท้นท่ามกลางความยินดีของครอบครัวที่ปราศจาก “พ่อ” ของเขา

เรื่องนี้เปิดฉากในคืนที่ฝนตก ชายวัยกลางคนคนหนึ่ง วิ่งไปตามถนนท่ามกลางสายฝน และไปหยุดอยู่หน้าร้าน “โมบาย” สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่เปียโนในร้าน และเมื่อมีคนมาเปิดประตูให้ เขาก็เริ่มพูดเร็วจนแทบจับใจความไม่ได้ เปลี่ยนเรื่องไปมาอย่างรวดเร็วและพูดไม่หยุด เห็นได้ว่าเป็นอาการของคนที่ไม่ปกติ และจากนั้นเรื่องก็เล่าย้อนไปถึงชีวิตในวัยเด็กของเดวิด ซึ่งถูกพ่อฝึกเปียโนให้อย่างหนักเพื่อจะให้เขาชนะในการแข่งขันต่างๆ โดยไม่สนใจว่าเพลงที่ฝึกให้จะยากเกินไปสำหรับเด็กอย่างเดวิดหรือไม่

เดวิดเติบโตขึ้นมาโดยถูกพ่อตัดสินใจและจัดการให้ทุกเรื่อง ทำให้เขาสับสน ไม่รู้ว่าอะไรถูกหรืออะไรผิดเพราะพ่อจัดการให้ทุกอย่าง ทำให้เขากลายเป็นคนขาดความมั่นใจเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คน และด้วยความรักที่มากจนเกินไปของพ่อแต่เป็นความรักแบบไม่มีเหตุผลและใจแคบ จึงกลายเป็นสิ่งที่สร้างความกดดันให้เดวิด เขาต้องเติบโตขึ้นมาอย่างเงียบเหงาและโดดเดี่ยว โดยที่พ่อของเขาอ้างความรักในการดูแลครอบครัวแบบเผด็จการ บางครั้งมีการใช้กำลังอย่างรุนแรง ตลอดจนยัดเยียดความต้องการของตนเองให้กับลูก นั่นเป็นเพราะเกิดจากความกดดันที่เขาเคยได้รับในวัยเด็กที่เคยอยากเรียนดนตรี จึงเก็บออมเงินจนสามารถซื้อไวโอลินเองได้ แต่กลับโดนพ่อทุบทิ้ง เขาจึงใช้เดวิดเป็นตัวแทนของตนในวัยเด็ก นำความฝันที่ไม่เคยได้รับการสนับสนุนจากพ่อมาไว้ที่เดวิด โดยการพร่ำสอนเดวิดเสมอว่า "ลูกต้องชนะ"
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในเรื่องที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์โดยเดวิดและพ่อของเขามีความคิดเห็นและมุมมองที่ไม่ตรงกัน เดวิดอยากจะไปเรียนดนตรีที่สหรัฐอเมริกา ในขณะที่พ่อกลับคัดค้านไม่ยอมให้ไป ด้วยเหตุผลที่เขารักครอบครัวของเขามากและต้องการให้ทุกคนอยู่พร้อมหน้ากัน ซึ่งเป็นทัศนคติและจิตใจที่คับแคบของเขา เขาประกาศว่าจะไม่ยอมให้ใครมาทำลายครอบครัวของเขาได้ เป็นเหตุให้เขาคัดค้านและกีดกันไม่ให้เดวิดไปอเมริกา
เดวิดต้องผิดหวังและเสียใจอีกครั้ง เมื่อเขาได้รับทุนไปเรียนดนตรีที่อังกฤษ แต่ครั้งนี้พ่อก็ยังคงไม่ให้เขาไปอยู่ดี เหตุการณ์ในตอนนี้ได้นำไปสู่จุดวิกฤติของเรื่อง ความต้องการและความฝันที่จะไปของเขา ทำให้เขาต่อต้านผู้เป็นพ่อโดยยืนกรานจะไปให้ได้ พ่อโกรธมากจนลงมือทุบตีเขาอย่างรุนแรงสุดท้ายเขาก็เลือกที่จะทำตามความฝันของเขา เขากล้าหาญและเข้มแข็งขึ้นหลังจากที่ได้ยายพริทชาร์ดเป็นที่พักพิงทางใจและยังได้คิดจากคำพูดของยายพริทชาร์ดที่ว่า “พ่อหยุดยั้งเธอไม่ได้เดวิด” ทำให้เขากล้าที่จะต่อต้านโดยไม่ฟังคำคัดค้านของพ่อ เป็นเหตุให้เขาถูกตัดพ่อตัดลูกนับแต่นั้น

เรื่องราวดำเนินมาจนถึงตอนที่เดวิดต้องขึ้นเล่นเพลงที่ถือว่ายากที่สุด นั่นคือเพลงของแร็คแมนีนอฟ เพลงที่เต็มด้วยอารมณ์และความรู้สึกมากมายที่แสนจะสับสน ทั้งท่วงทำนองที่หนักหน่วงและแสนเศร้า แต่เดวิดก็เข้าถึงอารมณ์ของเพลงนี้ได้ แต่เมื่อเขาเล่นไปจนใกล้จะจบเพลง อาการเคร่งเครียดและเหน็ดเหนื่อยอย่างมากของเขาได้แสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจน และในตอนนี้เองที่เป็นการนำเข้าสู่จุดไคลแม็กซ์ของเรื่อง เขาล้มลงหมดสติบนเวทีหลังจากบรรเลงเพลงจบ
หลังจากนั้นเขาได้กลายเป็นผู้ป่วยทางจิต มีความคิดที่รวดเร็ว ไม่ปะติดปะต่อ พูดเร็วและมีการพูดคนเดียว อีกทั้งยังคงคิดถึงเรื่องราวในอดีตว่าตนเองทำผิดจึงเป็นสาเหตุให้เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น การแสดงพฤติกรรมที่ไม่ปกติ เช่น ถอดเสื้อผ้า ไม่รักษาสุขภาพตัวเอง เล่นสนุกสนานตามที่ใจตัวเองต้องการ เหมือนจะเป็นการทดแทนสิ่งที่เขาไม่เคยได้ทำในวัยเด็ก

ด้วยความรักและความเข้าใจจากกิลเลียนและครอบครัว ทำให้เดวิดสามารถหวนกลับมาเล่นเปียโนและสามารถสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ฟังได้อีกครั้ง ฉากปิดเรื่องของหนังเรื่องนี้จบลงที่เดวิดและกิลเลียนไปที่หลุมศพของปีเตอร์ (พ่อของเดวิด) เขาเสียชีวิตไปโดยที่ไม่ทันได้เห็นความสำเร็จของลูกของเขา และในวันนี้เดวิดมีความสุขอยู่กับผู้หญิงที่รักเขาและเขาก็รักเธอมากเช่นกัน เขามีความสุขอยู่กับการเล่นเปียโนและการใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่ค่อยได้มีในช่วงอดีตที่ผ่านมา

หลังจากดูหนังเรื่องนี้จบ ทำให้ได้แง่คิดในเรื่องของ “ความรัก” ความรักซึ่งถือเป็นสิ่งที่สวยงาม แต่กลับกลายเป็นโทษ เมื่อผู้ที่มอบความรักนั้นใช้ความรักในแบบที่ผิด ความรักที่เห็นแก่ตัวจะทำให้ทุกอย่างเลวร้าย แล้วผลสุดท้ายก็ไม่มีใครมีความสุขจากความรักนั้น ปีเตอร์ให้ความรักแก่เดวิดด้วยจิตใจที่คับแคบและยัดเยียดในสิ่งที่ตนเองไม่เคยได้รับในวัยเด็กให้กับเดวิด โดยไม่เคยถามความต้องการของลูกเลย อีกทั้งยังใช้อารมณ์และบางครั้งมีใช้กำลังที่รุนแรง ทำให้สุดท้ายเดวิดก็รับไม่ไหว เขาจึงกลายเป็นคนป่วยทางจิต

พรสวรรค์และความสามารถของแต่ละคน เป็นสิ่งที่จะติดตัวคนทุกคนไปตลอด ไม่ว่าคนๆนั้นจะมีสภาพเปลี่ยนไปเช่นไร ถึงแม้ในวันที่เดวิดไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่เขายังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนก็คือการที่เขาสามารถทำให้ผู้ฟังประทับใจได้ทุกครั้งที่เขาพรมนิ้วลงบนเปียโน เหมือนกับว่า “เปียโน” ได้กลายเป็นสิ่งที่อยู่ในจิตวิญญาณของเขาไปแล้ว

หนังเรื่องนี้นำเสนอภาพของผู้ป่วยทางจิตที่สามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมได้อย่างปกติสุขและไม่มีพิษภัย “ความรักแท้” ที่หวังดีอย่างจริงใจและความเข้าใจ จะสามารถเยียวยาให้เขามีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข สุดท้ายเขาก็ “เปล่งประกายสดใส” อย่างเต็มภาคภูมิได้อีกครั้ง

หนังเรื่องนี้ดึงเอาอารมณ์จากเหตุการณ์ต่างๆในเรื่องออกมาได้อย่างดีและน่าประทับใจอย่างมาก นักแสดงนำทั้งที่รับบทเป็นเดวิดตอนช่วงวัยรุ่นและวัยกลางคน ถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกออกมาได้อย่างดีเยี่ยม เป็นหนึ่งในหนังดีอีกเรื่องที่เมื่อดูจบแล้ว รู้สึกประทับใจอย่างมาก สำหรับทุกคนที่ชอบดูหนัง นี่เป็นหนังดีอีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

2 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

คิดเก่งจัง ทำงานเร็วอิจฉาจริงจัง

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

โดยรวมแล้ว บทวิจารณ์นี้เน้นหนักไปที่เหตุการณ์ในเรื่อง ดูเหมือนว่าจะพูดไปแล้วก็วกกลับมาพูดซ้ำอีก ขอให้ผู้วิจารณ์ลองสังเกตงานนี้ว่า เมื่อวิเคราะห์การเปิดเรื่องแล้ว ผู้วิจารณ์ก็ไม่ขยายความว่าเปิดเรื่องอย่างนี้มีข้อเด่นหรือ ข้อด้อยอย่างไร หรือเมื่อกล่าวถึงความขัดแย้งแล้ว ก็ไม่ได้วิเคราะห์ต่อไปอีกว่า ความขัดแย้งดังกล่าวคลี่คลายไปในตอนจบอย่างไร มีผลอย่างไรต่อเรื่อง อย่างไรก็ดี มีย่อหน้าสุดท้ายและรองสุดท้ายที่เป็นการแสดงความคิดเห็นอย่างแท้จริง และชัดเจน จึงทำให้บทวิจารณ์นี้จบลงอย่างน่าประทับใจได้